นิยาย/อดีตรักเหมืองป่า ตอนที่ 10
ตอน ไข่นุ้ยกลับรังขณะเราเดินกันอยู่บนสันเขา ซึ่งเป็นทางด่านที่พวกชาวเหมืองใช้สัญจรมาช้านาน เพราะเป็นทางลัด สาวบัวเดินอยู่ข้างหน้า ผมเดินตามหลัง และผลัดกันอุ้มเจ้าตัวน้อยซึ่งเธอมักจะฟุบหลับอยู่บนอกของคนอุ้มอยู่เสมอ แต่ถ้าเธอหิวนมตื่นขึ้นมา เราก็จะแวะนั่งพักกันบนขอนไม้หรือไม่ก็โขดหินริมทาง เอานมซึ่งสาวบัวชงใส่ขวดเตรียมมาแล้วให้เธอดื่ม เสร็จแล้วจึงค่อยเดินทางกันต่อระหว่างทางเราเดินสวนกับพวกชาวเหมืองหลายคน ทั้งผู้หญิงผู้ชาย เดินตามหลังกันมาเป็นแถว 7-8 คนก็มี 2-3 คนก็มี กระทั่งเดินมาคนเดียวก็มี มีทั้งรู้จักและไม่รู้จัก แต่เราก็ทักทายกัน... อย่างน้อยก็พยักหน้าและยิ้มให้กันอย่างมีไมตรี ทว่าบางคนโดยเฉพาะพวกนักแสวงโชคที่มาจากต่างถิ่นซึ่งสังเกตได้ เป็นผู้ชายหน้าตาเหมือนเพิ่งหลุดมาจากคุก ชอบมองสาวบัวด้วยสายตาที่ผมรู้สึกไม่พอใจเลยกระทั่งบ่าย ดวงตะวันเอียงพาดยอดไม้ทางทิศตะวันตก ผมกับสาวบัวซึ่งผลัดกันอุ้มเจ้าตัวเล็กมาตลอดทางก็ลุออกสู่ถนนใหญ่ ใกล้กับควนช้างถีบ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะต้องนั่งรถโดยสารต่อไปยังบ้านของเรา กลิ่นถนน กลิ่นควันท่อไอเสียของเครื่องยนต์จากยานพาหนะที่แล่นผ่านไปมา บอกผมว่า บัดนี้ผมกับสาวบัวกำลังก้าวสู่โลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งมันคงจะไม่ใช่โลกที่แสนจะอิสระเสรีเหมือนโลกของเราในป่าดง เพราะที่นี่มีผู้คนมากมาย มีสายตาที่เฝ้าจ้องมองเรานับไม่ถ้วน หรือนี่อาจเป็นเพราะผมไม่เคยทำตัวออกนอกลู่นอกทางอย่างนี้มาก่อนก็ได้ จึงพาให้หวั่นไหวและหวาดวิตกไปต่าง ๆ นานาเราสามคนรอรถสองแถวรับจ้างอยู่ที่ศาลาที่พักผู้โดยสารตรงปากทางเหมือง ซึ่งเป็นศาลาหลังเล็ก ๆ ยกพื้นสูงราวครึ่งเมตร ปูพื้นด้วยไม้กระดานเนื้อหนา เป็นศาลาที่ชาวเหมืองแร่ดงเขายาร่วมปลูกสร้างกันเอง แม้จะดูเอียงโย้ไปบ้างแต่มันก็แข็งแรงดี เจ้าตัวน้อยเดินเล่นเตาะแตะอยู่บนพื้นศาลา ผมกับสาวบัวนั่งบนม้ายาวมีพนักพิงตอกติดอยู่กับเสาทั้งสองด้าน คอยเฝ้าระวังมิให้เธอพลัดตกลงไปข้างล่างวันนี้สาวบัวนุ่งกางเกงยีนรัดรูป สวมเสื้อยืดคอปกเอวลอยสีขาว นั่งห้อยเท้าติดกับพื้นอยู่ตรงข้ามกับผม หล่อนล้วงตลับแป้งรูปกลม ๆ ที่มีกระจกส่องหน้าติดอยู่กับฝาด้านบนออกมาจากย่ามสัมภาระ พร้อมกับลิปสติกสีใส ๆ ที่เรียกกันว่า "ลิปมัน"แท่งหนึ่ง จัดแจงแต่งหน้าทาปากให้ตัวเอง... เสร็จแล้วหันมามองผมอย่างอาย ๆ และรีบเก็บเครื่องสำอางพวกนั้นกลับไว้ที่เดิม "สวยไหม?" สาวบัวหน้าแดงเรื่อ"เมียผมสวยอยู่แล้ว" ผมยิ้มและพยักหน้าเอาใจที่เห็นหล่อนกำลังเขินอาย เรานั่งรอรถกันอยู่ตรงนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็มีรถสองแถวโดยสารแล่นผ่านมาคันหนึ่ง ภายในรถมีผู้โดยสารเหลืออยู่ไม่กี่คน เพราะถัดจากนี้ไปทางบ้านผมอีกไม่กี่กิโลก็จะสิ้นจุดหมายปลายทางแล้ว และหนึ่งในผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในรถคันนั้นอยู่ก่อนก็เป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกับเรา แกเป็นหญิงวัยกลางคนหุ่นล่ำเกือบเท่ากระสอบข้าวสาร พอเราก้าวขึ้นไปนั่งบนรถ และรถเคลื่อนออกแล้ว แกก็หันมาทักทายพลางยื่นแขนอันอวบอูมทั้งสองข้างมาขออุ้มเจ้าตัวน้อยจากตักสาวบัว ทว่าเจ้าตัวน้อยส่ายหน้าไม่ยอมให้อุ้ม แกหัวเราะ"อ้อ-เดี๋ยวนี้ทำจองหองนะมึง ทีหลังพลัดหลงไปบ้านกูกูจะไม่ให้กินขนม" พูดจบหญิงอ้วนก็ละสายตามาที่ผม... "ไอ้ไข่นุ้ย- - น้านึกว่าเอ็งกลับโรงเรียนไปแล้ว" หญิงอ้วนพูดกับผม แกไม่สนใจหรอกว่าผมจะกำลังเล่าเรียนหนังสืออยู่ในกำแพงโรงเรียนหรืออยู่ในรั้ววิทยาลัย หากแต่แกก็เรียกสถานศึกษาของผมว่าโรงเรียนตะพึดตะพือ"จะกลับไปวันสองวันนี้แหละน้านุ่น" ผมพูดกับแก "นี่น้าคงไปหาหมอมาอีกละซี""เออ" แกพยักหน้า "ก็เอาลูกหมูไปขายให้แม่เอ็งนั่นแหละ ถึงได้ตังค์ไปหาหมอ... แต่น้าก็ลืมถามถึงเอ็งว่ะ- -ขยันเรียนหน่อยนะลูกนะ จบออกมาเป็นครูพ่อกับแม่จะได้มีหน้ามีตา... "น้านุ่นเป็นคนปากหวาน พูดเก่ง แต่แกมีโรคประจำตัวต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลบ่อย ๆ ถ้าขัดสนขึ้นมาแกก็มักจะบากหน้าไปพึ่งพาแม่ของผมเสมอ แกจึงสนิทสนมกับครอบครัวของผมเป็นอย่างดีบ้านของผมอยู่ติดถนน รถโดยสารแล่นถึงก่อนบ้านสาวบัวกับบ้านน้านุ่นที่อยู่เลยไป ผมลงจากรถควักสตางค์จ่ายค่ารถให้สาวบัวและเผื่อไปให้น้านุ่นด้วย เพื่อกันไม่ให้แกระแวง เพราะผมสังเกต แกทำสีหน้าสงสัยเมื่อเห็นผมกับสาวบัวก้าวขึ้นรถสองแถวคันนั้นพร้อมกันที่บ้านอันเปรียบเสมือนรังนอนที่แสนอบอุ่นของผม พ่อกับแม่ของผมอยู่ด้วยกันพร้อมหน้า แม่ทำกับข้าวมื้อเย็นอยู่ในครัว พ่อนั่งลอกผิวใบจากยาสูบอยู่ที่พื้นระเบียงหน้าบ้าน ท่านทั้งสองดีใจที่เห็นหน้าผม... หลังจากไต่ถามทุกข์สุขของผมรวมถึงเพื่อน ๆ ทั้งสามซึ่งยังอยู่ที่เหมืองกันพอสมควรแล้ว ท่านก็แยกกันกลับไปสานหน้าที่ของตนต่อ หากแต่พ่อนั้น ก่อนจะหันกลับไปหยิบก้านใบจากขึ้นมาลอกผิวของมันทิ้ง ท่านก็ลุกไปที่หัวกระไดริมระเบียง ยืนป้องปากตะโกนเรียกน้องสาวของผมสองคน ซึ่งไปขลุกอยู่กับลูกหมูตัวใหม่ที่น้านุ่นเพิ่งเอามาขายให้เลี้ยงอยู่ที่เล้าหมูริมสวนให้รีบกลับบ้านมา "พี่บ่าวกลับมาแล้ว" พ่อตะโกนเสียงดัง ซึ่งชั่วอึดใจผมก็ได้ยินเธอสองคนวิ่งแข่งกันมาเสียงดังลั่น"เพื่อนถึงก่อน" ผมได้ยินเสียงน้องสาวคนเล็กร้องดังขึ้น แล้วตามด้วยน้องสาวคนโตตะโกนว่า"ไม่มีทาง เพื่อนต้องไปถึงก่อน"พวกเธอสองคนวิ่งไล่ตามกันมา พร้อมกับสุนัขที่พ่อเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านตัวหนึ่ง เห่าโฮ่ง ๆ มาจนถึงเรือนผมกับน้องสาวทั้งสองอายุห่างกันหลายปี พวกเธอจึงทั้งรักและเคารพผม ราวกับผมเป็นญาติผู้ใหญ่มากกว่าพี่ชาย ซึ่งการณ์ทั้งนี้ก็น่าจะเนื่องมาความห่างเหินกันด้วย เพราะการที่ผมต้องออกจากบ้านไปเรียนหนังสืออยู่ที่ต่างจังหวัดตั้งแต่ชั้นมัธยมจนถึงปัจจุบัน ทำให้เราสามคนพี่น้องไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดกันเลย แม้กระทั่งปิดเทอมกลับบ้าน ผมก็มักจะออกหางานทำ-หารายได้เสริมเสียทุกที... โอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกันเหมือนสมัยที่พวกเธอยังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แทบไม่มีเลย มันเป็นลักษณะนิสัยของผมอย่างหนึ่งซึ่งเป็นมาแบบนี้แต่ไหนแต่ไร ตอนเด็ก ๆ ผมชอบซุกซน ชอบออกจากบ้านไปยิงนกตกปลาอยู่ตามชายทุ่งชายป่า หรือแม้กระทั่งทะเลก็เคย ผมเป็นคนไม่ชอบติดอยู่กับที่ ซึ่งแม่เคยพูดให้ฟังว่า "เป็นลักษณะของคนที่รักการผจญภัย...ซึ่งน่าเป็นห่วง" และเมื่อแรกได้ยินน้ำเสียงของแม่ที่เอ่ยออกมาด้วยความเป็นห่วงต่ออนาคตของผมอย่างนั้น ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ผู้ที่รักการผจญภัยจะมีเส้นทางชีวิตที่น่าเป็นห่วงอย่างไร เพิ่งจะมารู้ก็ต่อเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่และได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตอย่างมากมายก่ายกองแล้วนี่เอง ชีวิตการผจญภัยแม้จะได้สัมผัสกับสิ่งแปลกใหม่ไม่ซ้ำซาก ซึ่งมันให้ทั้งความสุขสนุกสนานและตื่นเต้นร้าวใจอยู่ตลอดเวลา แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งแปลกใหม่นั้นก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์แต่เพียงฝ่ายเดียว ตรงข้าม บางครั้งกลับมีสิ่งที่เรียกกันว่า "อันตราย" แอบแฝงอยู่ด้วยอย่างน่าสะพรึงกลัว ซึ่งอาจทำให้เราเสียหลักได้ ถ้าหากประมาทและรู้เท่าไม่ถึงการณ์... น้องสาวของผมสองคนเมื่อขึ้นบนเรือนมาพบหน้าผม ต่างก็ออกอาการเหนียม ๆ ไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ หากแต่ชวนกันนั่งพับเพียบอยู่ตรงหน้าผมบนพื้นระเบียง แม้หน้าตาจะดูสดชื่นและมีความสุขที่ได้เห็นหน้าพี่ชาย หากแต่แววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ราวกับผมเป็นนอก ผมยิ้มให้พวกเธอ และชวนพูดคุย"พรุ่งนี้บ่าวจะไปตะกั่วป่า ใครจะไปกับบ่าวบ้าง?" น้องคนเล็กมองสบตาผมและพูดขึ้นก่อน"สาวไป""ไม่รู้แม่ให้ไปหรือเปล่า?" น้องสาวคนโตพูดเบา ๆ แต่นัยน์ตาสองข้างของเธอฉายแววกระตือรือร้นจนผมนึกสงสาร"ให้ไปซี" ผมว่า "ไปกับบ่าว ทำไมแม่จะไม่ให้ไป"บ่าว-เป็นคำเรียกพี่ชาย ส่วน-สาว-ไม่เฉพาะเจาะจง เรียกได้ทั้งพี่สาวและน้องสาว แต่มักนิยมใส่ชื่อตามหลัง ผมเรียกน้องสาวคนเล็กว่าสาวเล็ก และเรียกน้องคนโตว่าสาวหมา เพราะเธอมีชื่อเล่นว่า-หมา"โรงเรียนใกล้จะเปิดเทอมแล้ว หมายังไม่ได้ซื้อสมุดหนังสือ... บ่าวจะซื้อให้ไหม?""ซื้อให้ซี้!" ผมยิ้ม "ทั้งเสื้อ ทั้งกระโปรงนักเรียน ซื้อให้หมดเลย บ่าวขายแร่ได้ตั้งหลายบาทไม่ต้องกลัว"สาวเล็กทำตาโต"แล้วของสาวล่ะ?""อ้าว-ก็สาวเล็กอยากได้อะไรเล่า? ยังไม่เข้าโรงเรียนกับเขาซะหน่อย""อยากได้กระโปรงเหมือนกัน ตุ๊กตาก็อยากได้" เธอว่า"เฮ้ย -- โตเท่าควายยังอยากเล่นตุ๊กตา" สาวหมาร้องขัดคอน้อง"อ้าว- แล้วทีตัวเองเล่นของเพื่อนจนแขนขาหลุดขาด ไม่เห็นซื้อใหม่ให้...""เก๊าะเพื่อนมีกะตังค์กับเขาที่ไหนเล่า" "ไม่รู้ล่ะ พรุ่งนี้ตัวเองต้องขอตังค์แม่ไปซื้อใช้ให้เค้าก็แล้วกัน"ผมหัวเราะ... และโบกมือห้าม"เอาหละ ๆ ไม่ต้องเถียงกัน ใครอยากได้อะไร พรุ่งนี้บ่าวซื้อให้หมดเลย แต่ขออย่างเดียว อย่าไปทะเลาะกันกลางคน อายเขาเข้าใจไหม"น้องสาวสองคนพยักหน้าและยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนชวนกันลุกขึ้นและวิ่งเข้าไปในครัวจนได้ยินแม่ร้องดุเสียงดังลั่น"อ้ายเด็กสองคนนี้มันเป็นอะไรของมัน... เดินเหินให้เป็นผู้เป็นคนกะเขาบ้างไม่ได้รึไง--เดี๋ยวก็โดนไม้เรียวอีกหรอก"ผมได้ยินเสียงแม่ดุน้องสาวสองคนนั้นแล้ว ก็อดที่จะหันไปยิ้มกับพ่อไม่ได้ เพราะแม่ก็คือแม่ ปีหนึ่ง ๆ ไม่รู้ได้หยิบไม้เรียวเฆี่ยนลูกสักครั้งหรือไม่ แต่ลูกทุกคนก็กลัวแม่ ไม่ว่าเรื่องใดถ้าแม่สั่งห้ามพวกเราก็มักจะไม่กล้าฝืน เพราะบางครั้งที่เราเผลอฝ่าฝืน ก็จะเห็นแม่นั่งหน้าเศร้า ไม่ค่อยยิ้มหัว จนเราคิดว่าแม่คงโกรธและไม่รักเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงต้องรีบเข้าไปกราบขอโทษและยอมทนนั่งให้แม่อบรมเสียพักหนึ่ง นั่นแหละเราจึงได้เห็นใบหน้าของแม่ค่อย ๆ แจ่มใสขึ้น แล้วเราก็รู้สึกมีความสุข"ไข่นุ้ย มืดค่ำจะไปไหนอีก" พ่อร้องถาม เมื่อเหลือบเห็นผมแอบหยิบพวงกุญแจมอเตอร์ไซค์อีแก่ของท่าน และทำท่าจะก้าวลงขั้นกระได"จะไปหาเพื่อนหน่อยครับ" ผมตอบไม่เต็มเสียง"ใครล่ะ! ไอ้ชน ไอ้เคว็ด พวกนั้นนะเหรอ?" พ่อขมวดคิ้วสงสัย "อย่าริไปหัดสูบกัญชากับพวกมันเข้าเชียวนา""ยังเด็กยังเล็ก กินทั้งเหล้า สูบทั้งกัญชา เฮ้อ-ไม่ไหว" แม่พลอยผสมโรงไปกับพ่ออีกคนผมนึกขัน ๆ อยู่ในใจ นี่ถ้าแม่รู้ว่าเจ้าลูกชายตัวดีของแม่กำลังจะแอบไปหาผู้หญิง ซึ่งแม่เป็นห่วงและคอยกำชับนักหนา แม่จะบ่นว่าอย่างไรหนอ...?****************************************
ตามมาอ่านไข่นุ้ยกลับรัง (ชื่อเหมือนหนังตะลุง 555)
อ่านเรื่องแม่ตีลูก นี่ตีเพื่อสอน
ถ้าแม่ไม่ตีเราอาจไม่รู้ว่าอะไรถูกผิดนะคะ
ไว้จะมาติดตามอ่านอีกค่ะ