ธรรมโอวาทของพระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการเทศนาเมื่อ เกือนกันยายน พ.ศ ๒๔๙๗ กายกมฺมํ วจีกมฺมํ มโนกมฺมํ ณ บัดนี้จะได้แสดงในธรรมะซึ่งเป็นเรื่องสนับสนุนบุญกุศลทั้งหลายอันเปรียบเหมือนเราปลูกต้นไม้ ถ้าไม่รักษาก็ไม่เจริญ๑. ลำต้นเอน เฉา๒. ออกผลไม่สมบูรณ์ ฉันใด...พุทธบริษัทซึ่งต่างพากันสร้างกุศลทุกอย่างถ้าไม่หมั่นดูแลในกิจการของตน กุศลก็จะไม่เจริญงอกงามฉะนั้น...ให้เราปรารถนาบุญอันบริสุทธิ์ บุญ..เป็นของบริสุทธิ์แต่ผู้ทำอาจบริสุทธิ์ก็มี ไม่บริสุทธิ์ก็มีเรื่องมากเป็นเหตุให้บุญของเราไม่ค่อยบริสุทธิ์เหมือนต้นไม้มากนักก็ย่อมดูไม่ทั่วถึงบางต้นก็เจริญดี บางต้นก็ตายความดีของพุทธบริษัทก็เช่นเดียวกันเราจะต้องมีเครื่องสนับสนุนให้สมบูรณ์บางคนเกิดมามีทรัพย์บริสุทธิ์สะอาด บางคนก็ไม่สะอาดเหตุนั้นเราจะทำบุญกุศลก็ต้องให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ถ้าเรายังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกเราก็จะได้อิฏฐารมณ์เป็นกุศลอันหนึ่ง ( อิฏฐารมณ์ คือ อารมณ์ที่น่าปรารถนา เป็นอารมณ์ที่ดีปานกลาง เป็นที่น่าปรารถนาของคนทั่วไป คือ โลกธรรม ๘ นั่นเอง ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ตรงกันข้ามกับ อนิฏฐารมณ์ คือ เสียลาภ เสียยศ เสียสรรเสริญ เสียสุข-เพิ่มเติมโดยผู้ตั้งกระทู้)บางคนได้สิ่งที่ไม่เป็นที่พอใจ ไม่สมปรารถนาเมื่อเป็นเช่นนี้จะโทษใครเล่า? ต้องลงโทษว่า "กรรมเก่า" ให้ผลเรื่องต่างๆก็สงบ"ผลกรรม" เป็นของตัวเราเป็นผู้ทำขึ้น จึงทำให้เราเกิดมาในโลกเมื่อเราต้องการความบริสุทธิ์ เราต้องทำความบริสุทธิ์ให้พร้อมในกาย วาจา ใจทาน ศีล ภาวนา ก็ทำให้บริสุทธิ์เมตตากายกรรม ช่วยเหลือบุญกุศลให้เป็นของสะอาดเราจะบริจาคของเป็นทานก็ต้องแผ่เมตตาจิตเสียก่อนทำวัตถุต่างๆให้เป็นวัตถุสมบัติเสียก่อนด้วยเมตตาจิตอันรอบคอบ๑. "วัตถุ" ต่างๆเปรียบเหมือนผัก๒. "เจตนาสมบัติ" ถ้าขาดความตั้งใจก็เรียกว่า มันหงิกงอไม่งามความไม่งามย่อมไม่เป็นที่ปรารถนาของปราชญ์บัณฑิตดวงใจของเราจงรักษาไว้ อย่าให้ล้มหายละลายหายสูญ๓. "คุณสมบัติ" เท่ากับเราสร้างความดีให้เกิดในตัีวของเราคือ รักษาศีล ๕ , ๘ , ๑๐ และ ๒๒๗ เหล่านี้เป็นต้นให้เป็นปหานกิจ-ภาวนากิจทั้งกิริยา วาจา ใจ (ปหานกิจ - กิจที่พึงละ,ภาวนากิจ-กิจที่พึงอบรมให้เกิดมี ,เพิ่มเติมโดยผู้ตั้งกระทู้)ต้นไม้นั้นต้องหมั่นตัดยอดจึงจะงาม เช่น ผักบุ้ง เราหมั่นเด็ดมันก็แตกใหม่อีกการตัดยอด ได้แก่ การตัดสัญญา อารมณ์ อดีต อนาคต ออกจากใจ"การทำจริง" คือ การทำโดยไม่หยุด ไม่หย่อน ไม่เลิก ไม่ถอน ถึงผลจะแตกช้า แต่ก็มาก เพราะมันแบ่งส่วนก็ย่อมแลเห็นช้าเหมือนต้นประดู่ที่แตกยอดออกมาคลุมต้นของมันเองเราไปอาศัยก็ไ้ด้รับความร่มเย็น ปกคลุมถึงลูกหลานๆก็เย็นลูกหลานก็จะกลายเป็นคนมีนิสัยอย่างพ่อแม่ต้นกล้วยนั้นก็ดี แต่มียอดเดียวแต่ไปดีตอนผลอย่างนี้ก็เหมือนคนที่มีสุขเร็ว มีเร็วดีเร็ว แต่อันตรายมาก อย่างช้านั้นดีประโยชน์สุขุม ๒ ประการนี้บางคนก็ปฏิบัติได้ผลช้า แต่คนช้าก็อย่าไปแช่งคนเร็ว คนเร็วก็อย่าไปแข่งคนช้า อย่าไปเหนี่ยวเขาความดีที่ทำอยู่นี้ให้ผล ๒ อย่าง ความชั่วถ้ามีมากนักก็ค่อยๆหมดไปทีละนิดละหน่อยเหมือนเราขัดกระจกกระดานต้องนานหน่อยขัดกระดานจนเป็นเงามองเห็นหน้าได้นั่นแหล่ะจะเก่งมากขัดกระจกเป็นเงาได้นั้นไม่ค่อยเก่งเพราะธรรมชาติมันก็เป็นเงาอยู่แล้วเราคนเดียวนี้บางทีนั่งพักเดียวก็สบายบางทีนั่งอยู่ตั้งนานก็ไม่สบาย เหตุนั้นต้องบากบั่นพยายาม ต้องสร้างความจริง มุ่งจุดไหน ต้องทำจุดนั้นให้เรื่อยไปเหมือนรถไฟที่วิ่งไปตามรางฉะนั้นทาน ศีล ภาวนา เปรียบด้วยคนแต่งตัวด้วยเครื่อง เงิน,ทอง,เพชรบางคนก็แต่งแต่วันพระ พอวันธรรมดาล่อนจ้อนไม่มีอะไรเหลือเลยจะแต่งอะไรก็ควรให้แต่งได้สักอย่างจะเป็นเงิน หรือทอง หรือเพชรก็ได้ยิ่งสามารถแต่งได้ทุกอย่างยิ่งดีเราเป็นลูกพระพุทธเจ้าจะมาแต่งเครื่องทองเหลือง น่าขายหน้าเราเป็นลูกคนมีสกุลต้องแต่งตัวให้เหมาะสมจึงจะเป็นการควรถ้าคนที่วันพระก็ไม่เอา วันธรรมดาก็ไม่เอาก็เหมือนเอา"โซ่"มาแต่งตัวเป็น "นักโทษ"นั่นเอง คัดลอกเนื้อหาจาก หนังสือแนวทางวิปัสสนา-กัมมัฏฐานพระอาจารย์ลี ธมฺมธโร.จัดพิมพ์เผยแพร่โดยชมรมกัลยาณธรรมปี พ.ศ. ๒๕๕๒.ลี ธมฺมธโร. แนวทางวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน. พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพฯ : ขุมทองอุตสาหกรรมและการพิมพ์, ๒๕๕๒. หน้า ๒๖๔-๒๖๕
ดูกระทู้ที่ธรรมจักร //www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=40700