|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
30 ตุลาคม 2558
|
|
|
|
ภาพสลัก รามเกียรติ : วัดพระเชตุพน (1)
เมื่อการนำชมการเมืองในสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่หนึ่งจบสิ้นลง ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่ผมมีภารกิจที่ต้องทำก่อน นั่นก็คือการถ่ายภาพแกะสลักศิลาเรื่องรามเกียรติ์ ที่ประดับอยู่รอบฐานพระอุโบสถ
เคยเล่าไว้ใน blog ก่อนหน้าว่า เท่าที่รู้วัดที่มีหินสลักศิลา ประดับฐานอุโบสถมีอยู่ 3 ที่ คือหนึ่งวัดพิชยญาติ สอง วัดไผ่เงิน ซึ่งทั้งสองวัดนี้เป็นภาพวรรณกรรมของจีน และสามคือวัดโพธิ์ที่มีภาพสลักเป็นเรื่องรามเกียรติ์
ลึกลงไปมีข้อมูลน่าสนใจยิ่ง เพราะที่มานั้นก็ไม่ใช่ธรรมดา ภาพสลักศิลายังให้อดีตที่สำคัญ เพราะมีความเชื่อไปในทางเดียวกันว่า การแสดงท่วงท่าของตัวละครต่างๆ น่าจะมีต้นแบบมาจากหนังใหญ่ ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ชุดหนังพระนครไหว ซึ่งสร้างในรัชกาลที่ 2
ความลับอีกหนึ่งอย่างนอกไปจากภาพสลักศิลา ยังมีภาพจิตรกรรมรามเกียรติ์ อยู่บริเวณศาลาทิศรอบมณฑปหลังเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งทุกครั้งที่ผ่านจะปิดตลอด เพราะทางวัดใช้เป็นที่เก็บของมีค่า จึงแทบจะไม่เคยมีใครได้เห็นจิตรกรรมนี้ ไม่มีการเปิดให้ชมหรือกล่าวถึง แม้กระทั่งในงานใหญ่อย่าง การฉลองจารึกของวัดที่ได้รับประกาศเป็นมรดกโลก เป็นเพียงงานไม่กี่ชิ้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของครูช่างแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 พูดง่ายๆ ว่า ถ้าอยากเห็นจิตรกรรมรามเกียรติ์ของวัดพระแก้วตั้งแต่แรกสร้าง ก็ต้องมาดูที่นี่ แม้จะลบเลือนไปมากและถูกซ่อมแซมใหม่โดยกรมศิลปากร แต่เชื่อว่ามันมีกลิ่นอายที่งดงามอย่างแปลกประหลาดต่างจากสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน
กลับมาที่ภาพสลักศิลาเรื่องรามเกียรติ์รอบพระอุโบสถวัดพระเชตุพน ที่ในสมัยก่อนไม่มีใครสนใจ ด้วยเป็นแผ่นหินจำหลักลวดลายไร้สีสัน จนกระทั่งจิตรกรชาวเยอรมัน Hampe, Rudolf W. E. ได้ทำการลอกลายบนผนังด้วยกระดาษสาในช่วงปี 2498-2499 หนึ่งภาพไม่รวมกรอบในเวลานั้นมีราคาสูงถึง 500 บาท
ต่อมาก็เป็นไปตามคาด เมื่อคนไทยสามารถลอกเลียนแบบได้ กลายเป็นแหล่งหารายได้สำคัญ การทำซ้ำๆ ไปมา แผ่นหินก็ชำรุด จนในที่สุดทางวัดก็ประกาศห้ามไปในที่สุด กระนั้นในปัจจุบัน แผ่นหินเหล่านั้นก็เจือจางแทบมองไม่เห็น การถ่ายรูปทำได้ยาก
โชคดีที่มีช่างภาพคนหนึ่งชื่อ ร. บุญนาคได้อุทิศตัวถ่ายภาพชุดนี้ไว้ ในช่วงเวลาเดียวกับความเฟื่องฟูของการลอกลายช่วงก่อนปี 2500 เมื่อรวมเข้ากับโคลงภาพรามเกียรติ์ ทำให้เราสามารถย้อนจินตนาการ ถึงความตั้งใจที่อยู่ในแผ่นศิลาที่ได้บอกเล่าเรื่องราวกล่าวขานเอาไว้
ภาพทั้งหมดมี 152 ภาพ มีโคลงประดับใต้ภาพละหนึ่งบท มีโคลงบทปิดท้ายอีกสอง รวมเป็น 154 บท น่าเสียดายที่ลบเลือนไปหมด แต่โชคดีที่หลงเหลือต้นฉบับตัวคัดในหนังสือชื่อโคลงภาพรามเกียรติ์ จากหอสมุดแห่งชาติ ที่น่าจะถูกคัดลอกไว้ก่อนหน้าในรัชกาลที่ 5
ภาพแรกนั้นอยู่ที่พระอุโบสถด้านหน้าขวาวนตามเข็มนาฬิกาไป จากตอนพระรามตามกวางไปจนจบตอนที่สหัสเดชะสิ้นชีพ ปัญหาคือภาพที่จะลงให้ต่อไปนี้ ไม่มีทางที่จะเห็นชัดได้ เพราะเป็นลายสลักตื้นๆ บนหินสีเทาที่สะท้อนแสงอาทิตย์
สิ่งเดียวที่ผมจะช่วยได้ คือการอธิบายว่าเป็นภาพอะไร
ถ้าพร้อมแล้วเรามาเริ่มต้นกันเลย นี่คือตัวอย่างโคลงสี่ บทแรกเริ่มแห่งเรื่องราว
รงงเรขราเมศร์ตั้ง เดอมแสดง เรื่องฤา รอนมฤคมารีศแปลง ล่อไท้ คอนคานผ่านพนัศแขวง ประสบพระ นุชนา เสนอเหตุอัศเรศใช้ ติดเต้าตามองค์
มารีศรับบัญชาทศกัณฐ์ปลอมเป็นกวางทองมาล่อ นางสีดาเห็นแล้วอยากได้ จึงให้พระรามออกไปจับ ก่อนจะออกไปพระรามสั่งพระลักษณ์ว่าไม่ว่าเกิดสิ่งใด ให้อยู่เฝ้านางสีดา แต่กวางมารีศปลอมเสียงเป็นพระราม
นางสีดาเป็นห่วงจึงสั่งให้พระลักษณ์ออกไปดู พระลักษณ์ไม่ยอม แต่นางสีดาก็สำทับอีกครั้ง พระรามอยู่กลางภาพกำลังคอนกวางมารีศกลับมา เจอพระลักษณ์ที่กราบทูลว่า นางสีดาหายไป
Create Date : 30 ตุลาคม 2558 |
|
4 comments |
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2558 9:32:40 น. |
Counter : 1273 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|
ผู้ชายในสายลมหนาว |
|
|
|
|
ไปวัดโพธิ์ครั้งหน้า จะไปสังเกตจริงจังค่ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Literature Blog ดู Blog
ผู้ชายในสายลมหนาว Education Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 5 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น