Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2552
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 พฤษภาคม 2552
 
All Blogs
 
242 ปี มรดกศิลป์จากกรุงศรีฯ "ขันลงหิน บ้านบุ" "เจียม แสงสัจจา" สุดท้ายในสยาม

*เลียบคลองบางกอกน้อยฝั่งใต้ หลังสถานีรถไฟธนบุรี ใครหลายคนอาจมโนภาพจากนิยาย "คู่กรรม" ของ ทมยันตี ที่พรรณนาถึงโศกนาฏกรรมรักระหว่าง "อังศุมาลิน" กับ "โกโบริ" ท่ามกลางบรรยากาศกลิ่นอายสงครามโลกครั้งที่ 2

     หิ่งห้อยใต้ต้นลำพู เคยส่องแสงระยับยามค่ำคืน ได้ห่างหายไปจากริมคลองบางกอกน้อยไปนานแล้วในความจริง เหลือแต่เพียงในจินตนาการ

เฉกเช่นประวัติศาสตร์ อันเคยเรืองรองของชุมชน "บ้านบุ" ละแวก "วัดสุวรรณาราม" ซึ่งปัจจุบันกำลังถูกกลืนไปพร้อมกับกาลเวลา

     "บ้านบุ" ชุมชนที่มีบ้านเรือนอาศัยกว่า 100 หลังคาเรือน ครั้งหนึ่งเป็นย่านที่ทำ ขันลงหิน หรือ "ขันบุ" มาตั้งแต่โบราณ

     เรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า บรรพบุรุษของชาวบ้านบุ มีอาชีพทำขันลงหินตั้งแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา หลังจากที่เสียกรุง พระเจ้าตากสินได้กอบกู้เอกราชแล้วย้ายเมือง ทำให้ชาวบ้านจากกรุงศรีฯได้อพยพมาตั้งหมู่บ้านยังทำเลนอกคลองคูเมืองราชธานี เมื่อ พ.ศ.2310 ติดกับวัดสุวรรณาราม (วัดทอง) ซึ่งเป็นวัดที่มีมา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา

จากศิลปะการทำขันลงหินอันรุ่งโรจน์ เสียงทุบทองเคยดังกังวานทุกหลังคา

     แต่วันนี้ กลับเหลือผู้ที่ยังสืบทอดมรดกทำขันลงหินจากกรุงศรีอยุธยาเพียงหลังคาเดียว คือ "ขันลงหินบ้านบุ เจียม แสงสัจจา"

ตรอกเล็กเลียบคลองบางกอกน้อย มุ่งหน้าลัดเลาะ ไปตามทางกว้างเพียงคนเดินสวนกัน ถึงบ้านเลขที่ 133 ตรอกบ้านบุ ถนนจรัญสนิทวงศ์ ซอย 32 แขวงศิริราช ใกล้สำนักงานเขตบางกอกน้อย

     นางเมตตา (แสงสัจจา) เสลานนท์ วัย 67 ปี ผู้สืบทอดกิจการต่อจากมารดา "เจียม แสงสัจจา" เล่าให้ฟังว่า ความเป็นมาของการทำขันลงหินนั้นมีมายาวนานกว่า 242 ปี ก่อนที่จะสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

"ว่ากันว่า การทำขันลงหินมีมาตั้งแต่ พ.ศ.2310 ครั้งที่พระเจ้าตากสินย้ายกรุง โดยมีหลักฐานปรากฏในเอกสารสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งปัจจุบันนี้ ขันลงหินบ้านบุก็กลายเป็น 1 ใน 7 งานศิลป์ถิ่นเมืองกรุงไปแล้ว"

     นางเมตตากล่าวว่า สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ทำให้คนในชุมชนต้องอพยพ เมื่อกลับมาการผลิตเครื่องทองก็ซบเซา ประกอบกับวัตถุดิบเปลี่ยน มีเทคโนโลยีเข้ามา และ "ช่างบุ" มีอายุมากขึ้น หลายบ้านที่เคยทำขันลงหินก็ไม่มีคนสืบทอด

"กิจการนี้เป็นของแม่ดิฉันมาก่อน คือเจียม แสงสัจจา ซึ่งแม่ได้พัฒนาการทำ ขันลงหินให้สวยงามขึ้น มีลวดลาย ซึ่งต่อมาดิฉันก็เข้ามาสืบทอดต่อ"

โดยเฉพาะบ้านหลังนี้ ซึ่งถือว่าเป็นแห่งสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ แต่ก็กลับจะสิ้นชื่อ เพราะโดนไฟไหม้ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2549 เสียหายไปมากมาย

     นางเมตตาบอกว่า จำวันที่เพลิงเผาทำลายขันลงหินให้ละลายได้แม่น เนื่องจากขันโบราณ ของเก่า ของหายากมากมายอันตรธานไปพร้อมกับเปลวไฟจนเกือบหมด

เมื่อเพลิงสงบแล้ว สถานที่ทำขันลงหินแห่งสุดท้ายก็ค่อยๆ ถูกบูรณะให้ฟื้นกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

"ประมาณ 60 ปีที่แล้ว ที่ชุมชนนี้ทำ ขันลงหินกันทุกบ้าน เหมือนเป็นหัตถกรรมในครัวเรือน ทำเป็นงานอิสระอยู่บ้าน หากเป็นโรงงานขนาดใหญ่หน่อยเรียกว่ากงสี พอวันเวลาผ่านไปก็ค่อยๆ หายไปทีละหลัง เลิกทำกันไป จนเหลือที่นี่ที่สุดท้าย" นางเมตตาเล่าให้ฟังแล้วว่า

"ทุกวันนี้เรามี order มาจากยุโรปเป็นส่วนใหญ่ ทางอเมริกาเขาจะไม่ใช้ ไม่ค่อยนิยม อาจจะเป็นเพราะว่าดูแลยาก ราคาสูง ขันลงหิน คนที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีฐานะ อย่างใบเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางขนาด 3 นิ้ว ขายส่งใบละ 600 บาท ถ้ามีลวดลาย อยู่ราคาใบละ 800 บาท ขันขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 นิ้ว ไม่มีลวดลาย ราคา 5,000 บาท ถ้ามีลายก็เพิ่มอีกพันกว่าบาท การดูแลรักษาก็ห้ามใส่ของร้อนหรือของเปรี้ยว ตอนนี้ก็เริ่มมีหน่วยงานราชการรู้จักบ้างแล้ว จากเว็บไซต์ เริ่มมีคนรู้ว่ามีที่เดียวในเมืองไทย และเป็นงาน handmade"

     "อย่างล่าสุด ก็ถูกสั่งให้ทำเป็นของที่ระลึก เพื่อมอบให้กับผู้นำอาเซียนที่มาประชุมกันที่พัทยา แต่พอดีต้องยกเลิกไปก่อน" นางเมตตากล่าวอย่างอารมณ์ดี

ถึงกระนั้น แม้ว่าขันลงหินเป็นสินค้าที่ประณีต ใช้เวลาในการทำ มีราคาสูง ต้องสั่งทำเป็นกรณีไป ก็ไม่ได้หมายความว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงจะทำให้ความนิยมในศิลปะอันงดงามนี้น้อยลงไป

"ในวิกฤตเศรษฐกิจอย่างนี้ ก็พอประคองตัวอยู่ได้ และต้องช่วยตัวเอง ต้องอยู่ให้ได้ ธุรกิจขันลงหินบ้านบุ เจียม แสงสัจจา ไม่ใช่ของสาธารณะ เราไม่ได้ขอความช่วยเหลือ เพราะดิฉันคิดว่าถ้าขอความช่วยเหลือจะเป็นการช่วยเรา แต่ไม่ได้ช่วยชุมชน แต่ศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยวก็หาตลาดให้เรา สิ่งสำคัญที่สุดขณะนี้คือต้องเลี้ยงคนงาน 20 คน มีช่าง 16 คน และ ช่างแกะลายอีก 4 คน"

"ตรงนี้เป็นเรื่องการอนุรักษ์ ไม่ใช่การค้าหวังกำไร เราสู้รักษาเอาไว้ แม้ว่าวิกฤตเศรษฐกิจจะทำให้อยู่ลำบาก เรายังเอาตัวไม่รอด ค่าใช้จ่ายตกอยู่ที่วันละประมาณ 7,000 บาท คือช่างได้วันละ 400-1,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าตีขันได้มากเท่าไร ต้องยอมรับว่าเป็นงานของคนที่มีกำลังซื้อ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจอย่างนี้ก็ยังซื้อ"

"ช่างคนหนึ่งตีขันได้ 15 ใบต่อวัน เล็กใหญ่ตามขนาด ถ้าขนาด 10 นิ้ว ก็ตีได้ 4 ใบต่อวัน ถ้าขนาดเล็ก 3 นิ้ว ก็ 15 ใบ หากต้องการนำไปลงลวดลาย ก็จะใช้เวลาเพิ่มอีก 5-10 วัน"

     นางเมตตาอธิบายว่า ขั้นตอนการทำขันลงหินมี 6 ขั้นตอน คือ 1.ตี 2.ตีลายเก็บเนื้อ 3.กรอ 4.กลึง 5.แต่งเนื้อ 6.ขัด ก่อนที่จะ ส่งไปให้ช่างในขั้นตอนที่ 7 คือแกะลาย

ซึ่งช่างฝีมือที่มีขณะนี้ อยู่ที่ อ.แปดริ้ว จ.ฉะเชิงเทรา โดยคนที่เป็นหัวหน้าช่างแกะลาย อายุ 60 ปีแล้ว แต่ปัญหาหลักๆ ในการสืบทอดขันลงหินคือช่างตี เพราะไม่มีคนมาสืบทอด ไม่มีใครมาเรียนรู้

"เราเคยทำโครงการให้คนเข้ามาเรียนรู้การทำขันลงหิน โดยให้มาอยู่ในชุมชน ได้เงินค่าตอบแทนอีกเดือนละ 8,000 บาท มีที่อยู่ให้ แต่ก็มีเงื่อนไขว่าต้องโสด จนป่านนี้ยังไม่มีใครมาสมัครเลย ลูกคนงานในชุมชนก็ไม่เอา ที่ต้องการมากคือช่างตีขึ้นรูป"

     ทั้งนี้ นางเมตตายอมรับว่า เมื่อมองไปอนาคตแล้ว การจะหาช่างตีมาทดแทนช่างในปัจจุบันที่อายุมากและมีอยู่น้อย เป็นเรื่องที่คิดไม่ออก

ด้วยคนที่จะมาเป็นช่างตีได้ ต้องมีความรู้เรื่องการผสมโลหะ เป็นช่างหลอม กว่าจะฝึกฝนจนชำนาญต้องใช้เวลาหลายปี และนั่นจึงอาจหมายถึงการนับเวลาถอยหลังรอให้ขันลงหินค่อยสูญสิ้น หากไม่มีช่างตีที่จะมาขึ้นรูปให้เป็นขัน

"ก็ต้องเห็นใจ เพราะทำงานอยู่ตรงนี้ ไม่มีสังคม ปิดตัวอยู่ทั้งวัน ดิฉันทำมาตั้งแต่อายุ 22 ปี ตอนนี้อายุ 67 ปีแล้ว เมื่อก่อนก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มาเกิดความลึกซึ้งจนเมื่อรู้ว่าเป็นผู้อนุรักษ์แล้ว ส่วนหนึ่งก็คือได้ช่วยพ่อแม่มาก่อน ก็เลยซึมซับ คงทำไปเรื่อยๆ ก่อน เผื่อว่าจะเจอคนดีมาจากอยุธยา จากตรงนี้อยู่ได้อีกประมาณ 10 ปี ส่วนตัวดิฉัน 5 ปี ก็คงหมดเวลาแล้ว แต่ก็ยังมีลูกหลานที่จะคอยดูแลต่อไป"

"ถึงแม้ว่าเราจะอยู่มานานแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรอยู่คู่ฟ้า ต้องเป็นตำนานสักวัน ที่เหลือในชุมชนก็มีแค่ 3-5 ครอบครัวเท่านั้นที่ยังเป็นช่างทำขันลงหินได้ บางครอบครัวสามีภรรยาทำด้วยกัน"

"ค่าใช้จ่าย 7,000 บาทต่อวัน เราต้องใช้วัตถุดิบอย่างดี ถ่านเกรดเอ จากไม้มะขาม เนื้อแข็ง ดีบุก ทองแดง ซึ่งหนักเรื่องเงินทุน ในภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ ก็ให้ช่างที่ 1 คือช่างตี มาทำงานวันจันทร์ พุธ ศุกร์ ส่วนช่างขั้นตอนที่ 2-6 มาทุกวัน มันสำคัญเรื่องเงิน ค่าแรง ที่ต้องให้ช่างอยู่ได้ 300-400 บาทต่อวัน เพราะการทำงานอย่างนี้ต้องอยู่ที่ใจ ใจที่จะรักงานนี้ไหม การทำขันลงหินยากมาก และร้อน เพราะอยู่หน้าเตา ต้องใจรักจริงๆ การที่จะดึงเด็กสมัยนี้ลงมายากมาก"

     นางเมตตาให้ความรู้ว่า การจะเป็นช่างตีขันได้นั้น ต้องใช้เวลาฝึกฝน 3 ปี จนทุบทองเป็นแผ่น ขึ้นรูป ซึ่งมีเทคนิคเยอะ วิธีการดูทองละลาย ทองจับ ไม่แตก ถ้าจะเรียนรู้จริงๆ ต้องเป็นต้องได้ แต่คนสมัยนี้ไม่เลือกที่จะทำ

"ชุมชนนี้มีอะไรเก่าๆ มาก ทางศูนย์ส่งเสริมการท่องเที่ยว เคยเปิดให้คนมาเที่ยวชม อย่างงานรำลึกสงครามมหาเอเชียบูรพา ก็มีคนอื่นๆ มากัน แต่ไม่มีเด็กในชุมชนเข้าฟัง มีแต่คนอื่นสนใจ เด็กรุ่นใหม่รับรู้ความสำคัญของขัน มหาวิทยาลัยบางแห่งนำไปเป็นตำราเรียน บางคนพอได้เรียนรู้แล้วก็อยากทำ ด้วยจิตที่รู้สึกรัก แต่ก็ด้วยชั่วระยะเดียว ดิฉันยังหาคำตอบไม่ได้ว่าจะจบลงตรงไหน"

"ช่างของเราเป็นช่างมีฝีมือ คณะมัณฑนศิลป์ออกประกาศนียบัตรให้ทั้ง 6 คนได้รับเกียรติ ช่างที่นี่ไม่ใช่คนงานผู้ใช้แรงงาน ก็ถือว่าเป็นกำลังใจให้คนรุ่นเก่า แต่คนรุ่นใหม่ยังไม่รับรู้"

และนั่นแทบจะดูเหมือนว่าเกียรติประวัติแห่งความภาคภูมิใจที่ช่างฝีมือได้รับ ไม่ได้สร้างแรงดึงดูดให้เด็กวัยรุ่นสนใจแม้แต่น้อย

     ในทางกลับกัน อาชีพช่างฝีมือขันลงหิน ที่ต้องนั่งทนความร้อนของไฟจากเตา ยิ่งเหมือนถูกผลักออกให้ห่างจากวิถีชีวิตของเด็กในชุมชนบ้านบุ และเด็กในเมืองหลวงขึ้นทุกขณะ เมื่อถูกภาวะสังคมโลกยุค ไซเบอร์บีบคั้นต้องดิ้นรนเรียนพิเศษ หรือตามเพื่อนไปเที่ยวห้างสรรพสินค้า

     นอกจากนี้ นางเมตตายังบอกอีกว่า "ช่างบุ" ที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ ในฐานะที่เป็นเจ้าของกิจการได้ดูแลช่างทุกคนเหมือน พี่น้อง ที่เขาสามารถเข้าหาได้เสมอ อยู่กันแบบครอบครัว เพราะเมื่อเขาไม่ไปไหน ยึดงานนี้เป็นอาชีพ เขาก็ต้องมีความสุขด้วย

เพราะหนทางในการสืบสานมรดกที่ตกทอดมาจากกรุงศรีอยุธยาให้ดำรงอยู่ต่อไปนั้นดูจะมืดมิดตีบตัน

"ช่างรุ่นสุดท้าย เราในฐานะผู้ดูแล และเขาเป็นช่าง ดิฉันจะอยู่ตรงนี้ ไม่ไปไหน หากจะเกิดอะไรขึ้นอย่างไรก็ให้ช่างไปก่อน เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ดิฉันจะให้เขาเป็นคนเดินจากเราไป"

     แม้ว่านางเมตตาในวันนี้อายุ 67 ปีแล้ว อีก 5 ปี อาจจะวางมือ ทายาทที่ยังอยู่ย่อมสามารถดำรงคงกิจการนี้ให้ดำเนินได้ต่อไปตามเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ

แต่หากขาดซึ่ง "ช่างบุ" แล้ว กิจการ ขันลงหินอาจกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาไว้แต่ซากของตำนานอันรุ่งเรืองในอดีต

ฤๅ ความเป็นชุมชนบ้านบุใกล้ถึงคราวปิดฉากแล้วหรือ ?


สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
ประชาชาติธุรกิจ 30 เมษายน 2552 หน้า 40


H O M E



Create Date : 02 พฤษภาคม 2552
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 23:57:43 น. 2 comments
Counter : 3279 Pageviews.

 
There are many Thai tradions which has been gone by time...too bad.


โดย: Kaew IP: 124.169.168.167 วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:16:15:07 น.  

 
whenever you felt that your heart is going to breakdown
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!

GOD always forgive your mistake
the one that you cant even forget,
he always does it and always being with us
to help and blesss us for us whose heart is full of him


โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:22:31:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.