Rabbit in the kitchen (แรบบิท อิน เดอะ คิทเช่น) @ สยามสแควร์
ชื่อร้าน : Rabbit in the kitchen (แรบบิท อิน เดอะ คิทเช่น) รายการอาหาร : อาหารไทย เวลาเปิดบริการ : ทุกวัน 10.00 22.00 น. (Open Daily 10.00 am - 10:00 pm ) ที่ตั้งร้าน : ซอยสยามสแควร์ 11 (ติด Hard Rock Café) ปทุมวัน, กรุงเทพมหานคร ปทุมวัน Thailand พิกัด GPS : 13° 44' 40.33" N 100° 31' 53.89" E
Rabbit in the kitchen (แรบบิท อิน เดอะ คิทเช่น) @ สยามสแควร์
ทุกวันนี้เวลาออกไปทานอาหารนอกบ้านทีไร ส่วนใหญ่จะเจอแต่ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านอาหารเกาหลี ร้านอาหารฝรั่ง แต่ถ้าจะมองหาร้านอาหารไทยบรรยากาศดีๆ รสชาติไทยๆ หายากขึ้นทุกที วันนี้เลยขอพาไปรู้จักกับร้านอาหารไทยน้องใหม่ ที่เพิ่งเปิดมาได้ไม่นานนี้ครับ ที่สำคัญอยู่ใจกลางเมือง ในสยามสแควร์ ซะด้วยสิ
ร้านที่จะพาไปรู้จักในวันนี้มีชื่อน่ารักๆ ว่า Rabbit in the kitchen แต่ว่าหน้าตาด้านในจะเป็นอย่างไร จะมีกระต่ายน่ารักเต็มร้านไปหมดหรือเปล่า ลองเข้าไปดูด้านในกันดีกว่า ^^
บรรยากาศร้านนั้นมีการตกแต่งโดยเน้นสีเอิร์ธโทน ซึ่งเป็นสีที่ให้ความอบอุ่นโดยใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก ส่วนผนังนั้นเป็นกระจกใสและผนังสีขาวด้านใน โต๊ะนั้นมีการจัดเรียงให้มีช่องว่างเดินได้สะดวก ทำให้บรรยากาศร้านดูโปร่ง ไม่อึดอัด นั่งทานได้อย่างสบายๆ ที่สำคัญด้านในมีการตกแต่งด้วยเครื่องครัวไทยๆ ไว้อย่างสบายตา
และแค่เข้ามาข้างในก็ทำให้ได้รู้ที่มาของชื่อร้าน ว่าไม่ได้หมายถึงกระต่ายตัวน้อยน่ารัก แต่เป็นการเล่นคำมาจาก กระต่ายขูดมะพร้าว นั่นเอง (เค้ามีสโลแกนน่ารักๆ ว่า Out rabbit is no ordinary rabbit. It is a scraping rabbit.) ซึ่งเป็นของใช้ในครัวที่เราเห็นกันจนชินตาตั้งแต่เด็ก ที่คุณย่า คุณยาย หรือคุณแม่ใช้ขูดมะพร้าวทำน้ำกะทิ นั่นเอง แต่สมัยนี้หาดูได้ยากแล้วเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่จะใช้กะทิสำเร็จรูป ไม่ต้องมานั่งขูดเองเหมือนสมัยก่อน ที่นี่ก็รู้แล้วว่าชื่อน่ารักๆ นั้นมีที่มาอย่างไร ดูโมเดิร์นเข้ากับยุคสมัยมากๆ เลยนะครับ
ด้วยความที่คอนเซ็ปต์ร้านเน้นความเป็นไทยๆ การตกแต่งจึงดูอบอุ่น สบายๆ เหมือนอยู่ในบ้าน และด้วยความที่เจ้าของร้านเป็นคนที่ชอบทานอาหารไทย แบบดั้งเดิม บางเมนูนั้นเป็นแบบสูตรฉบับชาววังเหมือนกันนะ ดังนั้นอาหารในมื้อนี้จึงเป็นอาหารไทยรสชาติจัดจ้าน แต่เมนูต่างๆ นั้นหาทานได้ยากในปัจจุบันนัก
ก่อนที่เริ่มสั่งอาหาร ขอคลายร้อนกับบรรยากาศในตอนนี้กับเครื่องดื่มเย็นๆ อย่าง ชาไทยเฉาก๊วย/Thai tea with black jelly (80.-) ชาเย็นแบบไทยๆ แต่เพิ่มความเก๋ด้วยเลเยอร์ของเฉาก๊วย รสชาติหวานละมุนละไม เข้ากันอย่างลงตัวดี เมนูนี้คลายร้อนได้ดีทีเดียวจ้า
สำหรับอีกแก้วน่าจะเหมาะสำหรับสาวๆ นั่นก็คือ มาการิต้าลิ้นจี่/Lychee margarita (90.-) Mocktail เย็นๆ ที่เก๋ไก๋ด้วยเนื้อลิ้นจี่สด ทำให้ช่วยเพิ่มความสดชื่นได้ดีเหมือนกัน
สำหรับรายการอาหารนั้น ที่นี่มีให้เลือกหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเมนูชาววัง เมนูอาหารไทยที่คุ้นเคย หรือเมนูที่เพิ่มความเก๋ไก๋ที่ให้คุณได้เลือกส่วนผสมด้วยตัวเองอย่างเมนูข้าวยำต่างๆ ซึ่งสามารถเลือกส่วนผสมด้วยตัวเองหรือที่เรียกว่า CYO หรือ Create your own ซึ่งสามารถเลือกน้ำพริก ผัก หรือเครื่องเคียงได้เอง แต่สำหรับผมหรือใครที่ครีเอทเมนูไม่เก่งก็เลือกเมนูที่เค้าคิดให้ได้นะ โดยผมเลือกสั่ง ข้าวยำปักษ์ใต้ เพราะอยากกินมานาน และหากินยากเหมือนกัน
จากนั้นก็ต่อด้วย ยำเนื้อย่างเสด็จ/Spicy BBQ Beef Salad (180.-) เมนูนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นน้ำตกฉบับพื้นบ้านสมัยก่อน แต่เมื่อเข้าวังมีการเปลี่ยนวิธีทานจากการคลุกส่วนผสมเป็นจานสำเร็จ มาเป็นการแยกส่วนผสมก่อนทาน โดยมีการจัดวางอย่างสวยงาม เวลาทานก็ราดน้ำซอสแล้วคลุกเคล้าส่วนผสม แค่นี้ก็พร้อมอร่อยแล้วครับ สำหรับเนื้อนั้นเชฟเค้าย่างแบบ Medium rare ครับ ทำให้เนื้อนุ่มน่าหม่ำสุดๆ
อีกเมนูที่น่าสนใจคือ ยำใบชะคราม/Seepweed Salad (150.-) ที่น่าสนใจคือ ใบชะครามนี่แหละ ที่หาทานได้ยาก เพราะเป็นพืชที่ปลูกในดินเค็ม และมีประโยชน์ในการต้านสารอนุมูลอิสระด้วยนะ สำหรับเมนูนี้รสชาติออกเค็มนิดหน่อย และกลมกล่อม ด้วยการยำตามแบบฉบับของที่ร้าน
จานต่อไปเป็นเมนูโปรดของผมคือ มัสมั่นไก่ โรตี/Thai massaman chicken curry with paratha (120.-) แกงมัสมั่นไก่ร้อนๆ กับแป้งโรตี นี่เข้ากันสุดๆ ยิ่งหยอดอาจาดหน่อยนะ อร่อยถูกใจเลยครับ
จากนั้นก็ปิดท้ายของคาวด้วย หมี่ลวกแกงปู/Vermicelli with southern curry crab (220.-) รสจัดจ้านตามสไตล์อาหารใต้ หมี่ลวกพอดีคำ ราดด้วยน้ำแกงที่เต็มไปด้วยเนื้อปูรสชาติเผ็ดจัดจ้านแบบนี้ผมชอบครับ นอกจากที่ทานแล้วยังมีเมนูอาหารไทยแท้ๆ มีเยอะเลยเช่น พวกผัดไทย น้ำพริก แกงกระทิ โดยมีเมนูแนะนำเป็นอาหารไทยที่มีเรื่องเล่าจากตำนานโบราณ ซึ่งปัจจุบันหาทานได้ยาก อย่าง แกงรัญจวน, แกงปู,เส้นใหญ่ต้มยำกุ้งแม่น้ำย่าง, ข้าวคลุกสูตรโบราณ, แกงส้มแก่นคูน - ไข่เจียวกากหมู ข้าวมันไก่หุง เป็นต้น
หมดของคาวแล้วก็ต้องต่อด้วยของหวานใช่มั้ยล่ะ งั้นไปดูเมนูแรกเลยใครเคยทานยกมือขึ้น ^^ เพราะเมนูนี้หาทานยากสำหรับ ส้มฉุน/Seasonal Thai Fruit with Bitter Orange Syrup ของหวานแบบไทยๆ ที่ผมเคยทานเมื่อนานมาแล้ว วันนี้ได้ยินชื่อเลยขอลองซักหน่อย โดยเมนูนี้เป็นของหวานที่เหมาะสำหรับคลายร้อนมากๆ คล้ายกับลอยแก้ว แต่ว่ามีการใส่หอมเจียว มะพร้าวอ่อนและขนุน นอกจากนี้ยังมีผลไม้สดตามฤดูกาล ซึ่งถ้วยนี้เติมลิ้นจี่กับลำไย จากนั้นก็เติมความหวานด้วยน้ำเชื่อมส้มซ่า แล้วแต่ว่าชอบหวานมากน้อยเพียงไร
จากนั้นก็ต่อด้วย กล้วยตุ๋น/Steamed banana in rosette sauce (60.-) หน้าตาคล้ายกับกล้วยบวชชีที่คุ้นเคย แต่ว่าจะต่างกันด้วยกล้วยตุ๋นนี้เอาไปนึ่งก่อนที่จะคลุกเคล้าความหวานด้วยน้ำกระเจี๊ยบ และเติมหน้าด้วยวิปปิ้งครีม หวานอร่อยกำลังดีเลยละ
และปิดท้ายมื้อนี้ด้วย แรบบิทเมซ/Rabbit mess (120.-) ของหวานนี้ไม่ได้เป็นขนมไทย เป็นเมนูพิเศษของร้านซึ่งเป็น เมอแรงค์กับครีม และผลไม้สดตามฤดูกาลด้านใน ราดด้วยซอสเสาวรส ดังนั้นเมนูนี้นอกจากหน้าตาน่าทานแล้วยังมีรสชาติหวานนิดเปรี้ยวหน่อยๆ อร่อยลงตัวจ้า
แค่นี้ก็ทำให้มื้ออร่อยนอกบ้าน ในสไตล์อาหารไทยนั้นเติมเต็มอิ่มได้อย่างเต็มที่ สำหรับที่นี่บรรยากาศถือว่าสวย โปร่ง สบายๆ รสชาติอาหารก็จัดจ้านในแบบไทยๆ ไม่ใช่รสชาติที่ขายให้ฝรั่งทาน แม้ว่าชื่อร้านและการตกแต่งจะดูทันสมัยก็ตาม เรียกได้ว่าใครอยากลิ้มลองอาหารไทยในสไตล์คุณปู่คุณย่า ทานนั้นลองแวะมาที่ Rabbit in the kitchen ได้นะครับ มาไม่ยากครับ เพราะอยู่ในซอยสยามสแควร์ 11 ติดกับ Hard Rock Café เลย ที่นี่เค้ามี Free wi-fi ด้วยนะ สามารถแชร์รูปร้านสวยๆ อาหารหน้าตาน่าทานไปอวดเพื่อนๆ ได้สบายๆ เลยครับ
ย้อนกลับไปดูภาพและข้อมูลร้านอาหารอื่นๆ
ฝากติดตาม Eat and Travel Diary by ปลาหมึกน้อยกับนายโอเลี้ยง ใน Facebook fan page เพื่อให้ง่ายต่อการติดต่อครับ ถ้าใคร "ถูกใจ" blog นี้ ฝากช่วยกด "Like" กันนะครับ จะได้ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ^_^ Click ข้างล่างได้เลยจ้า
ส่วนใครที่เล่น Instagram ก็ เข้าไป Follow ได้ที่ @eatandtraveldiary จ้า
Create Date : 08 เมษายน 2557 |
|
6 comments |
Last Update : 8 เมษายน 2557 12:43:27 น. |
Counter : 7307 Pageviews. |
|
|
|
ร้านก็บรรยากาศดี
ไปแถวนั้นต้องไปลองหน่อยแล้ว