bloggang.com mainmenu search
 

พิมพ์ครั้งที่ ๕ มีนาคม ๒๕๕๕ สำนักพิมพ์อรุณ

จากผู้เขียน

หนึ่งชีวิตคนเราก็ไม่ต่างจากหนึ่งวารวัน เวลาในวัยเยาว์ของทุกคนก็คือการเริ่มต้นด้วยความสดใส  เป็นดั่งยามเช้าที่บรรเจิดแจ่ม บริสุทธิ์ด้วยแสงตะวันอ่อนอุ่นและน้ำค้างซึ่งค้างอยู่บนยอดหญ้า ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ไม่ว่าจะต้องแบกรับความทุกข์ยากสักเท่าใด ดวงตากับดวงใจอันสดใสของเด็กก็จะทำให้มัน "คล้าย" ไม่ใช่ทุกข์

เมื่อแดดสายแรงกล้า  ก็ไม่ต่างจากวัยที่มากขึ้นจนต้องเรียนรู้ ต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอด ต้องกัดฟันยอมรับและบากบั่นพาชีวิตของตนเองให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปให้ได้ เช่นเดียวกับการเดินดุ่มท่ามกลางแสงรวีที่แผดจ้ามุ่งเข้าสู่ยามสนธยา

แล้วทุกชีวิตก็ต้องจบลงอย่างเสมอหน้าด้วยราตรีกาล .. ไม่มีวันวันไหนที่ไร้ราตรี ไม่มีชีวิตใดจะอยู่ยั่งยืนไปตลอดกาล

หากการเริ่มชีวิตอย่างไร จบชีวิตแบบไหน ไม่สำคัญเท่ากับวิธีการใช้ชีวิตในวารวันหนึ่งนั้น  เพราะไม่มีใครเลือกเกิดได้ เท่าๆ กับที่ไม่มีใครเลือกได้ว่าชีวิตของตนจะจบลงที่ตรงไหนและอย่างไร เส้นทางระหว่างจุดเริ่มต้นกับจุดจบต่างหาก ที่ทุกคนมีสิทธิ์เลือก มีสิทธิ์สร้าง

หากเลือกและสร้างให้เส้นทางนั้นสวยงามมีคุณค่าด้วยการให้เบญจศีลและฆราวาสธรรมเป็นเครื่องกำกับดูแลการเลือกและการสร้างทุกย่างก้าว ความภาคภูมิในตนเองที่ได้มุ่งมั่นฟันฝ่าอย่างสุจริต ภาคภูมิที่เพียรประกอบกรรมดี ยึดศีลและธรรมเป็นเครื่องนำชีวิตมาได้จนถึงปลายทาง

จะกลายเป็นแสงสว่าง กลายเป็นความงดงามในวารวันของชีวิต

ปิยะพร ศักดิ์เกษม

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

ว่าจะไม่คัดอะไรจากหนังสือมายาวๆ ก็อดใจไม่ได้ค่ะ  ต้องยกเอา 'จากใจผู้เขียน' มาไว้ตรงนี้อีกแล้ว เพราะมีความปรารถนาจะแสดงให้เห็นถึงคุณค่าสาระของการอ่านนวนิยาย ที่ไม่ใช่แค่เรื่องพาฝันกับความเพ้อฝันของคนอ่านแค่นั้น คออ่านนวนิยายด้วยกันเท่านั้นจะเข้าใจ ณ จุดๆ นี้ (โปรดออกเสียงแบบพี่โน๊ตอุดม ในเดี่ยว ๑๐)    อีกทั้งยังอยากจะ 'อวด' สำนวนภาษาการเขียนนวนิยายของคุณปิยะพรที่เราติดอกติดใจนักหนา ให้ปรากฏแก่สายตานักอ่านทั่วไปที่ยังไม่เคยอ่าน เผื่อจะเป็นความน่าสนใจให้ลิ้มลอง .. สักเล่ม (แล้วคุณจะติดใจSmiley)

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

จากสำนักพิมพ์

นวนิยายอิงประวัติศาสต์ที่ "ปิยะพร ศักดิ์เกษม" เขียนด้วยหัวใจ เขียนด้วยความรักท่วมท้นที่มีต่อบ้านเกิดเมืองชลบุรี  ด้วยความปรารถนาจะเก็บเรื่องราวในท้องถิ่นที่เด็กปัจจุบันไม่รู้ รวมถึงประวัติศาสตร์ในส่วนที่ไม่มีในตำรามาบันทึกเอาไว้

และเจตนาสำคัญที่สุดคือ เขียนนวนิยายที่พูดถึงการรักษาศีล ประพฤติธรรม และอ่านสนุกด้วยในเวลาเดียวกัน เพื่อความสุขในการอ่านของแฟนๆ ของเธอทุกคน

สำนักพิมพ์อรุณ

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

เช่นกัน  ต้องยก 'จากสำนักพิมพ์' มาด้วย เพราะเขียนได้ตรงความคิด อ่านนวนิยายเรื่องนี้แล้ว เรารู้สึกได้ถึงคำว่า "เขียนด้วยหัวใจ ... เขียนด้วยความรักท่วมท้นที่มีต่อบ้านเกิดเมืองชลบุรี"  มันจริงแท้แน่นอนที่สุด  .. อิจฉาแทนคนชลบุรี ที่มีนักเขียนฝีมือดีๆ มาช่วยเก็บบันทึกเรื่องราวในท้องถิ่นวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นในอดีตให้มาอยู่ในรูปแบบของนวนิยายที่สนุกเพลิดเพลิน ทั้งยังสอดแทรกด้วยคุณธรรมที่ไม่ใช่เพียงให้แง่คิดกับชีวิต แต่ควรจะยึดถือเป็นหลักในการใช้ชีวิตได้เลย

ในวารวัน เป็นเรื่องราวของ "แม่วัน"  ที่เกิดมาอาภัพนัก พ่อตายจากตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์ หลังลืมตาดูโลกไม่นานแม่ที่ตรอมตรมใจก็มาด่วนลาโลกจากไปอีกคน  แม่วันจึงถูกเลี้ยงดูมาโดย "ย่าวง"  แม่วันเป็นถึงหลานสาวคหบดีเพิ่ม แต่ชีวิตกลับไม่ได้หรูหราสุขสบายสมกับฐานะหลานสาวเศรษฐี เพราะตั้งแต่ปู่เพิ่มเสียชีวิต ย่าวงก็ถูก "ป้าพริ้ง" ลูกติดสามีที่เกิดจากภรรยาคนแรกยึดโกงทรัพย์สมบัติไปจนหมด ทั้งที่ย่าวงก็ไม่ใช้เมียน้อย เพราะแม่ของแม่พริ้งเสียชีวิตไปแล้ว ก่อนที่ย่าวงจะแต่งงานเข้ามาเป็นคุณนายคนใหม่ของบ้าน แต่เมื่อท่านคหบดีสิ้น แม่วงก็ถูกลดฐานะไปเป็นเพียงผู้อยู่อาศัยในเรือนหลังเล็ก ต้องตะลอนๆ ออกไปรับจ้างทำงานสารพัดเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและหลานสาวตัวน้อย

เป็นบุญของย่าวงเป็นกุศลของคนดี แม่วันหลานย่าที่ทุ่มแรงกายแรงใจเลี้ยงดูมาด้วยความรักความเอาใจใส่ ก็เติบโตขึ้นมาเป็นคนดีให้ชื่นใจสมกับที่ได้เฝ้าอบรมบ่มนิสัยด้วยคุณธรรมความดีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด แม่วันทั้งขยันขันแข็งช่วยทำงาน ทั้งมองโลกในแง่ดีและจิตใจเปี่ยมไปด้วยความดีงามไหนจะเรื่องรูปร่างหน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดูมาตั้งแต่เด็กจนโตเป็นสาว .. แม่วันของย่าวงถ้าไม่นับเรื่องขาดแคลนทรัพย์สมบัติก็นับได้ว่าเป็นผู้หญิงที่งามพร้อม

ที่จริงแล้วทรัพย์สมบัติก็พอมีทั้งจากที่สองย่าหลานช่วยกันทำงานเก็บหอมรอมริบ แม่ของแม่วันที่แม้ไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้าแต่ก็มีเครื่องทองของมีค่าติดตัวมาไม่น้อย เป็นปริศนาว่าฐานะดั้งเดิมคงไม่ใช่หญิงชาวบ้านที่ยากจนข้นแค้น แต่หลังจากสิ้นย่าวง ของทุกอย่างที่มีก็สูญสิ้นไปด้วย เพราะถูกป้าพริ้งโขมยไปหมดอย่างหน้าด้านๆ  แม่วันนอกจากจะเหลือตัวคนเดียวยังเหลือแต่ตัว ต้องอดทนใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นที่เริ่มต้นจากทรัพย์เป็นศูนย์  

แต่เงินทองของนอกกายไม่ตายก็หาเอาใหม่ได้ ท่ามกลางความยากไร้ แม่วันคนดีมุมานะขยันทำมาหาเลี้ยงชีพ และขยันหมั่นอดออม  ทั้งที่ทำงานงกๆ เนื้อตัวเปื้อนเลนโคลน เหงื่อโทรมกายทุกวัน แต่ความงามของแม่วันที่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใต้สภาพมอมแมมในเสื้อผ้าทำงานเก่าๆ โทรมๆ  ก็ไม่อาจหนีพ้นสายตาอันแหลมคมของ "พ่อเทิด" ไปได้   

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

"พ่อเทิด"  เป็นลูกชายของหลวงประสิทธิ์จีนเจริญหรือนายอากรซ้ง ที่เริ่มรู้จักมักคุ้นกับแม่วันตั้งแต่เขายังเป็นหนุ่มน้อยวัยรุ่นอายุ ๑๗  และแม่วันตอนนั้นอายุ ๑๑ ปี  ความเมตตาเอ็นดูที่ "พี่เทิด" มีให้แม่วันแต่ครั้งเยาว์วัย ให้ความรู้สึกอบอุ่นน่ารักน่าเอ็นดู เหมือน "พี่ไกร" กับ "ดาวเรือง" (สายโลหิต-โสภาค สุวรรณ) เหมือน "พ่อฟัก" กับ "แม่เพ็ง" (รัตนโกสินทร์-ว.วินิจฉัยกุล) ไม่มีผิด  พอเติบโตขึ้น จากที่ไม่ได้มองเห็นแค่ความงามของรูปกาย แต่ยังเห็นทะลุปรุโปร่งถึงความงามในห้วใจทองเนื้อแท้ของแม่วัน  จากความเมตตาเอ็นดูน้องน้อยเมื่อครั้งเยาว์วัยก็แปรเปลี่ยนหัวใจของพี่เทิดให้เป็นความรักความเสน่หาที่ผูกพันกันด้วยสายใยแน่นแฟ้น

แล้วพี่เทิดกับแม่วันก็หวานซ้า ... เดือดร้อนเจ้าดอกจำปี ที่ต้องถูกเด็ดจากต้นมาเป็นสื่อรักของพี่เทิดกับแม่วันในทุกค่ำเย็น

ถ้าแม้แต่สาวไร้ญาติดีๆ และขาดสมบัติมั่งมีเงินทองอย่างแม่วันยังงามพร้อม ..  พ่อเทิด ลูกชายของนายอากรซ้งผู้ร่ำรวยทั้งเงินทองและยศศักดิ์จะงามเลอค่าสักขนาดไหน  ถึงไม่ใช่ลูกชายคนโตของบ้าน แต่ก็เป็นลูกชายภรรยาเอก ที่เอาการเอางานเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสืบทอดดูแลกิจการ เป็นลูกชาย "คนใหญ่" เป็นหัวเรือใหญ่ของครอบครัว คนเดียวที่จะเป็นหลักให้บ่าวบริวารได้พึ่งพิงให้หลวงประสิทธิ์ได้ฝากฝีฝากไข้ยามแก่ชรา มิหนำซ้ำยังเป็นแมนชาตรีที่รูปงาม จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของสาวๆ ทั่วย่าน ไหนจะ "แม่พิศ" ลูกสาวป้าพริ้ง ไหนจะ "แม่ดารา" ลูกสาวเศรษฐีท้ายคลอง ซึ่งหากได้แต่งกันไปก็เรือล่มในหนอง ทั้งคุณสมบัติรูปสมบัติ สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก

แต่พ่อเทิดน่ะ  นอกจากดอกจำปีของแม่วันที่ต้นริมคลองหน้าประตูหลังเรือนแล้ว  อย่าว่าแต่จะคิดดอมดมดอกไม้อื่นใดเลย เพราะแค่กลิ่นหอม...พ่อเทิดก็จะไม่ได้กลิ่นดอกไม้ใดอีกแล้วนอกจากดอกจำปีของพี่เอย

"ไม่ต้องห่วงหรอกนะ เพราะพี่จะไม่มีวันผิดคำสัญญาทวนคำสาบาน

 หากได้จำปีดอกนี้แล้ว พี่จะไม่มีวันดอมดมดอกไม้อื่นอีกตลอดชีวิต"

อ๊ากก  เขาจีบกันในหนังสือเป็นตัวอักษร ทำไมรู้สึกอายม้วน เขินจัด ประหนึ่งโดนพี่เทิดจีบเองซะงั้น หนุ่มสาวสมัยก่อนเขาจีบกันหวานได้น่ารักมากเลยนะคะ  นอกจากจะชอบเรื่องราวความรักความผูกพันของพ่อเทิดกับแม่วันที่ก่อร่างสร้างสัมพันธ์มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเด็ก  ยิ่งชอบมากขึ้นในช่วงที่พ่อเทิดโตเป็นหนุ่มใหญ่ในขณะที่แม่วันที่เพิ่งเริ่มโตเป็นสาวและยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวเกี่ยวกับความรักในแบบหนุ่มสาว จึงมีแต่ความใสซื่อไร้จริตมารยาที่เมื่อครั้งยังเด็กเคยรักเคยนับถือพี่เทิดที่เมตตาเอ็นดูตนอย่างไร โตขึ้นก็ยังคงมองพี่เทิดด้วยความรักความนับถือไม่แปรเปลี่ยน หารู้ไม่ว่าคนถูกมองนั้นเปลี่ยนไปเพราะหัวใจชักมีอาการแกว่ง แม้จะปลอบตัวเองว่า นี่เป็นเด็ก! แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น! แต่มันก็ไม่ค่อยจะได้ผล  เพราะพี่เทิดเห็นอยู่กับตารู้อยู่แก่ใจ นี่ไม่ใช่เด็ก!  แม่วันเด็กน้อยที่พี่เทิดเคยมอบแหวนให้ในวันโกนจุก .. เติบโตเป็นสาวที่งามทั้งกาย..งามทั้งใจ

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

แต่โลกของคนดีมักต้องมีมารมาคอยผจญ ชีวิตของแม่วันเคยทุกข์โศกเพราะญาติพี่น้องเลวๆ อย่างไร ก็ยังคงต้องลำบากทุกข์ใจเพราะญาติพี่น้องอยู่อย่างนั้น ยิ่งเมื่อแม่พิศคิดหมายปองพี่เทิดของแม่วัน ความรังเกียจเดียดฉันท์ที่เคยมีอยู่แล้วยิ่งทวีความเกลียดชังขั้นรุนแรง  แต่ก็อีกเช่นกันที่คนดีผีคุ้ม คนดีพระคุ้มครอง แล้วกรณีแม่วันเนี่ย ... ยังเป็นคนดีที่มีพี่เทิดคอยปกป้อง  Smiley 

เหตุการณ์เลวร้ายที่แสดงให้เห็นมาดลูกผู้ชายหัวใจนักเลงของพี่เทิด เขียนได้ระทึกใจดี การวางแผน รวบรัดตัดตอน จัดการเรียบหมด ทั้งการให้บทเรียนกับคนชั่วอย่างทั่วถึง อย่างรุนแรงและสะใจ ทั้งนำพาแม่วันเข้าสู่พิธีแต่งงานให้จบเรื่องจบราวอย่างรวดเร็ว และด้วยวิธีที่เกินคาดคิด (ถูกใจพี่เทิด)  เรื่องราวต่อเนื่อง ๙-๑๐ บทนั้น เป็นอะไรที่ปลื้มเปรมในตัวพี่เทิดสุดๆ  

เอาล่ะ อย่าหวานไปมากกว่านี้  มากล่าวถึงคุณค่าของนวนิยายที่นอกเหนือจากการให้ความสุขใจในเรื่องของความรักจากเด็กยันแก่ของพี่เทิดกับแม่วัน  มาสู่ความรักในแบบอื่นบ้าง

ความรักในบ้านเกิดเมืองนอน  ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ที่ถูกเรียงร้อยถ้อยคำบรรยายอย่างละเมียดละไมในนวนิยายเรื่องนี้ เชื่อสุดใจเลยว่ามันออกมาจากความรักชลบุรีของคุณปิยะพรอย่างถึงแก่น เกร็ดประวัติศาสตร์ก็ละเอียดละออถูกใจคนรักนวนิยายย้อนยุคอย่างแน่นอนค่ะ

ความรักในพระเจ้าแผ่นดิน   เรื่องเริ่มใน พุทธศักราช ๒๔๔๕ จุลศักราช ๑๒๖๔ รัตนโกสินทรศก ๑๒๑ เป็นปีที่ ๓๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  จบลงในช่วงพุทธศักราช ๒๔๘๖ จุลศักราช ๑๓๐๕ รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ เป็นปีที่ ๙ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

เอาจริงๆ เลยนะ เราไม่รู้ว่าจุลศักราช หมายถึงอะไรและนับอย่างไร แต่การได้เอ่ยถึงอะไรต่างๆ ที่เป็นไทยดั้งเดิม แม้แต่คำว่า "พุทธศักราช" ที่นานทีปีหนจะได้เอ่ยคำเต็มๆ จากที่พูดอยู่แต่คำว่า พ.ศ. หรือแม้แต่การพิมพ์เลขไทย มันก็ทำให้รู้สึกดีนะ  นอกจากความเป็นไทย วิถีชีวิตท้องถิ่นดั้งเดิมที่เรียบง่ายและเป็นสุขแล้ว ส่วนหนึ่งในชีวิตของคนไทยสมัยก่อนที่เทิดทูนไว้เหนือเกล้าก็คือกษัตริย์ของแผ่นดินที่เรียกกันว่า "ในหลวง"

... เพียงนั่งทำงานกันได้ไม่เท่าไร  ใครสักคนก็วิ่งโครมๆ เข้ามาบอก ..'ในหลวงจะเสด็จฯ เมืองชล' เรือโมเตอร์ที่ประทับเตรียมเข้าเทียบท่าที่สะพานศาลเจ้า ... เพียงเท่านั้นเองวงกก็แตก!

ทุกคนในโรงเรือนที่ทำงานอยู่วิ่งกรูกันออกมาดูตรงปลายสะพาน แม่วันเห็นตรงกลางทะเลกว้างเวิ้งว้างนั้น มีเรือลำใหญ่ของทหารเรือแบบที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเรือตอร์ปิโดจอดทอดสมออยู่ และมีเรือยนต์ลำเล็กลำหนึ่งแล่นตรงเข้ามายังท่าเรือที่สะพานศาลเจ้าซึ่งมีเรือเมล์จอดเทียบอยู่แล้วสองลำ ทั้งคนบนท่าเรือก็เคลื่อนไหวคึกคักผิดสังเกต

ดูท่าแล้วคงเป็นจริงตามข่าวลือ! คงเป็นอย่างที่ครูเนื่องออกปากเอาไว้เมื่อวันวาน .. หากบุญถึง เราคงได้เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทสักวัน! 

ไม่ต้องหยุดคิดอีกแม้สักวินาทีเดียว แม่วันเผ่นนำหน้าใครต่อใครลงเรือมาดลำน้อยที่พายมาจากบ้านเมื่อเช้า ใจหวนนึกถึงครูเนื่อง อยากให้เข้าร่วมชมพระบารมีด้วย แล้วยังนางจาด นางปริก...

การบรรยายฉากความโกลาหลเล็กๆ ของประชาชนผู้ตื่นเต้นจะได้รอรับเสด็จในหลวงและความตื้นตันเมื่อได้ชื่นชมพระบารมีชวนซาบซึ้งมาก ไม่รู้เป็นอะไรถ้าเจออะไรที่เขียนเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวจะรู้สึกอ่อนไหวน้ำตาซึมทุกที วันนั้นดูข่าวในหลวงของเราเสด็จวังไกลกังวลก็น้ำตาซึมค่ะ อินไปกับคนที่ได้มีโอกาสรอรับเสด็จด้วย เมื่อครั้งยังเด็กเคยไปถือธงรอรับเสด็จของสมเด็จพระเทพฯ ใช่ว่าจะได้เห็นชัด แค่รถพระที่นั่งวิ่งผ่าน ไม่รู้ทำไมความปลื้มปีติถึงได้ล้นอกล้นใจ ครั้งหนึ่งในชีวิต เคยไปรอรับเสด็จในหลวงที่สนามหลวง คนมากมาย (ในเสื้อสีเหลือง) มากซะจนเบียดเสียดเยียดยัดและเราก็ไม่มีบุญพอจะสบช่องได้เห็นพระองค์ท่านด้วยซ้ำ แต่แค่ได้โบกธง ได้เปล่งเสียง ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ! ทรงพระเจริญ! ก็ซาบซึ้งจนน้ำตาปริ่ม เป็นความสุขความอิ่มเอิบใจอย่างยิ่ง  เราเข้าใจเลยว่าทำไมคนที่ได้รับเสด็จในข่าวทีวีถึงปลื้มปีติจนต้องร้องไห้ออกมา  อย่าว่าแต่ได้เห็นในหลวงเลย แค่ได้ลงนามถวายพระพรแต่ละครั้งนอกจากจะเกิดความรู้สึกซาบซึ้งแล้ว ในวินาทีที่เราเขียนว่าเราจะทำอะไรเพื่อในหลวง ในถ้อยคำที่ได้เปล่งปฏิญาณในพิธีการต่างๆ สำหรับเราแล้วล้วนเป็นความมุ่งมั่นมาจากใจ  นี่เองละมังที่เป็นพลังแห่งพระบารมี

ดังนั้น ถ้อยคำ .. 'ภาพนี้ไม่มีวันลบไปจากความทรงจำ'  ...   'จำได้ติดตาแม้กระทั่งรองพระบาทหนังบางๆ '   'แช่มชื่นฉ่ำเย็นไปทั่วทั้งร่าง' '    ความปีติอิ่มเอิบที่แล่นพล่านไปทั่ว'     'ความอิ่มเอมใจวันนี้ สามารถเก็บไว้ดื่มกินได้ตลอดชีวิต'    'จะจำไว้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ' ฯลฯ เชื่อว่าสำหรับคนเคยได้มีบุญเข้าเฝ้าในหลวงจะรัชกาลไหนก็เถอะ คงจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี ในนวนิยายเรื่องนี้ได้บอกเล่าถึงเหตุการณ์และสถานที่ในอดีตที่มีความเกี่ยวข้องกับในหลวงซึ่งถือเป็นประวัติศาตร์ของ จ.ชลบุรี ที่ชาวชลบุรีควรได้ภาคภูมิใจ 

สุดท้าย ที่อยากจะเอ่ยถึง คือ

ความรักในคุณธรรมความดี  เราอาจไม่ใช่คนดีถึงขนาดแม่วันหรอกนะ เพราะอย่างแม่วันเรื่องนี้น่ะ จัดระดับอยู่ในคำว่าดีเลิศประเสริฐศรี  แต่เราไม่ปฏิเสธความดีในแบบของแม่วัน แม้หลายคนอาจมองว่าคนดีขนาดนั้นคงอยู่ในโลกอย่างทุกวันนี้ไม่ได้  .. ไม่รู้สินะ ถึงเราเป็นคนดีแบบนั้นไม่ได้ แต่ในฐานะที่เป็นชาวพุทธ เราคิดว่าสิ่งที่แม่วันทำนั้นถูกและดีงามแล้ว แม้ว่าส่วนตัวเราจะชอบคนแบบพ่อเทิดมากกว่า คือเจ็บแล้วจำ ใครร้ายมาต้องร้ายสั่งสอน แต่ถ้าเราเชื่อในความดีแบบที่แม่วันตั้งใจกระทำ ก็หวังว่าความเชื่อนี้จะน้อมใจให้อ่อนโยนและเป็นคนดีที่ดีได้สักเสี้ยวของแม่วันน่ะนะ   หลายสิ่งก็ตรงกับทัศนคติความเชื่อของเราเองอยู่แล้ว ทั้งความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เราคิดว่ามันได้ลดน้อยหายไปมากจากสังคมไทยในยุคปัจจุบัน  ความกล้าคิดกล้าแสดงออก ความตรงไปตรงมามันสับสนกันไปค่อนข้างมากกับคำว่า  'กร่าง' และ 'เกรียน'   ความกตัญญูรู้คุณที่เราถูกอบรมสั่งสอนมาก็ดี หรือที่เราได้พบเห็นมามากในกุศลผลบุญของคนที่รู้จักกตัญญูรู้คุณก็ดี เรามีความเชื่อสุดจิตสุดใจเลยว่า คนที่มีความกตัญญูชีวิตจะเจริญรุ่งเรือง หรือต่อให้มีเวรเก่ากรรมใดให้ต้องตกทุกข์ได้ยากก็จะไม่ลำบากยากเข็ญอยู่นานหรือหาทางออกไม่ได้   แม่วัน..แม้จะอาภัพหนักหนา มีญาติ..ก็เป็นญาติอัปรีย์  พ่อเทิดแม้จะเดือดเนื้อร้อนใจเพราะภรรยาอีกคนของคนของคุณเตี่ย คือ  "แม่ชั้น" กับลูกหญิงชายของนาง  แต่ที่ชีวิตโดดเดี่ยวของแม่วันไม่เคยโดดเดี่ยวเพราะเต็มไปด้วยอภิชาตมิตรที่รักและหวังดีต่อแม่วันยิ่งกว่าเป็นญาติ ย่าเนื่อง ยายจาด ยายปริก คนในครอบครัวพี่เทิด หรือใครต่อใคร ที่ได้รู้จัก "นังหนูวัน"  ก็เป็นเพราะโอบอ้อมอารีย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตน เช่นเดียวกัน ที่พ่อเทิดที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นที่เอ็นดูของแม่ใหญ่ เป็นที่รักห่วงใยของบรรดาคุณพี่  คุณอิน คุณอี่ คุณอ้าย คุณเอิบ ก็เพราะความกตัญญูรู้คุณต่อคุณเตี่ย ความขยันขันหมั่นเพียร รู้จักทดแทนคุณด้วยการรับผิดชอบการงานตั้งแต่อายุยังน้อย

เรื่องของคุณธรรมความดีในเรื่องนี้ สอดแทรกอยู่ในเนื้อหามากมาย แต่ถ้าเอาเนื้อความเหล่านั้นมารวมกัน ก็สรุปได้ง่ายๆ ตามแก่นสาระของผู้ประพันธ์นั่นแหละว่าเป็น ศีลห้า และ ฆราวาสธรรมสี่ 

ศีลห้านั้นเรารู้จักกันดีแล้ว (โดยการท่อง ... ส่วนการกะทำ ..ก็ไม่รู้สินะ อิอิ)  ฆราวาสธรรมสี่เราอาจจะไม่คุ้นเคยสักเท่าไร  ขอคัดจากหนังสือมาบอกเล่า คัดมาจากฉากน่ารักฉากหนึ่งที่แม่วันตอนเด็กเคยเผลอหลับในเรือศรีประสิทธิ์ที่พี่เทิดนำออกทะเล โดยที่พี่เทิดไม่ทันรู้ว่าในท้องเรือมีแม่วันติดมาด้วย  

"เก่งนี่ รู้จักฆราวาสธรรมเสียด้วย มีอะไรบ้างล่ะ" พ่อเทิดซักอีก เด็กหญิงตัวเล็กไว้จุกที่วันนี้มีปิ่นทองลงยาฝังพลอยแพรวพราวเสียบประดับอยู่แทนปิ่นไม้หรือไม่ก็ขนเม่นแบบที่ใช้เสียบอยู่ทุกวัน ยกนิ้วขึ้นมากางนับพลางบอกเสียงใส 

"ข้อที่หนึ่งคือสัจจะ จะเป็นคนดีเราต้องมีสัจจะ ต้องซื่อสัตย์ซื่อตรง พูดอะไรกับใครไว้ก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูดค่ะ  ข้อสองคือทมะ  เราต้องรู้จักข่มใจ ต้องฝึกฝนปรับทั้งตัวปรับทั้งใจ ใช้สติปัญญาแก้ไขข้อบกพร่องแล้วสร้างความเจริญก้าวหน้าให้ตัวเอง"..............

"ข้อที่สามคือขันติ ต้องอดทน ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อถอย มีหน้าที่อย่างไรเราก็ทำไป ยึดจุดหมายปลายทางของเราเองไว้ให้มั่น ต้องเข้มแข็งทนทานกับความยากลำบาก ย่าบอกว่า แม่วันเอ๊ย เราน่ะต้องมีข้อนี้ให้มากนะ ไม่ว่าใครมันจะรังเกียจ รังแกเราอย่างไร เราก็ต้องอดทนไว้ ต้องวางตัววางใจให้อยู่ในขันติ อย่าให้กลายเป็นขันแตกไปได้ง่ายๆ".....................

"ฆราวาสธรรมข้อสี่คือจาคะ ได้แก่ความเสียสละ สละความสุขสบายและผลประโยชน์ของเราเพื่อผู้อื่นได้ ใจกว้าง ช่วยเหลือเผื่อแผ่ เอื้อเฟื้อ ไม่เห็นแก่ตัวค่ะ"..........

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

เป็นหลักชีวิตที่ดีงามที่จะขอจดจำเอาไว้   ณ จุดๆ นี้ (อย่าลืมทำเสียงแบบพี่โน๊ตอุดม) ขอน้อมใจมีความเชื่อความศรัทธาในหลักธรรมของพุทธศาสนาเรา  เชื่อในบาปบุญคุณโทษ เชื่อว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เชื่อเอาไว้ก่อน แต่จะพยายามเป็นคนดีได้แค่ไหนนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ  

จริงๆ แล้วเป็นคนดีมันก็ไม่ยากหรอก  ก็แค่ไม่ทำชั่วก็เป็นคนดีแล้ว แต่ปัญหาคือการทำชั่วมันทำง่าย (แค่วูบหนึ่งของอารมณ์)  บางครั้งการจะเป็นคนดีมันก็เลยเป็นยาก.. อยู่บ้าง   

แม่วันเป็นตัวอย่างของคนที่มีหัวใจเมตตา ไม่มีความไม่โกรธแค้น ไม่ผูกใจเจ็บ รู้จักปล่อยวาง และให้อภัย

ถ้าใครเป็นคนแบบนี้ได้ อยู่ที่ไหน อยู่อย่างไร อยู่กับใคร ชีวิตย่อมเป็นสุข  

ชอบมากค่ะ ในวารวัน.. ขอบคุณ "คุณปิยะพร ศักดิ์เกษม" สำหรับการสร้างสรรค์บทประพันธ์ที่งดงาม

Smiley   Smiley   Smiley   Smiley   Smiley

หมายเหตุ : นวนิยายเรื่องในวารวัน ได้รับรางวัลชมเชยประเภทนวนิยายจากการประกวดหนังสือดีเด่น ประจำปี พ.ศ.๒๕๔๙ จากสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ และรางวัลรองชนะเลิศอันดับหนึ่งประเภทนวนิยาย จากโครงการประกวดหนังสือดีเดี่น 7 Book Awards ครั้งที่ ๔ ประจำปี พ.ศ.๒๕๕๐

Create Date :22 สิงหาคม 2556 Last Update :22 สิงหาคม 2556 12:02:25 น. Counter : 6857 Pageviews. Comments :11