หนังสือ "พ่อแม่ครูอาจารย์"
ได้หนังสือเล่มใหม่มาค่ะ " พ่อแม่ครูอาจารย์ "ฉบับแก้ไขใหม่พิมพ์ครั้งที่ สอง พ.ศ.2551 เป็นหนังสือที่ระลึก วันที่ 12 สิงหาคม 2551"
ขออนุญาตคัดลอกเนื้อความบางตอนที่น่าสนใจ และไม่ค่อยได้ฟังบ่อยค่ะ
กลอน 3 อย่างที่องค์หลวงตามหาบัวจำฝังใจในวัยเรียน ท่านท่องจำจนขึ้นใจไม่เคยลืม 1 .ใบลานมักบังพระธรรม ทองคำมักบังพระพุทธ สงฆ์สมมุติมักบังอริยสงฆ์ 2. อันโคควายเลี้ยงไว้ใช้งานไถ เมื่อตายไปเนื้อและหนังยังให้ผล วิสัยพาล พาลเพียร เบียดเบียนคน ประพฤติตนเลวร้ายยิ่งกว่าควายฯ 3. วัดจะดีไม่ใช่ดีเพราะโบสถ์สวย หรือร่ำรวยด้วยทรัพย์อสงไขย แต่วัดดีเพราะพระเณรเก่งเคร่งวินัย ยึดหลักชัยอรหันต์เป็นสันดานฯ
พรรษาที่ 7 ( พ.ศ. 2483) ท่านได้พบหลวงปู่มั่นเป็นครั้งแรกที่วัดเจดีย์หลวง จ.เชียงใหม่ ได้รับฟังเทศน์หลวงปู่มั่นครั้งแรก ในวันวิสาขบูชา นาน 3 ชั่วโมง ใจความสำคัญของธรรมที่ท่านแสดงในวันนั้นมีว่า.. "วันนี้ตรงกับวันพระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน เราเรียกว่า "วันวิสาขบูชา" พระพุทธเจ้าเกิดกับสัตวโลกเกิดต่างกันมาก ตรงที่ท่านเกิดแล้ว ไม่หลงโลกที่เกิดที่อยู่และที่ตาย มิหนำยังกลับรู้แจ้งที่เกิดที่อยู่ที่ตายของพระองค์ด้วยพระปัญญาญาณโดยตลอดทั่วถึง ที่เรียกตรัสรู้นั่นเอง เมื่อถึงกาลอันควรจากไป ทรงลาขันธ์ที่เคยอาศัยเป็นเครื่องมือบำเพ็ญความดีมาจนถึงขั้นสมบูรณ์เต็มที่ แล้วจากไปแบบ "สุคโต" สมเป็นศาสดาชองโลกทั้งสาม ไม่มีที่น่าตำหนิแม้นิดเดียว ก่อนเสด็จจากไปโดยพระกายที่หมดหนทางเยียวยา ก็ได้ประทานพระธรรมไว้เป็นองค์แทนศาสดา ซึ่งเป็นที่น่ากราบไหว้บูชาคู่พึ่งเป็นพึ่งตายถวายชีวิตจริงๆ เราทั้งหลายเกิดมาด้วยวาสนา มีบุญพอเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มภูมิดังที่ทราบอยู่แก่ใจ แต่อย่าลืมตัวลืมวาสนาของตัว โดยลืมสร้างคุณงามความดีเสริมต่อภพชาติของเรา ที่เคยเป็นมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงและกลับกลายหายไป ชาติต่ำทรามที่ไม่ปรารถนาจะกลายมาเป็นตัวเราเข้าแล้วแก้ไม่ตก ความสูงศักดิ์ ความต่ำทราม ความสุขทุกขั้นจนถึงบรมสุข และความทุกข์ทุกขั้นจนเข้าขั้นมหันตทุกข์เหล่านี้ มีได้กับทุกคนตลอดสัตว์ถ้าตนเองทำให้มี อย่าเข้าใจว่าจะมีได้เฉพาะผู้กำลังเสวยอยู่เท่านั้นโดยผู้อื่นมีไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมบัติกลางแต่กลับกลายมาเป็นสมบัติจำเพาะของผู้ผลิตผู้ทำได้ ฉะนั้น ท่านจึงสอนไมให้ดูถูกเหยียดหยามกัน เมื่อเห็นเขาตกทุกข์หรือกำลังจนจนน่าทุเรศ เราอาจมีเวลาเป็นเช่นนั้น หรือยิ่งกว่านั้นก็ได้ เมื่อถึงวาระเข้าจริงๆไม่มีใครมีอำนาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะกรรมดีกรรมชั่วเรามีทางสร้างได้เช่นเดียวกับผู้อื่น จึงมีทางเป็นได้เช่นเดียวกับผู้อื่น และผู้อื่นก็มีทางเป็นได้เช่นที่เราเป็นและเคยเป็น ศาสนาจึงเป็นหลักวิชาตรวจตราดูตัวเองและผู้อื่นได้อย่างแม่นยำ และเป็นวิชาเครื่องเลือกเฟ้นได้อย่างดีเยี่ยม ไม่มีวิชาใดในโลกเสมอเหมือน นับแต่บวชและปฏิบัติมาอย่างเต็มกำลังจนถึงวันนี้ มิได้ลดละการตรวจตราเลือกเฟ้นสิ่งดีชั่วที่มีและเกิดอยู่กับตนทุกระยะ มีใจเป็นตัวการพาสร้างกรรมประเภทต่างๆ จนเห็นได้ชัดว่า กรรมมีอยู่กับผู้ทำ มีใจเป็นเหตุของกรรมทั้งมวล ไม่มีทางสงสัย ผู้สงสัยกรรมหรือไม่เชื่อกรรมว่ามีผล คือคนลืมตนจนกลายเป็นผู้มืดบอดอย่างช่วยอะไรไม่ได้ คนประเภทนั้น แม้เขาจะเกิดและได้รับการเลี้ยงดูจากพ่อแม่มาเป็นอย่างดีเหมือนโลกทั้งหลายก็ตาม เขามองไม่เห็นคุณของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูตนมาอย่างไรบ้าง แต่เขามองเห็นเฉพาะร่างกายเขาที่เป็นคนซึ่งกำลังรกโลกอยู่โดยเจ้าตัวไม่รู้เท่านั้น ไม่สนใจคิดว่าเขาเกิดและเติบโตมาจากท่านทั้งสอง ซึ่งเป็นแรงหนุนร่างกายให้เป็นอยู่ตามกาลของมัน การทำเพื่อร่างกาย ถ้าไม่จัดว่าเป็นกรรมคือการทำจะควรจัดว่าอะไร สิ่งที่ร่างกายได้รับมาเป็นประจำ ถ้าไม่เรียกว่าผล จะเรียกว่าอะไรจึงจะถูกตามความจริง ดี ชั่ว สุข ทุกข์ ที่สัตว์โลกได้รับกันมาตลอดสาย ถ้าไม่มีแรงหนุนเป็นต้นเหตุอยู่แล้ว จะเป็นมาได้ด้วยอะไร ใจอยู่เฉยๆ ไม่คะนองคิดในลักษณะต่างๆอันเป็นทางมาแห่งดีและชั่ว คนเราจะกินยาตายหรือฆ่าตัวตายด้วยอะไร สาเหตุแสดงอยู่เต็มใจที่เรียกว่าตัวกรรมแล ทำคนจนถึงตายยังไม่ทราบว่าตนทำกรรมแล้ว ถ้าจะไม่เรียกว่ามืดบอด จะควรเรียกว่าอะไร กรรมอยู่กับตัวและตัวทำกรรมอยู่ทุกขณะ ผลก็เกิดอยู่ทุกเวลา ยังสงสัยหรือไม่เชื่อกรรมว่ามี และให้ผลแล้วก็สุดหนทาง ถ้ากรรมวิ่งตามคนเหมือนสุนัขวิ่งตามเจ้าของเขาก็เรียกว่าสุนัขเท่านั้นเอง ไม่เรียกว่ากรรม นี่กรรมไม่ใช่สุนัข แต่คือการกระทำดีชั่วทางกาย วาจาใจต่างหาก ผลจริงคือความสุขทุกข์ที่ได้รับกันอยู่ทั่วโลก กระทั่งสัตว์ผู้ไม่รู้จักกรรม รู้แต่กระทำคือหาอยู่หากิน ที่ทางศาสนาเรียกว่ากรรมของสัตว์ของบุคคลและผลกรรมของสัตว์ของบุคคล
Create Date : 09 ธันวาคม 2553 |
|
5 comments |
Last Update : 9 ธันวาคม 2553 7:41:53 น. |
Counter : 1544 Pageviews. |
|
|
|