bloggang.com mainmenu search
 

สำนักพิมพ์อรุณ  พิมพ์ครั้งที่ ๕  ปี ๒๕๕๖

 

สะพาน ...

ไม่ใช่เพียงข้ามผ่านจากฝั่งหนึ่งไปสู่ฝั่งหนึ่งเท่านั้น

แต่มันจะเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างความรักกับความชัง

ความจริงกับความลวง

อดีตกับปัจจุบัน

Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley

จากสำนักพิมพ์

ใครที่ชอบเรื่องราวประเภทข้ามภพข้ามชาติ แล้วแอบฝันแอบหวังอยู่ลึกๆ ว่าจะมีโอกาสได้ย้อนอดีตไปในยุคนั้นยุคนี้ ไม่ควรพลาด 'สะพานแสงคำ' อย่างยิ่ง เพราะการย้อนอดีตของ 'เมษาริน' นั้นเป็นเหมือนแค่หลับแล้วฝันไปเท่านั้น ถ้าจะมองจากสังขารของเธอในโลกปัจจุบันที่ยังคงอยู่ครบถ้วน

ส่วนโลกในอดีตที่เธอข้ามไปก็ไม่มีใครมองเห็นเธอ ยกเว้น เจ้าเอื้อย  เธอจึงเป็นผู้สังเกตการณ์ที่ได้เปรียบอย่างที่สุด

ความลับ ความลวงของอดีตกว่าร้อยปีจึงค่อยๆ เผยทีละเล็กละน้อย ให้เธอได้นำมาปะติดปะต่อ และค้นพบความจริงที่แท้ในที่สุด

สำนักพิมพ์อรุณ

เมษายน ๒๕๕๖

Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley

การย้อนอดีต หรือข้ามภพข้ามชาติ เป็นพลอตเรื่องของนิยายหรือละครที่ไม่ถูกจริตกันเลย ดังนั้นจึงไม่เคยอ่าน ทวิภพ ไม่เคยอ่าน บุพเพสันนิวาส หรือนิยายอะไรก็ตามที่เป็นแนวการเขียนของนามปากกา "แก้วเก้า" (แต่เคยอ่าน นิรมิต อยู่เรื่องนึง)  ก่อนหน้านั้น สะพานแสงคำ จึงมีความน่าสนใจอยู่อย่างเดียวคือ เขียนโดย 'ปิยพร ศักดิ์เกษม'  แต่เมื่อได้รู้ว่าเป็นเรื่องราวต่อจาก 'รากนครา' ก็นะ ..ต้องหามาอ่านจนได้  เพราะพลังรักของเจ้าแม้นเมืองน่ะแหละ เรื่องของลูกหลานของเจ้าแม้นจึงได้อานิสงฆ์

เรื่องนี้ชอบชื่อนางเอกจังคะ  'เมษาริน' จะจดไว้นะคะ ถ้าหาผู้ชายแต่งงานด้วยได้ แล้วมีลูกสาว จะตั้งชื่อนี้ ถึงไม่เกิดเดือนเมษาที่มีฝนรินก็เถอะ คนพบเจอรู้จักชื่อเสียงเรียงนามกันใหม่ๆ จะได้สนใจถามไถ่ทุกครั้งว่า เกิดเดือนเมษาหรือ ?

... คนบางคนเกิดมาเพื่อถูกเรียกร้องให้กลับไปช่วยตัวเราเองในชาติภพที่แล้ว

และคนบางคนก็อาจเกิดมาด้วยความมุ่งมั่นสัญญาจากชาติภพเดิม ...

เนื้อเรื่องน่าสนใจชวนติดตามดีค่ะ แต่หมายถึงเฉพาะเรื่องของ  เจ้าคำประพาฬ หรือ เจ้าเอื้อย  ธิดาของเจ้าหลวงแห่งอณาจักรเชียงพระคำ กับ ไศลรัตน์ หรือ เจ้าภูแก้ว พระญาติเชื้อพระวงศ์ที่ถือกำเนิดจาก เจ้าศุขวงศ์ กับ เจ้าแม้นเมือง (จากเรื่อง รากนครา) เท่านั้นนะคะ  เพราะเรื่องราวของพระเอกนางเอกในยุคปัจจุบันคือ เมษาริน กับ ภาสุ  คิดว่าราบเรียบไปสักนิด ทั้งบทบาทและคาแรคเตอร์ นั่นทำให้ต้องปันใจไปแอบชอบ พิมลพัทธ์ อยู่เยอะเลย  เธอเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เพิ่งทราบว่าเธอเป็นนางเอกเรื่อง เรือนศิรา เรื่องนี้ยังไม่เคยอ่านจึงไม่เคยรู้จักพิมลพัทธ์มาก่อน (ชื่อพิมลพัทธ์ก็เพราะ) แค่บรรยายฉากเปิดตัว คุณพิมลเธอก็ให้ความรู้สึกถึงความสวย ความมั่นใจที่น่าเกรงขามแล้วล่ะค่ะ ทำให้สนใจอยากอ่านเรื่องเรือนศิราขึ้นมาเลยเชียว

พอคู่พระนางในยุคปัจจุบันค่อนข้างราบเรียบ (เพราะเป็นเนื้อคู่ตุนาหงันกันอยู่แล้ว จึงรักกันได้อย่างราบรื่น ) ตอนแรกคิดว่าเรื่องคงจะเน้นไปที่ เจ้าเอื้อย กับ เจ้าภูแก้ว ตามประสาคนชอบแนวเจ็บปวด อารมณ์รักร้าว หัวใจสลาย ของคู่อดีตคู่นี้ก็เกือบจะได้ละ แต่มันไม่สุด  อย่างรากนครามันเป็นเรื่องของทิฐิมานะใช่ไหมคะ มันเป็นที่สุดของเรื่องราวสุดวิสัยความเป็นไป   แต่เรื่องนี้เรามองว่าเหตุความเข้าใจผิดของเจ้าเอื้อยมันเบาไปนิด  ในความเห็นของเรา คือ แค่เพราะลมปากและความศรัทธาที่ไม่หนักแน่นเท่านั้นเอง  แต่ไม่ได้นึกตินิยายหรอกนะคะ  เพียงแต่ว่าการกระทำของตัวละครมันขัดแย้งกับแนวคิดและการกระทำของเราเอง  เพราะส่วนตัวเป็นคนที่เกิดเรื่องคาใจอะไรก็ต้องถาม แม้รู้ทั้งรู้ว่าคำตอบอาจเชื่อไม่ได้ แต่ก็ยังอยากฟัง เพราะบางครั้งในคำโกหกหลอกลวง มันก็อาจมีมูลเหตุของความจริงซุกซ่อนอยู่ให้เห็นเงื่อนงำไปค้นหาต่อได้  บางครั้ง ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ต่อให้รู้อยู่แล้วว่าเชื่อไม่ได้ .. แต่อย่างน้อย การจะตัดสินใครสักคน คนๆ นั้นก็ควรได้รับโอกาสชี้แจงตัวเองบ้างไม่ใช่หรือ การคิดเอาเองตามความคิด ความเชื่อ ตามเหตุผลของตนเอง บ่อยครั้งมันก็ทำให้เราคิดมากไปเอง บางทีแค่ถามกับคู่กรณีสักคำ เรื่องมันอาจพลิกผันต่างไปจากที่เราคิดเองเออเองอยู่คนเดียวก็ได้ บางที การถามไถ่ เปิดใจรับฟัง อาจทำให้เรื่องใหญ่หลวงที่เราจะเป็นจะตาย กลายเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แค่พลิกฝ่ามือก็แก้ไขได้ง่ายดาย.. ใครจะรู้ 

พอตัวละครกระทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับความคิดเราเอง  ก็เลยพลอยไม่อินเนอร์ไปด้วยเท่าที่ควร นี่คือเหตุผลหนึ่งที่แต่ละคน ก็มีแนวนิยายที่ตัวเองชอบ คาแรคเตอร์   บทบาทของตัวละครที่ชอบ แตกต่างกันไป ตามพื้นฐานความรู้สึกนึกคิด ตามความคิดความชอบของตนเอง ผู้อ่านแต่ละคนจึงมีนิยายเรื่องโปรดไม่เหมือนกัน

แต่ สะพานแสงคำ ก็ยังเป็นนิยายที่อ่านได้เรื่อยๆ อย่างรื่นไหล ไม่ได้รู้สึกว่าต้องฝืน  เพราะก็ยังชวนติดตามอยู่ตลอดกับเรื่องราวความสัมพันธ์ของ เจ้าเอื้อย กับ เจ้าภูแก้วนี่แหละค่ะ  จะพบกัน จะรักกัน จะเข้าใจผิด จะขัดแย้ง จะคืนดี 

แล้วก็ปวดใจแทนเจ้าภูแก้ว อารมณ์มันแบบว่า

นี่หรือคนรักกัน ความเชื่อใจอยู่ไหนเล่า  เหตุไฉนจึงบางเบา ใจของเจ้าจึงไหวคลอน 

และเช่นเคย ความกลมกล่อมในสาระตามหลักการเขียนนวนิยายขอ ปิยะพร ศักดิ์เกษม

ต้องให้คุณธรรมความรู้ และให้แง่คิดกับชีวิต สอดแทรกอยู่ในความบันเทิงด้วย

มันยากนะ ที่จะสื่อแก่นสาระของนวนิยายเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังด้วยตนเอง ก็พอดีคุณป้าเอียด เธอเขียนเกริ่นไว้แล้วเป็นอย่างดี  ตามนี้ ...

Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley

จากใจผู้เขียน

คนเรามักตัดสินผู้คนและเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยข้อมูลของตนเอง โดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่าข้อมูลที่ตนมีนั้นก็แค่ความเชื่อและประสบการณ์ของมนุษย์เพียงหนึ่งคน ... มนุษย์หนึ่งคน ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเพียงผงธุลีเล็กๆ ในจักรวาล เป็นเพียงหนึ่งหน่วยของหลายๆ พันล้านหน่วยในสังคม

เพราะการคิดค้น การศึกษา หรือแม้แต่การสร้างทฤษฎีใดๆ มักจะเป็นการสร้างและคิดค้นออกจากมุมมองของตัวเอง เมื่อนานไป 'ตัวตน' ของตนเองจึงคล้ายใหญ่ขึ้น สำคัญขึ้น จนในที่สุดตัวตนนั้นก็ปิดทับความกว้างขวางของพื้นดิน บดบังความไพศาลของท้องฟ้า ทำให้ละเลยหลงลืมความเป็นผงธุลี ความเป็นเพียงหนึ่งหน่วยของตนเองไปเสียสิ้น

หากลดขนาดตัวตนของตนเองลง ก้าวออกจากทฤษฎีและความเชื่อที่สร้างขึ้นเป็นกรอบกีดคั่น เติมความเข้าใจและความเมตตาให้เต็มเปี่ยมก่อนจะตัดสินการกระทำของผู้อื่น ... แล้วเปิดใจให้กว้างก่อนจะสรุปทุกเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีตหรือปัจจุบัน ..

สรุป โดยไม่ลืมเผื่อแผ่ไปถึงความเป็น 'มนุษย์' ของผู้เกี่ยวข้องทุกคน เงื่อนไขของเวลา สภาพแวดล้อมโดยรอบ และแรงผลักดันที่เรียกกันว่ากระแสด้วยทุกครั้ง

ถ้าทำได้เช่นนี้ สักวันหนึ่งข้างหน้า ความรู้ และความคิดในเชิงลบต่อโลกต่อผู้คนน่าจะลดน้อยลง เท่าๆ กับที่ความปรองดองก็น่าจะเพิ่มมากขึ้น ... เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ความแตกต่างสามารถยืนอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน

... ยืนอยู่อย่างเป็นหน่วยเดียวกันได้  คล้ายดอกไม้หลายพันธุ์ในอุทยานเดียว

ปิยะพร ศักดิ์เกษม

เมษายน ๒๕๕๖

Smiley Smiley Smiley Smiley Smiley

แง่คิดดีๆ ที่ควรจำใส่ใจข้างต้นนั้น ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเรื่องราวของพระเอกนางเอก ที่เราเอ่ยถึงเท่านั้นนะคะ แต่มันสอดแทรกอยู่กับตัวละครหลายตัว ก่อเกิดเป็นสาระโดยรวมของเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เจ้าศุขวงศ์ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น คนทรยศ มายาวนานร้อยกว่าปี   หรือหญิงชราอย่าง เจ้าจันทร์แจ่มฟ้า เจ้ายุคเก่าที่ต้องเปิดใจยอมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป  หรือ พิมลพัทธ์ ผู้รักการอนุรักษ์สิ่งเก่าแต่ก็ต้องปรับเปลี่ยนผสมผสานให้อยู่ร่วมกันได้กับกระแสของโลกยุคใหม่ด้วย

สำนวนและคมความคิดของคุณปิยะพร เป็นสิ่งที่ ถึงจะเคยอวยกันแล้วมากมาย

ก็ยังคงอดไม่ได้ ต้องอวยกันอีก และอวยกันต่อๆ ไป  

มีตอนหนึ่งถึงขั้นประทับใจมากกับคำพูดของภาสุ พระเอกของเรื่อง อ่านแล้วมันจี๊ด มันเสียดแทงใจ คือ มัน .. ใช่สุดๆ

" ถ้าจะเปรียบเทียบให้ชัด  ผมว่าคนยุคเราก็เหมือนกับคนที่ยืนอยู่บนยอดเขาแล้วมองลงไปข้างล่าง เห็นชัดว่าตรงไหนป่าทึบ ตรงไหนเหว แต่คนในยุคนั้นก็เหมือนกับคนที่กำลังเดินอยู่ในความทึบของป่าข้างล่างน่ะ คุณเม เขามองอะไรม่เห็นหรอก นอกจากพื้นที่รอบๆ ตัว"

"ทำให้เขาต้องตัดสินใจไปตามสถานการณ์น่ะหรือคะ"

"ก็ทำนองนั้นแหละครับ ... ผมว่าเขาก็ต้องตัดสินใจว่าจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามวินาทีที่เขาเดินไปพบอุปสรรค เจอเหว เขาก็ต้องอ้อมเหว เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าถ้าอ้อมไปทางซ้ายจะใกล้กว่าอ้อมไปทางขวา เราเอาความรู้ของคนที่ยืนมองย้อนหลังไปตัดสินการกระทำของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ไม่ได้หรอก และถ้ามองย้อนกลับไป เราก็ได้รู้แค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราไม่มีทางได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึก เท่าๆ กับไม่มีทางได้รู้สึกถึงแรงผลักดันของสิ่งที่คนสมัยนี้เรียกว่ากระแส"

ใช่แล้ว  'กระแส' ในยุคสมัยนั้น คือการแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรสยาม และตามติดด้วยยุคการล่าอาณานิคมจากประเทศตะวันตก   จะมีใครสักกี่คนที่เข้าใจแรงผลักดัน เข้าใจในเหตุผล ความรู้สึกในจิตใจของเจ้าศุขวงศ์ที่ก็ห่วงใยและรักชาติบ้านเมืองในแบบของตน

บทพูดที่ยกมาเป็นเพียงการเริ่มต้นสนทนาเท่านั้น ประเด็นการปฏิรูปการปกครองในยุคเก่าที่ ภาสุ กับเมษาริน ถกกันต่อมาจากนั้น ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งที่ทำให้นวนิยาย นอกจากจะพาฝันแล้วยังมีความดีด้วย 'คุณค่าทางวรรณกรรม' เราว่านิยายสมัยนี้  มันมีแต่อย่างแรกซะมาก คนที่จะเขียนนิยายลักษณะนี้หาได้น้อย (หรือเราเข้าไม่ถูกร้านก็ไม่รู้นะ) และเพราะหนังสือในร้านมันหุ้มพลาสติกเราเปิดอ่านเช็คสำนวนการเขียนก่อนไม่ได้ ก็พลอยไม่กล้าลอง หลังๆ จึงรู้จักนักเขียนหน้าใหม่ๆ น้อยมาก อย่างนักเขียนดังที่ผลงานสร้างละครฮอทฮิตกัน เราก็ว่าสำนวนเขากระด้าง และบทสำนวนชวนเคลิ้มเลิฟซีนทั้งหลายก็..แร้งส์ ทั้งที่ก็เป็นคนอ่านนิยายแปลโรมานซ์ด้วย แต่พอมันเป็นบทรักบทเลิฟในนิยายไทย ..หญิง(แก่) รับไม่ค่อยได้ ซะงั้น ขอไม่เอ่ยชื่อนะคะ กลัวแฟนคลับรุมสะกัม

พระเอก ภาสุ  บทบาทการกระทำของเขาในเรื่องนี้ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่บทบาททางความคิดที่ออกมาเป็นคำพูดแต่ละเรื่องจากมุมมองของเขา ทำให้เราก็แอบชอบพระเอกเรียบๆ คนนี้เอาเรื่องอยู่

"คุณก็เชื่อตามเหตุผลของคุณ เขาก็เชื่อตามเหตุผลของเขา ... ผมคิดว่าคนเราก็เลือกคิด เลือกเขียน นอกจากจะตามสติและปัญญาแล้ว ก็ต้องตามจุดยืนของตัวเองด้วย จุดยืนนี่แหละที่จะทำให้เราเลือกฟังด้านใด เลือกเชื่อใคร เลือกหยิบข้อมูลตรงจุดไหน ..."

"และคนเราทุกคนต่างก็มีจุดยืนที่ต่างกัน เราควรเคารพในจุดที่เขาเลือกยืน ไม่ใช่ค่อนขอดเขาในจุดยืนที่แตกต่างจากเรา"

อ่านไปอ่านมา หลายๆ คำพูดของตัวละครบางทีก็แทงใจดำเข้าเหมือนกัน 

เคยนึกอยากย้อนอดีตกันบ้างไหมคะ  นึกๆ ไป ตัวเราก็อยากย้อนอดีตได้บ้างเหมือนกันนะ

แต่ไม่ได้อยากกลับไปแก้ไขอะไรมากนักหรอก เพราะชีวิตก็ย่อมมีประสบการณ์ถูกผิด สุข เศร้า เสียใจ ให้ได้เรียนรู้เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ไปตามวัยอยู่แล้ว (จะได้มีภูมิคุ้มกัน) แต่แค่เรื่องเดียวจริงๆ ที่หากย้อนเวลากลับไปได้ จะขอแก้ไข จะไม่ทำผิด และจะไม่เสียใจ 

เราน่าจะขอพรย้อนเวลาได้สักครั้งในชีวิตนะคะ จะได้กลับไปช่วยเหลือตัวเองในอดีตได้เหมือนที่เมษาริน ทำให้กับ เจ้าเอื้อยน่ะค่ะ   .. นี่แหละคือคำว่า นิยาย..พาฝัน แต่สะพานแสงคำ ยังมีดีอีกอย่างเป็นสำคัญ คือ สาระ..จรรโลงใจ

 

Create Date :14 สิงหาคม 2556 Last Update :15 สิงหาคม 2556 18:55:58 น. Counter : 7358 Pageviews. Comments :8