ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 

9 ขั้นตอน จัดการตู้เสื้อผ้า



 ทราบหรือไม่ว่า ความเป็นระเบียบของตู้เสื้อผ้าส่งผลต่อสภาวะจิตใจของคุณ ถ้าตู้เสื้อผ้ารกรุงรัก คุณจะรู้สึกสับสน แต่ถ้าตู้เสื้อผ้าจัดเรียงอย่างดี คุณจะผ่อนคลายและมีความมั่นใจด้วย 9 ขั้นตอนง่ายๆ แบบไม่เครียด – ไม่เปลือง นอกจากคุณจะได้ตู้เสื้อผ้าใหม่ที่น่าใช้สุดๆ ยังช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาในการรื้อหาเสื้อผ้าใส่ทุกวัน


1. คำนวณงบประมาณ
     ไม่ต้องถึงกับจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนเพื่อหาซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่หรือสร้างห้องแต่งตัวเพราะหลายสิ่งที่เรากำลังแนะนำต่อไปนี้คุณสามารถใช้วิธี DIY (Do It Yourself) หรือไปเลือกซื้อในราคาที่เหมาะสมกับงบในกะเป๋า

2. วัดขนาดของตู้เสื้อผ้า 
      ขนาดของตู้เสื้อผ้าจะกำหนดว่าคุณควรมีเสื้อผ้ามากน้อยแค่ไหน เริ่มด้วยการนำเสื้อผ้าทั้งหลายออกจากตู้ แล้วแยกประเภทเสื้อ กางเกง กระโปง เดรส จากนั้นวัด ความยาว ความสูง และความกว้างของตู้จดขนาดที่วัดได้ไว้สำหรับการซื้อชั้นวางตะขอ และของใช้อื่นๆ

     ความกว้างทุกๆ 1 ฟุตจะใส่กางเกงขายาวได้ 12 ตัว เสื้อเชิ้ต 15 ตัว หรือแจ๊คเก็ต 6 ตัว เมื่อคำนวณแล้วคุณก็พอจะรู้ว่า สามารถใส่เสื้อผ้ากลับเข้าไปได้จำนวนเท่าไหร่ 

3. ใช้ทุกตางรางนิ้วอย่างคุ้มค่า
  • อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ช่วยให้ของทุกชิ้นอยู่ในที่ที่ควรอยู่
  • ลิ้นชักเตี้ยๆ หรือราวแขวน เป็นการใช้พื้นที่ว่างที่เหลือจากการแขวนชุดสั่นๆ ให้คุ้มค่า
  • คุณสามารถเลือกพับผ้าเก็บไว้ในลิ้นชัก หรือแขวนกางเกงหรือกระโปรงสั้นที่ราวด้านล่าง
  • ชั้นแขวน สำหรับพับเก็บเสื้อยืดหรือผ้าที่ไม่ยับง่าย ช่วยประหยัดพื้นที่
  • ชั้นวางของ ในตู้เสื้อผ้าส่วนใหญ่มักมีที่วางผ้าขนหนูหรือของอื่นๆ
  • ช่องหรือกล่องเก็บกระเป๋า สำหรับเก็บกระเป๋าไม่ให้เสียทรง
  • ตะขอ ติดตะขอ ไว้ที่ผนังตู้หรือที่ผนังห้อง (เลือกมุมที่ติดแล้วห้องไม่ดูรก) สำหรับแขวนผ้าพันคอ เข็มขัด หรือแม้แต่สร้อยเส้นยาว
4. โละ!

     จัดการแบ่งเสื้อผ้าออกเป็น 3 กองได้แก่
  • กองสำหรับเก็บไว้ใช้
  • บริจาค และทิ้ง โยนเสื้อผ้าที่เก่า ขาดใส่กองเสื้อผ้าทิ้งเสื้อผ้าที่ล้าสมัย ใส่ไม่ได้ หรือไม่ชอบแล้ววางไว้ในกองบริจาคหรือนำไปขายต่อ
  • ส่วนเสื้อผ้าที่คุณรัก ยังใส่ได้ เพิ่มซื้อมาได้ไม่นานและจะใส่ต่อไป เก็บเข้าตู้ได้
      ถ้าตัดสินใจไม่ได้ว่าตัวไหนควรอยู่กองไหน ลองเรียกเพื่อนหรือคนที่ไว้ใจได้มาช่วยเลือก

5. แปลงโฉมตัวเสื้อผ้าให้เป็นห้องเสื้อ

      ถ้าโยนเสื้อผ้าเข้าตู้โดยไม่จัด เสื้อผ้าจะเสียทรงและมีรอบยับ การจัดตู้ให้สวยงามไม่เพียงทำให้เสื้อผ้าดูน่าใช้ แต่ยังทำให้เราเห็นชุดทุกชุดใส่ในตอนเช้า
      ควรใช้ไม้แขวนเสื้อที่รักษาทรงเสื้อผ้าและจัดเสื้อผ้าตามประเภท จะให้ดีขึ้น ควรเป็นเรียงสีด้วย

6. เก็บของที่ไม่ได้ใช้ไว้นอกตู้

    ของที่ยังไม่ใช้ช่วงนี้ เช่น เสื้อผ้าตามฤดูกาล ชุดออกงานพิเศษ ให้ใส่กล่องหรือถุงไว้ด้านนอก โดยเก็บอย่างดีเพื่อป้องกันความชื้น ฝุ่น และแมลง

7. ให้ความสว่างในตู้เสื้อผ้า

    ตู้เสื้อผ้าที่ดีควรติดตั้งหลอดไฟ เพื่อให้เห็นเฉดสีของเสื้อผ้าได้อย่างชัดเจน และยังอำนวยความสะดวกในการหาของอื่นๆ

8. ตั้งกฎใหม่ในการช็อปปิ้ง

    เมื่อรู้แล้วว่าตู้เสื้อผ้าของคุณควรมีของประมาณกี่ชิ้นทุกครั้งที่ตัดสินใจซื้อเสื้อใหม่สักตัว ให้คิดไว้เลยว่า ต้องมีเสื้อผ้าเดิมสักหนึ่งชิ้นที่ถูกทิ้งไปเพื่อไม่ให้ตู้ของคุณกลับไปรกอีกหรือจะใช้วิธีโละเสื้อผ้าที่ไม่ใส่พร้อมกับซื้อชุดใหม่ๆ สำหรับฤดูกาลที่จะมาถึงในคราวเดียวก็ได้

9. จัดรองเท้าให้มองเห็นได้

    ไหนๆก็จัดตู้เสื้อผ้าแล้วควรถือโอกาสจัดตู้รองเท้าไปด้วยเลย จำนวนรองเท้าที่จะเก็บไว้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในตู้ ควรจัดรองเท้าให้หยิบง่ายใช้ง่าย อาจเรียงเป็นคู่โดยแยกประเภท เช่น รองเท้าส้นสูง รองเท้าผ้าใบ รองเท้าลำลอง ฯลฯ หรือใช้กล่องรองเท้าแบบใส เพื่อให้เห็นรองเท้าคู่ที่ต้องการได้ชัด

แหล่งที่มา : //carebest.blogspot.com/2012/05/9.html#links




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2555 7:53:13 น.
Counter : 4071 Pageviews.  

มาดูเขาคนนี้ แล้วคุณจะเห็นว่าใจเขาหล่อกว่าหน้าตาซะอีก (ประทับใจ)

ณ ถนนกว่างโจว  ในเมืองหน่านจิง  เราได้พบภาพที่น่าประทับใจที่คนที่ผ่านไปมาอดที่จะหยุดดูเสียไม่ได้  ภาพของหนุ่มอเมริกาคนหนึ่งรับประทานอาหารร่วมกับหญิงชราขอทานตรงหน้าร้านแมคโดนัลด์ และดูพวกเขาจะมีความสุขเสียด้วย



หนุ่มอเมริกาคนนี้เขาไม่ใช่ขอทานเฉกเช่นหญิงชรา แต่เขาเป็นถึงนักศึกษาต่างประเทศของมหาวิทยาลัยหนานจิง ชื่อ เจสัน  เขาเข้าไปซื้ออาหารและน้ำดื่ม และออกมารับประทานร่วมกับหญิงชรา หนำซ้ำยังคอยปรนนิบัติและพูดคุยด้วยอย่างไม่รังเกียจ  เจสันกล่าวว่า "เราต้องให้ความเคารพกับทุกชีวิต การที่ผมนั่งกับพื้นและพูดคุยจะทำให้ยายมีความรู้สึกว่า คนบนโลกนี้ยังมีคนเอาใจใส่เธอ"



เพื่อนๆเห็นมั๊ยล่ะว่า  หน้าตาเขาหล่อขนาดใจ  ภายในใจเขาหล่อมากกว่าเสียอีก




 

Create Date : 20 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 20 พฤษภาคม 2555 10:41:52 น.
Counter : 2557 Pageviews.  

เรียนอย่างไรให้เก่ง...ที่นี่มีคำตอบ!!

หลักการที่สำคัญที่สุด คุมตัวของคุณเองให้ได้อย่างที่ต้องการจะเป็นแพ้ชนะอยู่ที่การสู้กับตัวเอง มิใช่สู้กับคนอื่น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ความขยันอันไม่มีอะไรจะหยุดได้ทฤษฎีบท ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำเร็จมิได้ด้วยความเพียร สิ่งที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ เป็นหลักการควบคุมตัวเองทั้งสิ้น ลองด้วยตัวคุณเองแล้วจะรู้ว่า ผมไม่ได้โกหกคุณเลย (ถ้าคุณทำตามที่ผมว่ามาได้นะ......ต้องได้ซิถ้าคุณจะทำจริง ๆ เพราะผมก็ทำมาแล้ว ....)

มองขั้นตอนทั้งหมดสรุปย่อโดยรวม

1. ควบคุมภาวะการหลับและการตื่นได้ดั่งใจ
2. ออกกำลังสม่ำเสมอ เพื่อพลังกายที่สมบูรณ์แบบ
3. อ่านหนังสือทุกวัน วันละ 2 ชม.(หรือตามที่คิดว่าเหมาะสมกับคุณ)
4. นั่งสมาธิและทบทวนก่อนนอน และ ตื่นนอนทุกวัน

คำอธิบายในแต่ละขั้นตอน และ รายละเอียดปลีกย่อย

1. คุมเวลาตื่นนอนให้ได้ทุกวันก่อนครับ เช่น ตื่น 6 โมงเช้านอน 4 ทุ่ม ซัก 1 เดือนติดต่อกันให้ได้ก่อนค่อยมาว่าจะอ่านหนังสือครับ เพราะจะเป็นการจัดระบบมันสมองใด้อย่างดีเยี่ยม และจะรู้สึกว่าสมองมีพลังในการรับรู้ครับ ถ้าทำข้อนี้ไม่ได้ อย่าคิดว่าจะเรียนให้ดีได้ยากครับ.

2. หลักการอ่านหนังสือใด ๆ ไม่จำเป็นต้องอ่านทีละนาน ๆ ครับ เช่นตั้งไว้ว่า วันนึง เราจะ อ่านซัก 1 - 2 ชม.ก็เกินพอครับ แต่สำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่องครับ. ถ้ายังบังคับตัวเองไม่อยู่ ข้อ 1. ก็เป็นการฝึกบังคับอย่างนึงแล้ว ต้องอ่านทุกวัน ไม่มีวันหยุดครับ

3. ที่ว่า 1 -2 ชม.นั้นต้องรู้ว่าตัวเองเราสามารถรับได้ครั้งละเท่าไรครับ. อย่างเช่นพี่จะ อ่านวันละ 2 ชม. แต่แบ่ง เป็น 4 ยกครับ. ครั้งละ 25 - 30 นาที และพัก 5- 10 นาที

4. อ่านจบวันนึง ๆ ต้องมีสรุปแบบเล่มยาว ๆ เลยนะครับ สรุปสั้น ๆ ว่าวันนี้ได้อะไรบ้าง สูตรอะไร ๆ หรือความเข้าใจอะไร

5. ถึงตอนนอนให้นั่งสมาธิซัก 5 นาทีพอรู้สึกใจเริ่มนิ่ง ให้นึกที่เราสรุปไว้ เมื่อกี๊ครับ. ถ้านึกไม่ออกแสดงว่าสมาธิตอนอ่านหนังสือไม่ดีให้เปิดไฟ ลุกออกไปดูที่สรุปใหม่ แล้วนึกใหม่ครับ.

6. ต้องรู้วิธีเรียนในแต่ละวิชาครับ เช่น คณิต + ฟิสิกส์ เน้นความเข้าใจเป็นอันดับ 1 เคมี เน้น เข้าใจ + ท่องจำบางอย่าง เช่น ตารางธาตุ ถ้าท่องยังไม่ได้แสดงว่าไม่เข้าใจว่ามันจำเป็นต้องจำ อังกฤษ เป็นเรื่องทักษะ ต้องใช้บ่อย ๆ เวลาจะทำอะไรก็นึกเป็นภาษาอังกฤษบ้าง เช่นนึกจะทักเพื่อนว่าไปไหน ก็นึกว่า where do you go .? อะไรเป็นต้น แล้วก็ต้องเข้าใจ เป็นภาษาต่างด้าวยังมีคำหรือสำนวนที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะ ดังนั้นเรื่องศัพท์ต้องรู้เยอะ ๆ เวลาจะไปดูหนัง Entertainกันทั้งที ก็เลือกดูเรื่องที่เขามีแต่ sub title เป็นภาษาอังกฤษ

7. วิธีเรียนพวกวิชาที่ใช้ความเข้าใจ อันดับแรกต้องรีบศึกษาเนื้อหาทั้งหมดให้จบอย่างรวดเร็ว ถามว่าอ่านจากไหน อย่ามองไกลครับ แบบเรียนนั่นล่ะ อย่าเพิ่งไปมองพวกคู่มือ ถ้าเราอ่านแบบเรียนไม่รู้เรื่อง ก็อย่าไปหวังจะดูตำราอื่นเลย จากนั้นให้รีบหา แบบฝึกหัด มาทำในแบบเรียนนั่นล่ะให้ได้หมดก่อน จากนั้นค่อย เสาะหาตำราคู่มือที่คิดว่าเราดี อ่านแล้วเข้าใจอีกซักเล่มนึงมา อ่านเนื้อหาให้หมด อีกที แล้วทำแบบฝึกหัดในเล่มนั้นให้จบหมด . สำคัญคือความตั้งใจนะ ต้องเข้าใจว่าเรา มีความรู้ในบทนั้น ๆ จบแล้ว ทำไมยังทำโจทย์บางข้อไม่ได้ พยายามคิด สุดท้ายไม่ออก ก็ดูเฉลย แล้วต้องตอบตัวเอง ให้ได้ว่าเราโง่ตรงไหน ทำไมทำไม่ได้ โจทย์ข้อนั้น ๆ เป็นเทคนิคเฉพาะหรือเปล่าต่อไป ก็เสาะหาพวกข้อสอบต่าง ๆ มาให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ก็ ทำ ๆ ๆ จนเกิดรู้สึกว่า บรรลุ !!! ในเรื่องนั้น ๆ มันเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ สำเร็จเป็นผู้วิเศษอะไรทำนองนั้น หรือฝึกวิทยายุทธสำเร็จแบบนั้น มองโจทย์ปุ๊บ จะเกิดความคิด แปร๊บ ๆ ขึ้นมานึกออกทะลุหมด เมื่อนั้นรู้สึกแบบนี้เมื่อไร ให้รีบสรุปเนื้อหาบทนั้น ๆ ออกมา ในกระดาษขนาดประมาณ 2.5 นิ้ว คูณ 4 - 5 นิ้ว ใช้หน้าหลังเขียนให้พอให้ได้ใน 1 บทต่อ 1 แผ่น อาจจะมียกเว้นบางบท เช่น สถิติ อาจใช้ถึง 6 แผ่น หรือตรีโกณ 3 แผ่น ส่วนใหญ่ไม่เกินหรอกค จากนั้นปาตำราบทนั้น ๆ ทิ้งไปเลยครับ

8. สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรก็ตามที่คือ ต้องมีความรู้ติดสมอง สามารถหยิบมาใช้การได้ทันทีครับ ถ้าคิดจะเรียนเพื่อสอบนั่นก็แสดงว่า กำลังคิดผิดอย่างใหญ่หลวง เด็กสมัยใหมนี้ชอบคิดว่าเรียน ๆ ไปเพื่อสอบ สอบเสร็จก็เลิกนั่นเป็นเพราะผลพวงของระบบ แข่งในการศึกษาของไทยเรา เด็กต้องสอบ Entrance เข้าต่อ ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกในการใฝ่รู้ ต้องเข้าใจว่าเราเรียนหนังสือนี่ ต้องถือว่าไม่มีใครมาบังคับเรา เราเรียนเพื่อตัวเราเอง เพื่อพัมนาสมองเราเอง พัฒนา มุมมองความคิดต่าง ๆ เพื่อให้เราเป็นยอดคนเอง สามารถที่จะพึ่งตัวเองได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะยังอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองหรือหลุดจากอ้อมแขนบิดามารดาเมื่อไร ต้องสามารถที่จะกล้าคิดและทำ พึ่งตัวเองยังชีพตัวองในสังคมนี้ได้ครับ. ดังนั้น จากข้อ 7. เราต้องบันทึกความรู้ที่เรารู้แล้ว ให้เป็นความรู้ยาวนานติดสมอง โดยทำดังต่อไปนี้ครับ.

ให้นึก ! โน๊ตย่อที่เราสรุปเอง อาทิตย์ละหน ติดต่อกันซัก 1 เดือนหรือ 4 อาทิตย์ นึกนะครับไม่ใช่เปิดดูถ้านึกไม่ออก แสดงว่าไม่ได้สรุปเองแล้วล่ะ เปิดหนังสือ แล้วสรุปตามแหง ๆ จากนั้นให้ทิ้งห่างเป็น นึก 1 เดือนต่อครั้ง จนเริ่มรู้สึกเบื่อ เพราะนึกทะลุปรุโปร่งหมดแล้วให้เลิก ใกล้สอบค่อยว่ากันอีกที กระบวนการที่ว่านึกตั้งแต่ 1 อาทิตยืจนเลิกนึกนี่ คาดว่าไม่ตำกว่า 3 เดือน ใครน้อยกว่านี้ แสดงว่าโกหกตัวเองชัวร์

9. กระบวนการสุดท้าย เป็นการเพิ่มพลังความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งต้องกระทำติดต่อกันบ่อยๆ เรื่อย คือกระบวนการสอบแข่งขันครับ. ตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเป็นไปได้สอบแข่งซะแต่ ม.1 จนจบ ม.6 เลย จะทำให้เรารู้อันดับตัวเอง

เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ เช่นเราอาจจะเรียนได้เกรดดี แต่พอสอบแข่ง จริง ๆล่ะ สู้เขาได้ไหม ทักษะในการทำข้อสอบ มีใหม เข้าห้องก็เดินหน้าลุยทำแต่ข้อแรกยันข้อสุดท้ายเลยหรือเปล่า ก็พวก สมาคม โอลิมปิก หรืออะไรก็ตามที ทั้งสอบแข่งในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดเอง หรือสัปดาห์ต่าง เช่น สัปดาห์วันวิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ โคงงงานวิทยาศาตร์ ตอบปัญหาภาษาไทย อังกฤษ ฯลฯ
สุดท้ายทั้งหมดที่ว่ามา ถ้าน้องคนไหนทำได้นะครับ. ซัก 1-2 ปี รู้ผลแน่ พี่รับรองได้ 100 % เลยว่าอย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับ 1 - 3 ของชั้น แน่นอน อันดับระดับประเทศ ก็ไม่เกิน 50 อย่างมาก
อ้อ ลืมบอกไปครับ. สิ่งสำคัญคือการอ่านล่วงหน้าครับ

ช่วงปิดเทอม ก็อ่านของเทอมหน้านู้นหรือ อยู่ ม.4 จะอ่านของ ม.6 ก็ได้นะไม่ผิด




 

Create Date : 18 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 18 พฤษภาคม 2555 8:23:24 น.
Counter : 1665 Pageviews.  

รถถังที่ว่าแน่ ก็ยังแพ้ธรรมชาติ

ต่อให้รถถังรุ่นเจ๋งขนาดไหน ก็ต้องยอมชูฮกให้กับหล่ม จากธรรมชาติ






























 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2555 7:59:54 น.
Counter : 3241 Pageviews.  

กินของเผ็ด ทำไมต้องมีเหงื่อออก


กินของเผ็ด ทำไมต้องมีเหงื่อออก



เรารับรู้รสหวานหรือขมได้จาก "ตุ่มรับรสบนลิ้น"
แต่สำหรับรสเผ็ดที่อยู่ในพริกนั้น ไม่เพียงแต่จะกระตุ้นตุ่มรับรสเท่านั้น
แต่ยังไปกระตุ้น "เยื่อเมือก" ทั้งหมดในปากอีกด้วย


เพราะฉะนั้นเวลาที่เรากินของเผ็ด ๆ เช่น แกงเหลือง
จึงรู้สึกแสบร้อนไปหมดทั่วทั้งลิ้นและปาก

แต่สงสัยอีกไหมว่าทำไมเวลากินของเผ็ด ๆ จะต้องมีเหงื่อออกมาด้วย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า
"สารแคปไซซิน" ที่มีอยู่ในพริก

ไปทำหน้าที่ขยายเส้นเลือด ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
แล้วยังช่วยกระตุ้นประสาทในร่างกายทั้งหมดให้ทำงานอย่างแข็งขันอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เองเวลากินของเผ็ด ๆ ร่างกายจึงร้อนขึ้นและมีเหงื่อออกมามากนั่นเอง




ที่มา หนังสือ ลูกช่างถาม ตอบไม่ได้...อายแย่เลย...!!?




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2555 8:22:17 น.
Counter : 2360 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.