พฤษภาคม 2550

 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
Made In Japan#1 : เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกที่ My DreaM LanD
เวลาผ่านไป 4 ปีพอดิบพอดี นับตั้งแต่ชั้นได้ไปต่างประเทศครั้งแรก ซึ่งจุดประกายให้ชั้นรักการท่องเที่ยวนับตั้งแต่นั้น เป็นต้นมา อ่านแล้วเพื่อนๆ ที่เพิ่งรู้จักชั้น จะเข้าใจว่า ทำไมชั้นถึงเป็นชั้นในทุกวันนี้ และทำไม๊ทำไม ชั้นถึงไม่เคยจะอิจฉาชีวิตคนอื่นเลย ไม่ว่าชีวิตเค้าจะดูน่าอิจฉา และทำไม๊ทำไม ชั้นถึงบอกใครๆ ว่า Envy me pls envy me เพราะชั้นเชื่อเสมอว่าชั้นได้ใช้ชีวิตอย่างสุดขั้ว หลุดโลก มากเท่าที่ชั้นจะทำได้แล้ว ชั้นไม่มีไรจะต้องเสียดายที่ไม่ได้ทำอีก


ทำไมชั้นถึงเพิ่งมาเขียนเอาป่านนี้น่ะเหรอ ก็แหมๆ เมื่อสี่ปีก่อนไม่มีไดอารี่ออนไลน์แบบนี้นี่นา สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้ ไม่ใช่บันทึกการเดินทางนะ แต่เป็นบันทึกความทรงจำจ้ะ

เดือนเมษายน ปี 2003 ชั้นได้ไปต่างประเทศครั้งแรก และโชคดีที่สุดในโลก ที่เป็นประเทศที่ชั้นใฝ่ฝันมาตลอด ชั้นทำบุญด้วยอะไรเหรอ? ทำไมถึงได้ไปน่ะเหรอ... ถ้าอยากไปอย่างชั้นบ้างต้องทำไงล่ะ ก็อธิษฐานเลยสิจ๊ะ

ก่อนหน้าีนั้นนานเท่าไหร่จำไม่ได้ง่ะ ชั้นไปไหว้พระพรหมที่แยกราชประสงค์เป็นครั้งแรก จำได้ว่าไปคนเดียวนะ ตอนแรกไปทำธุระที่ไหนสักแห่ง และแวะไปไหว้โดยบังเอิญ ชั้นอธิษฐานไว้ว่า "ขอให้ได้ไปญี่ปุ่น ขอให้ได้ไปแบบไม่เสียเงิน ขอให้ได้ไปอยู่สักสามเดือน" และบอกท่านว่า ถ้าได้ตามนี้ไปแล้วจะกลับมาไหว้ท่านอีกครั้ง ปาฏิหารย์ไม่มีจริงสำหรับใครก็ช่าง แต่สำหรับชั้น "มี"

หลังจากที่ชั้นพยายามเปลี่ยนงาน โดยสัมภาษณ์มา 8 ที่ ที่ที่ 8 เป็นเลขนำโชคของชั้นน่ะ ชั้นก็ได้งาน และมีเงื่อนไขว่า ต้องไปเทรนที่ญี่ปุ่นหกเดือน ตอนแรกก็มีเหตุการณ์พลิกผัน ทำให้เกือบอดไปแล้ว เรียกได้ว่าต้องต่อสู้กันแบบแลกมาด้วยเลือดและน้ำตาเลยแหละ (แต่เป็นเลือดคนอื่น น้ำตาคนอื่น ความเจ็บปวดของคนอื่นนะ) ก็ชั้นคนมีบุญ มีพ่อคุ้มกบาลง่ะ ใครจะมาฟาดมาฟันชั้นก็ข้ามศพพ่อกรูไปก่อน

ชั้นได้รับภูมิคุ้มกันด้านจิตใจ จากการมีเรื่องคราวนั้นเป็นอย่างดี หลังจากนั้นมา ไม่ว่าชั้นจะต้องฟาดฟัน ตีฝีปากกะใคร คนญี่ปุ่น หรือคนไทย ระดับไหน ชั้นก็ไม่เคยกลัวอีกแล้วละ

ย้อนกลับไปอีกนิด ว่าอยู่ดีๆ ชั้นมาทำงานบริษัทนี้ได้ไง? ช่วงที่ชั้นทำงานอยู่บริษัทเก่า นั่งรถบัสผ่านบริษัทนี้ทุกวันๆ ชั้นก็หลับตา อธิษฐาต่อพระพรหมของบริษัทนี้ไว้ว่า "ขอให้ได้กลับมาเหยียบที่นี่อีกครั้ง" แล้วก็เป็นจริงอย่างคำอธิษฐานจริงๆ อธิษฐานมาเป็นปี ๆ ก็ได้กลับมา "เหยียบ" จริงๆ ตอนแรกคิดว่าไปญี่ปุ่นแล้วต้องติดสัญญาสองปี ยังไงๆ ก็ต้องอยู่บริษัทนี้มากกว่าสองปีเป็นแน่แท้ แต่แล้ว เพราะคำอธิษฐานว่าขอแค่ "เหยียบ" หรือเปล่าไม่ทราบได้ ก็แค่ "เหยียบ" อาศัยไปญี่ปุ่น แล้วก็จากไปจริงๆ



และแล้ว ชั้นก็ได้ไป.. จำได้ว่าชั้นไม่รู้วิธีคาดเข็มขัดนิรภัย (บนเครื่อง) ด้วยซ้ำ แต่โชคดีชาวแก๊งค์คือ ป้าออยซ์ คอยสอนชั้น พอไปถึงญี่ปุ่นก็มีรถตู้มารับไปบริษัท อากาศหนาวเหมือนกันนะ สำหรับคนไทยที่ไม่เคยไปเมืองนอกอย่างชั้น แต่ก็ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ กับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ชั้นหลับตาไม่ลงเลย ตอนขึ้นรถแล้ว (ปกตินิ่งเป็นหลับ) แต่นี่มันตื่นเต้นง่ะ มองสองข้างทางไปเรื่อยๆ

ถึงบริษัทเราก็ได้ห้องพัก ห้องใหญ่ พักได้สองคน แต่เนื่องจากเรามาก่อน เลยได้พักห้องละคน เป็นห้องสองเตียง ปูเสื่อตาตามิ มีโต๊ะเล็กๆ ตรงกลางห้อง และตู้เสื้อผ้า ตู้รองเท้า พอเก็บของเสร็จ ก็ลงไปข้างล่าง รับแจกเสื้อกันหนาว (เหมือนเด็กน้อยผู้ยากไร้เลยง่ะ) และก็มีคนญี่ปุ่นพาไปร้านของมือสอง พาไปร้านขายกับข้าว



ช่วงเย็นชั้นโทรไปหาพี่โก้ (พี่ที่มิตซูฯ) เพื่อนัดเอาของฝากจากเมียเค้า (เมียเค้าำทำงานกะชั้นที่โซนี่) ไปให้เค้า เค้าบอกว่าวันเสาร์ให้ไปเจอที่สถานีรถไฟนาโงย่า ตรงรูปปั้น ตายห่าแระ ชั้นเคยไปที่ไหนละเนี่ย แต่ก็รับปากว่า เออๆ ไปถูก แต่ต้องหาเพื่อนร่วมตายไปด้วยซะแร้ว

หลังกินข้าวชั้นชวนพี่ๆ ไปด้วยกัน ป้าออยซ์ผู้เชี่ยวชาญไม่ไปซะนี่ เราก็เลยไปกันสี่คน สองชาย สองหญิง ขึ้นรถไฟก็มีปัญหาซะแร้ว ไม่รู้จะขึ้นคันไหน เพราะมันมีบางคันต้องไปต่อรถ ไม่ใช่ไดเร็คเทรน ทีนี้ก็เลยถามหนุ่มยุ่น คนนึง ชั้นเขินเค้าง่ะ ไม่กล้าถาม แต่เจ๊เป็นคนนำ แล้วชั้นก็ค่อยสานต่อ เพราะเจ๊แกพูดได้แต่ "ขอโทษนะค้า" แค่เนี้ย แล้วนังเติ้ลก็ต้องถามต่อเอง

คุณยุ่นคนนี้ก็ดีใจหาย พาเราไปส่งที่คาริยะ แล้วนั่งรถกลับมา เค้ากลัวพวกเราจะเปลี่ยนรถไฟไม่เป็น (ก็ไม่เป็นแหละ) และแล้วก็ถึงนาโงย่าโดยสวัสดิภาพ กะลังคิดว่าจะไปหาไอ้รูปปั้นตรงไหนฟะ แต่พอออกจากสถานี ก็เจออย่างจัง รอแป๊บนึงพี่โก้ กะพี่ขุน และพี่อีกคนก็มา พาเราไปปราสาทนาโงย่า

ถึงแล้วจ้า Nagoya Cho ชั้นดูอ้วนปุ๊กลุกจังเลยแฮะตอนนั้น




ตอนนั้นมีงานไรก็ม่ายรู้ง่ะ มีพาเหรดคนแต่งชุดญี่ปุ่นด้วย ดีจัง



นี่คือเพื่อนร่วมชะตากรรมง่ะ



นี่เป็นรูปหมู่ ชาวมิตซู และชาว... (ชั้นก็เป็นอดีตชาวมิตซูฯ คนนึงละ)


นี่พี่โก้ สามีพี่ยุ้ย ตอนส่งรูปนี้ไปให้เืพื่อนๆ ดูมีแต่คนถามว่าหนุ่มหล่อนี้คือใคร ตอบได้แค่ว่า "สามีของเพื่อน" เศร้าเนอะ



แต่ยห. อย่าห่วง ตอนหน้านังเติ้ลก็เจอกิ๊กและ เฮ้อ เขียนแล้วคิดถึงกิ๊กง่ะ

หลังจากปราสาทแล้วพี่โก้ก็พาเราไปย่านโอสุแคนนอน นังเติ้ลสอยดิคฯ ชาร์ปมาอันนึง เริ่ดซะไม่มี แล้วก็ได้กินคัทสึด้ง ข้าวหน้าหมูทอดสุดแสนอร่อย ตั้งแต่เกิดมาสาบานได้ว่าไม่เคยกินที่ไหนอร่อยยังงี้ แม้จะกลับมากินร้านอื่นที่เมืองไทย อีกกี่ร้านก็ไม่อร่อยเท่า อ้อ มีรสชาดของร้าน ZEN พอจะเทียบๆ กันได้ ใครอยากกินข้าวหมูทอดแบบญี่ปุ่นแท้ๆ นี่ขอเชิญร้าน ZEN เลยค่า

พอกินข้าวเสร็จก็กลับมาที่สถานีนาโงย่าอีกครั้ง พี่โก้แยกไปทางอินาซาว่า ส่วนหมู่เฮาก็กลับบ้าน กลับมาเย็นเลยแหละ มืดค่ำ กลับมาก็มาทำกับข้าวกินกันอีกแน่ะ

จบการผจญภัยวันแรก หลังจากมาญี่ปุ่นได้สามวัน ชั้นก็ไปซิ่งแล้ว เจ๋งมะ



ภาพสุดท้าย เป็นภาพให้กำเนิดมุมกล้องเอียงๆ แบบที่ชั้นชอบง่ะ แหม ตรูนี่มันช่างกลมจริงๆ แต่พูดก็พูดนะ เสื้อผ้าที่ชั้นใส่เนี่ย ยังดูทันสมัยอยู่เลยเนอะ ทรงผมชั้นก็เดิ้ล ขนาดกลับมาจากญี่ปุ่น มาหาช่างอีกคนให้ตัดผม เค้ายังถามว่า "ใครตัดผมให้เนี่ย.. แหม มันช่างกล้าตัดเนอะ" เหอๆ



Create Date : 26 พฤษภาคม 2550
Last Update : 26 พฤษภาคม 2550 22:45:24 น.
Counter : 412 Pageviews.

1 comments
  
โดย: โสมรัศมี วันที่: 27 พฤษภาคม 2550 เวลา:18:04:10 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

littlebitlittlemore
Location :
Sweet Home Alabama  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]



สวัสดีจากอลาบาม่า สหรัฐอเมริกา
Subscibe ช่อง Home of the brave

เพื่อคนไทยในอเมริกา

MY VIP Friend