Group Blog
 
<<
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
16 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
'มิวเซียมสยาม' เล่าอดีตสยาม ค้นตำนานสุวรรณภูมิ

* 'มิวเซียมสยาม' เล่าอดีตสยาม ค้นตำนานสุวรรณภูมิ

โดย พชรกร อนุศิริ วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 10994

ภาพหญิงสาวแต่งตัวมิดชิดเรียบร้อยกำลังหงุดหงิด วิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่พึงใจนักกับสิ่งที่เป็นไปในสังคม อย่างการแต่งตัวด้วยเสื้อผ้า 'สายเดี่ยว' ของสาวๆ ยุคนี้...ปรากฏอยู่บนจอหนังใน 'ห้องเบิกโรง' สะดุดสายตาของผู้ที่เข้าไปเที่ยวชมหลายต่อหลายคน

พอเดินลุเข้าสู่ 'ห้องสุวรรณภูมิ' หญิงคนเดิมก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอเปลือยอกหรา มีเพียงสร้อยลูกปัดและผ้าผืนเดียวคล้องคอลงมาช่วยบัง ยืนเล่าเรื่องราวในอดีตของตนเอง เมื่อครั้ง 3,000 ปีก่อนหน้า

เธอคือ 'นางพญาโคกพนมดี' หนึ่งใน 7 ตัวละครที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำผู้ชมเข้าไปรู้จัก เข้าไปค้นหาเรื่องราวในอดีตของสยามประเทศ

นี่คือ เทคนิคของการเล่าเรื่อง (Story Telling) ที่ได้รับการหยิบมาสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพิพิธภัณฑ์ไทยตามแบบฉบับของ มิวเซียมสยาม (Museum Siam) พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ เพิ่งเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา

มิวเซียมสยามตั้งอยู่บนถนนสนามไชย ในพื้นที่ของกระทรวงพาณิชย์เดิม นับเป็นทำเลเหมาะ เพราะตั้งอยู่บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ แหล่งประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร

พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม เป็นต้นแบบพิพิธภัณฑ์เพื่อการเรียนรู้แห่งแรกของประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2547 โดยการจัดสร้างของ สถาบันการเรียนรู้และสร้างสรรค์ (สรส.)

เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งใหม่ที่เน้นการสร้างความอยากรู้ และเกิดการตั้งคำถามผ่านสื่ออินเตอร์แอ๊คทีฟ เพื่อยกระดับมาตรฐานการจัดการการเรียนรู้นอกห้องเรียนของประชาชนชาวไทยให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

*

พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพน ผู้อำนวยการ สรส. พูดถึงพิพิธภัณฑ์ใหม่หมาดแห่งนี้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของไทยที่มอบประสบการณ์ใหม่ ด้วยการเป็นแหล่งเรียนรู้นอกระบบที่ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนทั่วไปได้คิด และได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง รวมถึงเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของพิพิธภัณฑ์ในสังคม

'หวังว่าพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการส่งเสริมการศึกษานอกห้องเรียน และเป็นที่สำหรับทุกคนในการค้นหาตัวตน และความเป็นมาของชาติ พร้อมปลูกฝังให้เยาวชนไทยและประชาชนชาวไทยเป็นผู้รักการเรียนรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ตลอดชีวิต' ผู้อำนวยการ สรส.บอก

ลบภาพพิพิธภัณฑ์แบบเดิมๆ ทิ้งไป แล้วเปิดรับพิพิธภัณฑ์แบบใหม่ที่จะทำให้ 'พิพิธภัณฑ์' ไม่น่าเบื่ออย่างที่คิด

มิวเซียมสยามใช้เทคนิคการเล่าเรื่องโดยใช้ตัวละคร 7 ตัวเป็นตัวกลาง บอกเล่าเรื่องราวของดินแดนและผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้ชื่อ เรียงความประเทศไทย (The Account of Thailand) เพื่อให้ผู้เข้าชมได้ค้นหาคำตอบว่า 'เราคือใคร' 'ความเป็นไทยหมายถึงอะไร'

พื้นที่ 3 ชั้นของพิพิธภัณฑ์ ประกอบด้วยห้องจัดแสดง 17 ห้อง ได้แก่ เบิกโรง, ไทยแท้, เปิดตำนานสุวรรณภูมิ, สุวรรณภูมิ, พุทธิปัญญา, กำเนิดสยามประเทศ, สยามประเทศ, สยามยุทธ์, แผนที่ : ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ, กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา, ชีวิตนอกกรุงเทพฯ, แปลงโฉมสยามประเทศ, กำเนิดประเทศไทย, สีสันตะวันตก, เมืองไทยวันนี้, มองไปข้างหน้า และตึกเก่าเล่าเรื่อง

เพียงก้าวเข้าสู่ห้องแรก 'เบิกโรง' ความตื่นตาตื่นใจก็เกิดขึ้น เมื่อบนหน้าจอปรากฏภาพของตัวละครทีละตัวในภาพของคนในยุคปัจจุบัน จากนั้นค่อยย้อนไปสู่อดีตกาล อาทิ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ยุคสมัยที่กรุงศรีอยุธยายังรุ่งโรจน์เป็นราชธานี ฯลฯ และจะพบพวกเขาหรือเธอแบบเต็มๆ ได้ก็ที่ห้องจัดแสดงซึ่งเป็นยุคสมัยของแต่ละคน

* (บน) ห้องสุวรรณภูมิ (ล่าง) ห้องสีสันตะวันตก

ผศ.พัชรี ชินธรรมมิตร รองผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม เล่าถึงการเลือกสรรตัวละครที่มาประจำอยู่ในมิวเซียมสยามว่า ตัวละครแต่ละตัวมีที่มาจากการสืบเรื่องราวไปในอดีตที่มีข้อมูลแน่ชัด แล้วนำมาแต่งเติมเรื่องราวให้มีสีสันเพื่อให้เข้าใจง่าย โดยนำเอาเรื่องราวทางโบราณคดี และมานุษยวิทยามาสร้างเป็นตัวละคร

อย่างตัวละคร 'นางพญาโคกพนมดี' ก็สร้างจากหลักฐานการพบโครงกระดูกจริง ที่ตำบลโคกพนมดี อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี หรือ 'มารี กีมาร์' ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม 'ท้าวทองกีบม้า' ซึ่งว่ากันว่านำขนมทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เข้าสู่ดินแดนที่เป็นประเทศไทย ก็มีตัวตนจริงในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

'การเล่าเรื่องทั้งหมดของตัวละคร จะทำในรูปแบบเสมือนการพูดคุยกับผู้ชม โดยตัวละครจะบอกเล่าเรื่องราวในยุคสมัยของตัวเองไปพร้อมกับการสนทนากับผู้ชม ซึ่งเป็นเทคนิคที่ทำให้รู้สึกมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ถึงวิธีการดำรงชีวิตของคนในสมัยก่อนสุวรรณภูมิด้วยตนเอง' ผศ.พัชรีบอก

ความพิเศษอีกอย่างของมิวเซียมสยาม คือ นำสื่อ 'อินเตอร์แอ๊คทีฟ' เข้ามาใช้ เพิ่มความน่าสนใจในการเรียนรู้

เด็กน้อยกำลังง่วนกับการใช้แปรงปัดหน้าจอคอมพิวเตอร์ หาดูว่ามีสิ่งใดอยู่ใต้ผืนดิน ตรงนั้นวัยรุ่นหนุ่มสาวกำลังสนุกกับการตีกลองสำริด เพื่อให้นิทานพื้นบ้าน 'พญาคันคาก' ปรากฏขึ้นบนจอ บอกเล่าความเป็นมาของพิธีกรรมการขอฝน ไม่ไกลกันนักคุณลุงกำลังยกไฟฉายขึ้นส่องบนฝาผนัง เพื่อหาร่องรอยของพิธีแบบพุทธ พราหมณ์ หรือผี

ห้อง 'สยามยุทธ์' จำลองปืนใหญ่ที่ใช้รบในสงครามสมัยอยุธยามาจัดแสดงในรูปแบบของเกม ทั้งยังมีเกมวางแผนการรบ ให้ผู้ชมสวมบทบาทเป็นแม่ทัพวางแผนการจัดกระบวนทัพในสงคราม ถึงห้อง 'แผนที่ : ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ' ผู้เข้าชมก็สามารถกำหนดพื้นที่อาณาเขตของตนในคอมพิวเตอร์ได้ด้วยการสัมผัสหน้าจอ เดินเหนื่อยแล้วอาจเข้าไปนั่งพักในห้อง 'สีสันตะวันตก' ที่จัดเป็นเหมือนร้านอาหารกึ่งบาร์แบบตะวันตก

ก่อนเดินออกมาอย่าลืมแสดงความเห็นในห้อง 'มองไปข้างหน้า' ที่เมื่อเขียนแสดงความเห็นลงไปบนหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้ว สักพักข้อความที่เขียนก็จะปรากฏขึ้นบนฉากติดผนัง

'วัฒนธรรมการเรียนรู้ของเราแตกต่างกับตะวันตก คนไทยมักคิดว่าพิพิธภัณฑ์เป็นสิ่งที่ห่างไกลตัวเอง ไม่อยากจะเข้า ไม่อยากจะฟัง เพราะน่าเบื่อ ดังนั้น ต้องมาคิดว่าทำอย่างไรให้การมาพิพิธภัณฑ์กลายเป็นเรื่องที่สนุก

'สื่ออินเตอร์แอ๊คทีฟทั้งหลายที่เรานำเข้ามานั้น ก็เพื่อต้องการให้พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สนุก และทำให้ประวัติศาสตร์ของประเทศเรากลายเป็นเรื่องที่น่าค้นหา' ผศ.พัชรีสรุป

พร้อมแล้วหรือยังกับก้าวเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ภาพลักษณ์ใหม่ ที่ช่วง 3 เดือนแรกยังเปิดให้เข้าชมฟรีอยู่

ถ้าคำตอบคือพร้อม...ลองไปค้นหาความเป็นไทยได้ที่ พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม

หน้า 21






"พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม" ประวัติศาสตร์ไทยไม่น่าเบื่อ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 เมษายน 2551 14:15 น.

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง




หลังจากที่มีการก่อสร้างมานานหลายปี แถมยังเปิดให้เข้าชมเป็นการทดลองไปเมื่อสามเดือนก่อน มาในวันนี้ "พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้" หรือที่เปลี่ยนชื่อเป็น "พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม" ก็ได้ฤกษ์ดีวันที่ 2 เมษายนวันนี้เป็นวันเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมกันได้ฟรี

สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ยินชื่อ "พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม" มาก่อน ฉันก็จะขออธิบายเสียหน่อยว่าพิพิธภัณฑ์นี้เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่บนถนนสนามไชย เรื่องราวในพิพิธภัณฑ์นั้นก็เน้นเรื่องประวัติศาสตร์ไทย แต่ที่โดดเด่นก็คือการเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้ที่เน้นสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ในการชมพิพิธภัณฑ์ และยังเน้นให้เด็กและเยาวชนไทยสร้างสำนึกในการรู้จักตนเอง รู้จักเพื่อนบ้าน และรู้จักโลก ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ และทำให้การเรียนรู้ประวัติศาสตร์นั้นไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออีกต่อไป



พูดไปก็สองไพเบี้ย เพราะสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น และสิบตาเห็นก็ไม่เท่ามือคลำ เพราะฉะนั้นจงไปคลำพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามด้วยตนเองเลยดีกว่า ที่บอกว่าให้คลำนั้นไม่ได้โม้ เพราะที่พิพิธภัณฑ์นี้เขาให้ทั้งจับ ทั้งคลำ ทั้งเล่น ทั้งถ่ายรูป ไม่หวงห้ามให้เสียอารมณ์

ภายในพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามนั้น ได้จัดแบ่งห้องแสดงนิทรรศการออกเป็น 17 ห้องด้วยกัน โดยห้องแรกสุดที่เราจะเข้าไปดูกันนั้นก็คือห้อง "ตึกเก่าเล่าเรื่อง" ด้วยเหตุที่ว่าตึกที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามนั้นเป็นตึกเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเคยเป็นกระทรวงพาณิชย์มาก่อน อีกทั้งยังมีสถาปัตยกรรมที่งดงาม เราจึงควรมารู้จักกับตึกนี้กันก่อน




ภายในห้องนี้มีรูปเก่าและข้าวของต่างๆ ที่ขุดพบในระหว่างบูรณะตึกนี้ และยังมีพระรูปของ "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากิติยากรวรลักษณ์ กรมพระจันทบุรีนฤนาถ" ต้นสกุลกิติยากร ซึ่งเป็นเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์พระองค์แรก ในปี พ.ศ.2463

จากนั้นเราไปต่อกันที่ "ห้องเบิกโรง" ซึ่งจะเป็นการชมวีดีทัศน์ที่จะเป็นการแนะนำตัวละครทั้ง 7 ตัวที่จะเป็นคนพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่เรื่องราวที่เป็นต้นกำเนิดตั้งแต่ยุคสุวรรณภูมิมาจนถึงการเป็นประเทศไทย ฉันเชื่อว่า หลังจากที่ทุกคนได้เข้าไปในห้องเบิกโรงแล้ว ก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะเข้าไปชมห้องอื่นๆ ในพิพิธภัณฑ์ แถมยังจะเกิดคำถามขึ้นในหัวว่า คนไทยมาจากไหน? เราเป็นใคร? และใครคือไทย?




ออกจากห้องเบิกโรงมาที่ห้อง "ไทยแท้" ที่มีจุดเด่นอยู่ที่รถตุ๊กๆ ของจริงที่นำมาไว้ในห้อง โดยห้องนี้จะทำให้เราเกิดความอยากรู้ว่า ไทยแท้คืออะไรกันแน่? จากนั้นไปที่ห้อง "เปิดตำนานสุวรรณภูมิ" ที่แสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษย์ ก่อนที่จะมาเป็นบรรพบุรุษของชาวสุวรรณภูมิ ซึ่ง "สุวรรณภูมิ" นั้นก็คือชื่อที่ชาวโลกเมื่อ 3,000 ปีก่อนใช้เรียกดินแดนแห่งความมั่งคั่งทางทิศตะวันออกของอินเดีย

จากนั้นมาที่ห้อง "สุวรรณภูมิ" ที่ทำให้ฉันได้รู้จักสุวรรณภูมิผ่านผู้คน การเกษตร การค้า การสร้างเมือง โลหะ และความเชื่อผี พราหมณ์ และพุทธในสมัยนั้น แล้วเดินต่อมาที่ห้อง "พุทธิปัญญา" ที่มุ่งให้ผู้ชมเข้าใจถึงหัวใจของพุทธศาสนาซึ่งทำให้สังคมสงบสุข



คราวนี้มาถึงห้องที่สำคัญห้องหนึ่ง นั่นก็คือห้อง "กำเนิดสยามประเทศ" ที่พูดถึงนานาแว่นแคว้นก่อนการกำเนิดของอาณาจักรอยุธยา สิ่งหนึ่งที่ฉันสังเกตก็คือ ที่นี่จะไม่บอกว่าประเทศไทยเริ่มจากกรุงสุโขทัย จากนั้นมาเป็นอยุธยา แล้วจึงกลายมาเป็นกรุงเทพฯ แต่จะพูดถึงการรวมตัวของแว่นแคว้นต่างๆ รวมไปถึงอยุธยาก็เป็นหนึ่งในรัฐที่เข้มแข็งและมีอำนาจ โดยมีพระเจ้าอู่ทองเป็นผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้น

เมื่อกรุงศรีอยุธยาถือกำเนิดขึ้นแล้ว ก็มาดูความรุ่งเรืองของอยุธยาในห้อง "สยามประเทศ" ที่มีทั้งสภาพภูมิศาสตร์เหมาะสม มีความสมบูรณ์ของธรรมชาติ จึงกลายเป็นศูนย์กลางการค้า และทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมที่หลากหลายในหลายๆ ด้าน สิ่งที่โดดเด่นในห้องนี้ก็คือกระบวนเรือพยุหยาตราชลมารค ที่ถือพระราชสัญลักษณ์แห่งสมมุติเทวราชของกรุงศรีอยุธยา แขวนลอยไว้อย่างสวยงามกลางห้อง



แต่อาณาจักรที่สงบและรุ่งเรืองก็ไม่พ้นจะต้องทำสงครามเพื่อแสดงสิทธิ์เหนืออาณาจักรอื่น และเพื่อกวาดต้อนคนไปเป็นแรงงาน อีกทั้งเพื่อครอบครองสินค้าสำคัญของรัฐอื่น ชมเรื่องราวการต่อสู้ได้ในห้อง "สยามยุทธ์" โดยนอกจากการสู้รบแล้ว ก็ยังแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญา การวางยุทธพิชัยสงคราม กลุ่มชาติพันธ์ และศิลปกรรมอีกด้วย

จากนั้นมาที่ห้อง "แผนที่ ความยอกย้อนบนกระดาษ" แสดงให้เห็นถึงกำเนิดของแผนที่ประเทศ แม้ว่าผืนดินตามธรรมชาติไม่ได้มีเส้นแบ่งใดๆ มาขวางกั้น แต่คนก็สร้างพรมแดนนั้นขึ้น และสร้างให้ "ชาติ" มีตัวตนขึ้นมาจริงๆ



หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาล่มสลายลง ชาวกรุงศรีก็มาสร้างเมืองของพวกเขาขึ้นมาใหม่บนผืนดินบางกอก ที่พวกเขาได้จำลองแนวคิดและสืบสานวัฒนธรรมมาจากเมืองเก่ามากมาย ไม่ใช่เพียงคนกรุงเก่าเท่านั้นที่มาช่วยสร้างเมืองกรุงเทพฯ แต่จะมีใครมาช่วยบ้างนั้นก็ต้องเข้าไปดูในห้อง "กรุงเทพใต้ฉากอยุธยา"

ส่วนห้อง "ชีวิตนอกกรุงเทพ" ก็แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของชาวเกษตรนอกกรุงเทพฯ และเราจะได้รู้จักกับอุปกรณ์ดักจับสัตว์ เครื่องมือทำกิน ความเชื่อ พิธีกรรมของวิถีเกษตร รวมไปถึงภูมิปัญญาที่มีค่ามากมาย



แต่ความเปลี่ยนแปลงก็ถือเป็นนิรันดร์ รวมไปถึงสยามประเทศด้วยเช่นกัน ชมการเปลี่ยนแปลงได้ที่ห้อง "แปลงโฉมสยามประเทศ" ที่แสดงให้เห็นว่า “ถนน” เป็นตัวเปลี่ยนวิถีชีวิตที่คุ้นชินกับสายน้ำและความแช่มช้า มาเป็นความรวดเร็วเร่งรีบ การเปลี่ยนแปลงยังไม่หมดเท่านั้น แต่เปลี่ยนไปถึงชื่อประเทศจากสยามประเทศมาเป็นประเทศไทย ชมการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ที่ห้อง "กำเนิดประเทศไทย"

แต่เมื่อวัฒนธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยมากขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ทำให้เกิดสีสันและชีวิตชีวามากขึ้น ที่ห้อง "สีสันตะวันตก" เราจะได้เห็นบ้านเมืองช่วงทศวรรษที่ 1940 ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังรุ่งเรือง ผู้คนยิ้มแย้ม มีเสียงเพลงแห่งความหวัง กล่อมให้ผู้คนลืมความเจ็บปวดจากสงครามไปได้ ประเทศไทยเองก็เปิดรับวัฒนธรรมของอเมริกาเข้ามาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน



จากนั้นมาถึง "ห้องเมืองไทยวันนี้" ที่มีแนวคิดว่า หากทุกคนเรียนรู้ความเป็นไทยที่แท้จริง ความเป็นไทยที่อยู่บนพื้นฐานของความหลากหลาย ความเป็นไทยที่รู้จักเลือกรับและปรับใช้ ก็น่าจะช่วยแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้

แล้วก็มาถึงห้องสุดท้าย ห้อง "มองไปข้างหน้า" ที่เน้นการจัดแสดงที่ชวนให้คิดและตระหนักว่า อนาคตประเทศไทย แท้จริงอยู่ในมือของคนรุ่นปัจจุบัน ห้องนี้รับรองว่าสนุก เพราะจะมีปากกาดิจิตอลให้เราเขียนบอกความคิดของเราที่อยากฝากถึงนายกรัฐมนตรี แม้ว่านายกฯคงไม่ได้มาอ่าน แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความต้องการหลายๆ แนวทางของผู้ที่มาชมได้



เดินจนเหนื่อย แต่ก็ครบถ้วนทั้ง 17 ห้องของพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์ที่ทำให้ฉันก็รู้สึกว่าสามารถสนุกไปกับเรื่องราวต่างๆ ในนี้ได้ เพราะที่นี่ตั้งใจให้มาตั้งคำถาม มาหาคำตอบ และสนุกกับทุกสิ่งในพิพิธภัณฑ์ได้ไม่จำกัด ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพ การจับต้อง และเล่นสนุกกับอุปกรณ์ทันสมัยต่างๆ ที่มีไว้ให้ ยิ่งถ้าหากเป็นเด็กยิ่งสนุกสนานกันได้เต็มที่ ส่วนผู้ใหญ่ใจเป็นเด็กก็สามารถสนุกสนานกับความรู้ใน "พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม" กันได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

พิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยาม ตั้งอยู่ที่ ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพฯ (กระทรวงพาณิชย์เดิม ตรงข้ามโรงเรียนวัดราชบพิธ) เปิดให้เข้าชมฟรี (ในระยะเริ่มแรก) ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ ในเวลา 09.30-18.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0-2622-2599 หรือ //www.ndmi.or.th






*"โครงการพันธมิตรพิพิธภัณฑ์"

พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชนทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัยและทุกอาชีพในสังคมไทย และเป็นแหล่งเรียนรู้ของสังคมที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนและยั่งยืน มากที่สุดโดยให้ทุกคนในสังคมมีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของ สถาบันฯ จึงสรรหาพันธมิตรพิพิธภัณฑ์เพื่อเข้าช่วยกิจกรรมและขับเคลื่อนการดำเนินงานของสถาบันฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างกัน

สอบถามรายละเอียด : คุณศิริพร เฟื่องฟูลอย
โทร ๐๒ ๖๒๒ ๒๕๙๙ ต่อ ๕๒๒ โทรสาร ๐๒ ๒๒๕ ๒๗๗๕
siriporn@ndmi.or.th

สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ


H O M E




Create Date : 16 เมษายน 2551
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2552 20:45:22 น. 2 comments
Counter : 3715 Pageviews.

 
เราไปมาแล้ว ตั้ง2ครั้งอ่ะ ถ่ายรูมาเยอะเลย น่าดูทั้งนั้น ลองไปกันดูซิ


โดย: malinee IP: 58.9.51.48 วันที่: 16 มิถุนายน 2551 เวลา:17:25:04 น.  

 
สวยมาก และดีมากเลยค่ะ
ยังไม่เคยไปเลย อยากไปมากเลยค่ะ



โดย: น้ำอุ่น IP: 180.183.170.140 วันที่: 6 มกราคม 2556 เวลา:0:11:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.