รูปบล็อคนอก
Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 4

ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 4



สารบัญบทความ
สามเณรถูกขังกรง



ประวัติพระบุญนาค เที่ยวกรรมฐาน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
หน้า 5 จาก 6
[ ๔ ]


ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน



บำเพ็ญขันติด้วย ๓ วันฉันข้าวหนหนึ่ง

ฝ่ายอาตมาภาพจึงเที่ยวไปแขวงสุวรรณเขต แล้วข้ามฝั่งแม่น้ำโขง เที่ยวไป ตามดงปังอี่ ไปถึงเขาสีถาน พักบำเพ็ญอยู่ที่นั้นภายใน ๓ เดือน มีบ้านข่า อยู่ตามชายเขาทั้งหลายหลังคาเรือน และมีหลายบ้าน การบำเพ็ญอยู่ที่นั้น ได้ทดลองกำลังใจด้วยวิธีอดข้าว ๓ วัน จึงฉันหนหนึ่ง เพราะอยากทราบว่า เราปฏิบัติมานานปีเพียงนี้ เราจะมีกำลังของขันติมากน้อยเพียงไร เราอาจจะ มีอุบายระงัยเวทนาแก้หิวเท่านี้ได้หรือไม่ เมื่อเวทนาใหญ่คือความตายจะมา ถึงจะไม่ซ้ำร้ายกว่าหิวข้าว ๓ วันนี้หรือ เราทดลองในเวลาเช่นนี้ เมื่อเวทนา กล้าจนถึงตายมาถึงเข้า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราอาจดักจิตให้ล่วงทุกเวทนา เช่นนี้ได้หรือไม่

พบอาจารย์ผู้ได้เจโตปริยญาณ

เมื่อพิจารณาเช่นนี้ แล้วก็ตั้งหน้าบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีสามวันจึงฉันหนหนึ่ง อยู่ที่นั้นสิ้น ๓ เดือน เผอิญพวกข่าพากันแตกตื่นว่าเป็นผู้มีบุญไม่ฉัน ๓ วัน ยังเดินได้คล่อง ๆ ต่างก็พากันมาเฝ้าแน่นดูอยู่มากมาย อาตมาภาพบอกเขา ว่า อาตมาบำเพ็ญขันติบารมี ไม่ใช่ผู้มีบุญมีบาปอะไรดอก เป็นสามเณร ภาวะในศาสนาของพระพุทธเจ้า เสมอด้วยสามเณรทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วไป เขา ก็ไม่เชื่อยิ่งแตกตื่นกันมามากเฝ้าอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน อาตมาภาพพิจารณา เห็นเป็นอันตรายแก่ความสงบจึงหลีกไปเสียจากที่นั้น ข้ามไปทางภูเขาคัว แขวงอำเภอนาแกไปพบท่านองค์หนึ่งเป็นพระกรรมฐาน พักอยู่ถ้ำพระเวส ชื่ออาจารย์หลาย ซึ่งคนเล่าลือว่าท่านรู้หัวใจคนผู้ไปหา อาตมาภาพคิดปัญหา ๔ ข้อว่าจะไปศึกษาท่าน คือ "จิตรวม ๑ จิตอยู่ ๑ จิตเข้าสู่ภวังค์ ๑ จิตเป็น สมาธิ ๑ ต่างกันอย่างไร ? และคุณสมบัติจะพึงได้ถึงของขณะจิตทั้ง ๔ นี้ต่าง กันบ้างหรือไม่" พอคิดไว้แล้วก็เดินเข้าไปหาท่าน พอกราบลงเท่านั้นท่าน หัวเราะยิ้ม ๆ แล้วพูดว่า "อย่างไรปัญหา ๔ ข้อ ที่ทำความสงสัยมานั้นยก ขึ้นสนทนากันได้" ที่จริงอาตมาภาพยังไม่ได้ถาม ท่านยกขึ้นมาปรารถก่อน ส่วนอาตมาภาพทั้งนี้ก็กระดากใจขึ้นมาว่า แม้ท่านรู้จริง ๆ แล้ว อาตมาภาพ ก็จึงขออาราธนา ให้ท่านแสดงมีนัยต่างกัน พร้อมทั้งคุณสมบัติของจิตทั้ง ๔ ขณะจิต ต่อนั้นอาตมาภาพก็มีความเลื่อมใสในข้อปฏิบัติของท่าน อาตมา ภาพขอเรียนกรรมฐานอยู่ด้วยท่าน ๑๖ วันพอดี อาตมาภาพก็ป่วยหนักลง ท่านก็จากไปวันนั้น

เคยเกิดเป็นเสือติดกันมา ๑๑๐ ชาติ

ก่อนท่านจะไปท่านสั่งว่า ถึงป่วยหนักก็ไม่เป็นไรในชีวิตนี้ เณรจะต้องได้บวช เป็นพระภิกษุ แต่ก่อน ๆ มาทุกชาติ เณรได้บวชและบำเพ็ญมาดังนี้ได้ ๑๑๑ ชาติแล้ว แต่ยังไม่ได้บวชเป็นพระสักที ครบอายุ ๑๘-๑๙ ก็ตายเสีย ด้วย บุพกรรมของเณรเคยได้เป็นเสือโคร่งโหญ่มา ๑๑๐ ชาติ ทำลายชีวิตสัตว์ที่มี คุณทั้งหลาย ๑๐ ตัวมาเป็นอาหาร ด้วยกรรมอันนั้นมาขีดคั่นทำให้ชีวิตสั้น จึงยังไม่ได้อุปสมบทเป็นพระสักที บัดนี้เณรพ้นจากเวรเช่นนั้นแล้ว ต่อไปก็จะ มีปฏิปทาอันสะดวกดีและพึงได้อุปสมบทเป็นพระแต่ชาตินี้เป็นต้นไป และ ท่านทำนายต่อไปว่าเณรมีนิสัยเสือโคร่งเป็นสันดานเพราะเณรเกิดเป็นชาติเสือ ติด ๆ กันทั้ง ๑๑๐ ชาติ ๑. น้ำใจกล้าหาญ ๒. ชอบเที่ยวกลางคืนสบายกว่า กลางวัน ๓. ถ้าได้อยู่ในที่ซ่อนเร้นสงัดจากคนจิตเป็นที่สบาย ๔. ได้ลงมือทำ อะไรแล้วผิดหรือถูกก็ถอนได้ยาก เพราะทำอะไรมักอยากอยู่ในกำมือของตน ค่อนข้างกล้าไปด้วยโทสะสักหน่อย แต่ว่าพยายามไปเถิด อายุ ๒๐ ปีจะมี ความรู้ความเห็นเป็นที่อุ่นใจดังนี้

ต่อนั้นท่านก็เที่ยวไปตามชายภูเขา ฝ่ายว่าอาตมาภาพก็นอนป่วยอยู่นั้น ๔ วันก็รู้สึกทุเลาลงพอจะเดินไปบิณฑบาตได้ อาตมาภาพก็ทำความเพียรอยู่ นั้นสิ้น ๑ ปี กับ ๖ เดือนและได้รับความสบายใจมาก ทางอาศัยบิณฑบาต บ้านแก้งมะหับทางจากถ้ำถึงบ้าน ๑๐๐ เส้น ระหว่างบำเพ็ญอยู่ที่นั้นได้ ๑๑ เดือน ฝันเห็นคนมาบอกไปเอาพระพุทธรูปออกจากถ้ำไทรทุก ๆ วัน จนแทบ จะนอนไม่หลับ หลับลงก็ปรากฏคนมาบอกในทันใด ตกลงอาตมาภาพก็เข้า ไปในถ้ำนั้นดู เข้าไปประมาณ ๓ เส้นเศษ เห็นแผ่นทองฝังตั้งอยู่ ดูจารเป็น ตัวลาวใจความว่าพระภิกษุอ่อนพรรษา ๗ ได้สร้างพระพุทธรูปบรรจุไว้ที่นี้ แต่พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ๕๒๑ ปี ต่อนั้น อาตมาภาพก็คลานเข้าไปอีก ประมาณ ๒ เส้น เห็นพระพุทธรูปตั้งอยู่กับเสือเหลืองตัวหนึ่ง งูเหลือมตัว หนึ่งที่อาศัยในถ้ำนั้น อาตมาภาพก็หยิบเอาแต่พระพุทธรูปองค์หนึ่ง เป็นพระ ปรอทมาไว้เป็นที่สักการะ แต่อยู่ในถ้ำก็หลายวัน อาตมาภาพถือเอาเฉพาะ แต่พระปรอทอันหนึ่งกับดาบเล่มหนึ่ง กับแผ่นทองนั้นหนัก ๑๒ บาท นาย ฮ้อยอุ่น บ้างซองไปล่าเนื้อไปแวะเห็นเข้าขอดูว่าเป็นทองแท้แล้วก็ขอ อาตมาภาพก็ให้ไป ส่วนพระปรอทนั้นถึงกำหนดที่อาตมาภาพจะเที่ยวหลีกไป จากที่นั้น มานิมิตฝันว่ามีคนมาห้ามไม่ให้เอาพระปรอทไปด้วยพร้อมทั้งดาบ อาตมาก็คืนไว้ที่คงเดิม แล้วเที่ยวไปที่ภูเขาค้อที่ถ้ำไทร อาศัยบิณฑบาตบ้าน คิ้ว ไปพักทำความเพียรที่นั้นด้วย ได้รับนิมิตฝันเห็นแต่งูมารัดแทบทุกวัน บางวันก็จนละเมอร้องไห้ก็มี เพราะฝันเห็นแล้วก็กลัว ฝันว่างูรัดแน่นไปจนจะ หายใจไม่ออกแล้วก็ละเมอร้องทั้งแรงก็มี เมื่อตื่นนอนขึ้นมาแล้วก็ไหว้พระแล้ว อธิษฐานว่า "ข้าพเจ้ามาบำเพ็ญบารมีอยู่ที่นี้ เป็นเพราะเหตุไรหนอจึงฝันเช่น นี้ทุกวัน หากข้าพเจ้าจะถึงแก่ความเสื่อม หรือความเจริญสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ด้วยอำนาจคุณพระรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าทราบแห่งเหตุอันนี้ขึ้นใน วันต่อไปแก่ข้าเทอญ" ดังนี้

พบคู่วาสนา

พอค่ำวันนั้นประมาณ ๗ ทุ่มก็จำวัด ฝันเห็นพระหลวงตาแก่ ๆ มาบอกว่า จงระวัง เณร มาอยู่ที่นี้ แล้วอีก ๔ วันเณรจะเห็นคู่วาสนา แล้วเณรจะร้อน เพราะผู้หญิงคนนั้น ก็พอดีตื่นนอน ต่อนั้น อาตมาภาพก็ลุกขึ้นทำความเพียร เดินจงกรมไปตามเรื่อง อีก ๔ วันพอดี บิณฑบาตกลับมา เผอิญผู้ใหญ่บ้าน คิ้วมาทำบุญกับลูกสาวคนหนึ่งอายุ ๒๐ ปี พอมานั่งลงเท่านั้นมองเห็นหน้า หญิงคนนั้นยังไม่ได้พูดอะไร เกิดประหม่าใจขึ้น ดูเหมือนรักก็ไม่ใช่ เกลียดก็ ไม่เชิง ใจคอว้าเหว่จนรู้สึกว่าหายใจไม่รู้อิ่ม ใจคอก็ไม่หนักแน่นอย่างแต่ก่อน อาตมาภาพก็นั่งพิจารณาอยู่ จะเป็นนี้กระมังตรงความฝันของเราเมื่อวันที่ แล้วมานี้ว่าจะพบคู่วาสนา ต่อนั้นโยมผู้ใหญ่บ้านคนนั้นก็ถามหาบ้านเกิดเมือง เกิด ถามทั้งบิดามารดา แล้วแกก็ปรารภว่าไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ผมเห็นคุณ เณรไปเที่ยวบิณฑบาตแต่วันมาถึงทีแรกจนบัดนี้รู้สึกคิดรักคุณเณรคล้ายกับ บุตรของตนจริง ๆ ดังนี้

ส่วนหญิงหนุ่ม (หมายถึงรุ่นสาว) ลูกสาวคนนั้นพูดว่า "ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเป็น อย่างไรนับแต่วันได้เห็นท่านเข้าไปบิณฑบาตจนบัดนี้รู้สึกคิดรักท่านยิ่งกว่าพี่ ชายน้องชายของตน ท่านก็เป็นคนหนุ่ม ๆ ทำไมเที่ยวกรรมฐานนอนตามถ้ำ ตามเขาคนเดียว ข้อนี้เองยิ่งเป็นเหตุให้ดิฉันคิดสงสารมากขึ้น แทบน้ำตาจะ ร่วงออก" ดังนี้

ต่อนี้ อาตมาภาพก็นั่งพิจารณาในใจว่า นับแต่วันเราเกิดเป็นมนุษย์มา ไม่มี เลยที่เราจะมาคิดชอบคิดรักกับคนจนหายใจไม่อิ่มอย่างนี้ไม่มีเลย แต่ไม่พูด อันนี้ เป็นแต่คิดในใจเท่านั้นแล้วพิจารณาต่อไปว่า เราจะหาคำพูดอันหนึ่งอัน ใดมิให้เป็นที่พอใจรักใคร่กันต่อไปอีก จึงนึกได้ขึ้นมาแล้วก็ข่มใจพูดดูประหนึ่ง ว่า ไม่มีความยินดีสักนิดเดียว พูดว่าโยมผู้ใหญ่พร้อมทั้งนางสาวนั้นเป็นคนโง่ หาปัญญามิได้ ทำไมจะมารักของทิ้งคือรูปโฉมทั้งสาระร่างกายนี้ ทั้งของโยม ทั้งสอง ทั้งของอาตมานี้ต่างก็จะพากันเอาไปฝังดินทิ้งอยู่แล้ว ก็ประโยชน์ อะไรมาคิดรักของทิ้งกันเล่นเปล่า ๆ ใครก็อยู่ไปจนกว่าจะเอาไปทิ้งเท่านั้น สิ่งที่ควรรักก็คือศีลธรรมเท่านั้น ไม่ควรรักร่างกายกระดูกคือรูปโฉมอันเป็น ของจะทิ้งลงสู่แผ่นดินทุกคนไป ว่าแล้วอาตมาภาพก็ฉันบิณฑบาตนั้นเรื่อยไป

พออิ่มเสร็จแล้ว แกจึงถามว่า คุณเณรดูเหมือนจะไม่สึกสักทีแหละหรือ อาตมาภาพจึงตอบขึ้นในทันใดว่า อาตมาภาพไม่ได้บวชเพื่อจะสึก บวชเพื่อ จะบำเพ็ญกุศลบารมีเท่านั้น คืออาการของสึกยังไม่ได้คิดไว้เสียแล้ว อาตมา ได้คิดไว้แต่เพียงว่าการบวชของเรามีประโยชน์ และธุระจะบำเพ็ญส่วนกุศล เท่านั้น ธุระหรืออะไรนอกนั้นไม่ใช่การงานของนักบวชจึงมิได้คิดไว้ ว่าแล้ว อาตมาภาพก็ให้พรยถาสัพพี

พอเสร็จหญิงหนุ่มคนนั้นพูดสอดขึ้นว่า คุณเณรมัวแต่จะสร้างบารมีนานเข้าจะ ลืมคิดสึก เดี๋ยวจะแก่เสียก่อน ดังนี้

ต่อนั้น อาตมาภาพนึกขึ้นได้ว่าพูดในเรื่องเช่นนี้ จะเป็นอันตรายแก่ความสงบ ต่อนั้นก็นั่งสมาธิเรื่อยไปไม่พูด คนทั้งสองพ่อลูกเห็นอาการเช่นนั้นก็ชวนกัน กลับบ้าน

ฝ่ายว่าอาตมาภาพ ทั้งนี้พอคนทั้งสองหลีกไปแล้ว ก็รู้สึกคิดถึงหญิงคนนั้นจน รู้สึกหายใจไม่อิ่ม และใจคอว้าเหว่มากนั่งไม่นาน นอนก็ไม่หลับ ฉันข้าวก็ไม่ ได้ เพราะปรากฏว่าลูกหัวใจแขวนเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เป็นอยู่เช่นนี้ ๒ วัน รู้ สึกเป็นทุกข์มาก อาตมาภาพจึงดำริว่าประโยชน์อะไรเราจะอยู่ด้วยความเป็น ทุกข์เช่นนี้ เราตายเสียในเร็ว ๆ นี้จะไม่ดีกว่าหรือ หากเราจะสึกไปมีครอบ ครัวของฆราวาส ต้องทำปาณาติบาตเป็นอาชีพ เราก็จะสร้างบาปกรรมขึ้น อีกไม่ใช่เล่น สู้ว่าเราตายเสียก่อนอย่าให้ทันได้ทำบาปเลย ฉวยเอาศีลธรรมที่ เราได้ประพฤติมาแล้วนี้เป็นที่อาศัยไปเสียก่อนดีกว่า เราจะสึกออกไปสร้าง เอาบาปกรรมต่อไปอีกตั้งหลายปีหลายเดือนไปอีก

ตัดความรักด้วยการอดข้าว

เมื่อพิจารณาตกลงเช่นนี้แล้ว จึงตั้งสัจอธิษฐานว่าหากความรักกับหญิงคนนี้ ไม่ตายไปจากจิตจากใจของข้าพเจ้าแล้วขอให้ข้าพเจ้าจงได้ตายไปเสียก่อนภาย ใน ๑๐ วันนี้ ข้าพเจ้าจงอย่าทันได้สึกไปทำบาปทั้งหลายเหล่าอื่นต่อไปอีก เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็ตั้งใจว่า "หากไม่หายจากความรักหญิงคนนี้ เราจะไม่ ฉันข้าวแต่วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าให้ชีวิตนี้ตายไปเสียก่อน"

ต่อนั้น อาตมาภาพก็ตั้งหน้าไม่ฉันข้าวไปได้ ๕ วัน แต่ฉันน้ำอยู่ถึง ๕ วัน จึง สังเกตภายในจิตว่าความรักและคิดถึงเช่นนั้นเบาลงแล้วหรือยัง รู้สึกว่าหนัก แน่นอยู่เสมอเก่า จึงนึกขึ้นมาว่า เมื่อเรายังฉันน้ำอยู่ ชีวิตนี้ก็จะตั้งอยู่ได้นาน ความรักอันนี้จะกำเริบเรื่อยไป มิฉะนั้นอย่าเลย ต่อแต่นี้ไปเราจะไม่ฉันทั้งข้าว ทั้งน้ำ ให้ชีวิตนี้ตายไปเสียเร็ว ๆ หากความรักอันนี้ยังไม่เบาลงหรือหายไป จากสันดานของเราเมื่อไร เราก็จะไม่ฉันทั้งน้ำทั้งข้าวจนกว่าจะถึงวันตาย หรือ จนกว่าความรักจะหายไปจากสันดาน ต่อไปเมื่ออดทั้งข้าวทั้งน้ำอยู่อีกภายใน ๒ วัน รู้สึกว่าเมื่อนอนหลับไปหายใจเข้าออกลำคอแห้ง เสียงหายใจดังโวด ๆ ตื่นนอนขึ้นจึงพิจารณาต่อไปว่า "แม้ความรักใคร่และความกระสันอันนี้จะมี รากลึกลงไปแค่กับชีวิตนี้แหละหรือ ตกลงว่าเอาเถิดชีวิตกับความรักอันนี้จะ ถอนจากความเป็นอยู่ในชีวิตนี้พร้อมกันแล้วตายไปก็ตาม ขอแต่อย่าทันได้สึก ออกไปทำบาปกรรมเหล่าอื่นอีก หากเราตายไปเสียเวลานี้ยังดี เพราะเราเกิด มาในชาตินี้เรายังมิได้สร้างบาป บาปก็จะมิได้มีแต่เรา เราได้สร้างแต่ส่วนเป็น กุศลคือศีลธรรม ก็บุญกุศลคือธรรมที่เราสร้างไว้นี้ จะเป็นของเรา เพราะเรา ได้สร้างไว้แล้ว สู้ว่าเราตายไปแล้ว ฉวยเอาบุญไปสู่สุคติก่อน อย่าให้ทันให้ดึง เอาเราไปสร้างวัตถุที่เป็นบาปเลย"

เมื่อพิจารณาเช่นนั้นแล้ว ก็ตั้งหน้าอดทนต่อความหิวนั้นอีกวันหนึ่ง จวนค่ำรู้ สึกหายใจไม่ไหวติงถึงสะดือเลย แต่อย่างนั้นความกระสันก็ปรากฏอยู่บ้างแต่ บางลง ที่สุดต่อไปตอนกลางคืนประมาณ ๕ ทุ่ม รู้สึกหายใจขัดไหล่ทั้งสอง หอบขึ้นด้วย คือ สูบเอาลมหายใจแรง ๆ ก็ไม่ปรากฏว่ามีลมเข้าไปปรากฏแต่ ลมออกเป็นส่วนมาก ขณะนั้นจึงรู้สึกว่าความกระสันหายไป เป็นเย็นขึ้นตาม เนื้อตามตัว สวิงสวายเป็นที่วิง ๆ เวียน ๆ คล้ายกับจะอาเจียนแต่ไม่อาเจียน เป็นแต่เย็นขึ้นมา ไม่ช้ารู้สึกหายใจสูบลมเข้าไปทั้งแรง รู้สึกถึงแค่หน้าอกขึ้น มาลำคอ ไม่ถึงท้องอย่างแต่ก่อน หนักเข้าหายใจเข้าออกทั้งแรงก็ปรากฏว่ามี ลมเข้าออกด้วย รู้สึกปลายจมูกตึง แล้วก็เหงื่อไหลออกที่ริมสบง และทั่วไปทั้ง ศีรษะรู้สึกว่า ความรักความกระสันเช่นนั้นขาดไปจากสันดาน คือความเป็น อยู่ในขณะนั้น ไม่ช้าปรากฏมีแสงคล้ายกับแสงหิ่งห้อยออกจากตา และลืม ตาอยู่ก็ไม่เห็นอันอื่น เห็นแต่แสงชนิดนั้นหลั่งไหลออกจากลูกตา มีทั้งสีแสด สีแดง, ดำ, ขาว, เขียว ครบทุกชนิดลอยขึ้นข้างบนลูกตาก็เหลือกขึ้นข้างบน ตามแสงอันนั้น รู้สึกว่าอันนี้ไม่ใช่อื่นวิญญาณทางตาของเราออกไปแล้ว ไม่ช้า วิญญาณทางหูก็จะดับ ก็เป็นอันว่าเราตายไปเท่านั้น ที่นี้ความกระสันยิ่งไม่ ปรากฏ จึงนึกทดลองน้ำใจดูว่าสึกไปเอานางสาวนั้นเถิด รู้สึกขณะนั้นจิตใจไม่ เกี่ยวข้องด้วยเลยเป็นอันขาด เป็นแต่สวิงสวายไปเท่านั้น จึงกำหนดได้ว่าเรา ยังไม่ตายความรักความกระสันเช่นนั้นตายไปก่อนแล้ว ฉะนั้น เราควรจะฉัน น้ำเสียในเวลานี้พอให้ชีวิตนี้ตั้งอยู่กว่าจะถึงเวลาเช้า จึงไปบิณฑบาตมาฉัน นึกแล้วก็คว้าเอาน้ำอยู่ในกระบอกไม้ไผ่มาฉัน เมื่อฉันน้ำลงไปในท้องรู้สึกท้อง สั่นดังวุบวับ ปรากฏลำไส้ข้างในครู้ยเป็นขด ๆ ขึ้นมา แล้วเรอออก ๒-๓ พัก รู้สึกหายใจสะดวกดี ลงถึงที่สะดือเมื่อหายใจสูบลงแรง ๆ ก็ดูเหมือนที่สะดือ พุ่งออกและหยุดเข้า รู้สึกมีกำลังพอที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ ต่อนั้นก็คลาน ไปที่บ่อน้ำฉันน้ำให้อิ่ม สรงน้ำพร้อมเสร็จแล้วแต่เช้าตรู่ยิ่งรู้สึกสบายขึ้น เดินได้ แข็งแรงพอสมควรก็ไปบิณฑบาตวันนั้น ต่อนั้นฉันข้าววันละ ๗ คำ อยู่ ๑๕ วัน รู้สึกเบากายเบาใจ หายจากความอาลัยในความกระสันรักใคร่ ต่อนั้นก็ เที่ยวไปตามหลังเขาได้ ๓ วันถึงภูผากูด พักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นั้น เกิด สัญญาวิปลาสสัญญาว่าตนพ้นวิเศษ ก็จำพรรษาอยู่ที่นั้น

ในกลางพรรษานั้น ได้พิจารณาเรื่องราวของศาสนาได้ความว่าเวลานี้มีภิกษุ เป็นมหาโจรปล้นพระศาสนา คือภิกษุประพฤติผิดพระธรรมวินัยทำการซื้อถูก ขายแพง ประจบประแจงกับชาวบ้านและซื้อม้าวัวควายขับขี่เป็นพาหนะ สะสมเงินทองสิ่งของไว้เป็นทุนเป็นกำไร อาศัยได้ทรัพย์ไปจากพระพุทธ ศาสนาที่เขานำมาบูชา เมื่อตนยังเป็นบรรพชิตอยู่ พอได้แล้วก็ลาสิขานำ เครื่องบูชาที่เขาให้แต่ยังเป็นพระไปเป็นทุนกำไรค้าขาย ในคราวที่ตนสึกออก ไปเท่านั้น ตกลงผู้บวชในศาสนาจะแสวงหาพระนิพพานนั้นเป็นส่วนน้อย ผู้บวชแสวงหาแต่ลาภยศเป็นส่วนมาก พระพุทธศาสนาคือคำสั่งสอนของพระ พุทธเจ้า จะเป็นลัทธิอันนี้พระพุทธเจ้าวางไว้ เพื่อกุลบุตรผู้ต้องการความพ้น ทุกข์เท่านั้น มิได้วางไว้เพื่อเป็นทางหากินของบุคคลผู้เพ่งต่อความโลภ บัดนี้ มีพระภิกษุบวชอาศัยในพระพุทธศาสนาเพ่งต่อความโลภมาก จนเป็นหมอดู และหมอยารักษาไข้เอาปัจจัยเงินทองของชาวบ้าน ยังมีการซื้อถูกขายแพงเข้า อีกหลายอย่างหลายประการ เป็นอันตรายแก่พระพุทธศาสนา เมื่อพิจารณา เช่นนี้แล้วตกลงออกพรรษาแล้วจะเที่ยวประกาศพระพุทธศาสนาพร้อมทำ สังคายนา

พิจารณาความเสื่อมของพระศาสนา

ครั้งเมื่อออกพรรษาแล้วก็ลงไปจากเขาไปบ้านชักชวนพี่ชายออกเที่ยวกรรมฐาน ไม่ช้าจะนำพาสังคายนา พี่ชายก็ติดตามไปถึงอำเภอท่าบุ่ง ยังมีโยมหลายคน มาฟังธรรมเทศนา มีนายพิมพ์และนายอินเป็นต้น จึงได้แสดงธรรมเทศนา เพื่อประกาศพระศาสนาตามความสำคัญวิปลาสของตนว่า ปุพเพ ธัมมะวาทิ โน ทุพพะลา โหนติ อิทานิ อวินะยะ วาทิโน พะละวันโต โหนติ แปลเอา เนื้อความว่า ในกาลก่อนพระธรรมวาทีมีกำลังกล้า รักษาธรรมวินัยในศาสนา นี้เรียบร้อยเป็นน่าเลื่อมใสบูชา บัดนี้อธรรมวาที คือภิกษุโจรปล้นพระศาสนา มามีกำลังกล้าเบียดเบียน ประพฤติย่ำยีพระธรรมวินัยให้เสื่อมสูญเป็นตัว อย่างแก่กุลบุตรผู้บวชเมื่อภายหลังฝ่ายญาติโยมกลายเป็นเดียรถีย์ให้กำลังแก่ พระอลัชชีประพฤติย่ำยีพระพุทธศาสนาเช่นนำพระให้เป็นหมอดู และหมอขับ ภูติผีและทำการติดต่อยืมทองของพระไปเป็นทุนซื้อขายแบ่งทุนแบ่งกำไรกัน และกัน นี้แหละฝ่ายพระก็เป็นอลัชชี ฝ่ายโยมก็เป็นเดียรถีย์ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ช่วย กันย่ำยีพระพุทธศาสนาเป็นมหาโจรปล้นพระศาสนาทั้งนั้น ตกลงว่าท่านเหล่า นี้กำลังกัตวา (เป็นผู้กระทำ) ครั้นทำกาลกิริยาตายไปแล้วจะไปตกมหาอเวจี นรก ด้วยโทษประพฤติเป็นอลัชชี ย่ำยีพระธรรมวินัยให้เสื่อมทรุดชำรุดไป

+ + + + + + + + + + + + + + + + + +
พระบาลีข้างต้นนั้น เป็นพระบาลีที่ท่านได้ตัดตอนมาจากคัมภีร์จุลลวรรคแห่ง วินัยปิฎก ซึ่งพระมหากัสสปเถระได้กล่าวปรารภแก่ภิกษุทั้งหลายก่อนการทำ สังคายานาพระธรรมวินัยครั้งที่หนึ่งว่า "หนฺท มยํ อาวุโส ธมฺมญฺจ วินยญฺ จ สงฺคายาม ปุเร อธมฺโม ทิปฺปติ ธมฺโม ปฏิพาหิยติ อวินโย ทิปฺปติ วินโย ปฏิพาหิยติ ปุเร อธมฺมวาทิโน พลวนฺโต โหนฺติ ธมฺมทิวาโน ทุพฺพลา โหนฺติ อวินยวาทิโน พลวนฺโต โหนฺติ วินยวาทิโน ทุพฺพลา โหนฺติฯ แปลว่า อาวุโสทั้งหลาย เชิญพวกเรามาทำสังคายนาพระธรรมและวินัยกันเถิด เพราะ ต่อไปในภายหน้า อธรรมจะรุ่งเรือง พระธรรมจะเสื่อมถอย อวินัยจะรุ่งเรือง พระวินัยจะเสื่อมถอย อธรรมวาทีบุคคลทั้งหลายจะมีกำลัง ธรรมวาทีบุคคล ทั้งหลายจะมีกำลังน้อย พระภิกษุทั้งหลายที่เป็นอวินัยวาทีจะมีกำลังกล้า พระ ภิกษุทั้งหลายที่เป็นวินัยวาทีจะมีกำลังน้อย"
+ + + + + + + + + + + + + + + + + +

แสดงธรรมย่ำยีผู้ทำลายศาสนา

ต่อนั้น ก็แสดงไปหลายนัยเอนกประการ เมื่อเทศนาจบลงมีคนแสดงความ เลื่อมใสมา ขอปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในพระศาสนาเสียใหม่ เพื่อชำระ บาปกรรมที่ได้กระทำกันมาแล้ว ดังนี้

ต่อนั้น ยังมีขุนคีรีสมันการ ปลัดขวาอีกคนหนึ่งเห็นพร้อม นอกนั้นเขาก็ว่า แสดงธรรมกระทบ ทั้งไม่เรียบร้อย จนกระทั่งเจ้าคณะแขวงก็เข้าใจว่าแกล้ง แสดงธรรมกระทบท่านสั่งไปกับปลัดขวาว่าให้สามเณรหนีเสียดีกว่า มิฉะนั้น จะเดือดร้อนทั้ง ๒ ฝ่าย ขุนคีรีสมันการก็นำเอาความอันนั้นมาแนะนำว่าเจ้า คณะแขวงท่านเคือง ขอเณรจงหลีกไปเสียก่อน

ต่อนั้น ขุนคีรีสมันการจึงเล่าให้ฟังว่า บัดนี้ยังมีอาจารย์ ๒ ท่าน คือ พระ อาจารย์สิงห์องค์หนึ่ง พระมหาปิ่นองค์หนึ่ง ท่านใฝ่ใจในทางนี้ ขอท่าน สามเณรจงหลีกไปหาท่านเหล่านั้นเถิด เวลานี้ท่านอยู่จังหวัดขอนแก่น อาตมา ภาพได้ทราบข่าวว่า ท่านเหล่านี้รักษาธุดงค์และมุ่งประโยชน์ในพระศาสนา อาตมาภาพก็เดินจากอำเภอท่าบุ่ง ๘ คืนไปถึงจังหวัดขอนแก่น ได้ทราบว่า พระอาจารย์สิงห์และอาจารย์มหาปิ่นพักอยู่ที่ป่าช้า อาตมาภาพก็ตรงเข้าไป ศึกษาได้ความว่าพระเถระทั้งสองพร้อมด้วยสานุศิษย์ทั้งหลาย ๗๐ รูป ปฏิบัติตรงตามพระธรรมวินัย ต่อนั้น อาตมาภาพก็น้อมตนเป็นศิษย์ของท่าน พระเถระทั้งสอง แล้วก็ลาท่านไปบำเพ็ญอยู่ในป่าช้าบ้านโนนรังพรรษาหนึ่ง

ในกลางพรรษานั้น บำเพ็ญเพียรไปก็เพียงแต่ตระหนักไว้ในใจว่า เมื่อออก พรรษาแล้วเราจะออกเที่ยวแสดงธรรมประกาศพระศาสนาให้พวกอลัชชีและ พวกเดียรถีย์รู้ตัวสักหน่อย ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้วก็เที่ยวมาจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปพักอยู่ที่บ้านหนองสะพัง และบ้านหนองมันปลา แสดงเรื่องพระเป็นอลัชชี โยมเป็นเดียรถีย์ รู้สึกว่ามีคนเลื่อมใสและเห็นด้วย คือนายสุวรรณผู้ใหญ่บ้าน หนองสะพัง เขาก็นำลูกบ้านมาฟังธรรม และมาขอปฏิญาณตนเป็นอุบาสกใน ศาสนา จะไม่ถืออื่นเป็นที่พึ่งจนตลอดชีวิต และนายบุญมาผู้ใหญ่บ้านหนอง มันปลา ก็นำลูกบ้านมาปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในศาสนา ว่าจะไม่ถือภูตผี ปีศาจต่อไปอีก ปฏิญาณว่าจะถือเฉพาะคุณพระรัตนตรัย เท่านั้นเป็นที่พึ่ง จนตลอดชีวิต

อีกฝ่ายภิกษุยาคู พระเจ้าคณะหมวดก็นำพระมาฟังธรรมที่ป่าช้าทุก ๆ วัน และมายอมตัวพร้อมด้วยสานุศิษย์ว่าจะปฏิบัติตามพระธรรมวินัยต่อไป และ นำพาสานุศิษย์มาฝึกหัดกรรมฐานด้วยทุก ๆ วัน แต่ก่อนท่านองค์นี้ท่านเลี้ยง หมูขายบ้าง เลี้ยงไก่ขายบ้าง เลี้ยงม้าไว้ขี่บ้าง ซื้อโคให้คนไปขายเอากำไรแบ่ง กันบ้าง ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนา ซึ่งอาตมาภาพนำไปแสดงว่าเป็นลัทธิ ของพระอลัชชี แต่นั้นท่านก็ให้คนนำเอาหมูเอาไก่เอาม้าโคออกหนีจากวัดให้ หมด ประพฤติตนตั้งอยู่พระธรรมวินัย

ต่อนั้นยังกำเริบใหญ่ พิจารณาไปว่า เรานี้จะรื้อพระศาสนาให้เจริญได้จริงๆ เพราะมีคนเห็นพร้อมด้วยแล้วเป็นส่วนมาก เท่าที่ได้ยินฟังก็นับว่ามีคนเชื่อถือ มาก ต่อนั้นก็ตั้งใจเที่ยวธุดงค์ไปอีก ๒ คืน ถึงจังหวัดกาฬสินธุ์ ไปพักอยู่ป่า ไม้ทิศตะวันตกเมือง อยู่ภายใน ๓ วันเท่านั้น นายอัมผู้ใหญ่บ้านหัวขัวมาฟัง ธรรม ก็เกิดความเลื่อมใสปฏิญาณตนเป็นอุบาสกในศาสนา ต่อมาวันหลังก็ นำลูกบ้านทั้งหมดมาปวารณาและปฏิญาณตนเป็นอุบาสกพร้อมทั้งลูกบ้าน

ต่อมาอีก ๒ วัน มีนายหอมนักปราชญ์บ้านดงเมืองเคยเป็นครูสอนบาลีและ มูลกัจจายมาหลายปี ครั้นมาเห็นเข้าก็ปฏิญาณด้วยวจีเภทอันเลื่อมใส ว่า จำเดิมแต่ข้าพเจ้าเกิดมาอายุ ๕๕ ปีนี้พึ่งได้พบตัวศาสนาในวันนี้ เหตุนั้นขอ ท่านสามเณรจงจำไว้ว่าข้าพเจ้าเป็นอุบาสกในพระพุทธศาสนาอันหมดจดแต่ วันนี้เป็นต้นไป จนตลอดชีวิต ดังนี้

วันหลังต่อมา นายหอมนักปราชญ์ก็นำเพื่อนพร้อมทั้งผู้ใหญ่บ้านมาฟังธรรม ก็มีความเลื่อมใสทุก ๆ คน มิได้แสดงความขัดขวางอันหนึ่งอันใด

ต่อนั้น อาตมาภาพก็แสดงธรรมด้วยความหวังใจจะประกาศพระธรรมตาม ความสำคัญของตนว่า "อนิจจา อนิจจา สมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้า ดับขันธ์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานนานมาได้ ๒๔๗๓ ปีเท่านั้น บัดนี้ฝ่ายโยมก็ กลายเป็นเดียรถีย์ ฝ่ายพระก็เป็นอลัชชี ประพฤติย่ำยีพระธรรมวินัยอันเป็น พระพุทธศาสนา ของสมเด็จพระมหากรุณาธิคุณเจ้า ให้เศร้าหมองเสื่อมสูญ อันตรธาน จะมิตั้งอยู่ได้นาน เหตุนั้น บัดนี้ มาเถิดท่านอุบาสก จงช่วยยก พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองวัฒนาถาวร ธัมมวาทิโน ทุพพลา โหนติ อวินยวา ทิโน พลวันโต โหนติ บัดนี้ภิกษุผู้เป็นยุคเป็นธรรม ทุพพลภาพมีกำลังน้อย เสื่อมถอยลงมิอาจจะกล่าวแก่อลัชชี ฝ่ายมหาโจรปล้นพระศาสนามีกำลังกล้า สนุกประพฤติฝ่าฝืนพระธรรมวินัย เล่นทุกเล่นกระสายเล่นถั่ว เล่นโป เที่ยว เกี้ยวสีกาตามทุ่งตามนา ซื้อถูกขายแพงหาทุนกำไรสั่งสมปัจจัยไว้ เพื่อญาติ เพื่อวงศ์ มิได้ครอง ต่ออริยมรรคธรรมวินัย ประพฤติหยาบ ๆ ล่วงสิกขาบท นี้แหละท่านทายกอุบาสกอุบาสิกา เห็นเป็นการควรและหรือที่ท่านทั้งหลายจะ สมคบให้กำลังแก่พวกอลัชชีย่ำยีพระศาสนาให้กำเริบมากมายขึ้นทุกวัน ฉะนั้น ควรแล้วท่านทั้งหลายจะกลับตัวเสียจากการยืมเงินทองของพระของเณรไปเป็น ทุนซื้อทุนขาย แบ่งทุนกำไรซึ่งกันและกันอันเป็นทางแห่งอบาย"


[ ยังมีต่อ ]



<< ย้อนกลับ - หน้าต่อไป >>




Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 20:51:45 น. 0 comments
Counter : 301 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jจุ้ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


facebookฝากข้อความได้ครับ
Google

ฟังวิทยุออนไลครับ
ฟังวิทยุออนไลน์ กดที่รูปครับ




หลับฝันดี
๑ หลับคืนนี้ฝันดีนะที่รัก...
หลับตาพักหลับตาฝันถึงวันใหม่...
หลับคืนนี้คนดีฝันถึงใคร...
รู้บ้างไหมฉันตั้งใจฝันถึงเธอ...


Friends' blogs
[Add Jจุ้ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.