Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
25 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
แกะรอยนักคิดที่ "อนุสรณ์สถาน ปรีดี พนมยงค์"

โดย สุภัทธา สุขชู


*การจัดแสดงชีวประวัติบุคคลสำคัญ ไม่เพียงบอกเล่าถึงชีวิตคนคนหนึ่ง แต่ยังเป็นฉากหนึ่งของประวัติศาสตร์ยังอาจแฝงบางแง่มุมของอุดมการณ์ที่ควร ค่าแก่การเอาเยี่ยงอย่าง "อนุสรณ์สถานปรีดี พนมยงค์" โฉมใหม่ ไม่เพียงสะท้อนวิวัฒนาการทางการเมืองของไทย แต่ยังสื่อถึงความคิดของหนึ่งบุคคลสำคัญของโลก

หลังจากก้าวขึ้นไปบนชั้นสองของตึกโดม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ รูปปั้นปรีดี พนมยงค์ ในมือถือหนังสือเล่มใหญ่ท่าทางน่าเกรงขามตั้งอยู่ด้านหน้า ฐานรูปปั้นมีคำจารึกว่า "นักอุดมการณ์และนักอภิวัฒน์ประชาธิปไตย"

     เบื้องหลังรูปปั้นประกอบด้วยคำ 5 คำ ได้แก่ เอกราช อธิปไตย ความไพบูลย์ประชาธิปไตย สันติภาพ และความเป็นกลาง แสดงไว้เป็น 3 ภาษา ไทย อังกฤษ และฝรั่งเศส คำเหล่านี้ประดับอยู่บนแท่นคอนกรีตที่ดูเหมือนพร้อมที่จะสร้างขึ้นไปเป็นเสา ใหญ่ แต่ทว่ามีเพียงฐานราก แต่หาได้ถูกฉาบก่อให้เสร็จเป็นเสาไม่

นี่เป็นพื้นที่ส่วนแรกของการจัดแสดงในห้องอนุสรณ์-สถานปรีดีฯ ที่มีการปรับปรุงใหม่

     สำหรับใครที่ไม่ค่อยได้ติดตามผลงานของอาจารย์ปรีดีอาจจะไม่เข้าใจว่าความหมายของ 5 คำนี้นัก แต่หลังจาก เดินชมนิทรรศการจนรอบ ทีมคณะทำงานปรับปรุงอนุสรณ์-สถานแห่งนี้ฯ เชื่อมั่นว่า ผู้ชมจะเข้าใจที่มาที่ไปและเนื้อหาของคำ 5 คำนี้ เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย

แต่นั่นถือเป็นเพียงผลพลอยได้จากวัตถุประสงค์หลักในการปรับปรุงครั้งนี้ ดังที่คณะทำงานทางวิชาการเพื่อปรับปรุงห้องอนุสรณ์สถานปรีดีฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าไว้ในหนังสือจุลสารดังนี้

"คณะทำงานฯ เล็งเห็นว่า สิ่งที่สังคมไทยควรจดจำ ยกย่อง และระลึกถึงมากที่สุดเกี่ยวกับปรีดี พนมยงค์ มิใช่เรื่องราวชีวประวัติว่า คนคนนี้ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ได้รับรางวัลอะไรมาบ้าง ซึ่งแม้ว่าจะสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องราวเปลือกนอกเท่านั้น แต่แก่นแท้สำคัญที่ควรทำความเข้าใจมากกว่าก็คือ ความคิดและอุดมการณ์ที่อยู่เบื้องหลังและผลักดันการกระทำต่างๆ ของปรีดี พนมยงค์"

     มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีแนวคิดที่จะปรับปรุงห้องอนุสรณ์สถานแห่งนี้มา ตั้งแต่กลางปี 2549 เนื่องจากห้องเดิมใช้งานมากว่า 15 ปี จึงได้ว่าจ้างบริษัท รักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ จำกัด เป็นผู้ออกแบบนิทรรศการ ภายใต้งบประมาณ 3 ล้านบาท โดยมีทีมงานวิชาการฯ ของธรรมศาสตร์สนับสนุนด้านข้อมูลและสื่อจัดแสดง

"เราใช้เวลาศึกษาเนื้อหา ซักถามและถกเถียงประเด็นร่วมกับอาจารย์ของมหาวิทยาลัยอยู่นานร่วม 6-7 เดือน โดยทางธรรมศาสตร์จะช่วยส่งข้อมูลมาให้ ส่วนทางรักลูกฯ ก็ทำหน้าที่กรอง message และเป็น editor ส่วนดีไซเนอร์ที่ออกแบบนิทรรศการก็ต้องเอาหนังสือไปอ่านเลยคนละหลายๆ เล่ม ใช้เวลาอ่านอยู่ 3 เดือน เพื่อให้ "อิน" ไม่เช่นนั้นจะคิดออกมาไม่ได้" ศิริพร ผลชีวิน ผู้อำนวยการโครงการ แห่งบริษัทรักลูก เอ็ดดูเท็กซ์ กล่าว

     ถัดจากโถงโล่งสีนวลตาเป็นส่วนที่สองที่มีหัวข้อ "ชีวิตช่วงต้นและการหล่อหลอมทางสังคม"

ภายใต้โทนสีแดงดำบนพื้นมียกระดับชั้นไม่สม่ำเสมอ ผนังด้านซ้ายแสดงข้อมูลของปรีดีนับตั้งแต่ปี 2440 ก่อนปีเกิดถึง 3 ปี ไล่จนถึงปี 2475 ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ข้อความสั้นๆ กับภาพความกดดันทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ ถูกนำเสนอเป็นแผนภูมิเหตุการณ์และปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในเมืองไทยและต่าง ประเทศ ทางขวามือมีแท่งประติมากรรมทางชนชั้นจัดแสดงบนฐานยกสูง ด้านบนสุดเป็นภาพพระราชพิธีและวิถีของชนชั้นเจ้า กล่องตรงกลางเป็นชนชั้นกลางและข้าราชการ แถบสีขาวสื่อถึงช่องว่างระหว่างชนชั้นที่ชัดเจน และกล่องชั้นล่างสุดเป็นวิถีชีวิตของชนชั้นไพร่ หรือก็คือชาวนาและกรรมกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของไทย

"โซนนี้ เราแสดงให้เห็นว่ามีเหตุการณ์อะไรที่เป็นการส่งผ่านความคิดหรือเป็นจุด เปลี่ยนทางความคิดของอาจารย์ ทั้งความเป็นลูกชาวนาที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ หรือการไปเรียนกฎหมายที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศต้นแบบแห่งประชาธิปไตย และบริบททางสังคมไทยที่มีการแบ่งชนชั้น ฯลฯ เราเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้ก็ก่อตัวอยู่ในความคิดของอาจารย์ อันนำมาสู่แนวคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อความเท่าเทียมกันทุกชนชั้น"ศิริ พรอธิบายความหมายแฝงที่อยู่ในเนื้อหาและดีไซน์

ช่องแสงที่พาความสว่างและปลอดโปร่งสาดเข้ามาในห้อง ไม่เพียงเบรกความอึดอัดคับข้องจากโซนที่สองยังเป็นเสมือนประตูทะลุผ่านจาก ยุคศักดินามาสู่ยุคแห่งการก่อรากฐานประชาธิปไตย

     บนพื้นที่จัดแสดงทั้งหมดราว 400 ตารางเมตร โซน "สามัญชนผู้ยิ่งใหญ่" มีขนาดใหญ่และสว่างไสวกว่าส่วนอื่น และดูเหมือนทุกก้าวในโซนนี้จะมีเนื้อหาแฝงอยู่ทุกพื้นที่อย่างหนาแน่น

     รูปหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม 2 รูปถูกขยายใหญ่ เบื้องหลังของภาพแรกมีเนื้อหาเล่าถึงการเตรียมการและเจตนารมณ์ของคณะราษฎร โดยวิธีอ่านข้อความเหล่านี้ ผู้ชมต้องก้มมองผ่านช่องว่างกลางภาพ ให้อารมณ์การหลบซ่อนและความเสี่ยงต่ออันตรายที่คณะราษฎรต้องแบกรับประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ที่ปรีดีเป็นผู้ร่างถูกนำมาจัดแสดงไว้ด้วย เพื่อยืนยันคุณธรรมในใจของหัวหน้าคณะราษฎร ว่ากันว่า นอกจากดูผ่านอินเทอร์เน็ตแล้ว จะหาดูจากที่อื่นไม่ง่ายเลย แม้ว่าประกาศฉบับนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ ของไทยก็ตาม

     หมุดประชาธิปไตยระบุว่า "คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ ณ ที่นี้" ถูกนำมาฝังไว้บนพื้นซึ่งถูกยกสูงเสมอกันทั่วพื้นที่ อีกด้านเป็นเสา 6 ต้นที่มีคำว่า เอกราช-ปลอดภัย-เศรษฐกิจ-เสมอภาค-เสรีภาพ-การศึกษา หรือ "หลัก 6 ประการ"ตามประกาศคณะราษฎร จารึกไว้

รูปพระที่นั่งอนันตฯ รูปที่สอง แม้จะดูไม่ชัดแต่หากเพ่งดูจะเห็นว่า มีรถถังอยู่ด้านหน้า แสดงถึงวันที่เปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ บนภาพมีทั้งข่าวจากหนังสือพิมพ์แขวนไว้ เนื้อหาบอกถึงความตื่นตัวและตื่นเต้นต่อการเมืองสมัยใหม่ของสื่อมวลชนและ ประชาชนยุคนั้น

ทว่าสิ่งที่สะดุดตามากกว่าเห็นจะเป็นจดหมายที่ปรีดีส่งถึงท่านผู้หญิง พูนศุข เขียนจากพระที่นั่งอนันตฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2475 ใจความว่า

"ขอโทษที่ต้องพูดปดในวันนั้นว่าจะไปอยุธยาเพราะถ้าบอกความจริงก็เกรงว่า จะมาจากบ้านไม่ได้และผลร้ายจะเกิดขึ้นกับแผนการ คือทางเจ้าหน้าที่ได้คิดจะทำการจับกุมฉันในวันรุ่งขึ้น... การที่ทำอะไรไปทั้งนี้ก็เพื่อเห็นแก่ชาติและราษฎรเป็นส่วนมาก เห็นว่าเกิดมาครั้งเดียวเมื่อมีโอกาสทำได้ก็ควรทำ... ที่ไม่บอกมาแต่ต้นก็เพราะกลัวว่าจะตกใจและเมื่อข่าวตกใจแพร่งพรายออกไปก็จะ เสียแผนที่ได้คิดไว้ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนลงมือกระทำก็ได้เป็นห่วงและคิดไว้ว่า ถ้าตายลงไปก็คงพอมีเงินเลี้ยงลูกและเธอ...

...ขอให้เธอนึกว่าฉันบวช เพราะก่อนลงมือได้เคยถามแล้วว่า ถ้าฉันบวชสัก 6 เดือนเธอจะว่าอย่างไร เธอก็ตอบตามใจ การที่ทำทั้งนี้ยิ่งกว่าการบวช เราได้กุศล ผลบุญที่ทำให้ชาติย่อมได้สืบต่อไปจนบุตรหลาน ความจริงบ่นถึงทุกวันกับหัวหน้าทนายที่นี่ แต่จะทำอย่างไรได้ เมื่อเราทำงานเพื่อชาติ และในชีวิตของคนอีกหลายร้อยล้านหามีโอกาสไม่ ไม่ช้าเมื่อเรียบร้อยแล้วเราคงอยู่บ้านเป็นปกติต่อไป ขอให้คิดถึงชาติและราษฎรให้มากๆ..."


     พื้นที่ส่วนนี้ยังจัดแสดงผลงานสำคัญในช่วงที่ปรีดีดำรงตำแหน่งทางการ เมืองต่างๆ ซึ่งผลงานหลายชิ้นชี้ให้เห็นความพยายามในการสร้างและผลักดันให้หลัก 6 ประการตามประกาศคณะราษฎรเป็นรูปธรรม ซึ่งผลงานทางการศึกษาชิ้นเอกนั่นก็คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้นี่เอง

ระหว่างเดินตามทางไปเรื่อยๆ เสียงเพลงปลุกใจที่ดังแว่วเริ่มชัดขึ้นจนฟังพอได้ศัพท์ว่านี่เป็นเพลงคณะ ราษฎรที่ดังมาจากวีดิทัศน์ชื่อว่า "สยามใหม่ใต้เงาคณะราษฎร" ซึ่งแสดงภาพสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และนาฏกรรม รูปแบบใหม่ที่เน้นความเรียบง่าย ลดทอนความวิจิตร ปฏิเสธจารีตศักดินา และเน้นความเสมอภาค ผ่านสัญลักษณ์สำคัญ เช่น เสาหกต้นและพานรัฐธรรมนูญ หรือรูปปั้นคนที่มีกล้ามเนื้อกำยำเหมือนผู้ใช้แรงงาน แทนที่จะเป็นรูปปั้นอรชรอ่อนช้อยเยี่ยงผู้มีบุญวาสนาในวรรณคดี

     ก่อนเข้าสู่โซน "มรสุมทางการเมือง" ชีวประวัติย่อของผู้อภิวัฒน์การเมืองไทยคนนี้ถูกแสดงไว้ โดยมีจุดเริ่มต้นที่ปี 2475 และสิ้นสุดที่ปี 2489

จากนั้นพื้นที่ลาดเอียงก็นำเข้าสู่เส้นทางเดินเล็กๆ เพดานต่ำ ภายใต้ผนังสีแดงและกราฟิกรั้วลวดหนามให้อารมณ์รุนแรงและรวดร้าว แต่ดูจะไม่ทิ่มแทงคนในครอบครัวพนมยงค์เท่ากับคำกล่าวหาที่นำเสนอด้วยข้อความ สั้นๆ ขณะที่ช่องแสงผ่านรูป "สการ์ (scar)" ก็คงไม่ใหญ่เท่ากับแผลเป็นที่ครอบครัวนี้ได้รับระหว่างที่ผู้นำครอบครัว ถูกกล่าวหา จนทำให้คนในครอบครัวนี้ไม่มีโอกาสได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกเลย ภายหลังการลี้ภัยครั้งสุดท้ายของปรีดี

     จดหมายจากปรีดีที่ส่งถึงภรรยาในวันแต่งงานครบ 41 ปี ที่ถูกคัดเลือกออกมาจากหลักฐานนับร้อยๆ ชิ้น ถูกนำมาจัดแสดงเพื่อสื่อถึงความเจ็บปวดจากการพลัดพรากของคนรักชาติคู่นี้ได้ เป็นอย่างดี

ในโซน "ชีวิตช่วงปลาย: ผู้ลี้ภัยกับการตกผลึกทางความคิด" ดีไซเนอร์เลือกใช้วิธีประมวลภาพประสบการณ์ทั้งชีวิตของปรีดีมาเรียงร้อยจน เต็มผืนผนัง ควบคู่กับการจัดวางโต๊ะหนังสือ สมุด ปากกา วิทยุ และหนังสือ เพื่อจำลองเป็น "ห้องแห่งความคิด" สะท้อนถึงการทำงานเพื่ออุดมการณ์ซึ่งปรีดีทุ่มเททำมาทั้งชีวิต

แม้จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ปรีดีก็ยังสิ้นลมขณะนั่งเขียนจดหมายอยู่บนโต๊ะทำงาน

"เมื่อข้าพเจ้าอายุ 32 ปี พวกเราได้ทำการอภิวัฒน์ แต่ข้าพเจ้าก็ขาดความจัดเจน และครั้นข้าพเจ้ามีความจัดเจนมากขึ้น ข้าพเจ้าก็ไม่มีอำนาจ"

     คำพูดนี้ของปรีดีถูกแสดงไว้ที่ผนังด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านเป็นเงาเลือนรางของอาจารย์ในช่วงบั้นปลายชีวิต จัดวางไว้คู่กับผลึกทางความคิดที่ว่าด้วยเรื่องอุดมการณ์ "สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย" ซึ่งมีจุดยืนอยู่ว่า ไม่ว่าสังคมนิยมหรือประชาธิปไตย ควรมีพื้นฐานเป็นวิทยาศาสตร์

และหากอยากรู้ว่าอุดมการณ์นี้ประกอบด้วยหลักอะไรบ้าง ก็เพียงเพ่งมองที่ช่องกระจกวงกลมที่อยู่ใกล้ๆ หรือมองทะลุกระจกออกไปก็จะเจอกับหลักการทั้ง 5 คำ อันเป็นคำตอบที่เห็นได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามา

"...นายปรีดีตายนะ อาศัยอยู่ประเทศจีน 21 ปี สถานทูต (จีน) พวงหรีดใหญ่อาศัยอยู่ประเทศฝรั่งเศส นายกรัฐมนตรี (ฝรั่งเศส) ก็ส่งพวงหรีด แต่เมืองไทยที่เราเกิด ไม่มีสักหรีดหนึ่ง... ก็ต้องจำไว้เหมือนกันนะ อย่าคุยว่าเราได้ทำประโยชน์เลย รับใช้ประเทศชาติในฐานะที่เกิดมาเป็นคนไทย แต่ว่าไม่ได้รับอะไรเลย..."

     เสียงท่านผู้หญิงพูนศุขแว่วมาจากวีดิทัศน์ใกล้ๆ ดังซ้อนคำอาลัยรักจากผู้ชมสูงวัยที่กำลังอ่านบทอสัญกรรมของปรีดี "น่าเสียใจ แทนที่คนดีๆ จะได้ตายบนแผ่นดินเกิด"

     ส่วนสุดท้ายจัดแสดงข้อความจากการแปลอักษรในงานฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรม ศาสตร์ ปี 2526 ที่ว่า "พ่อสร้างชาติด้วยสมองและสองแขน พ่อสร้างแคว้นธรรมศาสตร์ประกาศศรี พ่อของข้านามระบือชื่อปรีดี แต่คนดีเมืองไทยไม่ต้องการ" อีกด้านเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ปรีดีได้รับมาจากประเทศต่างๆ ถูกนำมาจัดไว้ในตู้โชว์ ขณะที่ผลงานวิชาการที่นักวิชาการรุ่นหลังเขียนขึ้นเพื่อตอบโต้การใส่ร้ายนาย ปรีดีถูกแสดงในอีกตู้ ...นี่เป็นการเล่าถึงขบวนการกอบกู้ภาพลักษณ์ของนายปรีดี

จากภาพผู้ต้องหาในคดีสำคัญทางการเมืองเมื่อหลายสิบปีก่อน จนกลับมาเป็นรัฐบุรุษและนักวิชาการที่สร้างคุณูปการให้กับบ้านเมืองเมื่อไม่กี่สิบปี

"อันที่จริง เราไม่ได้ให้รายละเอียดสักเรื่อง แต่ข้อความหลักที่เราต้องการแสดงก็คือความคิดของคนคนนี้ เราเชื่อว่า ถ้าผู้ชมได้รู้ว่าคนคนนี้คิดอย่างไร พวกเขาจะเรียนรู้เองว่าอาจารย์ทำอะไรเพื่อชาติ และไม่ได้ทำอะไรตามข้อกล่าวหา" ศิริพรกล่าวย้ำถึงใจความสำคัญของนิทรรศการ

     แม้ขบวนการรื้อฟื้นคืนเกียรติยศของปรีดีจะสำเร็จอย่างสูง แต่สิ่งที่น่าเสียดายนั่นคือ การรื้อฟื้นดังกล่าวเป็นการรื้อฟื้น เฉพาะความยอมรับในตัวตนของปรีดี พนมยงค์ หาใช่การรื้อฟื้นแนวความคิดและอุดมการณ์เพื่อนำมาสานต่อไม่! ทั้งที่ "อุดมการณ์"นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่นักอภิวัฒน์ประชาธิปไตยผู้นี้ยอมเสีย สละทุกอย่างเพื่อแลกมา แม้กระทั่ง ความสุข เกียรติยศ ชีวิต และครอบครัวที่รักยิ่ง

     หลังจากชมครบทุกพื้นที่จนวนกลับมาสู่โถงด้านหน้าอีกครั้ง รูปปั้นอาจารย์ปรีดี ภาพเดิมกลับดูน่าเคารพนับถือและดูคุ้นเคยกว่าครั้งแรกที่เห็น คำทั้ง 5 คำที่ประดับอยู่บนแท่นคอนกรีตกลับดูมีความหมายและมีคุณค่าคู่ควรแก่การช่วย กันสานต่อเจตนารมณ์ ของนักอุดมการณ์ผู้เสียสละที่มีชื่อว่า "ปรีดี พนมยงค์"

สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
นิตยสารผู้จัดการ

H O M E



Create Date : 25 กันยายน 2551
Last Update : 25 กันยายน 2551 18:56:24 น. 0 comments
Counter : 1256 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.