รูปบล็อคนอก
Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 3

ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 3



สารบัญบทความ

ประวัติพระบุญนาค เที่ยวกรรมฐาน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
หน้า 4 จาก 6
[ ๓ ]


ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน



นายอำเภอนำตัวไปสอบสวน

ต่อมา ฤดูฝนจวนเข้าพรรษา ญาหลวงเมืองวัง (ไทยเรียกนายอำเภอ) ต้องการอยากพบสามเณรกรรมฐานไม่พูดอยู่ถ้ำเต่างอย จึงใช้ปุริด (ไทยเรียก ตำรวจ) ไปนำตัวของอาตมาภาพไปที่ว่าการอำเภอ แล้วซักไล่ไต่ถามด้วย อรรถด้วยธรรมเป็นต้นว่า ศีล ๑๐ กรรมบถ ๑๐ เหล่านี้ เป็นต้น และ กรรมฐาน ๔๐ คืออะไรบ้าง ดังนี้ อาตมาภาพก็นั่งพิจารณาว่าคนเช่นนี้มิ ใช่ผู้ถามเพื่อปฏิบัติ มาถามเพื่อทดลองเล่นเท่านั้น เมื่อจะกล่าวแก้หรือก็ไม่ เห็นประโยชน์แก่ผู้มาถามด้วยความประมาทเช่นนี้ ทั้งเราก็เปล่าทั้งนั้น ก็คง เป็นสักเพียงแต่จะพูดให้เขาเห็นดีตนเท่านั้น ตกลงดีหรือชั่วก็เราปฏิบัติเอาเท่า นั้น จะได้มาจากคำพูดให้ผู้อื่นเห็นดีให้ก่อนจึงจะดีก็หามิได้ เมื่อพิจารณาเช่น นี้อาตมาภาพก็นั่งนิ่งไม่พูด

นายอำเภอแกก็ว่า คนเช่นนี่จะเป็นพระเป็นเณรอย่างไรได้ ทั้งดื้อทั้งหนวกทั้ง บ้า ดังนี้ อาตมาภาพก็พิจารณาขึ้นทันที ทักท้วงภายในจิตของตนว่า นี้เขาว่ากับใคร จิตรับว่าให้ธาตุ ๔ คือรูป เมื่อไม่มีธาตุ ๔ คือรูปนี้ เราก็ไม่เห็น เขาก็ไม่ว่า เพราะข้าพเจ้าคือจิตไม่มี ตัวเขาก็ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นเขาจะว่าใคร หูเท่านั้น เป็นผู้ได้ยิน เขาดูถูกก้อนธาตุ เขาไม่ได้ดูถูกใจ เพราะใจไม่มีตัว เขามองไม่ เห็น เขาจะเอาถูกได้อย่าง ตกลงผู้ว่าเขาก็คงมองเห็นก้อนธาตุคือหน้าตานี้ เป็นเรานั้นละเขาจึงว่า ตกลงเขามองเห็นก้อนธาตุ ๔ เขาก็ว่าไปตามพอใจ ของเขา จะยุ่งอะไรนัก ต่อนั้นอาตมาภาพก็หลับตาลง นั่งขัดสมาธิขึ้นใน ทันใด อยู่ที่นั้นวันตลอดรุ่ง

จนคืนตลอดรุ่งสว่างพอดี ก็ออกไปนั่งอยู่ที่วัดมีคนเขาหาข้าวมาให้ฉัน อาตมา ภาพฉันแล้วก็กลับไปสู่ถ้ำตามเคย ต่อนั้นก็บำเพ็ญเพียรพิจารณาวิปัสสนาภูมิ ตั้งแต่ขันธ์ ๕ เป็นต้นไป อยู่ตอไปจวนวันเข้าพรรษา

สามเณรถูกขังกรง

เข้าพรรษาแล้ว ๒ วัน ญาหลวง คือนายอำเภอเมื่อวังจึงใช้ปุริดคือตำรวจไป เรียกอาตมาภาพไปยังที่ว่าการอำเภออีก พอไปถึงแกสั่งว่า เณรจงเข้าจำ พรรษาที่วัดเดิมด้วยพระทั้งหลายได้เป็นการดี ได้ยินไหม อาตมาภาพก็เป็น แต่ยิ้มเท่านั้น ไม่พูดด้วย แกก็หัวเราะด้วยว่า คนพูดได้ยินกันอยู่ไม่ตอบ กันให้ได้ก็สุดเรื่องเท่านั้น

นายอำเภอบอกว่าการอยู่เช่นนั้น มันผิดต่อการปกครองบ้านเมือง เหตุนั้น ขอเจ้าสามเณรจงกลับไปอยู่อาวาสตามเดิม พูดไปมา อาตมาภาพก็นั่งหลับ ตาขัดสมาธิตามเคย แกจึงบอกแก่ปุริดคือตำรวจว่า เณรอวดดีแต่หลับตาเท่า นั้น จงเอาไปขังไว้ที่ห้องขังสัก ๒-๓ วัน ดูซิจะใช่คนบ้าหรือคนดี

ต่อนั้นไป ปุริดก็จับนิ้วมือของอาตมาภาพไปยังห้องขังแล้วขังไว้ อาตมาภาพ ก็นั่งสมาธิไปตามเคย แล้วพิจารณาว่าอุปสรรคเกิดขึ้นเช่นนี้ เขาขังเราครั้งนี้ เพื่อจะสังเกตว่า เราบ้าหรือคนดี ตกลงในใจว่าควรทำตนให้เป็นคนบ้าเสียดี กว่า เพื่อป้องกันความปลอดภัยแก่ปฏิปทาของตน เมื่อเห็นว่าเราเป็นบ้าแล้ว เขาจะปล่อยไปตามเรื่อง

ต่อนั้น อาตมาภาพทำเหมือนดุจบ้า พูดขึ้นคนเดียวบ้างหัวเราะขึ้นคนเดียว บ้าง เมื่อเขาเอาอาหารมาให้ก็พูดกับถ้วยชามไปตามเรื่อง ปุริดคือตำรวจได้ เห็นอาการเช่นนั้นก็นำเอาความนั้นไปบอกแก่นายอำเภอว่าบ้าแน่นอน จะเอา เรื่องกับคนบ้าก็จะได้หรือ เสียผลประโยชน์เปล่า ๆ บอกในบัญชีว่าบ้าก็แล้ว กัน ปล่อยไปตามเรื่อง

ต่อนั้น เขาก็ปล่อยอาตมาภาพ ๆ ก็กลับไปอยู่ที่ถ้ำตามเคย แล้วก็ทำเป็นคน ดี แต่ไม่พูด ต่อนั้นไป คนนอกเมืองทั้งในเมืองบางคนก็ว่าบ้า บางคนก็ว่า ไม่ใช่บ้า ตกลงเป็นส่วนมากว่าไม่ใช่บ้า บ้าทำไมจะประพฤติศีลธรรมเรียบ ร้อยนัก มีผู้ไปหารู้จักห่มผ้าสบงจีวร ทำท่านั่งรับแขกอย่างเรียบร้อยแต่ไม่พูด เท่านั้น ต่อมา กลางพรรษา มีคนมาทำบุญด้วย ๑๐ กว่าคน แสดงตนว่า ผมเชื่อว่าท่านไม่ใช่คนบ้า โดยเหตุท่านรักษาศีลธรรม และมีมรรยาททั้งนั่งทั้ง เดิน พร้อมกับการเที่ยวบิณฑบาตก็มีอินทรีย์สงบเสงี่ยม แต่ข้าพเจ้าอยาก ทราบความจริง ขอผู้เป็นเจ้าจงแก้ความสงสัยแก่ข้าพเจ้าบ้าง

ต่อนั้น อาตมาภาพก็กระทำหัวเราะดุจยิ้ม ๆ เท่านั้นแกก็น้อมอาหาร บิณฑบาตถวาย อาตมาภาพรับฉันเสร็จแล้วก็ยถาสัพพี โมทนาให้พรแก่โยม คนนั้น แล้วอาตมาภาพจึงเตือนกับโยมคนนั้นว่า โยมเอ๋ย จงรู้ได้โดยเหตุมี ประมาณเท่านั้นก่อนต่อจะรู้ได้ใกล้ชิดเมื่ออีกพรรษาที่ ๒ ตกลง อาตมาภาพ จะจำพรรษาบำเพ็ญบารมีอยู่ที่นี้ประมาณเพียง ๒ พรรษาเท่านั้น ว่าแล้ว อาตมาภาพก็นั่งนิ่งอยู่

โยมแกบอกว่า โยมเฒ่าหมดความสงสัยว่าบ้าแล้ว เชื่อว่าไม่ใช่บ้า โยมเฒ่า ขอเป็นโยมอุปัฏฐาก จนกว่าเจ้าสามาเณรจะหลีกไป ต่อนั้น โยมเฒ่าคนนั้น แกก็อุตส่าห์ไปใส่บาตร และสำรับทุกวัน

ต่อจากนั้น มีพวกคณะญาติของโยมนั้นมีความเชื่อถืออาตมาภาพมากขึ้นว่า ไม่ใช่บ้า อาตมาภาพเที่ยวบำเพ็ญบุญบารมีของอาตมาภาพ ต่างคนก็ต่าง มีความเชื่อถือมากขึ้นมาทำบุญวันละหลาย ๆ คน จนตลอดพรรษาอยู่ต่อไป เมื่อออกพรรษาแล้วนายอำเภอได้ข่าวว่ามีคนไปทำบุญด้วยวันละมากคน จึง นำคนเหล่านั้นไปสอบสวนที่ว่าการว่าพวกเธอทั้งหลายไปเชื่อถือสามเณรบ้า ด้วยเหตุอย่างไร โยมแก่คนนั้นตอบนายอำเภอว่าเณรไม่ใช่บ้า เณรเที่ยว บำเพ็ญบุญบารมีในศาสนานี้ นายอำเภอจึงให้คนนำตัวของอาตมาภาพไปยัง ที่ว่าการอีก เมื่อไปถึงคราวนี้นายอำเภอทำการปฏิสันถาร มีน้ำฉันและหมาก พลูบุหรี่ แล้วอาราธนาศีลขึ้น อาตมาภาพก็ให้ศีลแก่พวกข้าราชการหลายคน ซึ่งอยู่ในที่ว่าการนั้นเสร็จลง แกจึงอาราธนาเทศน์ต่อไป

อาตมาภาพพิจารณาอยู่ในใจว่า หากเราแสดงธรรมขึ้นในเวลานี้ บางคนก็จะ เชื่อถือมากขึ้น บางคนก็จะนินทาและเบียดเบียนว่าเราอวดรู้อวดฉลาด ตกลงเชื่อถือก็จะเป็นภัยแก่ความสงบอย่างหนึ่ง คือมาคบหาสมาคมเพื่อฟัง เทศนาบ่อย ๆ เราก็จะมัวแต่รับแขก มิได้ทำความสงบ ส่วนผู้นินทาว่าเรา อวดรู้อวดฉลาด เขาก็จะนำเรื่องอันนี้ไปเล่าโดยความไม่พอใจของคนต่างๆ ว่า เราแสดงตนเป็นคนมีบุญอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็จะถูกไต่สวน เป็น อันตรายแก่ความสงบอีกอย่างหนึ่ง

พิจารณาเช่นนี้แล้วอาตมาภาพก็นั่งนิ่งอยู่ มิได้ทำอะไร นายอำเภอบอกว่า นิมนต์แสดงธรรมครับ อาตมาภาพพูดว่าการแสดงธรรมนี้อาตมาภาพของดไว้ เมื่อไปข้างหน้าคือพรรษาที่ ๒ เมื่อออกพรรษาแล้ว ๓๖ วัน นั้นแหละ อาตมาภาพจึงจะแสดงธรรมที่ถ้ำเต่างอย เมื่อท่านทั้งหลายมีประสงค์จะฟัง แล้ว จงไปฟังที่นั้น

ต่อนั้น อาตมาภาพก็นั่งนิ่งมิได้พูดต่อไปอีก นายอำเภอแกนิมนต์อีกเป็นครั้ง ที่ ๒ ว่า ขอท่านจงแสดงเดี๋ยวนี้ ต่อนั้นไปอาตมาภาพก็หลับตาลงนั่งขัด สมาธิเท่านั้น มิได้พูดต่อไปอยู่ประมาณ ๑ ชั่วโมง คนก็เลิกไปเสียหมด อาตมาภาพก็กลับไปสู่ถ้ำตามเคย บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป จนตลอดฤดูแล้ง และฤดูฝน นับว่าได้รับความสงบ ทั้งภายนอกและภายในใจต่อไปจนออก พรรษา รวมเป็นพรรษาที่ ๔ แห่งการออกเที่ยวธุดงค์คราวนั้น

สามเณรแสดงธรรมขั้นวิปัสสนา

แต่นั้นออกพรรษาแล้วเดือน ๑๒ วันเพ็ญ ก็มีผู้คนไปทำบุญเพื่อจะฟังธรรม เทศนาด้วยจนกระทั่งนายอำเภอเมืองวังก็ออกไปด้วย เมื่อฉันเสร็จก็มีคน อาราธนาธรรม อาตมาภาพจึงได้แสดงธรรมในข้อที่ว่า "สุขินทริยัง ทุกขินทริ ยัง มายุปะมา วิญญานัง" อธิบายว่า ความสุขซึ่งเป็นของมีจริง ทั้งเป็น ใหญ่ด้วย แต่ไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ทางกายทางใจก็มีจริง ทั้งเป็นใหญ่ ด้วย แต่ไม่เที่ยง ถูกหลอก เจ้ามายาคือวิญญาณัง เจ้าวิญญาณตามรู้แจ้ง ว่าสิ่งนี้เป็นสุขเข้าอาศัย ความสุขที่มาถึงพร้อมชั่วขณะจิตดูแล้วก็หายไป เพราะความสุขอันเกิดจากความพอใจเนื่องมาจากความคิดในอารมณ์ อัน เป็นที่พอใจแล้วก็สุขหรืออิ่มใจขึ้นประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแล้วก็เสื่อมไป เพราะ เขาเป็นของไม่เที่ยง ประเดี๋ยวก็ไปฉวยเอาความคิด และอารมณ์อันไม่เป็นที่ พอใจ ก็เป็นทุกข์ขึ้นเท่านั้น ประเดี๋ยวทุกข์นี้ก็หายไป ก็ไปฉวยเอาอารมณ์ อันอื่นอีก ตกลงความสุขอันเกิดจากความยินดีและพอใจในสิ่งที่ตนต้อง ประสงค์เท่านั้น จัดเป็นที่พึ่งแน่นอนยังไม่ได้ คือ บรรดาสาธุชนในโลกนี้ ต้องการความสุขทุกขณะจิตมิใช่หรือ ก็ความสุขและความอิ่มใจต่างก็เคยพบ เคยเห็น เคยมีความสุขความอิ่มใจมาแล้วทุกคนมิใช่หรือ ความสุขและความ อิ่มใจนั้นต่างคนก็รู้แล้วว่าเป็นของดี ทำไมจึงไม่คิดและถือเอาความสุขนั้นไว้ ประจำสันดาน จนตลอดชีวิตนี้ เนื่องมาจากความไม่เที่ยงอันเป็นความจริง ของโลกนั้นเองมาตัดรอนให้จิตใจแปรผันไปหน่วงเหนี่ยวยึดถือ เอาความคิด ความเห็นอันไม่เป็นที่พอใจมาปรากฏขึ้นในสันดาน แล้วก็รู้แจ้งขึ้นว่าเป็นทุกข์ ใจคอไม่สบายประเดี๋ยวเท่านั้นได้พบ หรือไม่เห็นสิ่งเป็นที่หัวเราะพอใจก็กลับ มีความสุขแช่มชื่นขึ้นอีก เหตุนั้น เจ้าสังขารคือความคิดความนึกอันปรับปรุง ขึ้นมาก็เป็นเจ้ามายา เจ้าเล่ห์ เจ้ากล

อีกอันหนึ่ง โดยศัพท์ว่า "มายุปมา จะ สังขารา" แปลว่า เจ้าสังขารผู้ช่าง นึกช่างคิด ปรับปรุงประจำสันดานนี้ ก็เจ้ามายาใหญ่ คือ ประเดี๋ยวก็ปรับ ปรุงและคิดอารมณ์อันเป็นที่พอใจขึ้นมา เจ้าวิญญาณรับรู้ว่าเป็นสุขก็เข้า อาศัยและยึดถือ ประเดี๋ยวก็นึกคิดปรับปรุงอารมณ์ไม่เป็นที่พอใจขึ้น มาพล่า อารมณ์ที่ดี คือความพอใจอันนั้นให้เสื่อมหายไป เจ้าวิญญาณก็รับรู้ว่าใจคอ ไม่สบายยุ่งและจุกจิกคือทุกข์ใจขึ้นมาตกลงว่าความเป็นอยู่ของสาธุชนทุก จำพวก ยกแต่พระอริยเจ้าผู้ได้ประสพสันติสุขเสีย ล้วนแต่ถูกสังขารหลอกทั้ง นั้น แล้วแต่เจ้าสังขารปรุงหรือคิดขึ้นมาอย่างก็เป็นไปตาม ปรุงความสุขขึ้น มาก็พลอยสุขไปตาม ประเดี๋ยวปรุงความทุกข์ขึ้นมาก็พลอยทุกข์ไปตาม ตกลงถึงจะมีชีวิตอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ๑,๐๐๐ ปี ก็ดี ปรุงแต่สุขหรือทุกข์ เท่านั้นลวงตนเล่นอยู่หาที่พึ่งมิได้ แล้วแต่เจ้าสังขารจะปรุงให้ร้องให้ก็ร้องให้ เจ้าสังขารจะปรุงให้หัวเราะก็หัวเราะขึ้นเท่านั้น ตกลงอำนาจของจิตไม่มี เพราะเจ้าสังขารลวงเล่นไม่มีเวลาหยุด

ฉะนั้น สมเด็จพระศาสนาจึงตรัสเทศนาสรรเสริญความสงบจิต เอาอาโยโค ความเข้าไปสงบจิต เป็นยอดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจิต สงบกายและสงบวาจา เมื่อกายวาจาสงบก็เป็นศีลสังวรเสร็จอยู่ที่ใจสงบเท่า นั้นไม่ต้องไปอ่านหรือนับว่านี้ศีล นี้สมาธิ นี้ปัญญา เมื่อรักษาจิตให้สงบ แล้วก็บริบูรณ์พร้อมทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้น เมื่อไม่มีปัญญาจิตก็ไม่ สงบ เมื่อปัญญาทำให้จิตสงบได้แล้ว ศีล สมาธิก็บริบูรณ์ขึ้นในขณะนั้น เหตุนั้น สาธุชนผู้ต้องการอยากเป็นผู้มีศีล มีสมาธิในศาสนาของพระพุทธเจ้า แล้ว ขอท่านจงแสวงหาครูอาจารย์แนะนำทางปัญญา หาอุบายจะทำให้จิต สงบลงเมื่อใด ก็เมื่อนั้นท่านจะเป็นผู้บริบูรณ์ไปด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วย ปัญญา ดังรับประทานวิสัชนามา ก็สมควรแก่กาลเวลา ดังนี้

ต่อไป อาตมาภาพก็นั่งสมาธิหลับตาไปเรื่อย ก็ยังมีศรัทธา (โยม) ขอ ปรารณาเป็นอุปัฏฐาก และขอขมาโทษที่ได้ดูหมิ่นประมาทต่าง ๆ ขอเณร จงงดโทษแก่ฝูงข้าทั้งหลาย แต่ก็ข้าเผอิญดังนี้ ต่อไป มีคนมาทำบุญมากและ ขอฟังธรรมทุกวัน อาตมาภาพอยู่ไปอีก ๓ วันเท่านั้น พิจารณาเห็นว่าเราก็ เป็นผู้ฝึกหัดอยู่ จะมาตั้งตัวเป็นคนรับแขกและคลุกคลีอยู่เช่นนี้ เป็นอันตราย แก่ความสงบ เป็นที่ตั้งแห่งความกำเริบของวิญญาณ ฉะนั้น เราควรหลีกไป เสียดีกว่า

ต่อมา เป็นวันคำรบ ๘ บิณฑบาตเสร็จ อาตมาภาพก็ลาโยมเหล่านั้นไป รู้สึกว่ามีบางคนบ่นว่าเราไม่รู้จักว่าท่านมาบำเพ็ญบุญบารมีเลย ต่างคนก็เข้า ใจว่าบ้าทั้งบ้านทั้งเมือง ดังนี้ ต่อนั้น อาตมาภาพจึงเที่ยวไปทางหนองน้ำ จันทร์ ไปพักที่ป่าช้า บ้านหนองน้ำจันทร์อยู่ ๙ วัน พระครูเขียวไปไล่หนีว่า เณรนี้หรือเขาว่าเป็นบ้าอยู่เมืองวัง เรารู้เรื่องของเณรแล้ว คือเธอนี้แหละเขา บอกว่าเป็นบ้า จะได้เป็นสามเณรในศาสนาก็หามิได้ เหตุนั้นเณรจงหลีกไป เถิด อย่าได้อยู่ท้องถิ่นที่นี้เลย

ประวาทะกับพระครูเขียว

อาตมาภาพได้ตอบท่านองค์นั้นว่า สามเณรมาจากสมณศัพท์ แปลว่าผู้สงบ ใครเป็นผู้สงบ ผู้นั้นแหละพระพุทธเจ้าเรียกว่าสามเณรหรือสมณะ บุคคลผู้มี อิสสาและโลภอยู่ คนนั้นจะศีรษะโล้นก็ไม่ชื่อว่าสมณะ โดยพระพุทธภาษิต ว่า
*"อัพพะโต อะลิกัง ภะณัง อิจฉาโลภะสะมาปันโน แปลว่า บุคคลผู้มี อิจฉาและมีความโลภอยู่ ไม่รักษาธุดงควัตร จะชื่อสมณะอย่างไรได้"

++++++++++++++++++++++++++++++++++
* พระบาลีที่มีมาจากคำภีร์ธรรมบท ตอนนี้ มีคาถาเต็มว่า
น มุณฺฑเกน สมโณ อพฺพโต อลิกํ ภณํ
อิจฺฉาโลภสมาปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ
แปลว่า
"ผู้ไม่มีวัตร (คือไม่มีศีลวัตรและธุดงควัตร) พูดจา
เหลาะแหละ ไม่ชื่อว่าสมณะ เพราะศีรษะโล้น
ผู้มี ความริษยาและความโลภ จะเป็นสมณะได้อย่างไร"
++++++++++++++++++++++++++++++++++

ครั้งเมื่อท่านได้ยินเช่นนี้ ท่านก็โกรธหาว่าดูหมิ่นท่านผู้ไม่รักษาธุดงค์ก็ไม่ชื่อว่า สมณะหรือเณร อาตมาภาพตอบว่าท่าน ๑. เป็นผู้มีความอิจฉา ๒. โลภ ๓. ไม่รักษาธุดงค์คือความสงบ ผู้ขาดคุณสมบัติทั้ง ๓ นี้แหละครับ พระ พุทธเจ้าตรัสว่าไม่ชื่อว่าสมณะ ตามบาลีที่มีมาในธรรมบทภาค ๗ ธัมมัฏฐ วรรค ว่าดังนี้แหละครับ

ท่านก็โกรธว่า "บ้าอะไรมาอ้างศัพท์อ้างแสง อ้างคัมภีร์ธรรมบทภาคนี้ จะมา แข่งดีกับพระหนองน้ำจันทร์หรือเณร" อาตมาภาพตอบว่า "การแข่งดีกันเป็น อุปกิเลส ๑๖ ในข้อ ๑๒ ว่าสารัมภะ การแข่งดีเป็นกิเลสอันหนึ่ง ซึ่งพระ พุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญเลยครับ ผมพูดในที่นี้ผมพูดตามศัพท์บาลีหรือความ เป็นจริงเท่านั้น คนที่มีกิเลสในสันดาน ได้ยินเข้าก็น้อมเป็นกิเลสทั้งนั้น เพราะความจริงเข้าไปถึงสันดาน คนที่เป็นกิเลสก็ดิ้นรนออกมาเท่านั้นครับ"

ท่านพระครูเขียวยิ่งโกรธใหญ่หาว่า อาตมาภาพดูหมิ่นท่านว่าไม่ใช่สมณะ ทั้งเป็นเจ้ากิเลสด้วย ท่านจึงนำตัวของอาตมาภาพเข้าไปที่วัดของท่านแล้ว ขังไว้ในโบสถ์ เพื่อไต่สวนในขณะนั้นต่อไป อาตมาภาพก็นั่งสมาธิและเดิน จงกรมในโบสถ์เรื่อย ไม่พูดด้วยกับใคร

ต่อไปอีก ๒ วัน ท่านนำตัวไปไต่สวน อาตมาภาพก็ไม่พูด ก็แต่นั่งหลับตา ทำสมาธิ ผลที่สุดท่านก็ตัดสินลงโทษว่าให้อาตมาภาพขนดิน ขนทรายเข้าวัด แล้วถามว่า เณรยอมตัวไหม อาตมาภาพก็ไม่พูด เป็นแต่นั่งหลับตาดักจิตไว้ ภายในใจเรื่อยไป

ตกลงท่านก็มอบให้ฝ่ายบ้างเมือง นำตัวไปพิสูจน์ว่าเป็นคนอย่างไรแน่ ปุริด คือนายตำรวจก็นำตัวของอาตมาภาพไปขังไว้ในเรือนจำของศาลเมืองสองครได้ สองวัน นายอำเภอเมืองสองครจึงนำตัวของอาตมาภาพไปยังศาล เพื่อชำระ คดีเรื่องนั้นกับท่านพระครูเขียวเจ้าคณะแขวง นายอำเภอเมืองสองครอ่านคดี ฟ้องเสร็จแล้วถามอาตมาภาพว่าได้ว่าให้ท่านพระครูเขียวเช่นนี้หรือไม่ อาตมา ภาพตอบว่าได้ว่าอย่างนั้นจริง แต่ไม่ว่าให้ท่านพระครู นายอำเภอจึงถามต่อ ไปว่า เณรว่าให้ใคร อาตมาภาพตอบว่า อาตมาว่าที่ปากของอาตมาเองไม่ ได้ว่าให้ใครและไม่ได้ออกชื่อของใคร ว่าคนชื่อนี้ไม่รักษาธุดงค์และมีความโลภ และความอิจฉาไม่ชื่อว่าสมณะดังนี้ เป็นแต่อาตมาว่าไปตามคาถาธรรมบท ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เท่านั้น

ท่านพระครูเขียวท่านก็ว่าบ้ากืก (คำว่า "กืก" หมายถึง พิลึก ผิดปกติมาก แปลกประหลาด เงียบ) ถ้าไม่พูด มันก็ไม่พูด ถ้าพูด มันก็พูดเล่นสำนวน จริงหรือไม่เณร อาตมาภาพตอบว่าจริงครับ ตามความประสงค์ของท่านแล้ว แต่จะจริงตามคำของพระพุทธเจ้าก็หามิได้ ท่านถามต่อไปว่า จริงตามคำ ของพระพุทธเจ้านั้นอย่างไร อาตมาภาพตอบว่า จริงคือความดับนั้นแหละ เป็นความจริงของพระพุทธเจ้า ท่านถามต่อไปว่าดับอะไร? อาตมาภาพตอบ ว่า ดับความโกรธและความจองล้างจองผลาญจึงได้นามว่า สาวกะ คือสาวก ผู้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

ท่านถามต่อไปว่า "เณรดับได้และฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง" อาตมาภาพตอบว่า "ถ้าผมดับความโกรธและความจองล้างจองผลาญกับคน อื่นได้ ก็ได้ชื่อว่าผมดับและฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าผมดับไม่ได้ผมก็ คงยังไม่ดับนั้นเอง"

ท่านจึงถามต่อไปว่า "เดี๋ยวนี้เณรดับได้ไหม อาตมาภาพตอบว่า ถ้าผมดับ ความโกรธของผมได้เดี๋ยวนี้ผมก็ดับได้ ถ้าผมดับยังไม่ได้ผมก็ยังอยู่นั้นเอง"

ถ้าเช่นนั้นเณรเป็นอรหันต์แล้วหรือ อาตมาภาพตอบว่า "ถ้าผมสิ้นไปแล้วจาก อาสวะ อาสวะก็สิ้นไปจากผม ถ้าผมยังไม่สิ้นจากอาสวะ อาสวะก็ยังอยู่ที่ผม"

ต่อนั้น นายอำเภอเมืองสองครจึงว่าหยุดก่อนครับท่านพระครูเขียว อย่าเร่ง ถามเณรนักในเรื่องเช่นนี้ ผมเข้าใจดีว่าเณรไม่ใช่คนกืกและบ้าเลย ท่านองค์นี้ เป็นนักพรตคือผู้บำเพ็ญเพียรในศาสนาแน่นอน

ต่อนั้น นายอำเภอจึงถามว่าเณรอายุเท่าไร อาตมาภาพตอบว่าเวลานี้อายุ ของสังขาร ๑๘ ปีนี้ นายอำเภอจึงว่าผมขอนิมนต์เณรอยู่วัดในเมืองนี้ได้หรือ เปล่า อาตมาภาพตอบว่าได้แต่เฉพาะวัดที่อาตมาอยู่ ถ้าอาตมาหนีแล้วก็ เป็นว่าไม่ได้

ต่อนั้นไป ทางศาสนาก็ตัดสินยกเลิกว่าไม่จำเป็นจะเกี่ยวข้องในท่านผู้เช่นนี้ เพราะท่านเที่ยวบำเพ็ญส่วนกุศลเท่านั้น ท่านไม่หวังว่าจะอยู่ในท้องถิ่นเขต แดนของใคร จะไปหรือจะอยู่ก็แล้วแต่เรื่องของท่านเท่านั้น ต่อนั้นก็เลิกแล้ว กันไป

[ ยังมีต่อ ]

<<ย้อนกลับ - หน้าต่อไป >>




Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 20:47:25 น. 0 comments
Counter : 302 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jจุ้ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


facebookฝากข้อความได้ครับ
Google

ฟังวิทยุออนไลครับ
ฟังวิทยุออนไลน์ กดที่รูปครับ




หลับฝันดี
๑ หลับคืนนี้ฝันดีนะที่รัก...
หลับตาพักหลับตาฝันถึงวันใหม่...
หลับคืนนี้คนดีฝันถึงใคร...
รู้บ้างไหมฉันตั้งใจฝันถึงเธอ...


Friends' blogs
[Add Jจุ้ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.