Group Blog
 
<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
24 เมษายน 2552
 
All Blogs
 
ส่อง(ย่าน)สรรพสัตว์ สืบประวัติอดีต กทม.

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


     ชื่อย่านบ้านเมืองไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีที่มา โดยเฉพาะเมืองเก่าแก่มีประวัติศาสตร์ควบคู่กันมาอย่างกรุงเทพมหานครของเราก็ยิ่งเล่าประวัติกันได้สนุก มีหลายๆย่าน หลายถนน หลายสะพาน รวมไปถึงสี่แยกในกรุงเทพฯ หลายแห่งทีเดียวที่ฉันสังเกตว่ามีชื่อของบรรดาสิงสาราสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่มาของชื่อแต่ละแห่งนั้นจะไปเกี่ยวข้องกับสัตว์เหล่านี้ได้อย่างไร ฉันได้ไปสืบค้นข้อมูลมา เพื่อจะบอกเล่าแก่แฟนานุแฟนถึงชื่อบ้านนามเมืองที่มีส่วนเกี่ยวพันกับสิงสาราสัตว์เหล่านั้น

     มาเริ่มกันที่สัตว์ชนิดแรก อย่าง "ช้าง" สำหรับที่แรก "ท่าช้าง" หรือชื่อเต็มว่า ท่าช้างวังหลวงนั้น ก็มีความเกี่ยวข้องกับช้างตรงที่ ช่วงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 นั้น บริเวณนี้เป็นบริเวณประตูเมืองที่นำช้างซึ่งเลี้ยงไว้ในพระบรมมหาราชวังลงอาบน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณนี้จึงเรียกกันต่อมาว่า "ท่าช้างวังหลวง"

     แต่ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 1 นี้ ท่าช้างก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "ท่าพระ" เนื่องจากในขณะนั้นได้มีการอัญเชิญพระศรีศากยมุนีจากวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย ล่องแพมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อมาประดิษฐานในพระวิหารวัดสุทัศนเทพวราราม และได้มีการพักแพที่ท่าช้างวังหลวงเพื่อประกอบพระราชพิธีสมโภชพระพุทธรูปเป็นเวลา 3 วัน แต่เนื่องจากพระศรีศากยมุนีนั้นมีขนาดใหญ่โตจนไม่สามารถผ่านประตูเมืองเข้าไปได้ จึงต้องมีการรื้อประตูและกำแพงบางส่วนออกเพื่อให้สามารถเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปได้ และหลังจากนั้นก็ได้สร้างประตูเมืองขึ้นใหม่ โดยรัชกาลที่ 1 พระราชทานนามไว้ว่าประตูท่าพระ แต่ก็ไม่ค่อยมีคนนิยมเรียก ยังคงติดเรียกแบบเก่าว่าท่าช้างอยู่เช่นเดิมจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งก็เหลือเพียงชื่อ ไม่มีช้างลงอาบน้ำให้เห็นอีกแล้ว

     มาดูช้างเชือกที่สอง ก็คือ "สะพานช้างโรงสี" สะพานข้ามคลองคูเมืองเดิม หน้ากระทรวงมหาดไทย ที่หลายๆคนอาจเคยอ่านผิดเป็นสะพานข้างโรงสี แต่แท้จริงแล้วนี่คือสะพานช้างโรงสี แต่มองไปมองมาไม่เห็นมีช้าง เห็นมีแต่หัวสุนัขยื่นออกมาจากเสาสะพานทั้งสี่เสารวมทั้งหมดแปดหัว เอ๊ะ... มันยังไงกันล่ะนี่

     แต่พอได้ทราบถึงประวัติของสะพานนี้แล้วฉันจึงได้เข้าใจ โดยสะพานช้างโรงสีนี้เป็นสะพานเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่เดิมนั้นตัวสะพานเป็นตอม่อก่อด้วยอิฐ และปูพื้นด้วยไม้ซุงเหลี่ยม มีความแข็งแรงมากขนาดที่ช้างสามารถเดินข้ามได้ ซึ่งในช่วงนั้นก็ยังมีความจำเป็นต้องใช้ช้างในการสร้างบ้านเมืองอยู่ จึงมีสะพานข้ามคลองหลายแห่งด้วยกันที่สร้างอย่างแข็งแรงให้ช้างเดินข้ามได้ ส่วนสะพานช้างแห่งนี้นั้นก็ตั้งอยู่ข้างโรงสีข้าวของฉางหลวง ชาวบ้านจึงเรียกกันติดปากว่า "สะพานช้างโรงสี" ด้วยประการฉะนี้

     หน้าตาของสะพานช้างโรงสีเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย จนในตอนนี้ก็กลายเป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ราวสะพานทั้งสองข้างทำเป็นลูกกรงปูนปั้น มีเสาที่ปลายสะพานทั้งสี่ด้าน บนเสามีชื่อสะพานช้างโรงสี บรรทัดถัดมาเขียนไว้ว่า ศก ๑๒๙ อยู่เหนือหัวสุนัขทั้งแปดหัวนั้น ส่วนเหตุผลที่ทำไมจึงเป็นหัวสุนัขโผล่ยื่นออกมาแทนที่จะเป็นหัวช้างนั้นก็เพราะเป็นที่ระลึกถึงปีจอ หรือ ศก ๑๒๙ หรือ พ.ศ.2453 อันเป็นปีที่มีการซ่อมแซมสะพานนั่นเอง

     ไปทั้งท่าช้าง ทั้งสะพานช้างโรงสี ก็ยังไม่เห็นช้างแม้แต่เงา แต่คราวนี้ไม่พลาดแน่ เพราะฉันมาที่ "สะพานหัวช้าง" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "สะพานเฉลิมหล้า 56" แถวๆ สยามสแควร์ เห็นชื่อสะพานขึ้นต้นว่าเฉลิม ลงท้ายด้วยตัวเลขอย่างนี้ ก็เป็นอันเข้าใจว่าสะพานนี้สร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 56 พรรษา โดยสะพานเฉลิมหล้า 56 ซึ่งสร้างข้ามคลองแสนแสบนี้ เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก คานเป็นคอนกรีตรูปโค้ง มีรายละเอียดงดงาม แต่ที่สำคัญก็คือเสาหัวสะพานทั้งสี่เสานี้มีหัวช้างประดับไว้ทั้ง 4 ด้าน รวมแล้วทั้งสะพานก็มีหัวช้างอยู่ 16 หัวพอดี

     เหตุที่มีช้างประดับอยู่ก็เนื่องจากรัชกาลที่ 5 เสด็จมาทรงประกอบพิธีเปิดสะพานเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2452 ซึ่งในปีนี้พระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาเท่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมอัยกาธิราช จึงโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดงานพระราชพิธีพระชนมายุมงคลเสมอรัชกาลที่ 2 และฉลองวัดอรุณราชวรารามด้วย และเนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีช้างเผือกในแผ่นดินถึง 4 เชือก จึงพระราชทานนามสะพานนี้ว่าสะพานเฉลิมหล้า ซึ่งมาจากพระนามของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และหัวเสาสะพานจึงได้ออกแบบเป็นหัวช้างเผือก 4 หัวอย่างที่เราเห็นกัน

     หมดจากเรื่องช้าง คราวนี้เราไปตามควายกันบ้างดีกว่า ควายใครหายก็ไปตามหาเอาได้ที่ "สะพานควาย" สถานที่ซึ่งในอดีตเคยเป็นทุ่งนากว้างใหญ่ที่พ่อค้าควาย หรือ "นายฮ้อย" จะนำฝูงควายจากภาคอีสานเดินทางมาขายยังภาคกลาง และมาไกลถึงยังทุ่งนากว้างใหญ่แห่งนี้ด้วย โดยที่กลางทุ่งนานั้นจะมีสะพานไม้สร้างไว้เพื่อให้ฝูงควายเดินข้ามคูลองส่งน้ำได้สะดวก ผู้คนจึงเรียกบริเวณนี้กันต่อมาว่า "สะพานควาย"

     พูดถึงสะพานควายแล้วก็ต้องไม่พลาดที่จะเอ่ยถึง "บางกระบือ" เพราะเป็นพื้นที่เกี่ยวเนื่องกัน เพราะเมื่อขบวนคนและควายเดินทางมาจนถึงสะพานควายแล้ว ก็จะเดินลัดเลาะหาสถานที่ที่เหมาะจะพักขบวน และเป็นที่ซื้อขายตกลงราคากัน สถานที่นั้นก็คือ "บางกระบือ" ซึ่งอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยานั่นเอง

     มีควายแล้วก็ต้องมีวัวคู่กันถึงจะสมบูรณ์ มาต่อกันที่ "สี่แยกคอกวัว" ที่ในอดีตนั้นเคยมีการเลี้ยงวัวหลวงพันธุ์ให้น้ำนมอยู่เป็นจำนวนมากเพื่อผลิตน้ำนมส่งเป็นของเสวยสำหรับพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทุกๆ เช้าจะมีแขกนุ่งห่มเหมือนอย่างพราหมณ์นำขวดนมจากคอกวัวหลวงนี้มาส่งที่ประตูสนามราชกิจในพระบรมมหาราชวังทุกวัน และนมวัวนี้ก็จะต้องนำไปตั้งไว้ให้กับพระราชาคณะไว้ฉันรองท้องก่อนเพลเสมออีกด้วย

     คอกวัวหลวงที่ว่านี้ก็อยู่ไม่ไกลจากพระบรมมหาราชวังมากนัก ก็คือตั้งอยู่บริเวณสี่แยกคอกวัวในปัจจุบันนั่นเอง แต่พอถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงปรับพื้นที่ในเขตพระนครเพื่อที่จะรับกับแผนการขยายเมือง คอกวัวจึงถูกรื้อไป เหลือแต่ชื่อไว้เป็นอนุสรณ์เท่านั้น

     คราวนี้มาดูจำพวกสัตว์ปีกกันบ้าง มากันแถวฝั่งธนที่ย่าน "พรานนก" ที่มาของชื่อย่านนี้แปลกตรงที่เรื่องราวเกี่ยวกับพรานนกนั้นไม่ได้เกิดในสถานที่แห่งนี้ แต่กลับมีจุดเกิดเหตุอยู่ไกลถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยานู่น

ชื่อนี้มีที่มาจากเหตุการณ์ในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก สมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือพระยาวชิรปราการ พระยศในขณะนั้น ได้ตีฝ่าวงล้อมกองทัพพม่าออกมาทางทิศตะวันออกเพื่อรวบรวมกำลังพลมากอบกู้เอกราชในภายหลัง

     เมื่อเดินทางมาถึงบ้านพรานนก (ปัจจุบันอยู่ในอำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ก็ได้เจอกับพรานล่านกที่ชื่อว่าเฒ่าคำคอยช่วยเหลือทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ที่บ้านพรานนกนี้ทหารพม่าตามมาทัน เกิดการสู้รบกันขึ้น แต่กองทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินก็สามารถเอาชนะข้าศึกได้ แม้จะมีกำลังน้อยกว่าก็ตาม

     เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์นี้ ทางราชการจึงนำชื่อบ้านพรานนกมาตั้งเป็นชื่อถนนในแขวงบ้านช่างหล่อ เขตบางกอกน้อย ว่า "พรานนก" นั่นเอง

ยังคงอยู่ที่ฝั่งธนเช่นเดิม แต่จากนก คราวนี้มาเป็นไก่กันบ้าง ที่ "บางไส้ไก่" อันเป็นชื่อของคลองบางไส้ไก่ วัดบางไส้ไก่ และชุมชนบางไส้ไก่ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน

     ชื่อบางไส้ไก่นี้พอสืบค้นประวัติไปแล้วฉันก็พบว่า ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับไก่เลยแม้แต่น้อย!! แต่เป็นการเรียกที่ผิดเพี้ยนไปจากชื่อเดิม โดยแต่ก่อนนั้นมี "คลองสาวกลาย" เป็นคลองขุดมาแต่เดิม ต่อมาชื่อคลองสาวกลายก็ถูกเรียกเพี้ยนไปเป็นคลองสาวไก่ และสุดท้ายก็เพี้ยนมาเป็นชื่อเรียกในปัจจุบันว่าคลองบางไส้ไก่ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าในอนาคตข้างหน้าอาจจะเพี้ยนไปเป็นอะไรอย่างอื่นอีกก็ได้

     ในแถบชุมชนบางไส้ไก่นี้ ยังมีอีกชื่อหนึ่งว่าชุมชนบ้านลาว เพราะบรรพบุรุษของคนในชุมชนเป็นชาวลาวที่ถูกกวาดต้อนมาจากเมืองเวียงจันทน์ มาตั้งถิ่นฐานกันอยู่ที่นี่ตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี วัดบางไส้ไก่ก็ยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าวัดลาว เนื่องจากพุทธศาสนิกชนชาวลาวได้ร่วมกันสร้างขึ้นไว้ในชุมชนของตน ในชุมชนนี้มีอาชีพเก่าแก่ เป็นงานฝีมือที่ชาวลาวนำติดตัวมาด้วยก็คือการทำขลุ่ยและแคนซึ่งเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านของตัวเอง จนกลายมาเป็นอาชีพเก่าแก่ที่สืบทอดกันในชุมชน และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ขลุ่ยบ้านลาว" นั่นเอง

     ขอปิดท้ายเรื่องราวของสารพัดสัตว์ในเมืองกรุงกันด้วย "หมู" เพราะมีวัดถึงสองวัดทีเดียวที่มีความเกี่ยวข้องกับหมู เช่น "วัดหมู" หรือวัดอัปสรสวรรค์ เขตภาษีเจริญ ที่มีเรื่องเล่ากันว่าผู้สร้างวัดแห่งนี้เป็นชาวจีนชื่ออู๋ มีอาชีพเลี้ยงหมู เมื่อสร้างวัดแล้วเจ้าหมูเหล่านั้นก็ออกมาเดินเพ่นพ่านเต็มลานวัด ชาวบ้านจึงเรียกว่าวัดหมูกันมาตั้งแต่นั้น

     ส่วน "วัดคอกหมู" หรือวัดสิตาราม ใกล้ๆ กับวัดสระเกศฯ ที่แต่เดิมเคยเป็นคอกหมู อยู่คู่กับคอกวัว หรือสี่แยกคอกวัวในปัจจุบัน คนแขกเลี้ยงวัว ส่วนคนจีนเลี้ยงหมูอยู่บริเวณนี้ จนเมื่อร่ำรวยจากการเลี้ยงหมูแล้วจึงได้มีศรัทธาถวายที่ดินเพื่อสร้างวัด ชื่อว่าวัดคอกหมูนั่นเอง

     และนั่นก็เป็นเรื่องราวส่วนหนึ่งของชื่อย่านนามเมืองที่เกี่ยวพันกับบรรดาสิงสาราสัตว์(เพราะในกรุงเทพฯยังมีอีกหลายแห่ง) ซึ่งหากเราสืบค้นให้ลึกลงไปก็จะพบเรื่องราวอันหลากหลายทั้งสภาพสังคม การเมือง เศรษฐกิจ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ เป็นรากเหง้าแห่งวัฒนธรรมไทยที่น่าเสียดายว่า ในยุคนี้ พ.ศ. นี้ หลายคนได้หลงลืม ละเลย วัฒนธรรมอันดีงามของสยามประเทศไปแล้ว


สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
ASTV ผู้จัดการออนไลน์ 21 เมษายน 2552


H O M E



Create Date : 24 เมษายน 2552
Last Update : 24 เมษายน 2552 22:32:27 น. 2 comments
Counter : 2349 Pageviews.

 
อยากไปจังเลย


โดย: nook IP: 192.168.130.238, 203.172.176.2 วันที่: 28 พฤษภาคม 2552 เวลา:18:09:53 น.  

 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him


โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:22:35:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.