..·ஐ.¸¸·´¯`·.¸¸.ஐ แวะมาคุยด้วยกัน...มาเป็นเพื่อนกันนะจ๊ะ ..·ஐ.¸¸·´¯`·.¸¸.ஐ
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
3 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
สอนแม่หัดปฎิบัติธรรม: คุยกับผู้อ่าน



คุยกับผู้อ่าน


ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ท่านเคยคิดบ้างมั๊ยครับว่า เราเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร บางท่านอาจจะบอกว่าไม่น่าถาม ก็เรียนเพื่อให้ได้ความรู้น่ะสิ ถูกต้องครับ แล้วเราเรียนเพื่อให้ได้ความรู้ไปเพื่ออะไรครับ คำตอบก็คือเพื่อให้ได้ทำงานที่ดี แล้วทำงานไปเพื่ออะไรครับ ท่านอย่าเพิ่งหาว่าผมถามยวนๆ กวนๆ นะครับ ผมถามจริงๆ ไม่ได้กวนเลยครับ ก็ทุกคนทำงานก็เพื่อให้ได้เงินใช่มั๊ยครับ แล้วได้เงินมาเพื่ออะไรล่ะครับ ก็เพื่อเอามาเลี้ยงชีวิตจริงมั๊ยครับ แล้วเงินที่หาไมได้ทุกบาททุกสตางค์นำมาเลี้ยงชีวิตส่วนไหนล่ะครับ ส่วนกายหรือส่วนใจ ในเมื่อชีวิตเราประกอบด้วยกายกับใจ

บางท่านอาจจะตอบว่าส่วนใจ บางท่านอาจจะตอบว่าทั้งกายทั้งใจ แล้วท่านล่ะครับจะตอบว่าส่วนใด หรือไม่แน่ใจ แท้ที่จริงเงินที่เราหามาได้ เรานำมาเลี้ยงชีวิตส่วนกายเท่านั้น ส่วนใจเงินเลี้ยงไม่ได้อย่างที่เราคิดเลย

ยกตัวอย่าง ถ้าเงินเลี้ยงชีวิตส่วนใจให้มีความสุขได้อย่างแท้จริง และทำให้เราไม่ทุกข์ใจเลย นั่นหมายถึงว่า เศรษฐีมีเงินเป็นหมื่นล้านแสนล้านจะไม่ทุกข์ใจเลย ท่านว่ามันเป็นไปได้มั๊ยครับ ท่านเหล่านั้น สามารถซื้อเก้าอี้ราคาร้อยล้านนั่งได้ ถ้านั่งแล้วใจไม่เป็นทุกข์ ท่านสามารถซื้อเตียงนอนราคาพันล้านได้ ถ้านอนแล้วหลับสบายใจไม่เป็นทุกข์

แต่สุดท้ายเงินก็ซื้อความหายทุกข์ไม่ได้เลย เงินจึงคับแคบเหลือเกิน ไม่ว่าเราจะมีเงินมากแค่ไหน มันก็ใช้ได้แค่ชาติเดียวเท่านั้น ตายแล้วก็หมดกัน เอาติดตัวไปก็ไม่ได้ เห็นมั๊ยครับ เงินมันใช้เลี้ยงได้แต่ส่วนกาย มีไว้แค่ซื้อหาอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง และให้เพียงแค่ความสะดวก สนุก สบาย ในส่วนกายเท่านั้น

ท่านเคยสังเกตุบ้างมั๊ยครับ หากคิดย้อนไปในอดีต ตอนสมัยเราเด็กๆ อยากกินสิ่งนี้ก็กินไม่ได้ อยากกินสิ่งนั้นก็กินไม่ได้ อยากกินสิ่งนู้นก็ยิ่งกินไม่ได้ใหญ่เลย ถามว่าทำไม เพราะว่ามันไม่มีเงินจะซื้อกิน

แต่ตอนนี้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีการมีงานทำ มีเงินทองมากพอที่จะซื้ออะไรกินก็ได้ แต่ทำไม สิ่งนี้ก็กินไม่ได้ สิ่งนั้นก็กินไม่ได้ ยิ่งสิ่งโน้นยิ่งกินไม่ได้ใหญ่เลย ถามว่าเพราะอะไร คำตอบก็คือ หมอห้ามกิน เห็นมั๊ยครับ มิใช่เพราะเราบำรุงบำเรอกายมันมากเกินไปหรือเปล่า จึงเกิดโรคภัย จนหมอห้ามกินไปเสียทุกอย่าง ที่อยากจะกินแต่ก็กินไม่ได้ น่าคิดมั๊ยครับ

แท้ที่จริง ใจเขามีอาหารของเขา แต่เราไม่เคยให้เขากิน ถ้าหากใจมันพูดได้ มันคงพูดประท้วงด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า

"เธอบอกว่า เธอรักชีวิต ชีวิตเธอ ประกอบด้วยกายกับใจ แต่ทุกวันนี้ เธอดูแลแต่เฉพาะกาย แต่ใจเธอไม่เคยเหลียวแลเลย ไม่ดูแล ไม่เหลียวแล ฉันก็ไม่ว่า แต่อย่าซ้ำเติมใจได้มั๊ย"

"เวลาโกรธก็เหมือนเอาน้ำกรดมาราดหัวใจฉัน"
"เวลาโลภก็เหมือนเอามลทินมาฉาบทาหัวใจฉัน"
"เวลาหลงก็เหมือนเอาม่านบังตามาปิดบังหัวใจฉัน"

"นี่ละหรือที่เธอบอกว่ารักชีวิต แต่เธอไม่เคยคิดรักทะนุถนอมใจเลย แล้วเธอก็บ่นว่าอยากมีความสุข มันจะสุขไปได้อย่างไร ในเมื่อเอาแต่ทำร้ายทำลายใจอยู่ทุกวี่ ทุกวัน "

เป็นยังไงครับ ฟังใจมันบ่นประท้วงแล้ว ท่านว่ามันจริงมั๊ยครับ เมื่อกายมีอาหารหล่อเลี้ยง ใจก็ต้องการอาหารหล่อเลี้ยงเช่นกัน แล้วอะไรล่ะที่เรียกว่าอาหารใจ อาหารใจมิใช่อื่นไกล แต่เป็นเรื่องของคุณธรรม ศีลธรรม และอาหารสุดยอดนั่นคือ การที่ใจมีสติรู้สึกตัวเป็น รู้สิ่งใด ไม่หลงไปยินดียินร้ายกับสิ่งนั้น รู้แล้วไม่ทำอะไรหลังจากรู้ เพียงแค่เป็นผู้รู้ผู้ดู ผู้สังเกตการณ์ รู้แล้วไม่หลงเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง

ชีวิตจำเป็นค้องมีอาหารหล่อเลี้ยง อาหารเลี้ยงกายก็คือ ปัจจัยสี่ ซึ่งมีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค อาหารใจ ก็คือ ธรรมะที่เกิดจากการมีสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้กาย รู้ใจตามความเป็นจริงนั่นเอง

คิดว่าทุกท่านคงทำบุญทำทานมาไม่น้อยเช่น การทำบุญตักบาตร การทอดกฐิน ทอดผ้าป่า การสร้างโบสถ์ วิหารลานเจดีย์ ก็เปรียบเสมือนเอาบุญใส่กระบุงแบกไว้ข้างหลัง หากท่านไม่ก้าวย่างเดินก็มิอาจถึงจุดหมายปลายทางนั้นได้ การเดินทางก็คือ การเจริญสติรู้กายรู้ใจนั่นเอง

การศึกษาเปรียบเสมือนเป็นแผนที่ในการเดินทาง แต่การปฏิบัติก็เปรียบเสมือนการเดินทาง การปฏิบัติธรรมจึงจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจ และต้องปฏิบัติเพื่อให้ธรรมะเข้าไปอยู่ในใจ จึงจะชัดแจ้งใจ ไม่หลงใหลงมงาย การเรียนปริยัติเป็นเพียงแค่รู้จำ แต่การปฏิบัติเป็นการรู้จัก เมื่อรู้จักบ่อยครั้ง ก็จะกลายเป็นรู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้งบ่อยๆ ก็จะกลายเป็นรู้จริง และเมื่อรู้จริง ก็จะละความเห็นผิด และคลายความยึดมั่นในธรรมทั้งปวง จนที่สุดจิตจะสลัดคืนกายใจให้กับธรรมชาติโดยไม่อาลัยอาวรณ์อีกต่อไป


ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีดวงตาปัญญาเห็นแจ้งในพระธรรม
แสงไฟสว่างทาง แสงธรรมสว่างใจ


ธีรยุทธ เวชเจริญยิ่ง
12 สิงหาคม 2550



อ่านอารัมภบทต่อนะคะ (คลิกที่ all blog ซ้ายมือค่ะ)



Create Date : 03 มกราคม 2553
Last Update : 6 พฤษภาคม 2555 14:03:30 น. 2 comments
Counter : 327 Pageviews.

 
ไม่เห็นมีใครมาคุยด้วยเลยemo


โดย: ลุงแอ๊ด วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:20:20:31 น.  

 
ตามลุงแอ๊ดมาคะ
อยากปฏิบัติธรรมเหมือนกันนะคะแต่ใจไม่นิ่งพอคะ เรื่องทางโลก กิเลส สาระพัดยังเกาะกุมอยู่มากมายคะ

สักวันหนึ่งหากชีวิตไม่สั้นนักคงได้มีโอกาสเดินทางไปถึงจุดหมายคะ ตอนนี้ก็เอาแค่ความอยากไปอยากเดินทางไปก่อนคะ แล้ววันหนึ่งคงจะได้มีธรรมะที่เกิดจากการมีสติสัมปชัญญะเข้าไปรู้กาย รู้ใจตามความเป็นจริงของตนเองสักวันคะ


โดย: cengorn วันที่: 11 สิงหาคม 2553 เวลา:23:08:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nootikky
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




lozocat♥ ยินดีต้อนรับค่ะ ♥ ขอบคุณที่แวะมาค่ะ ♥ แล้วแวะมาใหม่นะคะ ♥

ขอขอบคุณ
ของแต่งบล็อกสวยๆ
จากความเอื้อเฟื้อของ
พี่ๆ เพื่อนๆ และน้องๆ
ใน bloggang นี้ค่ะ

lozocat
User Online...
Google

clock counter
อีโมดุ๊กดิ๊ก
หมีน้อยแพนด้า
กระต่ายแสนซน
X
X
X
COLORS COD E
Friends' blogs
[Add nootikky's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.