"การถ่ายภาพเป็นงานศิลปะ เป็นของดีมีประโยชน์ ขออย่าให้ถ่ายภาพกันเพื่อความสนุกสนานหรือความสวยงามเท่านั้น
จงใช้ภาพให้เกิดคุณค่าแก่สังคม ให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม งานศิลปะจะได้ช่วยพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้อีกแรงหนึ่ง"

พระราชดำริเรื่องการถ่ายภาพ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
พระราชทานแก่คณะกรรมการบริหารสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
YesIdo.BlogGang.com : Live to Learn to Live
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
17 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
Live to Learn to Live : May Day - M'aider






canx LIVE
Interactive Magazine





เม เด - ถ้าฟังเฉยๆ ไม่ได้ดูว่าเขียนยังงัย ทุกคนก็คงพอเข้าใจว่า มีใครสักคนที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่แน่ๆ และถ้าเข้าใจไม่ผิดคำว่า เม เด น่าจะเป็นภาษาฝรั่งเศสที่เขียนว่า m’aider แปลตามตัวก็ประมาณว่า ช่วยฉันด้วย.. ช่วยผมที..

พฤษภาคม เมื่อ 13 ปีก่อน เสียงร้องขอความช่วยเหลือของผมคงไม่ดังพอที่จะมีใครช่วยทำให้ผู้หญิงคนที่รักที่สุดในชีวิต อยู่กับผมได้นานกว่านั้นอีกสักนิด นับระยะเวลา 13 ปีที่เธอจากไปก็คงพอๆ กับระยะเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเธอ....

นับตั้งแต่ผมโตมาพอที่จะจำความได้ ช่วงระยะสิบปีกว่าๆ ที่แม่ดูแลผมมา มันก็ไม่นานเท่าไร แต่ความผูกพันธ์นี้มันอธิบายไม่ถูกเลยจริงๆ ซิ (ขอเวลานอก เบรคแว้บนึง น้ำตาซึม คิดถึงแม่) จำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยได้มีโอกาสบอกรักแม่หรือเปล่า..แต่แม่คงรู้เนอะ

เดือนพฤษภาปีที่ 10 ที่แม่ไม่อยู่ เรา ตั้งใจว่าจะทำบุญให้แม่และทำบุญบ้านให้มากกว่าทุกปีนิดนึง พี่ชายเป็นตัวตั้งตัวตีว่าจะทำโน้นทำนี้ เราวางแผนกันว่าทำพิธีที่บ้านเสร็จกันแล้ว จะพาเด็กๆ หลานๆ นั่งรถไฟเล่นไปเที่ยวบางปะอินกัน พี่เขาพูดถึงนาฬิกาแดดที่วัดนิเวศน์ธรรมประวัติที่ตั้งอยู่บนเกาะที่บางปะอิน ซึ่งต้องนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำไป เด็กๆ ตื่นเต้นดีใจกันน่าดูที่จะได้ไปเที่ยว แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคิดมันก็เกิดขึ้นอีกแล้ว พี่เข้าโรงพยาบาลเพียงสองวันเท่านั้น จากที่เห็นว่าไม่เป็นอะไรเลย ไปโรงพยาบาลก็ไปหาหมอเอง ไม่ได้มีอาการร้ายแรงอะไรเลย ซึ่งผมเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นอะไรมาก เลยไม่ได้ไปเยี่ยม .... ไม่คิดเลยว่าประโยคสุดท้ายที่พูดไปกับพี่ชาย ที่ได้แค่บอกว่า “วันนี้จะกลับดึกนะ” จะเป็นคำพูดแทนคำลา ก่อนจากกันนิรันดร์





แล้วคนที่เตรียมงาน ก็ได้เป็นเจ้าของงานอย่างไม่มีใครได้ทันเตรียมใจ .. ผมไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้ แต่วันนั้นพ่อไม่อายที่จะร้อง ให้ลูกชาย ... หลายเดือนเหมือนกันกว่าที่เราจะทำใจกันได้ หลายเดือนหลังจากนั้นที่พอจะมีเวลาว่างพาหลานๆ นั่งรถไฟเล่นไปเที่ยวบางปะอินกัน พาไปดูนาฬิกาแดด ไปนั่งกระเช้าข้ามแม่น้ำ ไปชมพระราชวังบางปะอิน ได้เห็นสิ่งที่พ่อเขาอยากพามาเที่ยว หลานๆ คงน่าจะมีความสุขกว่านี้ถ้าเขามากับพ่อเขาแทนที่จะมากับ อา อย่างผม เด็กๆ ตื่นเต้นสนุกสนาน ถามว่านาฬิกาแดดดูยังงัย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาดูกันยังงัย แต่ที่รู้ๆ น้ำตาเริ่มซึม...

หนึ่งปีหลังจากนั้น ไม่มีใครคิดที่จะเตรียมงานทำบุญอีก แค่คุยๆ กันว่าคงทำตามปกตินิดหน่อยเหมือนทุกๆ ปีให้กับแม่และพี่ชาย แต่..พฤษภาก็กลับมาตอกย้ำ และพลัดพรากคนสำคัญของผมอีกคน.. จริงๆ แล้วพ่อก็อายุมากแล้ว แต่พ่อเป็นคนที่แข็งแรงมากๆ ไม่ค่อยเจ็บป่วยอะไรนัก ตรวจร่างกายประจำปีก็มีสิ่งที่น่าเป็นห่วงอยู่เรื่องเดียวคือคอเลสเตอรอล ซึ่งพ่อก็ดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี ทุกคนมัวแต่ห่วงเรื่องคอเลสเตอรอล เลยไม่ทันได้ระวังว่า โรคหัวใจ ตัวร้าย จะมาพรากพ่อไปจากเรา ...

เช้าวันนึง เสียงดังในบ้านว่าให้เอารถออกพาพ่อไปโรงพยาบาล ทำให้ผมกระโดดลุกจากที่นอนได้โดยไม่ต้องรอคนมาปลุกเหมือนทุกวัน ผมจำไม่ได้ว่าพ่อพูดอะไรกับผมบ้าง แค่บอกว่าหายใจขัดๆ แล้วเราก็ประคองพ่อขึ้นรถ ให้พี่ขับไปส่งโรงพยาบาลก่อน ผมจะเอาบัตรแล้วยาประจำตัวแกตามไป ผมเลิกบ่นพวกบิดมอเตอร์ไซค์ก็วันนั้นแหละครับ พี่วินมอเตอร์ไซค์แทบจะพาผมเหาะไปถึงโรงพยาบาลภายใน 5 นาที (บ้านไม่ไกลโรงพยาบาลนะครับ) บิดมอไซค์มันมีประโยชน์ (บางช่วง) เหมือนกันนะ (นอกเรื่องนิดนึงแล้วกัน รู้สึกว่าเขียนซีเรียสมากไปแล้ว)





ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในห้องฉุกเฉิน ผมไม่ได้กังวลอะไรมากเพราะพ่อยังรู้สึกตัวดีทุกอย่างก่อนที่จะถึงมือหมอ... สิบห้านาทีที่รออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน แล้วพยาบาลก็เดินออกมาถามว่าใครเป็นญาติคุณลุงค่ะ คนไข้หายใจติดขัดตอนนี้คุณหมอให้เครื่องช่วยหายใจนะค่ะ นั้นเป็นข้อมูลที่คุณพยาบาลออกมาบอก สิบนาทีต่อมาคุณพยาบาลออกมาถามอีกว่าใครเป็นญาติคนไข้ แล้วก็แจ้งคล้ายๆ กับครั้งแรก อีกครู่ต่อมาพยาบาลออกมาอีก ตอนนี้ผมใจไม่ดีแล้ว โทรศัพท์หาทุกคนที่ผมจะโทรตามได้ แล้วคุณพยาบาลก็เดินออกมาบอกตอนที่ผมจะโทรหาพี่สาวว่าให้รีบมา กำลังจะบอกว่า พ่ออยู่ในห้องฉุกเฉิน แต่ต้องเปลี่ยนไป...........เงียบ........แล้วบอกว่า พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว แล้วเสียงผมก็หายไปกลายเป็นเสียงพี่สาวแทนที่เป็นคนปลอบและเตือนเราให้ตั้งสติก่อน เพราะจากนาทีนั้นไปต้องมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะ

วางสายจากทุกคนแล้ว คุณพยาบาลอนุญาติให้ญาติเข้าไปได้ ... คนอื่นช่วยไปทำเอกสารติดต่อเรื่องพาพ่อออกจากโรงพยาบาล เค้าให้ผมอยู่เป็นเพื่อนพ่อ ผมเปิดประตูเดินเข้าไปคนเดียว ค่อยๆ เดินเข้าไป พ่อนอนอยู่บนเตียงหลังม่านนั้น ผมไม่กล้ามองหน้าพ่อเหมือนเคย ปกติเราไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร จำได้ว่าพ่อเคยกอดผมไม่กี่ครั้งตั้งแต่จำความได้ หัวสมองตอนนั้นว่างเปล่ามากๆ ไม่รู้จะคิดอะไร ไม่รู้จะทำอะไรก่อนดี ก็ได้แต่ไปยืนอยู่ปลายเตียงแล้วก็บีบและนวดเท้าของพ่อ มันเย็นมากๆ เย็นจับขั้วหัวใจเลยทีเดียว ... ถ้าหากผมได้ทำอย่างนี้ก่อนหน้านั้นสักหน่อย ผมคงได้รู้สึกถึงไออุ่น...บ้าง คงไม่เย็นเฉียบขนาดนี้... มันสายไปจริงๆ .... ผมถามพ่อว่าหนาวมั้ย ถ้าเป็นหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น พ่อคงตอบผม แต่ตอนนี้พ่อนอนเงียบ พ่อกำลังนอนหลับสบายอยู่เลยไม่ยอมตอบผม ผมคิดในใจอย่างนั้น แล้วน้ำตาก็ซึมออกมาในความเงียบของความรู้สึก...





ผ่านไปสองปี กับการใช้ชีวิตอย่างลำพัง ไม่มีเอทีเอ็มส่วนตัว ที่เบิกยามขัดสนได้ตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีใครคอยว่า คอยบ่น หลายคนคงคิดว่าดีเหมือนกัน มันก็ดีส่วนหนึ่ง แต่ถ้าให้เลือก ผมขอเลือกมีคนคอยบ่นคอยว่าดีกว่า สิบกว่าปีที่อยู่กับแม่ ผมรู้สึกตลอดเวลาว่าผมสนิทกับแม่มากกว่าพ่อ แม่ตามใจเรามากกว่าพ่อ ทั้งๆ ที่ผมอยู่กับพ่อยี่สิบปีกว่าปี แต่เพิ่งจะรู้จริงๆ ว่าพ่อนั้นตามใจเรามาก ให้เรามากกว่าใครทุกๆ คน รู้ก็ตอนที่พ่อไม่อยู่แล้ว ...เราไม่เคยบอกรักกันเลย แต่ผมรู้ว่าพ่อรักผม .. ครั้งหนึ่งที่ผมเข้าโรงพยาบาล ฟื้นขึ้นมาก็ตอนที่รู้สึกว่ามีคนกำลังเช็ดตัวให้ ถ้าแม่อยู่ ลืมตาขึ้นมาผมคงเห็นแม่ที่เป็นคนทำหน้าที่นี้ แต่เมื่อแม่ไม่อยู่แล้ว พ่อทำหน้าที่แทนแม่ทุกอย่าง ถึงแม้จะทำได้ไม่ดีเท่าแม่ แต่พ่อก็ทำตามที่แม่ฝากฝังไว้ทุกอย่างเป็นอย่างดี พ่อไม่พูดไม่ถามอะไรมากนัก แต่รู้จากพี่ๆ มาว่าพ่อเดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลวันละหลายรอบเพื่อไปดูอาการผม ...ถึงแม้ว่าพ่อไม่พูดแต่ผมรู้ว่าพ่อรักผม ผมรู้..

ที่เขียนมาซะยาวนี้ ก็ไม่คิดว่าจะมีใครนั่งอ่านจนถึงบรรทัดนี้นะครับ แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ก็อยากถามคนอ่านว่าได้ทำอะไรให้กับคนที่คุณรักแล้วหรือยัง สำหรับ คำว่ารักคงไม่จำเป็นนัก แค่ทำให้เขารับรู้และสัมผัสได้ถึงความรักที่เรามีให้ไปก็คงจะเพียงพอแล้ว สำหรับคนสำคัญของเรา...รีบทำนะครับ ถ้ายังพอมีโอกาส อย่ารอให้สายเกินไป เหมือนผมที่ทำได้แค่กระซิบคำขอโทษ ซึ่งไม่มีวันรู้เลยว่าเขาจะได้ยินหรือเปล่า





เดือนพฤษภาจึงเป็นเดือนที่ผมไม่ชอบเอาซะมากๆ ก็เพราะสาเหตุที่เล่ามาทั้งหมดนี่แหละครับ ก็ได้แต่หวังว่า May Day จะไม่เป็น m’aider เหมือนปีที่ผ่านๆ มาอีกเลย : เม เด – ช่วยผมที ช่วยอย่าให้เกิดวันแบบนี้ในเดือนพฤษภาอีกเลย

















Create Date : 17 พฤษภาคม 2550
Last Update : 18 พฤษภาคม 2550 0:20:43 น. 8 comments
Counter : 765 Pageviews.

 
ความสูญเสียทำให้เราเรียนรู้และแข็งแกร่งขึ้นในที่สุด เชื่อว่าตอนนี้คุณพ่อก็ยังคงรักและคอยมองดูเราอยู่อย่างภูมิใจว่าอย่างน้อยเราก็ยังอยู่ได้อย่างแข็งแกร่งนะ



โดย: oaki IP: 124.120.223.88 วันที่: 17 พฤษภาคม 2550 เวลา:21:09:14 น.  

 
ยังไงๆ เดือนพฤษภามันก็ยังจะต้องอยู่บนปฏิทินต่อไป... ดีซะอีกครับ มันจะได้เตือนให้คุณ canx ทำดีต่อคนที่คุณรักมากๆ เหมือนที่คุณ canx บอกพวกเราไงครับ

ชีวิตต้องสู้ เข้มแข็งนะครับ


โดย: T_Ang วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:1:58:17 น.  

 
ตอนแรกนึกว่า"เมย์เดย์"แปลตรงๆตัวว่าวันในเดือนพฤษภาคม
ก็ยังงงกับความหมายของมันอยู่
แต่มันก็น่าจะมีความหมายแบบที่ canx ว่าไว้จริงๆแหละ

การสูญเสียเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
มันต้องมาถึงสักวันหนึ่ง...อันนี้ไม่ว่ารวยหรือจน
ก็ต้องสูญเสียเหมือนๆกัน

เพียงแต่ว่าก่อนที่เราจะสูญเสียสิ่งนั้นๆไป
เราได้ใช้เวลาอยู่กับเค้าคุ้มค่าหรือเปล่า
เรามักจะมาเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามีเมื่อเราได้สูญเสียมันไปแล้ว
(อันนี้ผมก็เป็นบ่อยครั้ง)
แต่คุณ canx เข้มแข็งน่ะครับ สูญเสียไปทั้งสองคนแล้ว
ของผมตอนนี้ยังอยู่ทั้งพ่อทั้งแม่เลย
แต่ยังรู้สึกว่าทำตัวเป็นลูกที่ดีไม่สมบูรณ์
ผมคงต้องมองตัวเองให้น้อยลงอีกนิด..แล้วกลับมามองคนที่รักผมอย่างจริงใจบ้างแล้ว
ขอบคุณมากๆครับสำหรับการเตือนให้เราลืมสิ่งที่มองข้าม
โดยไม่ตั้งใจ...


โดย: Dr.Manta วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:7:18:27 น.  

 
น่าเห็นใจนะคะ เสียคนที่รัก 3 คนในเดือนพฤษภา
มันเหมือนมีอะไรที่คอยตอกย้ำความสูญเสียอยู่เรื่อยๆ
ก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่คุณจะไม่ชอบมัน
เพราะมันมักจะมาพร้อมกับความทรงจำที่เลวร้าย

เขียนได้ดีนะคะ อ่านแล้วยังปลอยเกือบๆน้ำตาซึมไปด้วยเลย
ส่วนที่คุณบอกว่า คุฦณได้แต่กระซิบคำขอโทษ
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านจะได้ยินหรือเปล่านั้น
ท่านต้องได้ยินและรับรู้แน่นอนค่ะ
คนแก่ๆแถวบ้านชอบพูดว่า เวลาจะทำบุญให้คนที่ตายไปแล้ว
ไม่ต้องห่วงไม่ต้องกังวลหรอกว่าจะไปไม่ถึง
ขอเพียงเราทำใจให้บริสุทธิ์ ตั้งใจและตั้งสมาธิให้แน่วแน่
แล้วคิดถึงคนที่เราจะทำบุญไปให้ แล้วส่วนบุญก็จะไปถึงค่ะ
คงเหมือนกัน ถ้าคุณอยากขอโทษท่าน แค่ตั้งจิตให้บริสุทธิ์แล้วขอโทษ
คิดว่าท่านจะรับรู้ได้นะคะ อยู่ที่ใจค่ะถ้าเราคิดว่าถึงมันก็ถึง


โดย: ฝากเธอ วันที่: 18 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:43:26 น.  

 
อ่านแล้วเศร้าเลย น้ำตาซึม
แต่ยังไงก็สู้ๆ เนอะ ดาวเหงาเชื่อว่าท่านคงจะรับรู้ความรักและคำขอโทษของพี่น๊า ก็อยู่แล้วเนอะท่านรับรู้อยู่แล้วล่ะ

ยังไงแล้วอันที่จริงท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกค่ะ ก็ยังอยู่ในตัวเรา และหัวใจเราเสมอนี่คะ


โดย: ดาวเหงา_Lonely Star วันที่: 20 พฤษภาคม 2550 เวลา:10:50:23 น.  

 
อ่านไป น้ำตาไหลไป เฮ้อ


โดย: vodca วันที่: 24 พฤษภาคม 2550 เวลา:9:56:57 น.  

 
พฤษภากำลังจะจากไป
ขอให้น้องกาป๋องพบแต่สิ่งที่ดีๆ ในชีวิตนะครับ


โดย: กะได วันที่: 28 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:27:48 น.  

 
อืม เช็ดน้ำตาก่อน
ผมเคยเป็นคนที่ต้อวเดินออกจากห้องฉุกเฉินมาบอกญาติ
ทุกครั้งที่ต้องบอกข่าวร้าย ผมก็แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เข้าใจถึงการสูญเสียครับ
และแล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป แต่มันจะช่วยเตือนให้เรารู้ว่า
เราต้องทำเวลาที่เหลือให้ดีที่สุดครับ


โดย: Dog'pop IP: 58.64.64.154 วันที่: 11 มิถุนายน 2552 เวลา:8:22:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

canx
Location :
แม่ฮ่องสอน Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




พลเมืองปาย
Friends' blogs
[Add canx's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.