ดูวอลุ่มซื้อขาย กับ การเก็งกำไร ทำอย่างไรจึงสำเร็จ
ดูวอลุ่มซื้อขาย กับ การเก็งกำไร ทำอย่างไรจึงสำเร็จ โดยปกติแล้วผมจะเป็นคนที่แบ่งแยกวิชาการลงทุนอย่างชัดเจนออกเป็น ฝ่ายขาว กับ ฝ่ายเทา สำหรับฝ่ายขาวก็คือการลงทุนโดยดูกิจการเป็นหลัก และรอบระยะเวลาในการลงทุนมีตั้งแต่ 5-10 ปีขึ้นไป สำหรับการลงทุนฝ่ายเทานั้นรอบการลงทุนจะสั้นลงมาก ตั้งแต่ 3-6 เดือนจนมากที่สุดก็ไม่เกิน 1 ปี การลงทุนฝ่ายขาวนั้นทำให้นักลงทุน รวยอย่างสบายใจ หมายความว่า ค่อยๆ รวย ด้วยการสะสมหุ้นดีๆ และกินปันผลไปเรื่อยๆ ถือตราบเท่าที่มันยังดีและไม่มีอะไรมาเปลี่ยนพื้นฐานอย่างมีนัยยะ แต่การลงทุนฝ่ายเทาจะเน้น รวยเร็ว แต่บางครั้งก็พลาด ผมเคยใช้วิชาฝ่ายเทาได้กำไรเรือนแสน แต่ก็ถูกินคืนเกือบหมดในห้วงเวลาหลังจากนั้น ผมเองคงไม่มี ดวง ทางด้านนี้เสียเท่าไร แต่ก็ได้วิชากลับมาเล่าสู่กันฟัง บทความนี้จะมาศึกษาวิชา ฝ่ายเทา ก็คือ การดูวอลุ่มซื้อขายหุ้น เพื่อใช้กำหนดกลยุทธ์เก็งกำไรหุ้น แต่ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า วิชานี้ผมอาศัยสังเกตเอาจากประสบการณ์ส่วนตัว ผิดหรือถูกต้องพิจารณากันดู ถ้าพร้อมแล้วติดตามกันเลย -
ดูวอลุ่มเพื่อศึกษาว่านักเก็งกำไรมีรอบการเล่นสำหรับหุ้นตัวนี้กี่วัน สำหรับประการแรกนั้น ผมศึกษาจากการดูวอลุ่มรายวันกันเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น หุ้นที่มีขนาดกิจการ หรือ Market Cap ประมาณ 1000 ล้านบาท ถ้าผมคิดจะซื้อหุ้นของกิจการนี้ทั้งบริษัท โดยคิดจะใช้เงินราว 10% ของขนาด Mcap หรือ 10 ล้านบาท ผมต้องใช้เวลาราว 100 วัน เมื่อเข้าใจตามนี้ผมก็จะเข้าไปดูวอลุ่มการซื้อขายของหุ้นตัวนี้รายวันเลย ถ้าพบว่าวอลุ่มการซื้อขายของหุ้นตัวนี้ตกอยู่วันละ 1 ล้านบาทโดยเฉลี่ย หมายความว่าหุ้นตัวนี้มีนักเก็งกำไรเล่นกันอยู่ราว 1% ของ Mcap ต้องใช้เวลากว่า 1000 วัน หรือเกิน 2 ปีในการซื้อหุ้นหมดทั้งตลาด แบบนี้สำหรับผมแล้วถือว่าวอลุ่มน้อยไม่น่าสนใจ แต่ถ้าวอลุ่มเริ่มขยับเป็น 3-5% อันนี้จะแสดงให้เห็นว่ามีคนเริ่มสนใจหุ้นตัวนี้แล้วล่ะ 2.ต้องเข้าใจว่าวอลุ่มคือเบื้องหลังของ ราคาหุ้น เมื่อเราศึกษาได้มาระยะหนึ่งเราจะพบว่า วอลุ่มซื้อขายมันคือเบื้องหลังของราคาหุ้น มันคือตัวกำหนดราคาหุ้นในระยะสั้น เป็นแรงเก็งกำไรที่ทำให้ราคาหุ้นขยับตัว สิ่งนี้จะผิดไปจากสมมติฐานของนักลงทุนระยะยาวที่จะบอกว่าราคาหุ้นจะขยับตามกำไรต่อหุ้น อันนั้นถูกต้องทีสุด แต่ในภาพระยะสั้นสิ่งที่จะกำหนดราคาหุ้นก็คือวอลุ่มการซื้อขายของนักเก็งกำไรในตลาด ปกติแล้วถ้าผมคิดจะเก็งกำไรไม่ได้คิดลงทุนระยะยาวกับหุ้นบางตัว ผมจะสังเกตวอลุ่มการซื้อขายก่อนเข้าซื้อหุ้น หุ้นที่ผมคิดจะเก็งกำไรต้องมีวอลุ่มการซื้อขายเฉลี่ย 3-5% ขึ้นไป ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ เพราะวอลุ่มขนาดนี้สามารถดันราคาหุ้นได้กว่า 20-30% ของราคาตั้งต้นก็มี นั่นเป็นสิ่งที่มาจากประสบการณ์ของผมล้วนๆ ควรพิจารณาให้ดีก่อนนำไปปรับใช้ 3.กำหนดกลยุทธ์ซื้อขายด้วยวอลุ่ม ต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่า... การกำหนดกลยุทธ์ซื้อขายด้วยการดูวอลุ่มของหุ้นนั้นมีโอกาสผิดพลาดไม่น้อย ไม่เหมือนกับการลงทุนระยะยาวในกิจการที่ดี คนที่เห็นภาพใหญ่จะมีโอกาสผิดพลาดน้อยกว่ามาก แต่มันต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้ความเพียร ... แต่ก็เอาเถอะ หากคิดจะเก็งกำไรระยะสั้น ผมพบว่าเราสามารถใช้วอลุ่มกำหนดกลยุทธ์ซื้อขายหุ้นได้ดังนี้ ประการแรก กำหนดกรอบระยะเวลาเล่นหุ้น จากตัวอย่างข้างต้นถ้าผมพบว่าหุ้นขนาด Mcap ราว 1000 ล้านบาท มีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยในรอบเดือน (ทำไมต้องเป็นรอบเดือนเพราะผมเองใช้วิธีนี้มานั่นเอง คุณผู้อ่านอาจเปลี่ยนรอบการนำวอลุ่มมาหาค่าเฉลี่ยเองได้) หากค่าเฉลี่ยอยู่ราว 5% ของ Mcap หรือตกราว 50 ล้านบาท เมื่อนำไปหาร Mcap ที่พันล้านจะได้ = 20 วัน หมายความว่าในระยะนี้นักเก็งกำไรจะเล่นหุ้นตัวนี้ในรอบ 20 วัน และนั่นคือกรอบระยะเวลาการเล่นหุ้น ประการที่สอง กำหนดราคาเข้าซื้อ ราคาเข้าซื้อเป็นอะไรที่หลายคนคิดก็จะแตกต่างไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผมแล้วจะคิดมูลค่าพื้นฐานในสไตล์วีไอเลย โดยผมจะใช้การคิดเก็งกำไรกับหุ้น ชั้นสอง คือ หุ้นที่กิจการไม่ได้แย่มาก ดีในระยะสั้น แต่ระยะยาวถือแล้วไม่สบายใจ เช่น หุ้นสินทรัพย์แฝง หุ้นโภคภัณฑ์ หรือหุ้นที่มีภาวะกลับตัว เป็นต้น แต่เคล็ดไม่ลับเล็กๆ ก็คือ ดูราคาตอนที่วอลุ่มน้อยๆ แล้วยืนอยู่ได้ นั่นอาจเป็นราคาพื้นฐานที่เข้าซื้อและถือรอเก็งกำไรได้ ประการที่สาม กำหนดจุดขาย ที่จริงก่อนจะกำหนดจุดขายควรกำหนดปริมาณเม็ดเงินที่คิดจะซื้อด้วย ถ้าเรามีกรอกการเล่นตามเนื้อหาในประการแรก คือ สองเดือนเท่านั้น เราก็ควรกำหนดเวลาขายตามกรอบระยะเวลาดังกล่าว หรือขายเมื่อราคาไปถึงเป้าหมายที่เราต้องการอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่โดยปกติแล้วราคาจะไม่ขึ้นถ้าวอลุ่มไม่มา เปรียบเหมือนลำธารที่ไม่ค่อยมีน้ำก็ไม่มีปลาชุกชุม แต่ถ้าน้ำมาปลาก็มาด้วย และนั่นคือเวลาขาย อย่างไรก็ตามการสร้างระบบการเทรดด้วยการดูวอลุ่มก็เหมือนกับระบบเทรดอื่นๆ นั่นคือ เราต้องมี วินัย อย่างสูง ขายเมื่อผิดทาง หรือ Cut Loss และเมื่อมันกำไรต้องใจแข็ง Let Profit Run โดยจุดซื้อ จุดตัดขาดทุน และจุดขาย ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ที่เล่ามาฟังดูเหมือนไม่ยาก แต่ความจริงมีรายละเอียด และต้องอาศัยประสบการณ์ อาศัย สัญชาตญาณ ในการเอาตัวรอดประกอบไปด้วย ที่สำคัญมันเป็นวิชาฝ่ายเทาที่ผมเองไม่ค่อยจะใช้เท่าไร เพราะเป้าหมายผมคือเป็นนักลงทุนระยะยาว และต้องการ รวยอย่างสบายใจ มากกว่าครับ นายแว่นธรรมดา คำเตือน การวิเคราะห์หุ้น การลงทุนรูปแบบต่างๆ และเทคนิคการลงทุนในหุ้นเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร ผู้เขียนบทความไม่รับผิดชอบต่อความเสี่ยง หรือความเสียหายในการลงทุนของผู้รับข้อมูลนะครับ อยากมีบ้านหลังแรก www.topofliving.com https://www.facebook.com/topofliving/ . เรื่องหุ้นไว้ใจผม www.naiwaen.com #หนังสือน่าอ่าน เจาะหุ้น VI เกาะกระแสเมกะเทรนด์ กระแสเมกะเทรนด์ในยุคใหม่มีอะไรบ้าง และเราจะลงทุนอย่างไรให้เกาะไปกับกระแส เพื่อไม่ให้ตกรถ หนังสือเล่มนี้จะบอกเล่าประสบการณ์ลงทุนในหุ้น จะทำให้คุณไม่ต้องเสี่ยงกับหุ้นที่เราไม่รู้จัก และปลอดภัยจากการลงทุนได้มากขึ้นอย่างแน่นอนครับ บทนำ จุดเริ่มต้นของการลงทุนแนววีไอ บทที่ 1 เลือกหุ้นอย่างไรให้ปลอดภัย บทที่ 2 เจาะหุ้นเหล็ก บทที่ 3 ยุคแห่งพลังงานสะอาด และเมกะเทรนด์โรงไฟฟ้า บทที่ 4 บทเรียนหุ้นพลังงานทดแทน บทที่ 5 เจาะแก่นหุ้นเล็กโตไว บทที่ 6 วีไอซื้อหุ้นต้องดูอะไรบ้าง? บทที่ 7 ประสบการณ์ลงทุนหุ้นโภคภัณฑ์ บทที่ 8 ประสบการณ์ลงทุนหุ้นรถไฟฟ้า และหุ้นคอนโดมิเนียม และอ่านทุกเรื่องราวของหุ้นอสังหา หุ้นที่จะได้รับอนิงสงค์จากการที่มีรถไฟฟ้าหลากหลายสายเกิดขึ้น! คลิ๊กอ่านต่อที่นี่เลยครับ อ่านหนังสือเสริมความรู้ #ลงทุนหุ้นให้โตเร็ว : ปัญหาของนักลงทุนหุ้นโตเร็วก็คือ มองหุ้นโตเร็วไม่ออก มองภาพใหญ่ไม่ชัดเจน และจัดพอร์ตไม่เป็น ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปหากคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ "ลงทุนหุ้นให้โตเร็ว" ติดตามได้ที่นี่เลยครับ #ช่องทางการติดตามข้อมูล#นายแว่นธรรมดา สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการติดตามข้อมูล โดยเฉพาะสมาชิกเว็บ www.naiwaen.com ท่านสามารถติดต่อโดยตรงได้ที่ naiwaentammada@gmail.com หรือเข้าไปติดตามบทความในรูปแบบคลิ๊ปเสียงที่ https://www.youtube.com/channel/UCcQxvgiObaaA2DI3UOqrXZw เพื่อนๆ ยังสามารถเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวใหม่ล่าสุดที่บล็อกพันทิป //www.bloggang.com/mainblog.php?id=naiwaentammada(ปัจจุบันมียอดเพจวิวกว่า 3.1 ล้านวิว)
Create Date : 27 ตุลาคม 2559 |
Last Update : 27 ตุลาคม 2559 12:13:33 น. |
|
0 comments
|
Counter : 973 Pageviews. |
|
|