Veritatem dies aperit. เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเสมอ

Justice of the Peace
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Justice of the Peace's blog to your web]
Links
 

 

17. วัดคินคะคุจิ ตำหนักทองเรืองรองกลางน้ำ

วัดคินคะคุจิ (Kinkaku-ji)



วัดนี้มีชื่อจริงว่า วัดโระคุอนจิ (Rokuon-ji) ส่วน คำว่า คินคะคุ (Kinkaku) เป็นชื่อเรียก ตำหนักทอง ที่ตั้งอยู่ริมสระในวัด ตำหนักทองนี้ สร้างโดย โชกุน อะชิคางะ โยชิมิทสึ (Ashikaga Yoshimitsu) ซึ่งเป็นโชกุน รุ่นที่ 3 ของตระกูลอะชิคางะ เมื่อ ค.ศ.1397 วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของคนไทยทุกคน ที่เคยดูการ์ตูนเรื่อง อิ๊กคิวซัง เพราะมักจะใช้ตำหนักทองแห่งนี้ เป็นฉากของเรื่องบ่อยครั้ง ส่วนท่านโชกุนในเรื่องอิ๊กคิวซัง ก็คือ ท่านโชกุนอะชิคางะ โยชิมิตสึ คนนี้นี่เอง...


ใบไม้เปลี่ยนสีที่หน้าวัด



อ้า.... ง่ำ


หลังจากซื้อตั๋ว (ที่เราว่าเป็นตั๋วที่เก๋ไก๋ไฮโซที่สุดแล้ว) ราคา 400 เยน แล้ว ...ก็เดินเข้าวัดกันเลยครับ



เมื่อเราเข้าประตูวัด เราก็จะพบกับตำหนักทองคินคะคุ ตั้งตระหง่านสะท้อนแดดระยิบระยับ รอต้อนรับพวกเราอยู่แล้ว ...





ตำหนักทองแห่งนี้ มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ชาริเด็น (Shariden) ตั้งอยู่ริมสระเคียวโคะชิ (Kyoko-chi) ซึ่งจำลองว่าเป็นห้วงมหาสมุทร มีเกาะอะชิฮาระ (Ashihara) เป็นเกาะใหญ่กลางสระ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้รับจากจีนว่า เมื่อสร้างสระน้ำ ก็ต้องมีเกาะอยู่กลางสระ เพื่อให้เซียน หรือผู้วิเศษมาประทับ และให้ผู้สร้างมาอธิษฐานขอพรจากเซียนให้ตนมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว หรือเป็นอมตะ






ตำหนักทองคินคะคุ หรือ ชาริเด็น นี้ แบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ
ชั้นล่างสุด คือ “ชินเด็น-ซุคุริ” (Shinden-zukuri) เป็นสถาปัตยกรรมแบบราชสำนัก มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “โฮ-ซุน-อิน” (Ho-sui-in)
ชั้นที่สอง คือ “บุเคะ-ซุคุริ” (Buke-zukuri) เป็นสถาปัตยกรรมแบบบ้านซามุไร มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “โช-อน-โด” (Cho-on-do)
ชั้นที่สาม คือ “คะระโย-ซุคุริ” (Karayo-zukuri) เป็นสถาปัตยกรรมแบบวัดในนิกายเซน มีชื่อเรียกเฉพาะว่า “คุกเคียว-โช” (Kukkyo-cho) (ข้อมูลจากแผ่นพับของทางวัดครับ)



ส่วนบนยอดหลังคาตำหนัก ทำเป็นรูปหงส์ หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า “โฮโอ” ซึ่งก็คือ นกฟีนิกซ์ หรือ หงส์ที่เป็นสัตว์ในตำนานความเชื่อของจีนคู่กับมังกร นกโฮโอเป็นเครื่องหมายแสดงความเป็นอมตะ เพราะเชื่อว่า เมื่อมันรู้ตัวว่าจะตาย ก็จะเสกเปลวไฟมาเผาร่างของตัวเองจนกลายเป็นขี้เถ้า แล้วมันก็จะเกิดร่างขึ้นมาใหม่จากกองขี้เถ้านั้น ดังนั้น ผู้มีอำนาจในญี่ปุ่นสมัยโบราณจึงมักจะสร้างสิ่งของที่เกี่ยวกับนกโฮโอเอาไว้มาก เพราะเชื่อว่าจะทำให้ตนมีชีวิตเป็นอมตะเหมือนนกโฮโอด้วย... ที่เกียวโต นี้ มีนกโฮโอที่มีชื่อเสียงอยู่ 3 ตัว ตัวแรกอยู่ที่วัดคินคะคุจิแห่งนี้ ตัวที่สองอยู่บนยอดหลังคาวัดกิงคะคุจิ ส่วนตัวที่สาม เป็นนกโฮโอคู่ผัวเมีย อยู่บนยอดหลังคาวัดเบียวโดอิน





นอกจากนี้ ในวัดยังมีสวนสวย ๆ ที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี ไม่แพ้สวนของวัดอื่น ๆ เลยทีเดียว




นอกจากตำหนักทองคินคะคุ ที่เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวแล้ว ด้านในวัด ยังมีจุดน่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น ศาลเจ้าชินอุน (Shin-un) สระอันมิน-ตะคุ (Anmin-taku), ห้องชงชาเซกกะ-เทย์ (Sekka-tei Tea House), ศาลเจ้าฟุโด-โด (Fudo-do) เป็นต้น


ห้องชงชาเซกกะ-เทย์



แผ่นป้ายขอพรอิ๊กคิวซัง... มีเขียนเป็นภาษาไทยเยอะเหมือนกันนะเนี่ย



ศาลเจ้าฟุโด-โด


ที่ขาดไม่ได้ ก็คือ ร้านขายเครื่องราง และของที่ระลึก ที่คนมุงเต็ม ขายดิบ ขายดี เราเองก็ซื้อเครื่องรางคิตตี้ จากวัดนี้ไปหลายชิ้น หมดไปหลายตังค์ทีเดียว

เราออกจากวัดนี้ตอนประมาณ 15.30 น. เราคิดว่า น่าจะยังไปเที่ยวที่อื่นอีกได้สักที่ เลยตัดสินใจขึ้นรถบัส สาย 101 ไปลงที่ป้าย Nijojo-mae เพื่อไปเที่ยวปราสาทนิโจ แต่ปรากฏว่า เราไปถึงตอนประมาณ 16.00 น.นิด ๆ เขาปิดประตูไม่ขายบัตร ไม่ให้เข้าเสียแล้ว เราเลยอดเที่ยวไปตามระเบียบ เลยตัดสินใจว่าจะไปหาข้าวเย็นทาน แถว ๆ ถนนชิโจ (Shijo-dori) ซึ่งเป็น Shopping Street ของเกียวโต ที่พวกเราก็นั่งรถผ่านกันทุกวัน น่าจะมีอะไรน่าสนใจให้พอได้ทานกันบ้าง ซึ่งก็ได้ไปทานข้าวเย็นที่ร้านโยชิโนยะ ร้านเดิมที่ทานตอนกลางวัน แต่กินกันคนละเมนู พอทานเสร็จแล้ว ก็ไปเดินเล่นกันในห้างไดมารู...

ที่ชั้นใต้ดินของห้างไดมารู เป็นแหล่งรวมอาหารและขนมที่ใหญ่โตมาก อาหารน่าทานทุกอย่าง แบบว่า ถ้ารู้งี้ ไม่รีบทานข้าวเย็นที่ร้านโยชิโนยะนั่นซะก็ดี แถมพอใกล้ๆ 3 ทุ่ม ห้างจะปิด พวกอาหารสด อาหารคาวก็จะปิดป้าย Sale ลดราคากัน เราเดินดู เดินเลือกร้านขนมกันอยู่นาน ในที่สุดก็ตัดสินใจทานเค้กของร้าน Giotto ที่รูปร่างสวยงามมาก ๆ สมเป็นร้านเค้กญี่ปุ่น แม้จะซื้อแค่คนละถ้วย เขาก็จัดการห่อและใส่น้ำแข็งแห้ง ใส่ถุงสวยหรูมาให้อย่างดี ...

พอซื้อเสร็จ ออกมาก็ได้เวลาห้างปิดพอดี ที่ชั้น 1 พวกพนักงานขายประจำเคาน์เตอร์ทุกคน ออกมายืนหน้าเคาน์เตอร์ของตัวเอง แล้วก็โค้งคำนับขอบคุณลูกค้าทุกคน เรารู้สึกเหมือนเป็นพระราชาเลย ที่เดิน ๆ ไปแล้วมีคนคอยมาโค้งคำนับให้ตลอดทาง เราดูว่า พนักงานที่ญี่ปุ่นนี่ โค้งคำนับขอบคุณกันแบบจริงจังใจ แม้ว่าเราจะไม่ได้ซื้อสินค้าอะไรจากเขาเลย แต่เขาก็ยังขอบคุณเรา โค้งกันแบบนอบน้อมจนหัวแทบจะติดพื้นเลยทีเดียว แสดงว่าที่นี่อบรมพนักงานให้มี Service Mind ต่อลูกค้าดีมาก ไม่เหมือนกับพนักงานขายในห้างเมืองไทย ที่ยกมือไหว้แบบเสียไม่ได้

พอกลับมาถึงโรงแรม ก็ได้เวลาแกะกล่องเค้กทานกันแล้ว ..ของดาว เป็น Strawberry Short Cake แต่ทำแบบใส่ถ้วยเซรามิค ข้างบนเป็นสตรอว์เบอร์รี่ กับวุ้นเต้าหู้ ที่เห็นเป็นรูปดอกไม้อันใหญ่ ๆ นั่นเป็นเมอแรงก์ ข้างในถ้วยเป็นช็อตเค้กสตรอว์เบอร์รี่ ส่วนของเรา เป็น Green Tea Cake ข้างบนเป็นโมจิ กับถั่วแดง แล้วก็วิปครีม โรยผงชาเขียว ข้างในเป็นวุ้นชาเขียวมัทฉะ ขมกำลังพอดี ๆ ทานแล้วลื่นคอเหมือนดื่มชาเขียวเข้ม ๆ เลย แล้วก็มี วุ้นโยกัง ถั่วแดงกวน รสชาติดีเยี่ยมสมราคาถ้วยละ 700 กว่าเยน




คืนนี้ได้อยู่เกียวโตเป็นคืนสุดท้ายแล้ว แอบเสียใจเล็กน้อย เพราะประทับใจเกียวโตมาก ดาวกับเรา ถึงกับตั้งความหวังว่า ถ้ามาญี่ปุ่นคราวหน้า จะจัดทริปเที่ยวเกียวโตเมืองเดียว 10 วัน กันเลยทีเดียว...




 

Create Date : 31 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 31 พฤษภาคม 2553 7:44:30 น.
Counter : 1458 Pageviews.  

16. วัดเท็นริวจิ ชมสวนสวย ลุยสวนไผ่ หลงทางไป JR

วัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji)



วัดเท็นริวจิ (Tenryu-ji) เป็นวัดพุทธศาสนา นิกายเซน มีประวัติที่เกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นในช่วงสมัยนัมโบะคุโช (Namboku-cho Period) คือ เมื่อ ค.ศ.1333 อะชิคางะ ทากาอุจิ (Ashikaga Takauji) เป็นแม่ทัพให้ พระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ (Emperor Go-Daigo) เพื่อทำสงครามกับ โฮโจ ทากาโทกิ (Hojo Takatoki) หัวหน้าตระกูลโฮโจ ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็น ชิคเค็น (Shikken) หรือ ผู้สำเร็จราชการ ครองอำนาจอยู่ในขณะนั้น โดยตั้งใจว่าจะฟื้นฟูอำนาจให้พระจักรพรรดิ แต่เมื่อโค่นล้มตระกูลโฮโจสำเร็จแล้ว ทากาอุจิ กลับทรยศต่อพระจักรพรรดิ โดยแต่งตั้งตัวเองเป็นโชกุน เมื่อ ค.ศ.1338 แล้วเนรเทศพระจักรพรรดิไปยังเมืองที่ห่างไกลจนสวรรคต เมื่อ ค.ศ.1339



ต่อมาปรากฏว่า โชกุนอะชิคางะ ทากาอุจิ ฝันร้ายว่า มีมังกรมารังควาน โหรบอกว่า มังกรนั้นคือดวงพระวิญญาณของพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะที่เคียดแค้นจองเวร ดังนั้น เมื่อ ค.ศ. 1339 โชกุนทากาอุจิจึงสั่งให้สร้างวัดเท็นริวจิขึ้น เพื่ออุทิศถวายเป็นพระราชกุศลให้แก่ดวงพระวิญญาณของพระจักรพรรดิโกะ-ไดโงะ โดยใช้เงินกำไรที่ได้จากการค้ากับราชวงศ์หยวนของจีน คนจึงเรียกฉายากองเรือสินค้าในครั้งนั้นว่า “กองเรือสินค้าเท็นริว”



วัดเท็นริวจิ สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ.1343 ด้านในวิหารโฮโจ จะมีภาพวาดมังกรขนาดใหญ่ วาดโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคนั้น ซึ่งมีตำนานเล่าว่า เคยมีคนเห็นว่ามังกรในภาพนี้มีชีวิตออกมาจากภาพจริง ๆ



แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า วัดเท็นริวจินี้ นับแต่สร้างเสร็จจนถึงปัจจุบัน ถูกไฟไหม้มาแล้วถึง 8 ครั้ง ครั้งสุดท้ายเมื่อปี ค.ศ.1864 ดังนั้น สิ่งก่อสร้างเกือบทุกอย่างในวัดนี้จึงเป็นของที่สร้างขึ้นใหม่ในสมัยเมอิจิ ของดั้งเดิมที่หลงเหลือมาตั้งแต่ ค.ศ.1343 มีอยู่เพียงสิ่งเดียวก็คือ สวนโซเง็นฉิ (Sogenchi) โดยมีฉากหลังเป็นภูเขาอะระชิยะมะ ที่สวยงามมาก วัดเท็นริวจิ ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลก เมื่อ ค.ศ.1994 (ข้อมูลจากแผ่นพับของทางวัดครับ)

บรรยากาศทั่วไปของสวนโซเง็นฉิ... (ค่าเข้าชม 500 เยน ครับ)







เมื่อเดินตามทางเดินในสวนไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นทางออกวัดทางด้านทิศเหนือ ก็จะพบกับป่าไผ่ (Bamboo Grove) ที่เราตั้งใจเดินทางมาหาครับ...



...แต่...เอิ่ม...คนเยอะมาก ถึงมากที่สุดครับ แทบไม่มีที่ว่างเลย...







...บอกตรง ๆ ว่า แอบผิดหวังกับสวนไผ่ Bamboo Groves นี้เล็กน้อย... เพราะคาดหวังเอาไว้มาก คิดว่าน่าจะมีอะไรที่มากกว่านี้ แต่บรรยากาศโดยรวมรู้สึกเฉย ๆ มาก แถมเป็นทางสั้น ๆ เดินได้แป๊บเดียวเอง แถมมีรถวิ่งเข้าไปได้ ทำให้เสียความรู้สึกมาก...



จากนั้นเราก็เดินออกมาอีกทางหนึ่ง (พูดง่าย ๆ คือ เดินตามชาวบ้านเขาไปเรื่อย ๆ) นึกว่า จะไปออกที่สถานี JR Saga เพื่อจะนั่งรถไฟ JR ไปลงที่สถานี Emmachi แล้วจะต่อรถบัสไปเที่ยวที่วัดคินคะคุจิต่อ ...แต่…

…ปรากฏว่า หลง ครับ...พี่น้อง !!! เส้นทางที่ว่า มันคือไปออกสถานี Torokko Arashiyama ต่างหาก ก็คือ ทางรถไฟสายโรแมนติก Sagano Romantic Train นั่นเอง... ถามพี่ลากรถริกชอว์แถวนั้น บอกว่าให้เดินตามทางไปเรื่อย ๆ ก็จะไปเจอสถานี JR ...เราก็นึกว่าจะอยู่ใกล้ ๆ แต่ที่ไหนได้... เดินมาราธอนกันเลยทีเดียว แถมเส้นทาง ก็เป็นแบบถนนซอยในหมู่บ้านชานเมือง ไร้ป้ายบอกทางใด ๆ ทั้งสิ้น



หลงทางแล้วยังมีกะใจจะถ่ายรูปโมมิจิอีกแน่ะ...


บางช่วงก็มีดาวกับเราเดินอยู่แค่สองคน บรรยากาศเงียบวังเวงมาก ได้แต่ภาวนาขอให้เจอทางออกไปถนนใหญ่เร็ว ๆ แม้จะยังหลง แต่ก็ยังดีที่ได้มีโอกาสพบเห็นทัศนียภาพอันสวยงาม เงียบสงบ ของหมู่บ้านชานเมือง…




ถ้าไม่หลง ไม่ได้เห็นภาพสวย ๆ แบบนี้นะเนี่ย...


ตอนเดินวนเวียน ๆ อยู่ เราก็ทำใจแล้วล่ะครับ...ว่า ไม่มีผู้ใดที่มาเที่ยวเองแล้วไม่หลง ถือว่า ได้ประสบการณ์มาเล่าสู่กันฟังก็แล้วกัน (ถ้าเที่ยวเองแล้วไม่หลงก็ดูจะขาดสีสันไปนะ... อิอิ)

...แต่ในที่สุดพวกเราก็สามารถแกะรอยไปเจอป้ายบอกทางไปสถานี JR ได้ (ทั้งป้ายอ่านออกอยู่คำเดียว คือ JR ...) จากนั้น เราก็เริ่มเกมไล่ตามหาป้ายบอกทางไปสถานี JR ไปเรื่อย ๆ อย่างกับเล่น Walk Rally ยังไงยังงั้น...




แล้วพวกเราก็เดินมาจนถึงศาลเจ้าโนโนมิยะ เห็นมีผู้หญิงแต่งชุดเป็นไมโกะมาเดินเที่ยวด้วย...




ในที่สุดเราก็หลุดออกมาสู่ถนนใหญ่จนได้ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววของสถานี JR เห็นป้ายจอดรถบัส เขียนว่า Nonomiya เอา Bus Navi Map มาดู ก็รู้ว่าเรากลับมาสู่บริเวณ อะระชิยะมะอีกแล้ว แต่ถ้าจะเดินไปสถานีรถไฟ JR Saga นี่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหน เพราะตอนนั้นเราหลงทิศแล้วล่ะ

ระหว่างที่เรากำลังงง ๆ อยู่ ก็มีเด็กผู้หญิงวัยรุ่นญี่ปุ่น 2 คน เดินมาดู ๆ ที่ป้ายจอดรถบัสพอดี ดูท่าทางเหมือนมาเที่ยวมากกว่าจะเป็นคนท้องถิ่นแถวนั้น เราเลยเข้าไปถามทางว่าจะไปสถานีรถไฟ JR Saga ยังไง เขาสองคนก็ไม่ค่อยแน่ใจ พูด ๆ คุย ๆ เถียง ๆ กันเอง แล้วก็บอกว่า ต้องเดินไปทางเหนือ แต่เราดูแผนที่เปรียบเทียบกับสถานที่จริงตอนนั้นแล้วเราก็ยังงง ๆ คือ ใจเราคิดว่า น่าจะเดินไปทางทิศใต้มากกว่า เขาสองคนคงคิดว่า พูดยังไงไอ้กะเหรี่ยงคนนี้ก็คงไม่เข้าใจละมั้ง... ก็เลยบอกว่า ให้เดินตามพวกเขามา...

แล้วเด็กผู้หญิงทั้งสองคนนั้นก็เดินนำเราไปจริง ๆ เดินเร็วมากด้วย ตอนแรกเราก็นึกว่าพวกเขาคงพาไปจนถึงถนนใหญ่ที่พอจะดูรู้ว่าจะต้องไปทางไหนต่อแล้วชี้ทางบอกเราให้เดินต่อไปเอง ...แต่เดิน ๆ ไปเรื่อย ๆ แล้วรู้สึกว่ามันไกลมาก ๆ สักประมาณกิโลเมตรกว่า ๆ ได้ จนมาถึงหน้าสถานี JR Saga พวกเขาก็ขอตัวกลับ ...แล้วก็เดินย้อนกลับไปทางเดิมน่ะแหละ... แบบว่าเรางงมาก ๆ เลย ว่า นี่เขาลงทุนเดินเป็นกิโล ๆ พาเราสองคนมาส่งจนถึงหน้าสถานีเลยหรือเนี่ย... เรากับดาวถึงกับอึ้ง ประทับใจในน้ำใจคนญี่ปุ่นสุด ๆ



พวกเราเดินทางกันด้วยรถไฟ จากสถานี JR Saga ไปลงสถานี Emmachi ออกจากสถานีแล้วก็รีบหาอะไรทานกันก่อน เพราะเราหลงทางไปหลายชั่วโมง เสียแรงงานไปมาก หิวข้าว มาเจอร้าน Yoshinoya ได้ข้าวราดหน้าหมูชามใหญ่ไปคนละชาม ก็พอมีเรี่ยวแรงเที่ยวต่อได้ พนักงานที่ร้านใจดี พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย รู้ว่าเราจะไปวัดคินคะคุจิต่อ ก็บอกทางให้ไปเราขึ้นรถบัส สาย 205 ที่มีป้ายที่อยู่เลยร้านไปอีกหน่อย ซึ่งเราเองก็กำลังไม่แน่ใจอยู่ว่าจะต้องไปขึ้นรถบัสที่ป้ายไหนพอดี.




 

Create Date : 27 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 27 พฤษภาคม 2553 7:33:53 น.
Counter : 3205 Pageviews.  

15. อะระชิยะมะ กินลมชมวิว

วันที่ 7 : วันที่ 18 พฤศจิกายน 2552 : เกียวโต

อะระชิยะมะ (Arashiyama)

เช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส แดดออกดี เหมาะแก่การเดินทางไปเที่ยวอะระชิยะมะ เราเดินทางด้วย รถรางสาย Keifuku Electric Tram ซึ่งมีสถานีต้นทางอยู่ที่ Shijo-Omiya เป็นตึกอยู่ที่สี่แยกตรงข้ามโรงแรม Toyoko Inn Shijo-Omiya ที่เราพักอยู่พอดี เดินแป๊บเดียวก็ถึง...



รถรางสายนี้ดูเข้ากันกับวิถีชีวิตของชาวบ้านชานเมืองมาก ๆ มีแค่โบกี้เดียวเท่านั้น เส้นทางลัดเลาะไปตามหลังบ้าน ตัวรถแม้จะค่อนข้างเก่าล้าสมัย แต่ก็ดูอบอุ่นดี ปลายทางอยู่ที่สถานี Arashiyama ซึ่งจะใกล้กับสะพานโทเง็ตสึเคียว (Toketsu-kyo) ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของเรา มากกว่า JR Saga Arashiyama Line และค่าตั๋วก็ถูกกว่า JR คือ แค่คนละ 200 เยนเท่านั้น



จากสถานี Arashiyama เดินออกมาก็จะเป็นถนนซันโจ ที่ตรงไปยังสะพานโทเง็ตสึเคียว สองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยร้านรวงขายของที่ระลึก และมีรถลากโบราณไว้คอยให้บริการนักท่องเที่ยว แต่เท่าที่รู้มา ค่าบริการแพงหูฉี่เลยทีเดียว...เราเลยอาศัยช่วงที่คุณพี่ลากรถหล่อล่ำเผลอ ขอยืมมาเป็นพร็อพถ่ายรูปหน่อยนะค้าบ คุณพี่... อิอิ



อะระชิยะมะ เป็นสถานที่ตากอากาศของพวกชนชั้นผู้ดีมีกะตังค์ มาตั้งแต่สมัยเฮอัน ด้วยบรรยากาศที่งดงามทั้งในเวลากลางวัน และเวลากลางคืน มีสะพานโทเง็ตสึเคียว หรือ สะพานชมจันทร์ (สมัยก่อนเป็นไม้ แต่สมัยนี้ทำด้วยคอนกรีตแล้วจ้า) ทอดยาวข้ามแม่น้ำโฮซึ เป็นฉากหน้า ด้านหลังคือทิวเขาอะระชิยะมะ ปัจจุบันนี้ อะระชิยะมะ ถือได้ว่าเป็น 1 ใน 10 แหล่งชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ไม่ควรพลาดของญี่ปุ่นเลยทีเดียว



ต้นไม้บนภูเขาอะระชิยะมะก็จะผลัดใบเป็นสีต่าง ๆ กัน ทั้งแดง เหลือง ส้ม เขียว เป็นหย่อม ๆ ดูไกล ๆ เหมือนผ้าห่มผืนใหญ่ที่ถูกปะด้วยผ้าสีต่าง ๆ กัน หรือ Patchwork เสียแต่ช่วงที่เราไปชมนั้น สงสัยว่ายังไม่ถึงช่วง Peak หรือเปล่า เพราะสีมันยังเขียวขุ่น ๆ ตุ่น ๆ มัว ๆ ไม่แดงจัดแบบที่เคยเห็นในเว็บการท่องเที่ยวญี่ปุ่น



ที่อะระชิยะมะ ในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤศจิกายน จะมีเทศกาลฉลองฤดูใบไม้ร่วง ที่ถือเป็นเทศกาลสำคัญของเกียวโต ซึ่งในตอนกลางคืน ก็จะมี Light Up หรือการจัดไฟชมใบไม้เปลี่ยนสีด้วย หรือถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ อะระชิยะมะ ก็ยังเป็นแหล่งชมดอกซากุระที่สวยมากอีกแห่งหนึ่งเช่นเดียวกัน




การท่องเที่ยวแถบอะระชิยะมะ มีให้เลือกหลายรูปแบบ มีทั้งทางรถไฟและทางเรือ ที่นิยมกันมาก คือ Sagano Romantic Train เป็นรถไฟสายโรแมนติค เริ่มจากสถานี Saga Torokko ไปถึงสถานี Kameoka Torokko ชมวิวหุบเขาที่ทอดเหนือแม่น้ำโฮซึ ในฤดูใบไม้ผลิจะนิยมกันมาก เพราะจะมีช่วงที่ผ่านอุโมงค์ดอกซากุระ ใช้เวลาเที่ยวละ 45 นาที ค่าโดยสารเที่ยวละ 600 เยน หยุดทุกวันพุธ... ส่วนการท่องเที่ยวทางเรือ จะมีบริการล่องเรือแจวแบบโบราณไปตามลำน้ำโฮซึ เที่ยวละ 3,900 เยน... แต่พวกเราทำเวลาในการเที่ยวไม่ค่อยดี เลยไม่ได้ใช้บริการท่องเที่ยวทั้งสองรูปแบบ เอาแค่เดิน ๆ กินลมชมวิวชิล ๆ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ









... จากนั้น พวกเราก็เดินต่อไปยังวัดเท็นริวจิ ซึ่งความจริงก็อยู่ไม่ไกลจากสะพานโทเง็ตสึเคียวเท่าไหร่ แต่เราเดินอ้อม เลยทำให้เสียแรง เสียเวลาไปพอสมควร ประมาณ 10 นาที เราจึงมาถึงวัดเท็นริวจิ ซึ่งจุดเด่นของวัดนี้ก็คือ ทางเดินในสวนไผ่ (Bamboo Grove) ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งมุมมหาชนที่ใคร ๆ มาแล้วก็ต้องมาถ่ายรูป ถ้าไม่ถ่ายรูปที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงอะระชิยะมะกันเลยทีเดียว.




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2553 12:53:05 น.
Counter : 1541 Pageviews.  

14. ชมใบไม้เปลี่ยนสีท่ามกลางสายฝนโปรย ที่วัดโทฟุคุจิ

วัดโทฟุคุจิ

พอลงรถบัสที่ป้าย Tofukuji-michi เราก็เอ๋อ ๆ พอสมควร เพราะมันไม่มีป้ายบอกทางอะไรเลย ดีที่ว่า มีคนญี่ปุ่นคู่หนึ่งลงป้ายเดียวกับเราด้วย และดูท่าทางน่าจะไปเที่ยววัดโทฟุคุจิ เช่นเดียวกับเรา พวกเขาเองก็ดูเหมือนกับเพิ่งมาเที่ยวครั้งแรกเหมือนกัน พอดีเห็นคนผู้ชายเดินไปคุยกับคนที่เดิน ๆ อยู่แถวนั้น พอเขาคุยเสร็จ เราก็เลยได้โอกาส เข้าไปถามเขาว่า จะไปวัดโทฟุคุจิ ไปยังไง เขาก็บอกว่า ให้ตามพวกเขามาเลย เพราะเขาก็จะไปวัดโทฟุคุจิเหมือนกัน ก็เลยโชคดีที่มีคนช่วยนำทางให้...

จากป้าย Tofukuji-michi ต้องเดินต่อไปอีกไกลน่าดู ประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตรได้ ต้องเดินผ่านถนนและทางรถไฟเลี้ยวเข้าไปในซอกเล็กซอยน้อยอีกต่างหาก ตอนนั้น ฝนก็ยังตกตลอด ทั้งเราทั้งดาว ตัวเปียกฝนเฉอะแฉะไปหมด อากาศที่เย็นอยู่แล้ว มาเจอฝนอีกก็ยิ่งหนาวหนักเข้าไปอีก แต่ในที่สุดพวกเราก็มาถึงวัดโทฟุคุจิจนได้


วัดโทฟุคุจิ เป็นวัดยอดนิยมอันดับต้น ๆ อีกแห่งหนึ่งในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีของเกียวโต โดยเฉพาะภาพจากมุมมหาชน คือ ภาพจากระเบียงไม้ ทางเข้าวัด ที่มองไปอีกฝากฝั่งหนึ่ง จะมองเห็นระเบียงไม้สึเต็นเคียว (Tsuten-kyo) ที่ทอดตัวอยู่เหนือหุบเหวและลำธารด้านล่างที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่พร้อมใจกันเปลี่ยนเป็นสีแดงสด ที่ถือเป็นจุดขายและมุมบังคับในการถ่ายรูปของวัดนี้เลยทีเดียว


จากระเบียงไม้มุมมหาชน เราต้องเดินต่อไป เพื่ออ้อมเข้าตัววัด และจะได้ไปยืนอยู่บนสะพานสึเต็นเคียวที่เราเห็นในรูป แล้วมองกลับมาอีกฝั่งหนึ่ง


วิหารฮอนโด


โชคดีที่เส้นทางเดินชมในวัด มีระเบียงทางเดินไม้ทอดยาวไปเรื่อย ช่วยเราเดินเที่ยวได้โดยไม่ต้องเปียกฝนมากนัก เป็นตัวช่วยทำให้เราไม่หมดอารมณ์เที่ยวไปเสียก่อน

บรรยากาศทั่วไปภายในวัดก็สวยมาก เต็มไปด้วยต้นโมมิจิสีแดง ตัดกับสีเขียวของพื้นหญ้ามอส และต้นไม้อื่น ๆ แถมอากาศเย็น ๆ ชื้น ๆ จากฝนตก ทำให้เกิดหมอกจาง ๆ ลอยอยู่ตรงหน้า ...ดาวถึงกับบอกว่าเป็นภาพที่เหมือนกับอยู่ในความฝันเลยทีเดียว















อันนี้ โรงเรียนอนุบาลแถววัดโทฟุคุจิครับ...ดาวเห็นว่า น่ารักดีเลยถ่ายรูปมาด้วย


เที่ยวตลาดนิชิกิ ตลาดเก่าเยาวราชของเกียวโต

เราเดินเที่ยวกันอยู่จนถึงประมาณ 15.30 น. จากนั้นก็เริ่มคิดว่าจะไปไหนต่อ เพราะฝนก็ยังไม่หยุดตก และตอนนี้ก็ยังสว่างอยู่ เลยคิดว่าน่าจะไปเที่ยวตลาดนิชิกิ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นครัวของเกียวโต และคนในห้องก้นครัว เคยโพสกระทู้ว่า ถ้าไปเกียวโตต้องอย่าลืมมาเที่ยวตลาดนิชิกิ และเราก็กะว่าจะได้ไปหาอาหารเย็นทานด้วย เราจึงเดินออกไปขึ้นรถบัสคราวนี้ เราเดินมาขึ้นรถที่ป้าย Tofukuji ซึ่งอยู่ใกล้วัดโทฟุคุจิมากกว่าป้าย Tofukuji-michi (ดูจากแผนที่ Bus Navi Map แล้ว แยกไม่ออกหรอกครับ ว่าป้ายไหนใกล้กว่ากัน) แล้วขึ้นรถบัส สาย 202 ไปลงป้าย Gion...

ที่ป้าย Gion เราเจอคนไทย เป็นผู้หญิงสองคน กำลังดู Bus Navi Map กันใหญ่ เรามอง ๆ อยู่ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าเป็นคนไทยรึปล่าว แต่คุยกับดาวว่าน่าจะเป็นคนไทย พอดีเค้าเงยหน้ามาจากแผนที่ ดาวกับเค้าพูดพร้อมกันเลยว่า “อ้าว...คนไทยนี่...” ปรากฏว่า พวกเขากำลังหาทางกลับไปสถานีเกียวโต เพื่อขึ้นรถไฟกลับโอซาก้า พวกเราก็เลยแนะนำให้เขาเดินย้อนกลับไปอีกหน่อยเพื่อไปหาป้าย Gion ซึ่งแม้จะชื่อป้ายเดียวกัน แต่มันก็อยู่กันคนละมุมถนน เพื่อรอรถบัส สาย 206 ที่จะวิ่งไปสถานีเกียวโต ส่วนพวกเรา ก็ต่อรถบัส สาย 207 ไปลงป้าย Shijo Karasuma ... เดินอ้อมไปหลังห้างสรรพสินค้าไดมารุ ก็จะเป็นตลาดนิชิกิ ตอนนั้นเวลาประมาณ 17.30 น. และฝนหยุดตกแล้ว ทำให้เดินเที่ยวได้สบายขึ้น แต่อากาศก็ยังหนาวเย็นอยู่เช่นเดิม

ตลาดนิชิกิ เท่าที่เราเห็น เหมือนเป็นตลาดสดที่ให้คนในพื้นที่ มาซื้อหาของสด ของแห้ง เครื่องปรุง หรือพวกอุปกรณ์ทำครัว นำกลับไปปรุงทานที่บ้านมากกว่าจะเป็นร้านอาหารที่ให้บริการทานที่ร้าน เวลาที่เดิน ๆ ดู ก็ให้อารมณ์ประมาณเดินตลาดเก่าเยาวราช ทำนองนั้น เพียงแต่ที่นี่สะอาดสะอ้าน และเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่า และราคาก็แพงกว่าเป็นธรรมดา...

ทีแรก เราตั้งใจว่าจะมาหาร้านเต้าหู้ลือชื่อ Konnamonjaya ตามที่หนังสือคู่มือท่องเที่ยวเกียวโตแนะนำไว้ว่า มาตลาดนิชิกิ ต้องมาทานให้ได้ แต่เราเดินอยู่ตั้งนานก็ไม่เจอ ที่เจอก็มีแต่แบบว่าซื้อกลับไปทานที่บ้านเท่านั้น ไม่มีที่ให้นั่งทานในร้าน นอกจากนี้ ร้านอาหารในตลาดนิชิกิ ก็มีไม่มาก และก็มักจะเป็นร้านซูชิ หรือซาชิมิ ที่ดาวไม่ทาน...

พอเดินจนสุดตลาด เห็นแล้วว่าไม่ค่อยมีอะไร ก็ต้องเดินย้อนกลับมาอีกที ตอนนั้นน่าจะราว 18.00 น. แล้ว ร้านรวงก็เริ่มทยอยปิดลง เราเลยตัดสินใจไปหาร้านอาหารทานกันข้างนอกตลาด ตั้งใจว่าจะทาน ราเม็ง ร้าน Ippudo ที่ขึ้นชื่อหนักหนาว่าอร่อยล้ำ เดิน ๆ มาเห็นร้านราเม็งร้านหนึ่ง ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า (ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ) แต่ตอนนั้นมันหิวแล้ว จะใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่สนใจแล้วล่ะ...

เมนูอาหารเย็นของดาว เป็นเต้าหู้ผัดเผ็ดแบบจีน ทานกับข้าวสวย ส่วนของเรา เป็นมิโซะราเม็ง รสชาติก็อร่อยพอใช้ได้ ส่วนเต้าหู้ผัดเผ็ดของดาว ตอนแรก ๆ ก็เห็นชมว่าอร่อยดี แต่ทาน ๆ ไปแล้วเริ่มบ่นว่าเผ็ด ร้อน เลยทานต่อไปไม่ไหว

เมื่อทานเสร็จแล้ว เราก็เดินทางกลับโรงแรมกัน วันนี้ได้พักผ่อนเร็วมาก ก็ดีเหมือนกัน เพราะวันพรุ่งนี้ต้องเดินทางไปอาราชิยามะกันแต่เช้า…




 

Create Date : 24 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 24 พฤษภาคม 2553 8:32:42 น.
Counter : 1880 Pageviews.  

13. ท่านหญิงโฮชิ ณ เกียวโต : Hoshi-hime @ Kyoto Costume Museum

วันที่ 6 : วันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 : เกียวโต

วันนี้ฝนตกหนักทั่วเกียวโตตั้งแต่เช้า และดูว่าไม่มีทีท่าจะหยุดตกแม้แต่น้อย ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนการเที่ยวในวันนี้ ซึ่งแต่เดิมตั้งใจจะไปศาลเจ้าฟูชิมิ อินาริ เราคิดว่าจะหลบฝนไปเที่ยวที่เมืองอื่นก่อน แต่ดาวบอกว่า ฝนตกหนักขนาดนี้ ก็น่าจะตกที่เมืองอื่น ๆ ด้วย หลบไปก็เท่านั้น และน่าจะเสียเวลาเดินทางไปซะเปล่า ๆ ดังนั้น เราจึงตัดสินใจไปเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวในเกียวโต ที่อยู่ในร่ม เช่นพวกพิพิธภัณฑ์แทน แล้วค่อยดูสถานการณ์ตอนบ่ายว่าฝนอาจจะหยุดตกก็ได้ เราจึงขอยืมร่มจากทางโรงแรม แล้วไปที่พิพิธภัณฑ์เครื่องแต่งกายเกียวโต (Kyoto Costume Museum) ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับวัดนิชิฮอนงันจิ เลยสถานีเกียวโตไปนิดเดียว การเดินทางสะดวก เพราะนั่งรถบัสสายอะไรก็ได้ที่ผ่านหน้าวัดนิชิฮอนงันจิ ลงป้าย Nishi-honganji แล้วเดินข้ามถนนมา ค่าเข้าชม คนละ 400 เยน

พิพิธภัณฑ์เครื่องแต่งกายเกียวโต (Kyoto Costume Museum)


พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เล็กมาก อยู่บนชั้น 5 ของ Izutsu Building เดิมจัดแสดงเครื่องแต่งกายของชาวญี่ปุ่นในยุคต่าง ๆ ตั้งแต่ยุคหินจนถึงยุคปัจจุบัน แต่ปัจจุบันย้ายหุ่นไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเกียวโต (Kyoto National Museum) ตอนนี้ เหลือแค่การจัดแสดงแค่ 2 ส่วน คือ ห้องใหญ่ เป็นห้องจัดแสดงแบบจำลอง ตำหนักโระคุโจ (Rokujo Pavillion) ซึ่งเป็นฉากที่จัดตามนิยายเรื่อง ตำนานรักเจ้าชายเก็นจิ (Genji Monogatari) ทำเหมือนกับเป็นบ้านตุ๊กตา ซึ่งนิยายเรื่อง เจ้าชายเก็นจิ ถือเป็นนิยายเรื่องแรกของโลก แต่งขึ้นโดยนางกำนัลในราชสำนักสมัยเฮอัน ชื่อ มุระซะกิ ชิคิบุ (Murasaki Shikibu) เมื่อปี ค.ศ. 1008 ซึ่งนิยายเรื่องนี้มีอายุครบ 1,000 ปี ไปเมื่อ ปี 2008 ที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งถ้าใครสนใจนิยายเรื่องนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์เจ้าชายเก็นจิอีกแห่งหนึ่งที่เมืองอุจิ ทางตอนใต้ของเกียวโต



เท่าที่ทราบ รู้สึกว่า การจัดตุ๊กตาจำลองนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง Theme ของการจัดแสดงไปตลอดให้เข้ากับฤดูกาลของญี่ปุ่นในช่วงนั้น ๆ ด้วย อย่างเช่น ช่วงที่เราไปนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง ก็จะจัดเป็น Theme ตำหนักโระคุโจในฤดูใบไม้ร่วง อะไรทำนองนี้...




ส่วนอีกห้องหนึ่งเป็นห้องจำลองภายในตำหนักโระคุโจ มีหุ่นใส่ชุดเครื่องแต่งกายแบบสมัยเฮอันทั้งชายและหญิง และมีเฟอร์นิเจอร์ขนาดเท่าของจริง และก็มีจุดน่าสนใจคือ มีให้ลองใส่ชุดกิโมโนของชาววังสมัยเฮอันให้ถ่ายรูปฟรี



หันมาดูอีกที...ดาว ก็แปลงร่างกลายเป็น ท่านหญิงโฮชิ ณ เกียวโต : โฮชิ ฮิเมะ โนะ เคียวโตะ ในบัดดล






ที่เรียกว่าท่านหญิงน่ะ เราไม่ได้เรียกเองนะ... เรื่องมีอยู่ว่า...วันที่พวกเราไปน่ะ มีเด็ก ๆ ชั้นประถม มาทัศนศึกษากันด้วย 5 คน... ซนอย่างกับลิง วิ่งไป วิ่งมา จากพิพิธภัณฑ์ที่น่าจะเงียบเหงา ก็เลยเจี๊ยวจ๊าวครึกครื้นน่าดู... พอพวกเด็ก ๆ เห็นดาวใส่ชุดกิโมโน ก็พูดกันเสียงดังเลย “ฮิเมะ ฮิเมะ!!!” (เจ้าหญิง,ท่านหญิง) เล่นเอาดาวเขินไปเลย...(ส่วนคำว่า โฮชิ แปลว่า ดาวจ้า)


...ดาวเลยขอถ่ายรูปกับพวกเด็ก ๆ ด้วย ...แต่ถึงแม้เด็ก ๆ พวกนี้จะซนแค่ไหน แต่ก็มีความรับผิดชอบดีมาก คือ เมื่อใส่ชุดกันเสร็จแล้ว ก็ช่วยกันพับชุดเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยจนผู้ใหญ่อย่างเราอายเลยทีเดียว

เรารอตั้งนานแน่ะ กว่าพวกเด็กพวกนี้จะกลับไป เราจะได้ลองใส่ชุดมั่ง...555




แต่แม้เราจะใช้เวลาไปที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้นานมากถึงครึ่งวันแล้วก็ตาม แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก เพียงแต่พอซา ๆ ลงบ้าง มื้อเที่ยงวันนี้ เราก็เลยต้องฝากท้องไว้ที่ Family Mart ที่อยู่ข้าง ๆ พิพิธภัณฑ์ …นั่งคิดอยู่นานว่าจะเอายังไงกับชีวิตวันนี้ดี ในเมื่อรอไปฝนก็ไม่หยุดแน่ ๆ และในโปรแกรมเราก็ไม่มีที่เที่ยวในร่มอีกแล้ว

ก็เลยตัดสินใจว่า งั้นก็เอาตามแผนเดิม คือ ตอนบ่ายนี้ ไปเที่ยวที่วัดโทฟุคุจิ เพื่อไปดูใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งเท่าที่เรารู้มา อย่างน้อย ๆ มันก็มีทางเดินในระเบียงซึ่งก็เป็นที่ร่มเหมือนกัน น่าจะช่วยเราได้ไม่มากก็น้อย ดีกว่าไปเที่ยวที่กลางแจ้งเลย... เรานั่งรถบัสกลับไปยังสถานีเกียวโต เพื่อนั่งรถบัสสาย 5 (สายใต้) ไปลงป้าย Tofukuji-michi.




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2553 8:02:31 น.
Counter : 1321 Pageviews.  

1  2  3  4  5  
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.