ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
“แม่”คำสั้น ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง!!

วันที่ 12 สิงหาคมทุกปี เป็น “วันแม่แห่งชาติ”

ซึ่งลูกของแม่ทุกคนต่างรับรู้ถึงพระคุณของแม่ดังเพลงค่าน้ำนมที่เนื้อเพลงท่อนหนึ่งได้บอกว่า “หยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย” ซึ่งเรื่องราวของแม่ที่ทำเพื่อลูกมีหลากหลายเรื่องของผู้ที่เป็นแม่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลผู้เป็นแม่ เดลินิวส์ออนไลน์ขอรายงานพิเศษเนื่องในวันแม่แห่งชาติจากข้อเขียนของผู้อ่าน “เดลินิวส์” จาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลาที่บุตรสาวเขียนถ่ายทอดเรื่องของ “แม่” ตัวเอง ซึ่งแม่เห็นข้อเขียนของลูกแล้วประทับในเนื้อหา จึงได้ส่งมาที่ “เดลินิวส์ให้ช่วยเป็นสื่อกลางแบ่งปันความรู้สึกดี ๆ ให้ผู้อื่นได้มีโอกาสรับรู้ หรือนำสิ่งดี ๆ ไปถ่ายทอดให้กับครอบครัวอื่น ๆ ได้รับทราบต่อ ๆ กันไป ดังข้อเขียนของลูกที่เขียนถึงแม่ของตนเองที่สู้ชีวิตดังต่อไปนี้

......................................

ครอบครัวของหนูมีพื้นเพอยู่ที่ภาคใต้ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เป็นครอบครัวฐานะปานกลาง มีอาชีพขายของเด็กเล่นใกล้ ๆ กับตลาดสด ในครอบครัวของหนูเป็นพี่คนโตมีน้องสาวหนึ่งคน น้องชายอีกหนึ่งคน คุณแม่ของพวกเราคือ คุณแม่เมตตา ทองจันทร์ ครอบครัวของพวกเราถึงจะเป็นครอบครัวขนาดเล็ก แต่ความรักและความอบอุ่นของครอบครัวเรานั้นไม่ได้เล็กเหมือนขนาดของครอบครัวเลย

ตั้งแต่หนูจำความได้ ย้อนไปเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนนั้นครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในบ้านเช่าซึ่งเป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นบนเป็นห้องนอนและเป็นโกดังเก็บของเก่าไปในตัว ส่วนชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายของเด็กเล่น ทุก ๆ วันคุณแม่จะต้องตื่นแต่เช้าเข้ามาเปิดร้านขายของ พร้อมทั้งต้องวุ่นวายกับการเตรียมพร้อมลูกลิงอย่างหนูและน้อง ๆ เพื่อไปโรงเรียนให้ทัน เหตุการณ์เหล่านี้เหมือนการจับปูใส่กระด้งก็ไม่ปาน

คุณแม่ของหนูเป็นคนที่ขยันมาก คุณแม่ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อที่จะหาเงินมาให้พวกหนูได้เรียน ได้กิน ได้ใช้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ

คุณแม่ไม่เพียงแต่ส่งเสียให้หนูเรียนในโรงเรียนเท่านั้น ไม่ว่าหนูอยากเรียนพิเศษในด้านภาษา หรือดนตรีเพิ่มเติม คุณแม่ไม่เคยปฏิเสธ ถึงแม่ตอนนั้นการเงินที่บ้านของพวกเราจะยังไม่พร้อมนัก คุณแม่ให้เหตุผลว่า “ชีวิตในวัยเด็กนั้นผ่านไปรวดเร็วนัก อะไรที่ลูกสนใจและใฝ่จะเรียน ย่อมเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะสนับสนุน หากผ่านวัยเหล่านี้ไปแล้ว เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ ตอนนั้นอยากจะกลับมาเรียนใหม่ก็คงยาก อีกทั้งการเรียนใช่ว่าจะเรียนไปแล้งสูญเปล่า ลูกสามารถที่จะนำวิชาเหล่านั้นไปพัฒนาตนได้ในอนาคต ตอนที่แม่ส่งเสริมให้เรียนก็เปรียบเสมือนกับแม่ได้ลงทุนให้ลูก เพื่อที่ลูกจะได้ไปเก็บกำไรในอนาคต”

ด้วยความที่คุณแม่เป็นคนขยันบวกกับการที่เป็นคนมีไหวพริบทางการค้าจึงทำให้เป็นหาเงินได้เก่ง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์นั้นคุณแม่ได้นำไปใช้หาความสุขเป็นส่วนตนเลย เงินส่วนใหญ่หมดไปกับการเลี้ยงดูลูกๆและการเก็บออม




นอกจากจะเป็นคนขยันแล้ว คุณแม่ของหนูยังเป็นคนที่ประหยัดเอามาก ๆ

คุณพ่อเล่าให้ฟังว่าตอนแต่งงานกับคุณแม่ใหม่ ๆ อาหารเช้าของคุณพ่อและคุณแม่ คือข้าวกับผักบุ้งผัด แต่จะแยกส่วนก้านของผักบุ้งต้นเดิมไว้มาผัดเป็นอาหารเย็น เพื่อที่จะเก็บเงินไว้ซื้อนมดี ๆ ให้ลูกกิน เสื้อผ้าส่วนใหญ่ของคุณแม่นั้นมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าปีแล้วทั้งสิ้น ตอนหนูเด็ก ๆ คุณแม่ซื้อชุดนอนให้หนูแบ่งใส่กับน้องเพื่อความประหยัด แต่ชุดนอนที่ซื้อมาไม่ได้มาตรฐาน ยางของกางเกงนอนยืดเร็วมาก หนูกับน้องร้องขอให้คุณแม่ซื้อให้ใหม่ คุณแม่รีบซื้อยางยืดมาเปลี่ยนทันทีและอธิบายให้หนูและน้องฟังว่า พวกเราได้ประหยัดเงินไปกี่ร้อยบาท จากการซื้อเพียงแค่ยางยืดมาเปลี่ยน

คุณแม่เป็นคนชอบใช้แป้งฝุ่นมาก แป้งฝุ่นกระป๋องที่คุณแม่ใช้ คุณแม่จะจัดสติ๊กเกอร์ที่ปิดฝากระป๋องแค่ครึ่งเดียวแทนการลอกหมดทั้งแผ่น

เหตุผลคือใช้เฉพาะที่ต้องการจะได้ไม่สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ ถุงพลาสติกที่ใช้แล้ว คุณแม่จะเก็บมาใช้เป็นถุงมือสอง หากถุงใบใหญ่ๆที่มีรอยขาด คุณแม่จะใช้สก็อตเทปกาวเชื่อม แล้วอธิบายว่านี่คือถุงใหม่ที่เราสามารถนำมาใช้ได้อีก คุณแม่ยังรับซื้อถุงมือสองจากลูกค้า โดยการลดราคาสินค้าให้ ลูกค้าประทับใจมากเก็บมาให้กันเป็นมัดๆ คุณแม่นำมาใส่ของให้ต่อกลายเป็นความพอใจของทั้ง 2 ฝ่าย

คุณแม่เรียนจบเพียงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่หก แต่ระดับความคิด ไหวพริบ และสติปัญญาของคุณแม่นั้นเทียบเท่ากับระดับปริญญาก็ว่าได้ คำสอนต่าง ๆ ของคุณแม่นั้น ล้วนแต่เป็นคำคมที่มีเสน่ห์และน่าจดจำ เมื่อหนูได้นำมาคิดแล้วก็อดทึ่งกับคำสอนเหล่านั้นไม่ได้ คุณแม่เคยสอนว่า “คนเรานะลูกถึงจะสวยหล่อซักแค่ไหน แต่เกิดมาไม่มีหางก็จะหมดสวยหมดหล่อทันที”
หนูตกใจมากนึกว่าคุณแม่ตำหนิ แต่ที่จริงแล้ว “หาง”ที่คุณแม่พูดถึง คือ “หางเสียง” ค่ะ ขา ครับ นั่นเองหนูจำคำนี้ได้แม่นไม่กล้าให้ตกหล่น

เมื่อถึงเทศกาลเดือนสิบของทุกปี คุณแม่จะกลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราช คุณแม่จะเตรียมซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ไปฝากคุณยายและคุณทวด

โดยมอบหมายให้หนูเป็นคนห่อของขวัญสวย ๆ แล้วติดชื่อ พร้อมทั้งสอนว่าอย่าแล้งน้ำใจกับบรรพบุรุษของเรา คุณแม่ไม่รู้หรอกว่าท่านได้ถ่ายทอดสิ่งดี ๆ มาสู่จิตสำนึกของหนูมากมาย ทุกเช้าก่อนที่หนูจะไปมหาวิทยาลัย หนูจะมาสวัสดีคุณแม่ ท่านจะอวยพรและกล่าวว่า “ขอให้หนูโชคดีในวันนี้ และเป็นดอกไม้ยามเช้านะลูก” (มอบรอยยิ้มและความสดชื่นให้ทุก ๆ คนที่ได้พบเห็น) วันไหนหนูมีการนำเสนองามหน้าชั้นเรียนคุณแม่ก็จะถักเปียให้หนู เปียที่คุณแม่ทักให้เหมือนท่านได้ถักสายใยรักไปด้วย ทำให้หนูนำเสนองานอย่างมั่นใจ วันไหนที่หนูแต่งตัวดูดี คุณแม่จะไม่ชมหนู แต่ท่านะเปลี่ยนเป็นการยิ้มและร้องเพลงให้หนูฟังว่า “งามวงพักตร์ยิ่งดวงจันทรา จริตกริยานิ่มนวลละไม วาจากังวานอ่อนหวานจับใจ สมเป็นดอกไม้ของไทยเจ้าเอย” หนูรู้สึกว่าเป็นคำที่เชยมาก แต่เมื่อหนูโตหนูจึงรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งและหนูก็จดจำทุกประโยค

ก่อนจบมหาวิทยาลัยหนูได้รับประกาศนียบัตรผู้มีคุณธรรม จริยธรรมดีเด่น ประจำปี 2553 จากคณะ

หลังจากนั้นน้องสาวของหนูก็ได้รับรางวัลนี้ในปีถัดมาคือ ปี 2554 ในวันที่เรานำใบประกาศเกียรติบัตรมาให้คุณแม่ คุณแม่ยิ้มและบอกว่า “แม่เลี้ยงดูลูก และเฝ้ามองการพัฒนาเติบโตของพวกหนูอย่างชื่นชม และแม่เลี้ยงลูกมาก็อยากให้คนอื่นชื่นชมด้วย แสดงว่าลูกของแม่เป็นเด็กดี ทั้งเพื่อนๆและอาจารย์ถึงยอมรับนะลูก” หนูบอกกับแม่ในใจว่าหนูเองก็เฝ้าชื่นชมแม่เหมือนกัน อ้อมกอดที่เรากอดกันหนูได้ยินเสียงหัวใจของแม่เต้น และหนูรู้ว่าแม่ก็ได้ยินเสียงหัวใจของหนูเต้นเช่นกัน

ทุกครั้งที่หนูประสบปัญหาไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน ข้างกายของหนูจะมีคุณแม่คอยเคียงข้างให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และสู้ไปพร้อมกับหนูเสมอ

คำแนะนำ และมุมมองในการมองชีวิตของคุณแม่นั้นลึกซึ้งและให้แง่คิดต่างๆกับหนูเสมอมา ตั้งแต่เล็กจนโตหนูพยายามสร้างความภูมิใจให้กับคุณแม่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสอบได้ที่ดีดี ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้น ได้รับเกียรติบัตรเด็กดี เกียรติบัตรคุณธรรม จริยธรรมดีเด่น เรียนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ที่ผ่านมามีเพื่อนๆ มากมาย กล่าวคำชื่นชมในตัวหนู แต่คำชื่นชมที่หนูเฝ้ารอและประทับใจที่สุดก็คือคำชมจากคุณแม่ของหนู ดังคำที่ว่า
“ร้อยคำชื่น หมื่นคำหวาน มาพร่างพรม ไม่เท่าหนึ่งคำชม ลมปากแม่”

หนูไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าที่หนูเติบโตมา ประสบความสำเร็จ

มีความสุขอยู่ในสังคมอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะหนูมีคุณแม่ที่ดีคอยทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ เลี้ยงดูปลูกฝังสั่งสอน ถ่ายทอดสิ่งดีดีให้หนูเสมอมา หนูเปรียบเสมือนต้นไม้ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากคุณแม่ คำสอนต่างๆเปรียบเสมือนปุ๋ยและน้ำคอยกล่อมเกลาหล่อเลี้ยงจิตใจให้ดีงาม และในตอนนี้ต้นไม้ต้นนี้ก็ได้เติบโตพร้อมที่จะเป็นร่มเงาให้กับคุณแม่ได้พักพิงแล้วนะคะ

เรียงความของหนูที่เขียนมาจุดประสงค์คือ อยากแบ่งปันสิ่งดีดีในครอบครัวของหนู เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกและให้ลูกได้เห็นคุณค่าของความเป็นแม่ หนูเองไม่ค่อยได้ชมคุณแม่มากนัก เพราะหนูเป็นคนพูดไม่เก่ง หนูจึงใช้โอกาสนี้มอบความรู้สึกดีดี ให้กับคุณแม่ของหนูโดยผ่านเรียงความนี้ หนูหวังว่าจะเกิดประโยชน์สำหรับผู้อ่านทั้งผู้เป็นแม่และผู้เป็นลูกทุก ๆ ท่าน

“รุ่งลักษณ์”
ลูกที่รักและเคารพคุณแม่เป็นอย่างยิ่ง

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์



Create Date : 12 สิงหาคม 2554
Last Update : 12 สิงหาคม 2554 8:47:04 น. 2 comments
Counter : 1455 Pageviews.

 
ขอบคุณครับ ติดตามๆๆๆ
........................................


โดย: aodblo22 วันที่: 12 ตุลาคม 2554 เวลา:3:49:31 น.  

 
แวะมาเยี่ยมชมครับ


โดย: BoonsermLover วันที่: 15 ตุลาคม 2554 เวลา:13:57:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.