ทำไมชาวโลกเวลาเจอหน้ากันต้องทักทาย? แค่สบตาและเข้าใจจะได้ป่ะ? ไม่ต้องพูดมาก ไม่ต้องแกล้งทำ
ทำไมชาวโลกถึงต้องการการยกย่องเชิดชู...
ทั้งๆที่มนุษย์หลายๆคน ทำได้มากกว่าที่เขาทำอีก?
มีหลายคำถามที่อยากถาม
แต่อย่างหนึ่งที่อยากถาม คือ......ทำไมชาวดาวสีฟ้าดวงนี้ต้องซื้อน้ำดื่มกิน ? ทั้งๆที่น้ำมีมากมายทั้งในร่างกาย อากาศ และบนดาวดวงนี้
ดาวรูปกลมรีดวงนี้มีน้ำอยู่ 96.5% เปอร์เซนต์
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำเค็มอยู่ในมหาสุมทร ทะเล และอ่าว
น้ำจืดมี 3% ของน้ำในโลก
ใน 3 % นี้ เป็นภูเขาน้ำแข็ง ธารน้ำแข็งไปซะ 1.74%
ในน้ำใต้ดิน 1.70%
ยอมรับมาซะเถอะว่าตาลายเมื่อเห็นตัวเลขเยอะๆ
แต่ตัวเลขมีความสำคัญอย่างยิ่งกับมนุษย์
โดยเฉพาะมนุษย์ที่เป็นห่วงกับอายุขัย และพยายามจะยกกระชับทุกสัดส่วน
ถ้าน้ำบนดาวเคราะห์ดวงนี้ 100% เป็นน้ำเค็ม 97% น้ำจืด 3%
ใน 3% ของน้ำจืด เมื่อเทียบเป็น 100% ของน้ำจืดทั้งหมดบนโลก
พบว่ามีน้ำอยู่บนพื้นโลกในแม่น้ำ ลำธาร 0.3%
ในใต้ดิน 30.1% ในธารน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็ง 68.7%
และแหล่งอื่นๆ 0.9%
พัก.......ย้อนกลับไปดูตัวเลขซ้ำอีกรอบก็ได้สำหรับคนที่อ่านผ่านๆ
จำนวนน้ำจืดบนพื้นโลกที่ปรากฎ 0.3% เมื่อเทียบเป็น 100%
จะพบว่าไหลอยู่ในแม่น้ำ 2% ในปลักโคลนตม 11%
และในทะเลสาบน้ำจืด 87%
เพราะฉะนั้นหากเทียบปริมาตรทั้งโลก ที่มีน้ำเค็มและน้ำจืด 100%
มนุษย์นำมาใช้จริงประมาณ 1% ของน้ำทั้งโลก
(จากแหล่งน้ำจืดบนผิวโลก)เท่านั้น
โดยคิดเป็นสัดส่วนจากทะเลสาบน้ำจืด 0.86%
จากแม่น้ำ 0.02% เป็นปริมาตรเฉลี่ย 1,386 ลบ.กม.ต่อวัน
มนุษย์โดยเฉลี่ยแล้วต้องการน้ำ 2-5 ลิตรต่อคน-ต่อวัน
ในร่างกายพวกเขาที่มีน้ำเป็นองค์ประกอบอยู่ราว 70%
กับมนุษย์เพียง 7,000 ล้านคนบนโลก ในบางซีกโลก
กลับขาดแคลนน้ำ โดยมีหลายแหล่งบนดาวดวงนี้ที่มีน้ำจืดอุดมสมบรูณ์
และมีมากจนล้นเกินความต้องการของพวกเขา
น้ำมีมากจนลอยล้นทะลักเข้าไปในอากาศจนอากาศพุงกาง(อิ่มตัว)
เมื่ออากาศไม่สามารถจะรับไอน้ำจากที่ต่างๆได้อีก จนเกินกว่าระดับปกติมาก
ไอน้ำจะจัดการตัวเองโดยการกลายเป็นหยดน้ำตกลงมาเป็น"ฝน"
ซึ่งกว่าจะเป็นหยดน้ำที่มีคุณสมบัติที่เด่นชัดสถานะของเหลว
ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ทุกสถานที่และสถานการณ์
มีการรวมธาตุต่างๆทั้งไฮโดรเจน (H) 2 อะตอม กับออกซิเจน (O) 1 อะตอม
รวมกันจนกลายเป็นน้ำ (H2O) 1 โมเลกุล
ซึ่งน้ำเป็นสารประกอบเพียงชนิดเดียวในธรรมชาติที่เป็นได้ทั้ง 3 สถานะ
คือ ไอน้ำ (ก๊าซ) ของเหลว (น้ำ) ของแข็ง (น้ำแข็ง)
และทั้งหมดมีความเพียงพอใช้บนโลก
ไม่มีการหายไปไหนเพราะบรรยากาศหลายชั้นของโลกกันไว้แล้ว
เรียกว่า Closed system (ระบบปิด) คือใช้กันได้ทั้งโลก
ไม่มีกระเด็นกระดอนออกไปนอกโลก หมุนวนอยู่อย่างนั้น
......ไม่มีจุดจบ ไม่มีเริ่มต้น ถ้าชาวโลกเรียนรู้ที่จะรักษา เพิ่มเติม และไม่ทำลาย
ดาวดวงนี้ยังอยู่ไปอีกนาน ซึ่งแทนที่มนุษย์จะไปหาดาวดวงใหม่อยู่
เอาเวลานั้นมารักษาโลกและระดับจิตของมนุษย์ส่วนใหญ่ให้ดีขึ้นดีกว่า
เผลอๆน้ำที่ตกลงมาจากอากาศตอนนี้อาจเป็นน้ำเมื่อล้านปีที่แล้ว
ที่ทุกสิ่งมีชีวิตในโลก ต่างใช้น้ำดื่มกิน ชำระล้างตัว แล้วไหลรวมกันลงแม่น้ำ
จนรวมกัน ณ จุดๆหนึ่งกลายเป็นก้อนน้ำแข็งมหึมา
ในที่สุดก็อาจระเหยจากก้อนน้ำแข็ง ลอยซึมเข้าไปในอากาศจนเต็ม
และลมหอบพัดมาจนส่วนผสมลงตัว
กลายเป็นเม็ดน้ำตกในที่ๆพวกท่านอยู่ก็ได้
ไม่มีใครรู้ว่ามีอะไร ผสมกันมาจากไหน ?
ถามอีกครั้ง ...ทำไมมนุษย์ต้องซื้อน้ำเพื่อดิ่มกิน?..บนดาวเคราะห์ดวงนี้ ?
ผู้นำเผ่าพันธ์ที่พวกเขาตั้งขึ้น
ไม่สามารถหาน้ำหล่อเลี้ยงชีวิตพวกเขาได้ ยังงั้นเหรอ ?พวกเขาไม่สามารถลำเลียงขนถ่ายน้ำ ไปที่ขาดแคลน
ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือวิธีอื่นๆได้เหรอ?
ทำไมถึงต้องแย่งชิง เพียงเพื่อเกินพอ?
ทำไมต้องสะสมจนเหลือล้น เน่าเสีย ?
ทำไมคนเขียนบล๊องก์นี้ ถึงเริ่มขี้เกียจ
จนเราเองต้องมาเขียนแทน และคงต้องมารับหน้าที่กับคอลัมม์นี้สักช่วง
ก่อนที่"เป็นเกลียว"(คนเขียนเดิม)ความคิดจะหายตัน
ที่ตอนนี้จิตนาการผูก เหมือนไร้การระบาย ถ่าย(เท)สะดวกงั้น.......เราคงต้องทักทายกันตามประเพณี
สวัสดี..ชาวโลกทุกท่านถ้าถามเราว่าศิลปะบนดาวเราเป็นแบบไหน อย่างไร?
คงตอบเพียงสั้นๆว่า ทำทุกเรื่องให้มันง่าย เท่านั้นเอง
"ง่ายๆ แต่ได้ผล" นี่คือหลักการบนดาวเราซึ่งอาจตรงข้ามกับชาวโลกปัจจุบัน
ที่ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากจนมากความ
ในบางแห่งที่เหมาะสมกับบางเผ่าพันธ์
พวกเขาแค่มองว่าต้องการอะไำร จากนั้นก็ค่อยหาวิธีเอา
ซึ่งมีมากมาย หลายช่องทางที่จะใช้ได้
ไม่ต้องกลัวเรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพ
หรือความต้องการที่ไร้ประโยชน์ เหมือนที่มนุษย์อ้างถึง
พวกเขา เข้าใจจิตใจภายในของกันและกัน
ก็แค่เข้าใจผู้อื่น เข้าใจตัวเอง
วิธีการ จึงเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วแต่เดี๋ยวนี้ชาวโลกส่วนใหญ่กลับสับสนแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง
ว่าต้องการอะไร? เพื่ออะไร?
หลายๆคนทำงานจนไม่มีเวลาอยู่กับคู่ชีวิตที่เลือกมา
หรือที่เรียกว่าครอบครัว ........
แต่เหตุผลที่ได้รับคือ เขาทำเพื่อให้ครอบครัวมีัความสุข และอยู่รอด
ถามจริงๆเหอะ....ถ้าคุณเดินตามหาความสุขกลางเปลวไฟคุณจะเจอมันมั้ย?
พวกเขาไม่ได้เลี้ยงมนุษย์ตัวอ่อน
ก่อนที่จิตของตัวอ่อนเหล่านั้นจะเข้มแข็ง
ซึ่งพวกเขาได้สร้างตัวอ่อนเหล่านี้
โดยผ่านการผสานเซลล์ ผสม DNA ทั้งสองเผ่าพันธ์
รวมกันจนเป็นตัวอ่อนร่างนี้
แต่กลับปล่อยดวงจิตใหม่นี้ล่องลอย อย่างไร้ทิศทางพวกเขาเลี้ยงเพียงโครงสร้างภายนอกอย่างง่ายๆ
ที่สามารถเติบโตได้เองตามธรรมชาติ ด้วยพลังงานที่ไร้ประโยชน์
ตัวอ่อนต้องการพลังงาน 1600 แคลอรี่ต่อวัน
มนุษย์เองใช้ 1600-2800 แคลอรี่
แต่พวกเขากลับให้พลังงานมากมาย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลังงานที่ร่างกายไม่ต้องการใช้
และสิ่งที่มนุษย์ส่วนใหญ่ทำคือสอนมนุษย์อื่นได้
แต่พัฒนาเซลล์ที่แยกมาจากตัวเองไม่ได้
จนโครงสร้างทางจิตของมนุษย์ในตอนนี้ผิดสัดส่วนๆไปอย่างมากมาย
เห็นได้ง่ายๆว่า
มนุษย์ส่วนใหญ่คิดว่า
มนุษย์นั้นเป็นเผ่าพันธ์เดียวที่เป็นเจ้าของดาวดวงนี้
จนกระทั่งหลายๆเผ่าพันธ์บนดาวดวงนี้เริ่มเตือนเบาๆว่า
พวกเขาคิดผิด ดาวดวงนี้ต้องใช้ร่วมกันหลายชีวิต ต่างเผ่าพันธ์
...บางอย่างเตือนแรงๆก็มี ก็อยู่ที่ว่าจะรู้สึกตัวกันหรือเปล่าเท่านั้นเองเอาล่ะ สำหรับชาวโลกที่เริ่มหงุดหงิดกับเรื่องจริง
และมีความสุขกับเรื่องที่ปั้นแต่ง
หรือ
ชอบเรื่องแต่งที่เหมือนจริง จนถึงเรื่องจริงที่ได้ับการเสริมแต่งพวกเราคงได้เจอกันอีกทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือนไปสักระยะ
แล้วเราจะมาบอกถึงมุมของเรา ว่ามองกับชาวดาวเคราะห์ดวงนี้อย่างไร
ยังไม่ต้องถามชื่อเราว่าชื่ออะไร ?
ไม่ต้องถามว่ามาจากดาวดวงไหน ?
ไม่ต้องถามวิธีการว่าจะทำแบบไหน ?
เพราะถ้ามนุษย์ไม่รู้จักค้นคว้า คิดค้น
ระบบประมวลผลหรือสมองของเผ่าพันธ์นี้จะไม่เกิดการวิวัฒนาการ
ไม่ต้องรีบไล่เรากลับดาว
อีกไม่นานพวกคุณจะได้เห็นและรับรู้ด้วยตัวเอง..เอง
ส่วนใครที่ถูกกั้นออกมาจากกลุ่มหรือเบื่อมนุษย์ด้วยกันเอง
แล้วอยากจะขอติดยานพวกเราออกนอกดาวดวงนี้ไป ไว้ค่อยคุยกันสำหรับคนที่ทำผิดแล้วคิดอยากติดยานหนีไปด้วย
หนีไม่รอดหรอก เพราะสิ่งนั้นมันติดอยู่ที่ใจ แม้จะไกลแค่ไหนก็ไม่รอด
นอกจากการ
ให้อภัยตัวเองโดยการลบอดีตที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงแล้วพบกัน
............................................................
***เชื่อมั้ยว่าไม่มีใครอ่านจนหมดน่ะ ^^
แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อ่านหมดลงชื่อยืนยันด้วยนะครับ ^^
*ขอบคุณภาพประกอบทุกภาพในโลกไซเบอร์แห่งนี้ โดยเฉพาะ google ครับ
ความคิดก็ผ่านกาลเวลา และแสงดาวมาได้อย่างรวดเร็ว
สรุปว่ามาเร็วเกินไป เฮือกกกกกกกโฮกกกกก
ว่าไป ภาพถ่าย DNA นี่มันศิลปะสุดยอด เป็นความลับของจักรวาลจริงๆ