โบราณสถานกรุงรัตนโกสินทร์ วัดพระแก้ว วังหน้า เชิงสะพานปิ่นเกล้า ฝั่งพระนคร
มติชน 11 พฤษภาคม 2555 โดย ผู้สื่อข่าวพิเศษ (ซ้าย) พระพุทธรูปยืนสูง 6 ศอก พระประธานภายในอุโบสถวัดพระแก้ว วังหน้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ 2 โปรดให้หล่อขึ้น แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 4
(ขวบน) บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เมื่อ พ.ศ. 2489 เห็นโบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า (ทางซ้ายของภาพ) ตั้งโดดเด่นอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา (ภาพถ่ายฝีมือ นายปีเตอร์ วิลเลียมส์ ฮันท์ จากหนังสือ กรุงเทพฯ 2489-2539)
(ขวาล่าง) บริเวณพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ใน พ.ศ. 2539 เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร, โรงละครแห่งชาติ, วิทยาลัยนาฏศิลป และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แออัดยัดเยียดเบียดบังจนมองไม่เห็นความโดดเด่นของโบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า (ภาพจากหนังสือ กรุงเทพฯ 2489-2539)
|
วัดพระแก้ว วังหน้า มีนามทางการว่า วัดบวรสถานสุทธาวาส สิ่งสำคัญที่ยังเหลืออยู่มีเพียงโบสถ์หลังเดียวเท่านั้น ส่วนสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ได้ถูกรื้อถอนไปหมดสิ้นแล้ว เหลือแต่ซากวัดฝังอยู่ใต้ดินเป็น Unseen ของกรุงเทพฯ
สาเหตุที่ได้ชื่อว่า "วัดพระแก้ว วังหน้า" ก็คงสืบเนื่องมาจากผู้คนเห็นว่าเป็นวัดที่อยู่ในเขตของพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามที่อยู่ในเขตพระบรมมหาราชวัง (วังหลวง) อันเป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต (พระแก้ววังหลวง)
วัดในลักษณะนี้จัดเป็นพระอารามประจำพระราชวัง (โดยไม่มีพระสงฆ์อยู่อาศัย จำพรรษา) ตามขนบธรรมเนียมที่เคยมีมาแต่ครั้งโบราณกาล
ทุกวันนี้ บริเวณวัดพระแก้ว วังหน้า เป็นโบราณสถานกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ถูกครอบครองอย่างผิดกฎหมายโดยสถาบันการศึกษาของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเท่ากับรบกวนโบราณสถานอย่าง "เย้ยฟ้า ท้าดิน"
เริ่มสร้างวัดวังหน้า สมัย ร.3
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ (พระมหาอุปราช หรือ "วังหน้า" ในรัชกาลที่ 3) ได้โปรดให้สร้างวัดบวรสถานสุทธาวาส
เป็นพุทธบูชา (บนพื้นที่สวนวังหน้า หรืออุทยานวังหน้า สมัยรัชกาลที่ 1)
แต่เสด็จสวรรคตก่อนที่จะสร้างสำเร็จ โบสถ์วัดพระแก้ววังหน้า มีภาพเขียนเรื่องพระพุทธสิหิงค์ แห่งเดียวในประเทศไทย
|
พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ (พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 4) จึงได้ทรงดำเนินการก่อสร้างเรื่อยมา แต่ยังไม่เสร็จบริบูรณ์ก็เสด็จสวรรคตเสียก่อน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงโปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมจนสำเร็จเรียบร้อย และคงมีพระราชดำริจะให้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ มาประดิษฐานเป็นพระประธานในอุโบสถ จึงโปรดให้ก่อฐานชุกชีสำหรับตั้งบุษบกกลางพระอุโบสถ
นอกจากนี้ยังโปรดให้เขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์และอดีตพระพุทธเจ้าไว้ในพระอุโบสถด้วย แต่จนสิ้นรัชกาลก็มิได้อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ไปประดิษฐานไว้แต่ประการใด
เหลือแต่โบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า
ครั้นถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อพระองค์ทรงยกเลิกตำแหน่งวังหน้า (โดยมีกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญเป็นพระองค์สุดท้าย) พระราชวังบวรสถานมงคลก็ขาดผู้ดูแลรักษา พระองค์จึงโปรดให้รื้อปราการและสถานที่อื่นๆ ออกเสีย คงไว้แต่พระอุโบสถหลังเดียวเท่านั้น
จนในปี พ.ศ.2443 ได้โปรดให้ซ่อมแปลงพระอุโบสถเดิมเป็นพระเมรุพิมาน เพื่อใช้เป็นที่ตั้งพระศพสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ และพระศพเจ้านายซึ่งทรงเกียรติสูงหลายองค์ โบสถ์วัดพระแก้ว วังหน้า สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งพระทัยจะให้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์ แต่สวรรคตเสียก่อน พระพุทธสิหิงค์จึงยังคงประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ต่อมาเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องตำนานพระพุทธสิหิงค์ ฝีมือช่างวังหน้าไว้ในโบสถ์ (ภาพถ่ายเก่าสมัยรัชกาลที่ 5 จากหนังสือ ประชุมพงศาวดารภาคที่ 13. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพหม่อมเจ้าเสพจิตจำนงค์ สุทัศนีย์ 9 กรกฎาคม 2516)
|
หลังจากสิ้นงานครั้งนั้นแล้ว พระอุโบสถหลังนี้ก็หมดความสำคัญและชำรุดทรุดโทรมลงอย่างมาก จนกระทั่งได้มีการบูรณะเมื่อปี พ.ศ.2480 และ พ.ศ.2505 ตามลำดับ
ภาพเขียนบนผนังโบสถ์
ภาพเขียนในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส บริเวณผนังด้านที่ประดิษฐานองค์พระประธาน เขียนเป็นภาพวิมานขนาดเล็กอยู่เบื้องบนหลายหลัง
นอกจากนี้ยังเขียนเป็นพระอาทิตย์และพระจันทร์ อยู่ทั้งสองข้างองค์พระประธาน และยังมีภาพเทพที่เหาะมาสักการะอยู่รายรอบองค์พระด้วย หมายถึงการเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ของพระพุทธองค์ ภายหลังจากได้โปรดพุทธมารดาแล้ว
สำหรับผนังด้านอื่นๆ แบ่งภาพออกเป็น 2 แนว
ภาพแนวบน เหนือหน้าต่างขึ้นไป เป็นภาพเล่าเรื่องเหตุการณ์ของอดีตพระพุทธเจ้าซึ่งทรงมีพระจริยาวัตรที่คล้ายคลึงกัน จิตรกรรมพระพุทธสิหิงค์แห่งเดียวในไทย
ภาพแนวล่าง ที่อยู่ระหว่างช่องกรอบประตูและหน้าต่างเป็นภาพเล่าเรื่องพระพุทธสิหิงค์ ซึ่งมีแห่งเดียวในประเทศไทย
เล่าเรื่องผสมกันระหว่างตำนานพระพุทธสิหิงค์ฉบับพระโพธิรังสี ซึ่งแสดงเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนที่ พญานาคเนรมิตกลายเป็นพระพุทธเจ้าจนถึงตอนเจ้ามหาพรหมรบกับพระเจ้าสิริราชบุตร (พระเจ้าแสนเมืองมา)
หลังจากนั้นจึงดำเนินเรื่องตามพระราชพงศาวดาร จนถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทยกทัพไปรบกับพม่าที่ยึดเมืองเชียงใหม่ แล้วอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มากรุงเทพฯ
ภาพหลังสุดเป็นการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์ออกจากวังหลวงเพื่อมายังวังหน้า
ภาพแนวล่างนี้นอกจากเป็นภาพในตำนานพระพุทธสิหิงค์แล้ว ยังมีภาพเล่าเรื่องปัจเจกพุทธสอดแทรกอยู่บางผนัง และบางผนังยังไม่สามารถสรุปที่มาได้
ภาพเขียนสมัย ร.4
จิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาสเป็นฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ 4
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงมีลายพระหัตถ์ทูลสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า "...กรมหมื่นวรวัฒน์ว่าเจ้าฟ้าอิศราพงศ์เป็นแม่กองจัดเลือกช่างให้เขาเขียน มีฝีมืออาจารย์แดงห้องหนึ่ง เขียนดีนัก ในนั้นมีรูปชนช้าง..."
และลายพระหัตถ์อีกฉบับทรงกล่าวถึงจิตรกรรมตอนทิ้งผลกัลปพฤกษ์ว่า "...ติดใจรูปเขียนวัดบวรสถานอยู่อีกห้องหนึ่ง เห็นว่าดีล้ำเลิศกว่าที่เคยเห็นมา...ไม่เคยเห็นฝีมือช่างผู้นี้ที่ไหนมาก่อนเลย กรมหมื่นวรวัฒน์บอกว่าชื่อนายมั่น เป็นคนของเจ้าฟ้า..."
ภาพเขียนเหล่านี้ควรเปิดให้ประชาชนเข้าชม โดยไม่ถูกปิดกั้นจนทุกวันนี้นานมากกว่าครึ่งศตวรรษ
ขอบคุณ มติชนออนไลน์ ผู้สื่อข่าวพิเศษ โสรวารสิริสวัสดิ์ค่ะ
Create Date : 12 พฤษภาคม 2555 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2555 14:27:41 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2038 Pageviews. |
|
|