หนังสือบางเล่มจากมหกรรมหนังสือฯ และการอ่าน ความจริง
ความตายของด็องต็อง (Dantons Tod) บทละครของการปฏิวัติฝรั่งเศส เกอ็อร์ก บืชเนอร์(Georg Buechner) เฉิดฉวี แสงจันทร์ แปล
เทพเจ้าแห่งสิ่งเล็กๆ (The God of Small Things) อรุณธตี รอย (Arundhati Roy) สดใส แปล
คุณนายดัลโลเวย์ (Mrs Dalloway) ของ เวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Woolf) ดลสิทธิ์ บางคมบาง แปล อ่านเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ที่นี่ ตรงความเห็นด้านล่างครับ
สีมากถา สมุดข่อยวัดสุทัศน์เทพวราราม โดย น. ณ ปากน้ำ ออกมาตั้งแต่ปี 2540 ถึงวันนี้จึงขายในราคาถูกจนน่าตกใจ
แดง รวี ของ รงค์ วงษ์สวรรค์ สนพ.ประพันธ์สาส์น พ.ศ.2514 สภาพสมบูรณ์ เป็นหนังสือราคาสูงที่สุดที่ซื้อในงานนี้
ฯลฯ
พูดถึง มหกรรมหนังสือระดับชาติ แล้ว พอดีได้อ่านคอลัมน์ เหะหะพาที ที่ ซูม เขียนไว้ในไทยรัฐ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม 2550 หัวข้อว่า มหกรรมหนังสือ 2550
ซูม พูดถึงงานนี้ว่าเริ่มแล้ว พูดถึงกิจกรรมต่างๆ ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็สรุปไว้ว่า
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าจากการรณรงค์อย่างเป็นทางการ และการกระตุ้นของสื่อทุกแขนงคงจะทำให้คนไทยเราหันมาอ่านหนังสือมากขึ้น
สังคมไทยเรากำลังพัฒนาไปสู่ "สังคมแห่งการเรียนรู้" ยิ่งขึ้นทุกๆ ปี หลังการจัดงานมหกรรมหนังสือในแต่ละปีผ่านไป...
อ่านแล้วก็...อืม...จริงหรือครับ งานแบบนี้ ทำให้คนไทยเราหันมาอ่านหนังสือมากขึ้น และพาสังคมไทยสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ยิ่งขึ้นทุกปี
อืม...งานเทกระจาดแบบนี้ช่างมีคุณูปการยิ่งใหญ่เสียจริง
ผมว่าบรรดานักการเมืองและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คงคิดแบบ ซูม นี่ล่ะ ความคิดแบบ กำนันจัดงานวัด เห็นคนมากันเยอะก็ยิ้มแก้มปริ แล้วเหมาว่าชาวบ้านมีความสุข
เห็นพ่อแม่จูงลูกมาซื้อหนังสือ ลากกระเป๋าเดินทางกันให้ควั่ก เด็กเดินแบกหนังสือตัวแอ่น เห็นแต่ละบูธมีคนเบียดเสียดแน่นขนัด รถจอดกันแน่นพรึบ
เห็นแล้วก็ โอ๊ย...ปลื้ม คนไทยอ่านหนังสือกันเยอะจริงๆ...แบบนี้หรือครับ?
ปกติบ้านเรามีแค่ชนชั้นกลางขึ้นไปเท่านั้นที่มีกำลังซื้อหนังสือ ตาสีตาสา ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ เขาซื้อหนังสือให้ลูกให้หลานอ่านไม่ได้หรอก หรือบางทีพวกเขาไม่มีเวลามาคิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ
มองแบบไม่หลอกตัวเอง...คนที่มาเดินซื้อหนังสือในงานแบบนี้ สถานที่แบบนี้ ก็คือชนชั้นกลางกลุ่มเดิมที่มีกำลังซื้อ และซื้อหนังสือ(บางประเภท) อ่านอยู่แล้ว กระทั่งกลายเป็นงาน เพิ่มกำลังซื้อ ของพวกเขาแค่นั้นเอง
หรือว่าการส่งเสริมการอ่านไม่จำเป็นต้องรวมคนกลุ่มล่างด้วย?!?!
และเมื่อมองแบบยอมรับความจริง...เจ้าภาพที่ชื่อ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ก็ฟ้องยี่ห้ออยู่แล้วว่าจัดงานนี้เพื่อขาย...ขาย...ขาย...และปล่อยหนังสือจากสต๊อก อย่ามาแต่งองค์ทรงเครื่องว่าจะ ส่งเสริมการอ่าน เลย เรียกว่า ส่งเสริมการขาย ท่าจะเหมาะกว่า
งานส่งเสริมการอ่านอีกงานที่ชื่อ งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ คุ้นๆ ไหมครับว่าแต่ก่อนมีเจ้าภาพเป็นกรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ และสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯ สถานที่จัดงานคือ คุรุสภา เดี๋ยวนี้เป็นไงครับ ไม่รู้ท่าไหน สมาคมผู้จัดพิมพ์ฯกลายมาเป็นโต้โผใหญ่ ปล่อยให้ ศธ. กับ สสส. เป็นแบ๊คอัพ เรียกว่าเอกชนชนะราชการราบคาบ พอปี 2546 ก็ย้ายงานมาที่ศูนย์สิริกิติ์ ผลคือเราแยกไม่ออกเลยว่าสองงานนี้แตกต่างกันยังไง นอกจากเป็นมหกรรมขาย..ขาย...ขาย... หรืองานเพิ่มกำลังซื้อให้คนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้วเหมือนๆ กัน (ขนาดป้ายไฟในงานที่จัดอยู่นี้ยังขึ้นเฉยเลยว่า สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ)
มกุฏ อรฤดี เจ้าของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ที่ถูกนักการเมืองกับข้าราชการดัดแปลงความคิดเรื่อง สถาบันหนังสือแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ไว้ในนิตยสาร way ฉบับเดือนกันยายนที่ผ่านมาได้น่าสนใจมาก
คัดมาบางตอนครับ
ทุกครั้งที่ติดตามข่าวได้ยินเขาพูดว่า การอ่านของคนในประเทศไทยต้องเริ่มจากครอบครัว ผมก็หัวเสียทุกที(หัวเราะ) เพราะคนเหล่านี้พูดอย่างไม่เข้าใจอะไรจริงๆ...
ครอบครัวส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นครอบครัวแบบไหน ส่วนมากเป็นครอบครัวเกษตรกรรม ซึ่งพ่อแม่ไม่ค่อยมีความรู้ ไม่ค่อยรู้หนังสือ หรือรู้แต่ไม่ใส่ใจ อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกหาเช้ากินค่ำ เราเอาคติพจน์อันนี้ไปพูดกับคนทุกกลุ่มเลย ไปพูดกับชาวนา เกษตรกร บอกว่าการอ่านต้องเริ่มจากครอบครัว ไปพูดกับคนงานที่ต้องตื่นเช้าตี 4 แล้วก็กลับมา 3-4 ทุ่ม กลับมาถึงลูกก็นอนแล้ว...
ถามว่าหนังสือสำหรับเด็กเล่มละเท่าไหร่ แล้วคุณไปบอกว่าการอ่านต้องเริ่มขึ้นจากครอบครัว นั่นหมายความว่าเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะต้องสนับสนุนการอ่านของลูกใช่ไหม ได้เงินวันนี้ตอนเย็น 200 บาทอย่างสูงสุดเลย รวมทั้งค่ากิน ค่าอยู่ ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ค่าอะไรอีกจิปาถะ วันรุ่งขึ้นก็ออกตั้งแต่ตี 5 ถามว่าจะเอาเงินและเวลาไหนมาสนับสนุนให้ลูกอ่านหนังสือ...
ตอนนี้เราโทษเด็กหมดเลยว่า เพราะมันไม่อ่านหนังสือ มันไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เอาอย่างนี้ว่าถ้าหากวันหนึ่งเด็กทั้งประเทศลุกฮือขึ้นมาอ่านหนังสือ เด็ก 20 ล้านคนลุกขึ้นมาอ่านหนังสือเหมือนมดปลวกเลย ถามว่าคุณจะเอาอะไรให้เขาอ่าน แล้วมันก็จะไปเจออีกปัญหาหนึ่ง...คือว่านักเขียนในเมืองไทยที่จะเขียนหนังสือให้เด็กอ่านนั้นมีกี่คน นักแปลเมืองไทยที่แปลหนังสือให้เด็กอ่านสนุก ดี ถูกต้อง มีกี่คน บรรณาธิการที่จะตรวจต้นฉบับให้ถูกต้องและดีมีกี่คน...
เรากำลังทำลายระบบร้านหนังสืออิสระ ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า stand alone หมายความว่าร้านหนังสือที่ไม่มีเครือข่าย ใครสักคนหนึ่งรักที่จะเปิดร้านหนังสือ มีสตางค์ มีสถานที่ก็ไปเปิดร้าน ร้านอย่างนี้นับวันจะอยู่ไม่ได้ อยู่ไปเรื่อยๆ ก็จะต้องเลิก เพราะว่าคนส่วนใหญ่รู้ว่าพอถึงช่วงเวลาหนึ่งจะไม่มีหนังสือใหม่ออกมา รวมถึงหนังสือที่ไปซื้อตามร้านหนังสือก็ไม่ได้ลดราคา ไม่ได้ของแจกของแถม ไม่ได้อะไรทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นเขาก็รอเก็บเงินจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะไปซื้อในงาน พอทุกคนคิดเหมือนกันตรงกันอย่างนี้ คนจัดงานก็ภูมิใจว่ามีคนมาร่วมงานเป็นแสนเป็นล้านในแต่ละครั้ง แต่ว่าสิ่งที่ถูกทำลายไปก็คือระบบกลไกของการซื้อขายหาอ่านหนังสือตามปกติ...
การลดราคาหนังสือไม่ได้ช่วยให้คนอ่านหนังสือมากขึ้น แต่คนซื้อหนังสือมากขึ้น ซึ่งเขาซื้อด้วยสิ่งล่อหลอกว่า เขาได้ลดราคาหนังสือ แต่ผลที่จะตามมันไม่ใช่ในทางที่ดี...
ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ มีประชากร 10 กว่าล้านคน มีห้องสมุดกี่แห่งที่เป็นห้องสมุดจริงๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าไม่นับหอสมุดแห่งชาติเพราะยืมหนังสือออกมาไม่ได้...ก็ไม่มีสักแห่งเลย น่าตกใจนะครับ เมืองหลวงของประเทศซึ่งมีประชากร 60 กว่าล้านคน แต่ไม่มีห้องสมุดที่ให้ยืมออกอย่างดีตามระบบของชาติที่เจริญแล้วแม้แต่แห่งเดียว...
สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายควรจะดูแลร้านขายหนังสือเล็กๆ ด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นสมาชิกหรือไม่ก็ตามก็ควรจะดูแลเขาด้วย เพราะว่าเป็นสิ่งสำคัญ ร้านหนังสือยิ่งเล็ก ยิ่งอยู่ไกลเท่าไหร่ ยิ่งสำคัญมากเท่านั้น ร้านขายหนังสือไม่ได้มีหน้าที่เพียงแต่รับหนังสือมาแล้วขายไปอย่างเดียว เป็นที่ประชาสัมพันธ์ เป็นที่ส่งข่าวสารของสำนักพิมพ์และนักเขียน เป็นที่ให้ทดลองอ่านหนังสือบางเล่ม เป็นที่ให้เสมือนหนึ่งเป็นห้องสมุดกลายๆ สำหรับคนไม่มีสตางค์ เป็นอะไรหลายๆ อย่าง
เราต้องคิดให้ไกลหน่อย อย่าไปคิดเพียงแต่ว่าปีนี้จะขายเอาจากงานที่ศูนย์สิริกิติ์กี่สิบล้าน แล้วก็รีบผลิตกัน ถามว่ามันส่งผลอะไรอีก ทุกครั้งเวลาใกล้งานสัปดาห์หนังสือฯ หรือใกล้งานมหกรรมหนังสือฯ ราคากระดาษจะสูงขึ้น กระดาษขาดตลาด เพราะทุกคนแห่ไปซื้อตอนนั้นกันหมดเลย แต่ช่วงหลังจากนั้นกระดาษจะราคาถูกและไม่มีคนใช้กระดาษ ทำให้ราคากระดาษในตลาดปั่นป่วน คุณภาพของกระดาษก็เปลี่ยนไปเพราะว่าโรงงานต้องเร่งผลิตให้ทันช่วงนี้...
............................
เลิกมองอะไรแบบอุดมคติ ประเภทเมืองไทยนี้ดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว และก็สร้างฝันสวยหรูด้วยคำพูดได้แล้วครับ มองความเป็นจริงและทำอะไรโดยยึดอิงกับความจริงกันหน่อย
ไม่งั้นอีกกี่ปีคนไทยก็ยังอ่านหนังสือปีละไม่กี่บรรทัดอยู่เหมือนเดิมนั่นล่ะ
บล็อกที่อัพพร้อมกัน : A Time for Drunken Horses เรื่องราวของชาวเคิร์ด
Create Date : 21 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 24 ตุลาคม 2550 4:15:20 น. |
|
7 comments
|
Counter : 1155 Pageviews. |
|
|
|
โดย: Meursault วันที่: 24 ตุลาคม 2550 เวลา:13:14:33 น. |
|
|
|
โดย: กามูร์มาแระ IP: 124.120.100.50 วันที่: 24 ตุลาคม 2550 เวลา:23:59:25 น. |
|
|
|
โดย: กามูร์อีกรอบ IP: 124.120.100.50 วันที่: 25 ตุลาคม 2550 เวลา:0:06:22 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [?]
|
บทวิจารณ์ภาพยนตร์รางวัลกองทุน ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ ปี 2549 ..............................
พญาอินทรี
ศราทร @ wordpress
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|