| ส้มตำถาม เมนูดัง ร้าน แซ่บแน่ | | | ร้านอาหารอีสานเมนูบ้านๆ อย่างส้มต้ม ไก่ย่าง น้ำตก ลาบ ต้มแซบ ยังไงก็ติด Top 5 ของร้านอาหารแนวที่คนไทยชอบกินที่สุดตลอดกาล แต่ร้านส้มตำยุค Social Media ครองโลกนี้ เรื่องรสชาติอาหารที่อร่อยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องมองไปถึงกลยุทธ์การขายที่ถูกใจผู้บริโภคด้วย เพราะอย่างที่รู้ว่ากระแสใน Social Media นั้นไปเร็ว และไปแรงแค่ไหน ร้านไหนถูกใจได้รับการบอกต่อในโลกเสมือนจริง ก็มั่นใจได้เลยว่าธุรกิจนั้นได้ไปต่อ อย่างเช่นร้านส้มตำ แซ่บแน่ ของสาวหล่อ ปอย ฉัตวลัย เรืองศรี ที่เพิ่งเข้าสู่ธุรกิจนี้ไม่นานแต่ก็ขยายไปแล้ว 2 สาขา กับรายได้เฉลี่ยหลักล้านต่อเดือนต่อสาขา |
| ปอย ฉัตวลัย เรืองศรี เจ้าของธุรกิจ | | | สิ่งที่น่าสนใจคือ การพรีเซ็นต์ หรือวิธีการนำเสนอส้มตำ จากที่ใส่จานก็เปลี่ยนมาเป็นใส่ถาด เรียกว่าทั้งแปลก ทั้งโดนใจคนกรุงเทพฯ ใครได้มากินก็ต้องถ่ายรูปตัวเองกับถาดส้มตำ แล้วอัปรูปลง Social Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook, instagram รวมถึง foursquare ฉัตรวลัยเล่าว่า ร้านแซ่บแน่เกิดขึ้นจากความชอบส่วนตัวที่ชอบกินอาหารอีสานอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ประกอบกับหุ้นส่วนทางธุรกิจ ทัศนนันท์ ไข่นาค ก็เป็นคนพื้นเพอีสานที่สามารถทำเมนูอีสานต่างๆ ได้อร่อย จึงนำความชอบ และความชำนาญมาเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างธุรกิจ ปัจจุบันนี้อายุ 27 ปี ก่อนหน้านี้พอเรียนจบมาก็รับงานฟรีแลนซ์เกี่ยวกับกราฟิกและการออกแบบ เพราะเรียนจบมาทางด้านอินทีเรียร์ แต่ไม่เคยทำงานประจำ ไม่เคยทำงานบริษัทมาก่อน ตัวเราเองเป็นคนชอบกินอาหารอีสานอยู่แล้วเป็นทุนเดิม พอมารู้จักกับเพื่อนรุ่นพี่ที่มีพื้นเพเป็นคนอีสาน ก็มีโอกาสได้ตระเวนกินอาหารอีสานตามร้านต่างๆ มากขึ้น บางร้านเพื่อนก็บอกว่าไม่อร่อยเลย สู้ที่เขาทำไม่ได้ พอให้เพื่อนลองทำมาชิมก็รู้สึกว่าอร่อย ลองให้เพื่อนๆ คนอื่นมาชิม ทุกคนก็บอกกันว่ารสชาติดี น่าจะทำขายได้ เป็นที่มาของแนวคิดที่จะเปิดร้านส้มตำ ซึ่งก็ได้ทัศนนันท์ เพื่อนรุ่นพี่ มาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ ที่มีส่วนสำคัญในการเซตสูตร และเรื่องของรสชาติอาหาร |
| บรรยากาศภายในร้าน | | | เมื่อได้ทำเลตั้งร้านที่ลงตัว ในพลาซา Celebrate ย่านทาวน์อินทาวน์ ลาดพร้าว 94 ก็เริ่มเปิดให้บริการไปเมื่อช่วงต้นปี 2556 แนวคิดในเรื่องสไตล์ของร้าน เราตั้งใจให้ดูเป็นร้านส้มตำแบบโมเดิร์น คือไม่อยากให้ดูเหมือนร้านส้มตำบ้านๆ ที่หากินได้ทั่วไป อยากให้ดูมีเกรดขึ้นมานิดหนึ่ง เพราะทาวน์อินทาวน์เป็นแหล่งของออฟฟิศ ของคนทำงาน ที่มีกำลังซื้ออยู่แล้วในระดับหนึ่ง และจากการสำรวจทำเลในบริเวณนั้น ก็พบว่ามีร้านอาหารอีสาน โดยเฉพาะส้มตำอยู่มาก แสดงว่าร้านอาหารแนวนี้ได้รับความนิยม คนชอบรับประทาน แต่เท่าที่เห็นจะมีแต่ร้านข้างทาง หรือลักษณะเป็นเพิงเล็กๆ ไม่ได้เป็นร้านติดแอร์สไตล์โมเดิร์นอย่างที่เราตั้งใจจะทำ เมื่อถามถึงผลตอบรับในช่วงแรก ฉัตรวลัยบอกกับเราว่าอยู่ในขั้นขายได้เรื่อยๆ มีกำไรมากพอสมควร จนสามารถเปิดร้านสาขาที่ 2 ได้ บริเวณลาดพร้าว 71 ที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก สามารถดูแล บริหารจัดการร้านได้ทั่วถึง แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ได้โดดเด่นเหมือนในทุกวันนี้ โดยในช่วงแรกๆ นั้นเมนูเด่นของทางร้านจะเป็นตำลาวกับกุ้งฝอย ที่เน้นรสชาติจัดจ้าน พอเปิดไปได้สัก 1 ปีก็ย้อนกลับมามองธุรกิจของตัวเอง ก็รู้สึกว่าร้านเรามันยังไม่มีเอกลักษณ์ ไม่มีจุดเด่นอะไรที่ชัดเจน สิ่งที่พอพูดขึ้นมาแล้วคนจะต้องนึกถึงร้านของเรา ก็เริ่มคิดว่าถึงเวลาจะต้องสร้างจุดขายให้กับร้าน ประกอบกับช่วงนั้นกลับไปบ้านเพื่อนที่จังหวัดอุดรฯ แม่เพื่อนก็ตำส้มตำมาให้กิน แต่แทนที่เขาจะใส่จาน กลับเอาส้มตำใส่ถาดไว้ตรงกลาง ส่วนรอบๆ ถาดก็จะมีเครื่องเคียงมากมาย ทั้งแคบหมู หมูยอ หน่อไม้ ผักกาดดอง ขนมจีน เส้นหมี่ลวก ไข่ต้ม และผักตามฤดูกาล เช่น ใบกระถิน เม็ดกระถิน |
ที่จริงแล้วมันเป็นวัฒนธรรมการกินของคนต่างจังหวัด ที่มักจะกินกับข้าวจากในถาด ไม่ว่าจะเป็นปลาทอด น้ำพริก ผักต้ม ส้มตำ เพราะคนต่างจังหวัดมักจะอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ เวลากินข้าวทีก็จะทำกับข้าวครั้งละเยอะๆ เผื่อทุกคน ไม่ได้ทำมาเป็นจานเหมือนกับคนกรุงเทพฯ เราเห็นแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจ น่าจะเอามาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างเป็นจุดขายให้กับที่ร้านได้ พอมีไอเดียตรงนี้เกิดขึ้นก็เริ่มต้นทำเลยตั้งแต่ช่วงต้นปี 2557 ซึ่งก่อนหน้านี้เราก็ไม่ได้สำรวจตลาดหรอกว่าเคยมีคนทำหรือยัง แต่ก็ใช้วิธีวัดจากตัวเอง เพราะชอบตระเวนกินส้มตำตามร้านต่างๆ ก็ไม่เคยเห็นมีคนทำมาก่อน โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ และก็เป็นไปตามคาด เพราะส้มตำถาดจากไอเดียของฉัตรวลัยได้รับเสียงตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาด โดยส้มตำถาดนั้นจะแบ่งออกเป็นถาดลาว และถาดไทย และมีให้เลือก 2 ขนาด ราคาถาดใหญ่อยู่ 130 บาท ส่วนถาดเล็ก 50-60 บาท ที่จริงแล้วจุดเด่นของเราอย่างหนึ่งก็คือ การคัดสรรคุณภาพของวัตถุดิบ อย่างเช่น ปลาร้า แหนมเนือง หมูยอ ซึ่งทั้งหมดจะสั่งตรงมาจากจังหวัดอุดรฯ ทำให้ที่ร้านได้รับความนิยมในระดับหนึ่ง พอเราประยุกต์รูปแบบของส้มตำมาเป็นตำถาด ถาดลาว กับถาดไทย กระแสตอบรับมันดีขึ้นมากๆ เกิน 100% ทุกคนที่เข้ามากินที่ร้านจะต้องสั่งตำถาด อย่างน้อยก็โต๊ะละ 1 ถาด ส่วนวิธีการกินก็แล้วแต่สไตล์ใครสไตล์มัน เพราะมีเครื่องให้เลือกกินเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นแคบหมู หมูยอ หน่อไม้ ผักกาดดอง ขนมจีน เส้นหมี่ลวก ไข่ต้ม บางคนก็อาจจะเลือกกินแค่บางอย่าง แต่ส่วนมากแล้วเขาจะเอามาคลุกรวมกันแล้วกินทีเดียว เรื่องของรสชาติจะเน้นไปที่ความจัดจ้านเป็นหลัก ซึ่งตำถาดลาวจะขายดีกว่าตำถาดไทย เมนูที่ยอดนิยมรองลงมา ก็จะเป็นแกงผักหวานเห็ดเผาะที่หารับประทานได้ยาก เห็ดเผาะของที่นี่พอกัดเข้าไปมันจะกรุบ และมีน้ำของเครื่องแกงแตกออกมา ตัวผักหวานก็เลือกใช้แต่ยอดอ่อนของผักหวานป่า ซึ่งจะอ่อนกว่าผักหวานบ้าน ส่วนน้ำแกงก็จะได้ความหอมของน้ำปลาร้าที่เข้ากันได้ดีกับสมุนไพร เมนูอื่นที่ได้รับความนิยม ก็อย่าง ไก่นึ่งแซ่บแน่ แหนมเนือง แกงหน่อไม้ใบย่านาง ซึ่งในเรื่องของเมนูอาหารเราก็พยายามคิดค้นเมนูแปลกๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างเช่น ตำด๊องแด๊ง ซึ่งก็คือเส้นหัวขนมจีนที่เขาบีบมาตอนแรกแล้วมันใหญ่ มันจะไม่สวย เราก็เอามาใส่ในส้มตำ มีเส้นหมี่ แคบหมู โรยหน้าด้วยหอมเจียว แต่ก็อยากจะให้มีสัก 4-5 เมนูที่เป็นเมนูต้นตำรับของที่ร้าน หรือบางเมนูก็อาจจะมีแต่ช่วงเทศกาล เพราะไม่อยากให้มันเกลื่อน และมีเมนูเยอะเกินไปจนคุมเรื่องรสชาติ กับคุณภาพไม่ได้ |
ส่วนเรื่องผลตอบรับที่ว่าดีขึ้นนั้น ดีขึ้นมากขนาดไหน ฉัตรวลัยได้ขยายความต่อไปว่า จากเดิมที่ทางร้านขายได้เรื่อยๆ พอมีเมนูส้มตำถาดเข้ามาก็กลายเป็นว่าได้รับผลตอบรับจากลูกค้าดีมากๆ ร้านเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. ก็มีคนทยอยเข้าร้านมาเรื่อยๆ ตอนเที่ยงนี่ลูกค้ามาต่อคิวรอแล้ว ต้องโทร.จองโต๊ะก่อน ถ้าเป็นช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ คิวจะเยอะกว่า 200 คิว โดยเฉพาะสาขาแรกทาวน์อินทาวน์คนจะเยอะมาก มีอยู่ทั้งหมด 32 โต๊ะ รองรับลูกค้าได้ 100 กว่าคน แต่บางครั้งเต็ม ลูกค้าเขาก็อาจจะเลี่ยงไปที่สาขา 2 ตรงลาดพร้าว 71 เพราะไม่ได้อยู่ไกลกันมาก รายได้จากร้านสาขา 1 ต้องบอกว่าดีมากๆ เราขายได้วันหนึ่งเป็นแสน ถ้าเป็นเสาร์-อาทิตย์ก็อยู่ที่แสนสี่ แสนห้า รายได้ต่อเดือนของสาขาแรกจะอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาท ส่วนสาขาที่ 2 จะน้อยกว่านั้นประมาณครึ่งหนึ่ง ต้องบอกว่ามันเกินกว่าที่เราตั้งเป้าเอาไว้มาก จากเงินลงทุนประมาณ 1.5 ล้านบาท เป็นค่าเช่า และค่าตกแต่งสถานที่ ตอนนี้ผ่านไปแค่ปีกว่าๆ ก็สามารถคืนทุนได้แล้ว ส่วนเรื่องช่องทางในการทำตลาดนั้น เน้นทาง facebook เป็นหลัก แล้วก็จากการบอกปากต่อปาก เพราะช่วงที่เปิดร้านใหม่ๆ มันเป็นช่วงเดียวกับที่เราประกวดร้องเพลงในรายการ Thailand Got Talent ใช้ชื่อทีมว่า Tomactz ก็จะมีกลุ่มน้องๆ แฟนคลับที่ชื่นชอบ พอเขารู้ว่าเรามาเปิดร้านส้มตำก็ตามมากินกัน แต่จุดปลี่ยนสำคัญนั้น เริ่มต้นมาจากการนำเมนูส้มตำถาดเข้ามา ที่คนกรุงเทพฯ มองว่าเป็นของแปลก หาดูได้ยาก ไม่ได้มีตามร้านส้มตำทั่วไป |
เมื่อลูกค้ามานั่งกินที่ร้าน ก็จะต้องถ่ายรูปตัวเองคู่กับส้มตำถาด แล้วอัปขึ้น Social Media ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น facebook, instagram และ foursquare ก็ยิ่งทำให้คนที่ยังไม่เคยมาอยากจะลองมาพิสูจน์ความอร่อยของส้มตำถาดที่ร้านดูสักครั้ง ที่สำคัญกระแสนี้ยังลามไปถึงในกลุ่มดารา นักร้อง ดีเจ นางแบบ พริตตี้ คนดังในแวดวงต่างๆ ที่พร้อมใจกันถ่ายรูปกับส้มตำถาดแล้วอัปขึ้น Social Media กันอย่างไม่ขาดสาย จนร้านประสบความสำเร็จอย่างสูงภายในระยะเวลาไม่นานนัก ต้องยอมรับว่าเราได้รับผลตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าภายในระยะเวลาที่เร็ว จนบางครั้งเราก็ตั้งตัวไม่ทัน เพราะจากตอนแรกที่เริ่มทำร้านเราไม่ได้หวังอะไรมากมาย แค่อยากมีธุรกิจเล็กๆ ของตัวเอง ได้กำไรสักเดือนละ 4-5 หมื่นให้พออยู่ได้ก็พอใจแล้ว ด้วยความที่เราไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาก่อน มีแต่ญาติๆ มาช่วยกัน ก็อาศัยเรียนถูกเรียนผิดด้วยตัวเอง อย่างแต่ก่อนเราจะมีบริการส่ง Delivery แต่ก็ยกเลิกไปแล้วเมื่อ 2 เดือนก่อนเพราะลูกค้าเยอะมากจนเราส่งของให้ไม่ทัน กลายเป็นผลเสียมากกว่าผลดี แต่ถ้าลูกค้าโทร.สั่งไว้ แล้วจ้างวินมอเตอร์ไซค์มารับเอง อย่างนี้ได้ ในอนาคตอันใกล้นี้เราจะเปิดขายแฟรนไชส์ ตอนนี้อยู่ในช่วงของการศึกษาระบบอย่างละเอียด เพราะหลังจากขายแฟรนไชส์ไปแล้วก็ต้องมีระบบที่ใช้ในการตรวจสอบเรื่องของรสชาติ และคุณภาพด้วย รวมถึงในเรื่องของการร่างสัญญา ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจซื้อแฟรนไชส์ติดต่อเข้ามาเยอะ ส่วนมากจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่อายุไม่เยอะ |
ในช่วงแรกของการขายแฟรนไชส์ ตั้งใจจะเปิดขายแค่ 3 สาขา เฉพาะในกรุงเทพฯ แต่เป็นคนละโซนกับทางร้านของเรา เมื่อรวมกับสาขาแม่ก็จะเป็นทั้งหมด 5 สาขา ซึ่งคิดว่าน่าจะพอดี ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไป สามารถควบคุมได้อย่างทั่วถึงด้วย โดยค่าแฟรนไชส์น่าจะอยู่ที่ 150,000 บาท เมื่อถามถึงเรื่องความคาดหวังจากนี้ไป ฉัตรวลัยบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มากกว่าที่คิดไว้แล้ว จากนี้ไปคือเรื่องของการรักษามาตรฐาน ทั้งคุณภาพ รสชาติอาหาร และการบริการ เพื่อให้ แซ่บแน่ เป็นร้านส้มตำร้านแรกๆ ที่ลูกค้านึกถึงตลอดไป |
| "พอเราประยุกต์รูปแบบของส้มตำ มาเป็นตำถาด ถาดลาว กับถาดไทย กระแสตอบรับมันดีขึ้นมากๆ เกิน 100% ทุกคนที่เข้ามากินที่ร้าน จะต้องสั่งตำถาด อย่างน้อยก็โต๊ะละ 1 ถาด" | | | สนใจจับคู่ธุรกิจกับร้านแซ่บแน่ ติดต่อได้ที่ 08-1449-1454 หรือ www.facebook.com/ร้านอาหารแซ่บแน่ @@@@ ข้อมูลโดย นิตยสาร SMEs Plus @@@@ |