Movie Review by negima
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
 
14 กุมภาพันธ์ 2552
 
All Blogs
 

The Wrestler - "เมื่อโลกของเธอไม่เหมาะกับคนอย่างฉัน"



The Wrestler / เพื่อเธอขอสู้ยิบตา


ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 แรนดี “เดอะ แรม” โรบินสัน (มิคกี้ รู้ก) ยังรั้งตำแหน่งแชมป์มวยปล้ำอาชีพผู้ยิ่งใหญ่ แต่ทุกวันนี้ 20 ปีผ่านมา ชีวิตกลับเหลืออยู่แค่รับจ้างจัดเรียงข้าวในซุปเปอร์มาร์เกต กับเร่แสดงการต่อสู้ให้บรรดาแฟนๆ ผู้ไม่เคยเปลี่ยนใจไปจากมวยปล้ำจำนวนน้อยนิดได้เห็นเป็นขวัญตา โดยสับเปลี่ยนไปตามโรงพละของโรงเรียนมัธยมต่างๆ ทั่วทั้งรัฐนิวเจอร์ซีย์ ก่อนจะตระหนักได้ว่า มวยปล้ำหลอกๆ นอกสังเวียนไม่ใช่หนทางหาเลี้ยงชีพเพียงทางเดียวที่เหลือไว้ให้อดีตแชมป์ผู้ร่างกายสึกกร่อนไปบ้าง ที่สำคัญ สังเวียนผ้าใบยังคงเป็นที่พักพิงอันแสนอบอุ่นบนโลกอันสับสนและยากจะเข้าใจ โลกที่อยู่ไปวันๆ เพียงลำพังหลังจากมีปัญหาแตกหักกับลูกสาว สเตฟานี่ (อีแวน เรเชล วูด) แรนดีคือนักฝันผู้ป่าเถื่อน มีชีวิตอยู่เพื่อมอบความตื่นเต้นเร้าใจผ่านงานแสดง และเป็นที่รักของบรรดาสาวกผู้คลั่งไคล้ความรุนแรง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รอดพ้นจากอาการหัวใจวาย เขาหวนกลับมาประเมินสภาพชีวิตตัวเองอีกครั้ง ตั้งหน้าตั้งตาสานสัมพันธ์อันดีกับลูกสาวที่หนีหน้าไปนาน รวมทั้งกระโจนเข้าใส่ห้วงรักผลิบาน เริ่มสัมพันธ์รักครั้งใหม่กับนางระบำเปลื้องผ้าวัยใกล้ปลดเกษียณ แคสไซดี้ (มาริซา โทเม) แต่กระนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดจะขจัดภาพลวงตาเย้ายวนของสังเวียนผ้าใบและความหลงใหลในศิลปะการต่อสู้ออกไปจากใจเขาได้ พวกมันยังคงก่อกวนความรู้สึก โน้มน้าว แรนดี “เดอะ แรม” ให้เคลิ้มคล้อย และเฝ้าฝันถึงการผงาดอยู่ในโลกแห่งมวยปล้ำ และนำไปสู่บทสรุปของชิวิตชายผู้หนึ่งที่จะมาทวงคืนทั้งสังเวียนการต่อสู้ และ สังเวียนชีวิต ให้ทุกสายตาได้ประจักษ์!



ผู้กำกับ “ดาร์เรน อโรนอฟสกี” ฉีกจากการทำหนังรักอมตะภาพสวย แฝงแง่คิด ( ที่หลายคนบ่นว่าดูยาก ) อย่าง The Fountain (2006) มากำกับหนังดราม่าหนักๆ ที่มีเนื้อหาเข้มข้นได้อย่างน่าติดตาม และเล่าเรื่องแบบตรงไปตรงมามากขึ้น และการที่หนังได้พระเอกรุ่นเก๋าอย่าง “มิคกี้ รู้ก” มารับบท แรนดี “เดอะ แรม” ก็ถือเป็นการตัดสินใจที่ดี เพราะการแสดงของรู้กในที่นี้เต็มไปด้วยพลัง สีหน้า แววตา รูปร่าง ทุกอย่างล้วนสมจริงและเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด แม้บางฉากจะเป็นการแช่กล้องอยู่กับที่และมีเพียงความเงียบ แต่รู้กก็สามารถสะกดผู้ชมได้อย่างอยู่หมัดตั้งแต่ฉากแรกจนถึงฉากสุดท้ายในการจับจ้องไปที่ใบหน้าหรือแผ่นหลังที่เปี่ยมไปด้วยพลังของเขา และที่ชอบส่วนตัวคือซีนร้องไห้ที่สามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม รู้กปลดปล่อยอารมณ์ของผู้ที่สิ้นหวัง หมดกำลังใจ เจ็บปวด และ ปล่อยวางได้อย่างสมจริง จึงไม่แปลกใจเลยที่รู้กจะไปกวาดรางวัล “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” รวมไปถึงคว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และเป็นตัวเก็งออสกร้าดารานำฝ่ายชายไปแล้วในเวลานี้

มีหลายคนมองว่าการที่รู้กสามารถตีบทนักมวยปล้ำตกอับในเรื่องได้แตกกระเจิงนั้น เป็นเพราะในชีวิตจริงของพี่แกก็ไม่ต่างไปจากบท แรนดี “เดอะ แรม” รายนี้นัก เพราะอายุที่มากขึ้นทำให้งานก็ลดลงจึงต้องหาโอกาสกลับมาโด่งดังให้ได้อีกครั้ง ซึ่งพี่แกก็คงสมใจแล้วเพราะนอกจากได้รางวัลและเข้าชิงออสกร้าเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว ยังมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ติดต่อเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย อาทิ Iron Man 2 และ The Expendables (โปรเจครวมดาวที่แสดงร่วมกับ Sylvester Stallone ,Jason Statham ,Jet Li และ Dolph Lundgren ! รายหลังสุดนี่กลับมาปลุกผีครั้งใหญ่เลยงานนี้)



ด้าน “มาริซา โทเม” อีกหนึ่งดาราสาวคุณภาพในบทนางระบำเปลือยรุ่นแม่ก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจสำหรับนักแสดงมือรางวัลคนนี้ ที่โดดเด่นจริงๆก็คงเป็นเรื่องของลีลาการเต้นแบบนางโชว์ที่ชวนมองไม่เบาทีเดียว (ส่วนตัวคิดว่าดาราสาวคนนี้หน้าคมตาสวย แบบไม่ต้องมองที่อายุนะ แถมใน Before the Devil Knows You’re Dead ที่เธอเปลือยถึงหลายครั้ง อาจทำให้เธอมีความพร้อมกับบทนี้มากขึ้นก็ว่าได้) กับอีกคนคือ “อีแวน เรเชล วูด” สาววัยรุ่นจาก Across the Universe (2007) ถึงบทจะน้อยไปหน่อย แต่ก็มีซีนระเบิดอารมณ์อยู่ฉากสองฉากและเธอก็สามารถทำได้ดี ส่วนดาราประกอบคนอื่นๆก็ถือว่าสมบทบาทที่ได้รับทุกคน แต่ก็อย่างว่าเรื่องนี้การแสดงของรู้กเพียงคนเดียวก็ข่มคนอื่นในเรื่องสะหมดรัศมีเลย เรียกว่าขอยกให้เป็นหนึ่งใน “การแสดงแห่งปี” เลยก็คงไม่มีใครค้าน

หลายคนเมื่อเห็นเนื้อเรื่องคร่าวๆของหนังแล้วอาจจะคิดไปว่าคงให้อารมณ์เดียวกันกับหนังอย่าง Rocky ภาคล่าสุด เพราะมีความคล้ายกันเรื่องของนักมวย (แต่คนละแบบ) ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นและต้องต่อสู้ทั้งบนสังเวียนและชีวิตบั้นปลายไปพร้อมๆกัน แต่เอาเข้าจริงแล้ว The Wrestler เป็นหนังที่มีความเป็นดราม่าเข้มข้นอยู่มาก แต่ในเรื่องของแอคชั่นก็ใช่ว่าจะไม่มี และแต่ละฉากที่ทำออกมาก็ถือว่าให้อารมณ์ร่วมพอสมควร(ซึ่งก็ต้องชมพี่รู้กของเราอีกนี่แหละที่เล่นสมจริงมากๆ) หลายฉากในเรื่องใช้การถ่ายภาพแบบใช้กล้องเดินตามหลังของตัวละครนำซึ่งให้อารมณ์ดิบและให้ความรู้สึกเหมือนผู้ชมกำลังเฝ้ามองชีวิตของชายคนหนึ่งจริงๆ และเพลงประกอบอย่าง Bruce Springsteen - The Wrestler ก็ทำออกมาได้ไพเราะกินใจไม่แพ้ส่วนของการแสดงเช่นกัน



ตัวละคร แรนดี “เดอะ แรม” โรบินสัน เป็นตัวละครที่ค่อนข้างมีลักษณะนิสัยมองโลกในแง่ดี แม้เขาจะโดดเดี่ยว และดูเหงาในเกือบทุกเวลาที่ไม่ได้เล่นมวยปล้ำ แต่เขาก็คิดว่าทุกสิ่งที่เห็นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ง่ายไม่ซับซ้อนไม่ต่างอะไรไปจากการเล่นมวยปล้ำบนสังเวียนที่ก่อนเริ่มตกลงอะไรกันไว้ก็ว่ากันตามนั้นไม่มีอะไรเป็นอื่น และเมื่อถึงจุดหนึ่งหลังจากเกือบตายเพราะอาการหัวใจวายทำให้ แรนดี เริ่มคิดที่จะวางมือและมาใช้ชีวิตใน “โลกภายนอก ” โดยทิ้ง “โลกของตัวเอง ” ไว้เบื้องหลัง เพราะนี่ถือเป็นสัญญาณว่าสภาพร่างกายของแรนดี้ไม่สามารถรับการเล่นมวยปล้ำได้อีกแล้ว ในช่วงแรกๆแรนดี้ที่อยู่คนเดียวมาตลอดจึงตัดสินใจไปหาลูกสาวที่เขาเคยทอดทิ้งและไม่เคยมาดูแลเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา เพียงเพราะเขาทุ่มเทเวลาให้กับมวยปล้ำจนหมด และแน่นอนที่ สเตฟานี่ ลูกสาวของเขาจะยอมให้อภัยง่ายๆ พร้อมๆกันนั้นก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขาเริ่มจริงจังกับการสร้างสัมพันธ์รักครั้งใหม่กับ แคสไซดี้ นักระบำเปลื้องผ้ารุ่นใหญ่ที่อายุอานามก็ไม่ค่อยอำนวยแล้วสำหรับอาชีพนี้ ทั้งสองเรื่องนี้ดูเหมือนกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดีเนื่องจาก สเตฟานี่ เริ่มเปิดใจให้พ่อเธอมากขึ้นเวลาเดียวกับการที่แรนดี้เริ่มคิดว่า แคสไซดี้ ก็เริ่มมีใจให้เขาด้วยเช่นกัน พร้อมกับการที่สามารถทำงานในซุปเปอร์มาร์เกตได้ในวันเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากไม่ได้ไปเล่นมวยปล้ำแล้วพร้อมติดป้ายชื่อเป็น “โรบิน” ทุกอย่างในชีวิตของแรนดี กำลังดูเหมือนจะเข้าที่เข้าทาง

(ในที่นี่อาจมองได้ว่าเขาไม่ใช่ แรนดี “เดอะ แรม” อีกต่อไปแต่จะเป็น โรบิน แทนเพื่อเปลี่ยนเป็นคนใหม่ให้เหมาะกับสังคมภายนอกสังเวียน)



ในเวลาเดียวกัน แรนดี ก็ร่ำรากับเพื่อนๆในวงการมวยปล้ำและยกเลิกการตะเวณเล่นมวยปล้ำตามยิมต่างๆด้วยเช่นกัน รวมไปถึงรีแม็ตซ์ดวลกับ “อะยาโทไลอาห์” คู่ปรับเมื่อ 20 ปีก่อนที่สร้างชื่อให้กับเขาด้วย ผู้ชมจะเห็นว่า แรนดี ค่อยๆพยายามมองโลกภายนอกมากขึ้น

แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายอย่างที่ แรนดี คิดเอาไว้ เพราะเมื่อเอาเข้าจริงๆความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ สเตฟานี่ ก็มีอันต้องสะดุดเนื่องจากการที่เขาลืมนัดทางอาหารมื้อแรกกับลูกสาวคนนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่การทานข้าวด้วยกัน แต่มันยังมีความหมายถึงการเริ่มต้นใหม่ของทั้งคู่อีกด้วย ทุกอย่างในใจของสเตฟานีจึงระเบิดออกมา เพราะสเตฟานีเชื่อว่าการที่พ่อเธอกลับมาครั้งนี้ พ่อเธอได้กลายเป็นคนใหม่แล้ว แต่เธอก็คิดผิดที่จะเชื่อว่าคนเราสามารถเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ จนไปสู่จุดแตกหักที่สเตฟานี่ไม่ขอฟังคำอธิบายจากพ่อและขอไม่พบหน้าพ่อคนนี้อีกต่อไป หัวใจของ แรนดี แตกสลายเป็นเสี่ยงๆเมื่อรู้ว่าคนเดียวที่เป็น “ครอบครัว” ของเขาไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้ว และทำให้นึกย้อนไปถึงฉากก่อนหน้านี้ที่ แรนดี พาลูกสาวของเขาไปปรับความเข้าใจกันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสวนสนุกที่ทั้งคู่เคยมาเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งทั้งคู่พยายามเปิดใจให้กันเป็นครั้งแรกในชีวิต

“พ่อรู้ว่าสิ่งที่พ่อทำไปมันไม่ถูกที่พ่อไม่เคยมาดูแลลูกเลย แล้วดูพ่อตอนนี้สิไม่ต่างอะไรไปจากก้อนเนื้อที่หมดสภาพ พ่อสมควรแล้ว ...พ่อสมควรที่ต้องอยู่คนเดียวแล้ว” แรนดี พูดกับลูกสาวแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของทั้งคู่ คำพูดซื่อๆของแรนดีสะท้อนความจริงใจและความรู้สึกที่เขามีต่อลูกได้อย่างชัดเจน



ด้าน แคสไซดี้ หลังจาก แรนดี ขอคบกับเธออย่างจริงจังเธอก็เริ่มตีตัวออกห่างจากเขา เพราะเธอมีกฎที่จะไม่มีความสัมพันธ์กับลูกค้านอกจากแค่เวลาที่เธอทำงานเท่านั้น และบอกกับแรนดีว่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับลูกค้าคนอื่นๆเลยในความคิดของเธอ รวมไปถึงปัญหากับที่ทำงานเมื่อภาพในอดีตตามมาหลอกหลอนอยู่เรื่อยจนเขาทนไม่ได้จนต้องออกจากงาน

ระหว่างที่ แรนดี กำลังสับสนกับสิ่งที่เกิดกับคนรอบกายนั้น เขาก็ยังคงแวะไปเยี่ยมเยียนเพื่อนเก่านักมวยปล้ำ มีอยู่ฉากหนึ่งที่แรนดีกับบรรดานักมวยปล้ำรุ่นเดียวกันตั้งโต๊ะในโรงยิม เพื่อให้บรรดาแฟนๆผู้คลั่งไคล้ได้จ่ายเงินเข้ามาขอลายเซ็น ถ่ายรูปกับขวัญใจของพวกเขา ซึ่งก็ยังมีแฟนๆมารุมตอม แรนดี อยู่บ้าง แต่เมื่อตั้งสติและมองดูความเป็นจริงรอบๆแล้ว ภาพนักมวยปล้ำที่หมดสภาพหลายๆคนมานั่งรวมกลุ่มกัน บ้างก็พิการ บ้างก็รูปร่างเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้ บางโต๊ะก็พอมีคนมารุม แต่บางโต๊ะก็ไร้ซึ่งวี่แววใดๆ นั่นทำให้ แรนดี เริ่มต้องมองชีวิตตัวเองใหม่อีกครั้ง เพราะแม้รูปร่างตัวเองยังพอดูดีอยู่ และยังพอมีแฟนๆติดตามผลงานอยู่ แต่ชีวิตของเขาไม่น่าจะมาจบลงที่จุดนี้ ชีวิตเขาควรไปอยู่จุดที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ สำหรับเขาแล้วเรื่องของ “โอกาส” ยังพอมีให้เลือก บางคนต่อให้อยากเปลี่ยนชีวิตแค่ไหนก็ตาม แต่หากไร้ซึ่งโอกาสแค่ความพยายามอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ แต่บางคนก็กลับปล่อยโอกาสหลุดลอยไปเพียงแค่อยากก้มหน้ายอมรับสภาพชีวิตที่คิดว่า “สมควรเป็น” ไม่ใช่ที่ “อยากจะเป็น” แล้วมาเสียใจภายหลัง และดูเหมือน แรนดี จะเข้าใจดีว่าสิ่งที่หัวใจเขาต้องการคืออะไรในเวลานี้ เวลาที่โลกภายนอกไม่ต้องการเขา และคนรอบตัวก็พากันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น

เมื่อถึงจุดนนี้ แรนดี จึงทิ้งทุกอย่างอีกครั้งทั้งการเป็น “โรบิน” ในซุปเปอร์มาร์เกต การพยายามเป็นพ่อที่ดี และการจะลงหลักปักฐานกับหญิงสาวที่เขามีใจให้ กลับเข้าสู่โลกแห่งวังเวียนมวยปล้ำอีกครั้งแม้จะรู้ว่าการเสี่ยงครั้งนี้อาจพรากชีวิตไปจากเขาได้ทุกเมื่อ แรนดี ตัดสินใจไปรีแม็ตซ์ดวลกับ “อะยาโทไลอาห์” คู่ปรับเมื่อ 20 ปีก่อน เขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยศึกครั้งนี่เขาไม่ต้องการเงินแต่ขอเพียงแค่ได้ขึ้นสังเวียนก็พอ เพราะ มวยปล้ำไม่ได้เป็นแค่อาชีพของเขา แต่เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่เขาขาดไม่ได้

หลายคนอาจมองว่า แรนดี “เดอะ แรม” เป็นพวก “ไอ้ขี้แพ้” หรือ “ไม่มีน้ำยา” เพราะแค่ทนต่อเรื่องเล็กน้อยไม่ได้ ทั้งที่เพิ่งจะเริ่มต้นก็กลับไปขอตายบนสังเวียนเก่าเสียแล้ว แต่ถ้ามองกันจริงๆแล้วตัวละครอย่าง แรมดี นั้นถือเป็นพวกที่ “มองอะไรง่ายเกินไปหรืออาจจะไร้เดียงสา” ด้วยซ้ำไปอย่างที่กล่าวไปข้างต้น นั้นทำให้เขาไม่เข้าใจโลกภายนอกใบนี้ อย่างเรื่องระหว่างเขากับ แคสไซดี้ ที่เขาคิดว่าถ้ารู้สึกเหมือนกัน มีความรักกัน แล้วทำไมมันจะไม่ดี ทำไมแคสไซดี้ตั้งกฎอะไรมากมายเพื่อปิดตัวเอง หรือแม้กระทั้งการที่เขาตัดสินใจไปพบลูกเพียงเพราะอยากบอกให้ลูกรู้ว่าพ่อเพิ่งหัวใจล้มเหลวโดยไม่หวังผละไร แต่ก็ถูกลูกสาวตั้งแง่มากมาย และอีกหลายๆเรื่อง จนเป็นที่มาของประโยคที่ แรนดี พูดกับ แคสไซดี้ ก่อนขั้นสังเวียนครั้งสุดท้ายว่า

“สิ่งที่ทำให้ผมกลัวไม่ใช่เรื่องตาย โลกภายนอกต่างหากที่ทำให้ผมกลัว ที่นั่นแตกต่างและไม่เหมาะกับผม แต่ที่นี่ บนสังเวียนนั้นทุกคนชื่นชมและเห็นคุณค่าของตัวผม”

และประโยคที่ แรนดี กล่าวในฐานะ แรนดี “เดอะ แรม” ว่า

“ชีวิตนี้ผมทำผิดพลาดมาหลายเรื่อง สิ่งที่ผมได้รับจากการใช้ร่างกายอย่างหนักสมัยก่อนก็คือผมสูญเสียคนที่รักผม และคนที่ผมรักไป แต่ที่นี่ ตรงนี้พวกคุณ ทุกๆคน คือครอบครัวของผม ทำให้ผมมายืนตรงนี้”



สุดท้ายแล้ว ตัวละคร แรนดี “เดอะ แรม” ใน The Wrestler ถึงแม้จะไม่ใช่ผู้ชนะในโลกแห่งความเป็นจริง แต่ในโลกของสังเวียนมวยปล้ำ เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าแม้กล้ามเนื้อจะหมดสภาพ แต่ตราบใดที่กล้ามเนื้อหัวใจยังเต้นและหายใจเข้าออกเป็นสิ่งที่เขารัก และ มีความสุขกับมัน แม้จะไม่มีใครเข้าใจก็ตาม แต่มันก็คือ “ชัยชนะที่แท้จริง” ในชีวิตชายคนหนึ่ง ในโลกที่เขามีความหมายและทุกคนยกย่องเชิดชู

แม้ฉากสุดท้ายเมื่อ แรนดี มองไปที่เดิมแต่ก็ไม่พบใครที่พร้อมจะเข้าใจเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขอย่างหาที่ไหนไม่ได้เพราะเขาได้เลือกทางที่เหมาะกับตัวเองแล้ว






 

Create Date : 14 กุมภาพันธ์ 2552
6 comments
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2552 13:28:02 น.
Counter : 1780 Pageviews.

 

สุขสันต์วันแห่งความรักค่ะ


 

โดย: pet.sp 14 กุมภาพันธ์ 2552 17:42:36 น.  

 

เขียนได้ดี ขอชม
ฝีกไปเรื่อยๆ ใกล้ขั้นมืออาชีพแล้ว

 

โดย: เสี่ยวเฉิน IP: 202.149.24.161 15 กุมภาพันธ์ 2552 0:22:11 น.  

 

ยังไม่ได้ดูเลย เล็งๆ ไว้เหมือนกัน
แต่อยากดู Milk มากกว่า ชอบ Sean Penn ง่ะ

 

โดย: คนขับช้า 27 กุมภาพันธ์ 2552 0:02:09 น.  

 

อยากหาดูเช่นกัน

แต่รายละเอียดบางทีมันวกซ้ำกับประโยค

ตอนต้น ลดหน่อยจะได้กลมกล่อม

 

โดย: Mr.Chanpanakrit 25 พฤษภาคม 2552 23:20:33 น.  

 

ได้ดูแล้ว ชอบมากเลย ทำได้ดีกว่าที่คิดอีก

เปิดดู Milk แล้วเหมือนกัน แต่ยังดูไม่จบ เจอฉากแรกๆ ของพระเอกที่ล่าหนุ่มๆ ชักไม่แน่ใจว่าจะชอบไหม เดี๋ยวจะพยายามดู

แต่ มิคกี้ รูค เจ๋งจริง

 

โดย: คนขับช้า 13 สิงหาคม 2552 23:13:57 น.  

 

เขียนได้ดีมากครับ!
ได้อ่านแล้ว ... เกิดแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาเขียนบล๊อคบ้าง

 

โดย: Calvin IP: 172.16.27.1, 112.142.131.47 19 พฤศจิกายน 2552 10:56:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


negima_xx
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




!#@# สวัสดีครับ กับทุกๆคนที่เข้ามาสู่ Blog นี้ของผม ขอให้สนุกกับการอ่านรีวิวภาพยนตร์ต่างๆนะครับ อาจจะมีถูกใจมั้ง ไม่ถูกใจมั้ง เพื่อนๆคนไหนคิดเห็นเหมือนกัน หรือแตกต่างกันตรงไหนก็บอกกล่าวกันได้ครับ ^^ #@#!