Veritatem dies aperit. เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงเสมอ

Justice of the Peace
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Justice of the Peace's blog to your web]
Links
 

 
19. Farewell Kyoto... ที่วัดคิโยมิสึ

วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizu-dera)



จากสถานี Kyoto จะมีรถบัส 2 สาย ที่ผ่านวัดคิโยมิสึ คือ สาย 100 ซึ่งเป็น Raku Bus (รถบัสเพื่อการท่องเที่ยว ที่จะวิ่งผ่านสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสำคัญ ๆ ในเมืองเกียวโต ซึ่งจะมีอยู่ 3 สาย คือ 100,101 และ 102) ซึ่งดูคิวแล้ว แถวยาวมหาศาล เพราะส่วนใหญ่ นักท่องเที่ยวมักจะได้รับคำแนะนำให้ขึ้น Raku Bus กัน กับอีกสาย คือ 206 ซึ่งเป็น City Bus ธรรมดา ซึ่งดูคิวแล้วก็เห็นมีแต่คนญี่ปุ่นที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยว เราก็เห็นอยู่แล้วว่าแถวของสาย 206 มันสั้นกว่าเห็น ๆ เราก็เลยเลือกขึ้นสาย 206 ดีกว่า เพราะยังไง ๆ ก็ไปถึงเหมือนกัน...



เราสามารถลงป้ายรถบัสได้ 2 ป้าย คือ Gojozaka และ Kiyomizu-michi ซึ่งถ้าลงป้าย Gojozaka ทางขึ้นวัดก็จะไม่ค่อยมีร้านรวงอะไรให้ดูมากนัก ทำให้ขึ้นได้ไว และจะไปโผล่ตรงบันไดข้าง ๆ ประตูใหญ่ของวัด แต่ถ้าขึ้นจากทางป้าย Kiyomizu-michi จะต้องฝ่าด่านอรหันต์ 108 นั่นคือ บรรดาร้านค้า ทั้งร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก ร้านขนม นับร้อยร้าน ที่ตั้งยั่วกิเลสนักท่องเที่ยว หากอดใจไม่ไหว เราก็อาจเสียเวลาไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งก็โชคดีที่เราขึ้นมาจากทาง Gojozaka และลงทาง Kiyomizu-michi เลยทำให้ไม่เสียเวลาขาขึ้น และได้แวะช้อปปิ้งตอนขากลับด้วยน่ะ

ถ้าพร้อมแล้ว...เข้าไปกันเลยครับ !!!


ประตูนิโอมง (Niomon)


วัดคิโยมิสึเดระ (Kiyomizudera) สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยนาระ ก่อนที่เมืองเกียวโตจะเป็นเมืองหลวงเสียอีก ตั้งอยู่บนยอดเขาฮิงาชิยามะ (Higashiyama) จุดเด่นของวัด ที่ทำให้มีชื่อเสียงก็คือ วิหารฮนโด (Hondo) ที่มีระเบียงไม้ขนาดใหญ่ ที่สร้างขึ้นด้วยเสาไม้ต้นใหญ่ ๆ ทั้งต้น ทำเป็นสลักเข้าลิ่มแบบโบราณ สร้างยื่นลงไปในหุบเหวเบื้องล่าง


เจดีย์ซันจุโนะโตะ (Sanjunoto) และวิหารเคียวโด (Kyodo)


เมื่อจะเข้ามาด้านใน (ค่าเข้าชม 300 เยน) ก็จะเป็นวิหารฮนโด กับระเบียงใหญ่อันเป็นจุดเด่นของวัดทันที มองตรงไปด้านซ้ายมือก็จะเห็นระเบียงเล็กของ วิหารอะมิดะโด (Amidado) ซึ่งจะเป็นมุมที่มองกลับมายังระเบียงใหญ่ได้สวยที่สุด และเป็นมุมที่ทุกคนต้องไปเข้าคิวถ่ายรูปกัน ...


วิหารอะมิดะโดและระเบียงเล็ก มองจากระเบียงใหญ่ของวิหารฮนโด


ด้านหน้า มองตรงไป ก็จะเป็นภูเขาและหมู่แมกไม้สูงใหญ่ …และถ้ามองไปทานด้านขวาของระเบียงใหญ่ ก็จะมองเห็นวิวของเมืองเกียวโตสุดลูกหูลูกตา และเห็นหอคอยเกียวโตของสถานี Kyoto อยู่ลิบ ๆ ...แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นตอนบ่าย แดดส่องเข้าหน้าเต็ม ๆ เพราะฉะนั้น ถ่ายรูปมาก็จะมืด ไม่สวย เพราะย้อนแสง


หุบเขาฮิงาชิยามะ มองจากระเบียงใหญ่ของวิหารฮนโด


...หรือถ้ามองลงมาข้างล่าง ก็จะเป็นจุดดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์สามสาย ซึ่งก็เป็นจุดขายของวัดนี้เช่นกัน...


จุดดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์


เมื่อเดินออกมาจากระเบียงใหญ่ ก็จะมีทางเล็ก ๆ มุ่งนำไปสู่บันไดทางขึ้นและเสาโทริอิหิน อันเป็นเครื่องหมายแสดงว่า เป็นศาลเจ้าชินโต ซึ่งที่นี่ มีชื่อว่า ศาลเจ้าจิชู จินจา (Jishu Jinja) ซึ่งเทพที่เป็นที่สักการะของที่นี่ คือ เทพเจ้าโอคุนินุชิ โนะ มิโคโตะ (Okuninushi-no-Mikoto) ซึ่งถือกันว่าเป็นเทพเจ้าที่ “มีโชคดี” ในเรื่องความรัก ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็เลยขึ้นชื่อว่าเป็นศาลเจ้าแห่งความรักไปเลย



ตำนานของเทพเจ้าโอคุนินุชิ อยู่ใน “โคจิกิ” (Kojiki) ซึ่งเป็นเทพปกรณัมของญี่ปุ่น เล่าว่า เทพเจ้าโอคุนินุชิ เป็นเจ้าชายสุดหล่อคนสุดท้อง ซึ่งมีแต่พี่ชายรวมถึง 80 องค์ แต่พวกพี่ ๆ ซึ่งมีนิสัยนิยมความรุนแรงและการต่อสู้ มักชอบแกล้งเจ้าชายโอคุนินุชิ ซึ่งมีนิสัยอ่อนแอ รักสงบ รักสัตว์ และไม่ชอบการต่อสู้เลย

วันหนึ่ง มีข่าวเล่าว่าเจ้าหญิงเมืองที่ข้าง ๆ ซึ่งว่ากันว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ประกาศรับสมัครหาคู่ บรรดาพี่ ๆ ของเจ้าชาย ต่างก็เดินทางไปเพื่อสมัครเป็นเจ้าบ่าว ระหว่างทาง พวกพี่ ๆ ได้แกล้งกระต่ายน้อยตัวหนึ่งทำให้ขนหลุดร่วงหมดทั้งตัว เจ้าชายโอคุนินุชิ ซึ่งออกเดินทางมาทีหลัง มาเจอกระต่ายน้อยตัวนี้เข้า เลยช่วยรักษาพยาบาลให้จนหาย แล้วเจ้ากระต่ายน้อยนั้นก็กลับกลายร่างเป็นเทพเจ้า แล้วให้พรว่า เจ้าหญิงนั้นจะไม่สนใจใครเลย และจะต้องหลงรักเจ้าชายโอคุนินุชิเพียงคนเดียวเท่านั้น ปรากฏว่าพรเป็นจริง ทำให้บรรดาพี่ ๆ ไม่พอใจ รวมหัวกันจะฆ่าเจ้าชายโอคุนินุชิเสีย

เจ้าชายเลยต้องหนีไปพึ่ง เทพเจ้าสุซาโนโอะ ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ แต่ปรากฏว่าเจ้าชายดันไปหลงรักพระธิดาของเทพเจ้าสุซาโนโอะเข้า (เอ๊ะ... เจ้าหญิงก็ต้องมีศักดิ์เป็นอาของเจ้าชายน่ะสิ...) งานนี้เลยต้องมีการพิสูจน์รักแท้เกิดขึ้น เจ้าชายโอคุนินุชิต้องผ่านบททดสอบมหาโหดของว่าที่พ่อตาหลายอย่างจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ในที่สุดเทพเจ้าสุซาโนโอะก็เห็นใจยอมรับเจ้าชายโอคุนินุชิเป็นลูกเขย แล้วช่วยเหลือจนเจ้าชายปราบพวกพี่ ๆ ได้ทั้งหมด และได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของเมืองอิซึโมะ เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วก็ได้รับการยกย่องให้กลายเป็นเทพเจ้าในที่สุด



ดังนั้น ศาลเจ้าแห่งนี้ จึงขึ้นชื่อในเรื่องการขอพรเพื่อให้ความรักสมหวัง ขอให้คนที่เราแอบรักแอบชอบ หันมาสนใจหลงรักเรามั่ง อะไรประมาณนั้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จะคลาคล่ำไปด้วยหนุ่ม ๆ สาว ๆ ที่มาขอพรกันเต็มไปหมด (แหม...เข้าใจเอาตำนานโบราณมาทำการตลาดนะเนี่ย )


หินเสี่ยงทายทำนายรัก


นอกจากนี้ ก็ยังมี “หินเสี่ยงทายทำนายรัก” วิธีทำนายก็คือ ให้หลับตาเดินจากหินก้อนหนึ่ง ไปหาหินอีกก้อนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตร ถ้าเดินได้ตรงแหนว ไปเจอหินอีกก้อนหนึ่งโดยไม่นอกลู่นอกทางเลย ก็แสดงว่าจะเจอเนื้อคู่ในเร็ววันนี้ แต่ถ้าใช้เวลานานกว่าจะเจอ ก็แปลว่าเนื้อคู่จะมาถึงช้าไปอีก ถ้าต้องมีคนคอยบอกทาง แปลว่า จะมีคนคอยช่วยเหลือให้เจอเนื้อคู่จ้า...


ต้นไม้แห่งความแค้น !!!


ส่วนใครที่ไม่ In Love แต่ว่า มีแต่ความแค้น !!! หลังศาลเจ้าแห่งความรัก ก็มีต้นไม้แห่งความแค้น โดยจะมีเทพเจ้า ที่ชื่อ "โอคาเงะ เมียว จิน" (Okage Myojin) เป็นผู้ดูแล ใครที่เกลียดขี้หน้าแฟนเจ้าชู้ หรือมีผู้หญิงคนไหนมันบังอาจแย่งแฟนเราไป ถ้าเราอยากให้ศัตรูหัวใจเราตายไว ๆ ก็มาแช่งได้ที่นี่ พิธีแช่งนี้ เรียกว่า อุชิโนะโทะคิ-มะอิริ (Ushinotoki-mairi) หรือ “การมาเยือนตอนตีสอง” แต่รู้สึกว่าจะให้บริการแต่เฉพาะผู้หญิงนะ วิธีการก็ไม่ยาก... ตอนเวลาตีสอง ให้แต่งตัวด้วยชุดขาว เอาเทียนสามแท่งพันด้วยผ้ารอบศีรษะ ทำหุ่นฟางติดชื่อคนที่เราเกลียด แล้วเอามาตอกด้วยตะปูที่ต้นสนตายซากต้นนี้ ...ตอกไป ก็ต้องสาปแช่งคนที่เราเกลียดไปด้วย...แกตายซะเถอะ ๆ... เขาบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้ว คนที่เราแช่งจะตายภายในสามวันเจ็ดวัน

มาชมวัดคิโยมิสึ กันต่อดีกว่าครับ...

พอเดินออกจากศาลเจ้าจิชู ก็จะพบวิหารอะมิดะโดและระเบียงเล็ก ซึ่งจะเป็นมุมที่มองเห็นวิวของระเบียงใหญ่ของวิหารฮนโดท่ามกลางแมกไม้ ตั้งตระหง่านอยู่เหนือหุบเหว ซึ่งเป็นมุมยอดฮิต ติดอันดับมุมมหาชน มุมบังคับ ที่ไม่ว่าใครก็ต้องมาถ่ายรูปที่มุมนี้ ทำให้คนเยอะมาก ... ซึ่งจากที่เราเคยดูภาพโฆษณาในเว็บการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ ต้นไม้ที่อยู่เบื้องล่างรอบ ๆ นั้น ก็จะเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มทั้งหมด ซึ่งจะสวยมาก



แต่น่าเสียดายที่ตอนที่เราไป มันยังไม่เปลี่ยนสีซักเท่าไร ยังเขียว ๆ ตุ่น ๆ อยู่ ถ้าเรามาเที่ยวช้ากว่านี้อีกซักสัปดาห์หนึ่งอาจจะกำลังแดงสวยพอดี…

แต่ขอแนะนำว่า ถ้าจะมาถ่ายรูปมุมบังคับนี้ให้สวย ควรมาตอนเช้า เพราะจะได้ไม่ย้อนแสง แต่วันนี้เราไปตอนบ่าย ถ่ายมุมนี้แล้วย้อนแสงมาก แก้ยังไงก็ไม่หาย



แต่อย่างว่านะ มุมนี้เป็นมุมมหาชน คนเยอะเป็นธรรมดา... ถ้าไม่อยากเบียดเสียด หรือได้รูปชาวบ้านที่เราไม่รู้จักติดมากับกล้องเรา แนะนำว่า ให้เดินออกมาจากระเบียงเล็ก แล้วเดินต่อไปอีกหน่อย จะเป็นทางเดินที่สามารถเห็นวิวระเบียงใหญ่และเจดีย์ได้สวยกว่ามุมที่ระเบียงเล็กครับ





จากนั้น พอเราเดินลงมาตามทางลาดเรื่อย ๆ ก็จะนำไปสู่จุดขายของวัดคิโยมิสึอีกแห่งหนึ่ง ที่ทำให้คนแห่กันมาที่วัดนี้มากมาย นั่นก็คือ น้ำศักดิ์สิทธิ์สามสาย จากน้ำพุโอโตวะ (Otowa) ที่เชื่อว่า ถ้าได้ดื่มแล้วจะโชคดี สายที่หนึ่ง โชคดีในเรื่องความรัก สายที่สองโชคดีในเรื่องการเงิน สายที่สาม โชคดีในเรื่องการเรียน หรือการทำงาน แต่เราก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเขาเริ่มนับว่า สายทางซ้ายหรือทางขวาเป็นสายที่หนึ่ง... เท่าที่รู้มา คือ คนญี่ปุ่นบอกว่า ให้เลือกดื่มสายใดสายหนึ่งก็พอแล้ว



หลังจากที่เราใช้เวลาเดินเที่ยวในวัดคิโยมิสึจนพอสมควรแก่เวลาแล้ว เราจึงต้องจำจากลาสถานที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายในเกียวโตนี้ไปด้วยความรู้สึกใจหาย ไม่อยากจากเกียวโตไปเลย แต่เรายังมีโปรแกรมเที่ยวที่อื่นอีก ดังนั้น เราจึงต้องร่ำลาเกียวโต เมืองสุดที่รักแห่งนี้ไป...



ขากลับ เราเลือกทางลงที่จะไปขึ้นรถบัสที่ป้าย Kiyomizu-michi เพื่อจะได้แวะร้านค้าสองข้างทาง เพื่อเลือกหาซื้อของฝากกลับเมืองไทยด้วย



ขนมพื้นเมืองของเกียวโต ที่เราไม่รู้ว่าคนญี่ปุ่นเรียกว่าอย่างไร แต่เรากับดาว เรียกมันว่า “ขนมเกียวโต” เพราะไม่มีขายที่เมืองอื่น (ยกเว้นที่สนามบินคันไซ...และราคาถูกกว่าด้วย เพราะไม่ต้องเสียภาษี) ทำด้วยแป้งเหนียว ๆ กลิ่นหอมเอียน ๆ พับเป็นรูปสามเหลี่ยม ข้างในห่อไส้ถั่วแดงบด หรือธัญพืชอย่างอื่น เช่น เกาลัด งาดำ แต่ทำสีสัน และกลิ่นแตกต่างกันไป เช่น กลิ่นชาเขียว กลิ่นงาดำ กลิ่นสตรอเบอร์รี่ ฯลฯ มีให้เลือกจนไม่หวาดไม่ไหว กล่องใหญ่ 20 ชิ้น 1,050 เยน กล่องเล็ก 10 ชิ้น 530 เยน...มีตัวอย่างให้ลองชิมด้วย เราเห็นว่าใคร ๆ ก็ซื้อขนมนี้ทั้งนั้น...( ให้อารมณ์เหมือนเวลาไปเที่ยวชะอำหัวหิน แล้วทุกคนต้องแวะซื้อขนมหม้อแกงร้านแม่กิมไล้ อย่างไงอย่างงั้นเลย...)

นอกจากนั้น ก็มีร้านขายของที่ระลึก,พัดญี่ปุ่น, ชา, ผักดอง, เครื่องเซรามิค, ตุ๊กตาญี่ปุ่น, คิตตี้, ของเล่น ฯลฯ ถ้าจะเดินดูให้ทั่ว ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องรีบ เราว่าน่าจะต้องให้เวลากับถนนสายนี้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงทีเดียวน่ะ



จากป้าย Kizomizu-michi เราเดินทางด้วยรถบัสสาย 206 เพื่อกลับไปที่โรงแรม Toyoko Inn Shijo-Omiya เพื่อเอากระเป๋าเดินทาง แต่เนื่องจากตอนนั้น เราผิดเวลาไปมากแล้ว เพราะเราคิดว่า น่าจะเดินทางออกจากเกียวโตไปถึงโอซาก้าซักประมาณ 18.00 น. แต่ว่าเรากลับมาถึงโรงแรม ก็ปาเข้าไป 17.00 น. แล้ว ไม่ทันเวลาที่ Check Inโรงแรม Toyoko Inn Osaka-Namba ที่เรานัดไว้ตอน 18.30 น. แน่ ๆ กลัวว่าถ้าเราไปสายโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เขาอาจจะเอาห้องให้คนอื่น แล้วห้องอาจจะเต็มก็ได้ เราจึงขอให้ Front ของโรงแรม Toyoko Inn Shijo-Omiya ช่วยโทรศัพท์ไปบอกที่โรงแรม Toyoko Inn Osaka-Namba ที่เราจะไปพักคืนนี้ด้วยว่า ขอให้จองห้องรอเราด้วย เนื่องจากอาจจะไปถึงช้ากว่าเวลาที่เคยบอกไว้ ซึ่ง Front ของโรงแรม Toyoko Inn Shijo-Omiya ก็ช่วยบริการให้เราได้ดีมาก ทำให้เราคลายกังวลใจเรื่อง Check In โรงแรมไปได้ ว่ายังไงคืนนี้ก็มีที่ซุกหัวนอนแน่ ๆ.


Create Date : 02 มิถุนายน 2553
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 8:28:40 น. 3 comments
Counter : 1786 Pageviews.

 


โดย: chokun123 วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:9:14:08 น.  

 
อยากมีเงินไปญี่ปุ่นทุกปี


โดย: VET53 วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:9:27:52 น.  

 
ชอบเรื่องตำนานเทพเจ้าโอคุนินุชิจัง

แต่ต้นไม้แห่งความแค้นนี่น่ากัวนะคะ



โดย: Somyachi วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:12:36:54 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.