Veritatem dies aperit. เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเสมอ

Justice of the Peace
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Justice of the Peace's blog to your web]
Links
 

 
8. ไปไหว้พระที่วัดชิเท็นโนจิ

วัดชิเท็นโนจิ (Shitenno-ji)


แผนผังวัดชิเท็นโนจิ


ภาคบ่ายวันนี้ เราตัดสินใจไปกันที่ วัดชิเท็นโนจิ เพราะตั้งแต่มาเหยียบแผ่นดินญี่ปุ่น ยังไม่ได้ไหว้พระให้เป็นสิริมงคลกันเลย ที่สำคัญก็คือ วัดชิเท็นโนจิ ก็อยู่ใน Package ของ Osaka Unlimited Pass 2009 ด้วย (ไหน ๆ ก็ซื้อมาแล้ว) โดยเราขึ้นรถไฟใต้ดินสาย Tanimachi ไปลงสถานี Shitennoji-mae ซึ่งดูจากแผนที่แล้วก็น่าจะใกล้ที่สุด แต่ก็ไม่ใช่ว่าถึงหน้าประตูวัดเลยทีเดียวนะครับ ต้องเดินไปอีกไกลเอาเรื่องเลยทีเดียว...

พวกเรายังไม่ได้ทานข้าวกลางวันกันเลย หิวมาก ๆ กะว่าจะไปหาอะไรทานกันแถว ๆ หน้าวัด แต่ตอนนั้นก็ 13.30 น.แล้ว ร้านขายอาหารส่วนใหญ่จะปิดหมดแล้ว



แต่เราก็ยังมีโชคอยู่บ้าง ที่ระหว่างทางเดินไปวัด มีร้านราเม็งเปิดอยู่ร้านเดียว แม้จะไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ แต่ดาวก็ใช้วิธีถ่ายรูปภาพอาหารที่ติดหน้าร้าน เอาไปให้คนในร้านดู เขาก็เข้าใจดีนะ



ดาวสั่งราเม็ง เราสั่งชุดข้าวกับกุ้งชุบแป้งทอด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเราหิวมาก หรือว่าอาหารอร่อยกันแน่นะ เพราะเรารู้สึกว่ากินได้จนเกลี้ยงจาน และเท่าที่สังเกต ดาวเองก็ประทับใจรสชาติราเม็งของร้านนี้มากเลยทีเดียว ขนาดที่ว่า ไปทานราเม็งที่อื่น ก็ยังอดเอามาเปรียบเทียบกับราเม็งของร้านนี้ไม่ได้





วัดชิเท็นโนจิ (Shitenno-ji) เป็นวัดเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ตาม หนังสือนิฮนหงิ (Nihongi) ซึ่งเป็นบันทึกพงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุด เล่าว่า เจ้าชายโชโตกุไทชิ (Shotoku-Taichi) ผู้สำเร็จราชการในสมัยพระจักรพรรดินีซุอิโกะ (Empress Suiko) โปรดให้สร้างขึ้น เมื่อ ค.ศ.593 วัดนี้จึงมีอายุเก่าแก่ถึงกว่า 1,400 ปี มาแล้ว



ตามรูปศัพท์ คำว่า ชิเท็นโนะ แปลว่า กษัตริย์แห่งสวรรค์ 4 องค์ หมายถึง ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์พระพุทธเจ้า นั่นเอง ประกอบด้วย บิฉะมอนเท็น (ท้าวเวสสุวรรณ) , โซโชเท็น (ท้าววิรุฬหก), ชิโคะคุเท็น (ท้าวธตรฐ) และ โคโมะคุเท็น (ท้าววิรุฬปักษ์)







จุดเด่นของวัดนี้ คือ วิหารโทคอนโดะ (Tokondo) และเจดีย์ 5 ชั้น ศิลปกรรมสมัยอาสึกะ (Asuka Period) ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจีน สมัยราชวงศ์ถัง ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป และเจ้าแม่กวนอิม พุทธลักษณะงามมาก แล้วก็มีภาพพุทธประวัติซึ่งวาดตามแบบอินเดีย ซึ่งสวยงามแปลกตาไปจากที่เราเคยเห็นในวัดไทย แต่ดู ๆ แล้วเนื้อหาไม่แตกต่างกัน เลยเข้าใจได้ง่าย แต่น่าเสียดายที่ภายในวิหารห้ามถ่ายรูป


ยักษ์อะเงียว (Agyo) และ ยักษ์อุงเงียว (Ungyo) รักษาหน้าประตูนิโอมง



เจดีย์ห้าชั้น



วิหารโทคอนโดะ


แต่ถ้าใคร ไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น พุทธศาสนา และศิลปกรรมสวย ๆ งาม ๆ การมาวัดนี้ก็คงจะน่าเบื่อมิใช่น้อย เพราะที่นี่เป็นวัดจริง ๆ เงียบ ๆ ไม่มีของที่ระลึกขาย ไม่มีมุมถ่ายรูปเด่น ๆ หรือกิจกรรมที่ น่าตื่นตาตื่นใจอะไรเหมือนวัดอื่น ๆ




ศาลาโคโด


แต่ถึงแม้ว่า วัดนี้จะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษในแง่สถานที่ท่องเที่ยว แต่พวกเราก็หมดเวลาไปกับวัดนี้โดยไม่รู้ตัวอีกแล้ว


ได้ดื่มเป๊ปซี่ญี่ปุ่นครั้งแรกจากตู้หยอดเหรียญที่วัดชิเท็นโนจิ
ยืนยันเลยครับว่าเป๊ปซี่ญี่ปุ่นไม่อร่อย แต่โค้กญี่ปุ่นบนเครื่อง JL อร่อยกว่า...


เวลาตอนนั้นประมาณ 15.30 น.แล้ว ซึ่งโปรแกรมต่อไป คือ เราจะต้องไปลงเรือ Santa Maria ล่องอ่าวโอซาก้า รอบสุดท้ายเวลา 16.00 น. ซึ่งเราก็รู้ดีอยู่แล้วว่า คงจะต้องไปไม่ทันแน่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังแอบหวังนิด ๆ ว่าอาจจะไปทัน

ดังนั้น เราจึงลงรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Osakako เพื่อไปที่ Tempozan Habour Village แต่ระยะทางจากสถานีไปถึงที่ขึ้นเรือไกลไม่ใช่เล่น ๆ กว่าเราจะเดินไปถึงก็ 16.20 น. แล้ว พอเราไปถึงที่บู้ทรับจองตั๋ว ก็ปิดป้ายว่า Closed แล้วเราก็เห็นเรือ Santa Maria ค่อย ๆ แล่นผ่านหน้าเราออกอ่าวโอซาก้าไปเรียบร้อย... เฮ้อ...

เรากับดาวก็ได้แต่ปลอบใจให้ตัวเองกันว่า เท่าที่อ่าน ๆ มา ก็มีแต่คนบอกว่า เรือนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไร วิวก็ไม่สวย อากาศก็หนาว ไม่ได้ลงเรือก็ไม่เป็นไรหรอก ...แต่เราก็แอบเสียดายเล็ก ๆ นะ เพราะค่าตั๋วลงเรือ ถ้าไม่มี Pass ราคาคนละตั้ง 1,600 เยน เราเลยรู้สึกว่าใช้ Pass ยังไม่ค่อยคุ้มเท่าไรเลย แถมวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของการใช้ Pass แล้วด้วย



เมื่อไม่รู้จะทำอะไร พวกเราก็เลยเดินเล่น ๆ อยู่แถว ๆ ร้านค้าของ Aquarium Kaiyukan ซึ่งอยู่แถว ๆ นั้น ได้ของที่ระลึกพวกพวงกุญแจ ตุ๊กตาสัตว์ทะเลน่ารัก ๆ มาหลายตัว แล้วก็เดิน ๆ ถ่ายรูปบ้าง แต่ด้วยอารมณ์เซ็ง ๆ เลยไม่ค่อยได้ถ่ายรูปอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร แถมลืมถ่ายรูปด้านหน้า Kaiyukan มาด้วย แถมฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถ่ายรูปไม่สวยเลย

จากนั้นเราก็เดินจะกลับไปขึ้นรถไฟกลับ แวะทานข้าวที่ร้านข้างทาง ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภทดงบุริ หรือ ข้าวราดหน้า ได้ข้าวราดหน้าหมูทอดร้อน ๆ คนละหนึ่งชาม ก็พอช่วยให้พวกเรามีเรี่ยวแรงฝ่าลมหนาวไปเที่ยวต่อในคืนนี้ได้



จากนั้น พวกเราก็เดินทางต่อ เพื่อไปเที่ยวเดินดูแสงสีโอซาก้ายามค่ำคืนกันที่ย่านชินไซบาชิ และนัมบะ เราจึงวางโปรแกรมว่าจะนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานี Shinsaibashi แล้วจะเดินไปเรื่อย ๆ จนทะลุ Dotonbori แล้วก็ Namba แล้วค่อยขึ้นรถไฟใต้ดินที่ Namba กลับโรงแรมที่สถานี Nakutsu ทีเดียวเลย.



Create Date : 27 เมษายน 2553
Last Update : 27 เมษายน 2553 8:27:22 น. 3 comments
Counter : 1182 Pageviews.

 
ขอตามมาเที่ยววัดด้วยคนค่ะ อาหารน่าทานจัง


โดย: mamminnie วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:10:06:31 น.  

 
หวัดดีตอนเช้าค่า อิอิ^^


โดย: หาแฟนตัวเป็นเกลียว วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:11:41:00 น.  

 
สวัสดีครับ คุณ mamminnie, คุณหาแฟนตัวเป็นเกลียว ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ


โดย: Justice of the Peace วันที่: 27 เมษายน 2553 เวลา:13:02:55 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.