รูปบล็อคนอก
Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 2

ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 2



สารบัญบทความ

ประวัติพระบุญนาค เที่ยวกรรมฐาน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
หน้า 3 จาก 6
[ ๒ ]


ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน



เห็นเสือกำลังกินคน

เดินข้ามเขาไป ๒ ลูก ไปถึงดงตะเบิงนางพอดีตอนเที่ยง รู้สึกหิวน้ำก็แวะลง ไปในครองกลางดงนั้น พอลงไปท่าน้ำเห็นเสือกัดบุรุษคนหนึ่ง เสือกำลังดึง กัดกินแต่ต้นขาขวาเท่านั้น แล้วก็ยืนพิจารณาว่า เจ้ากรรมเอ๋ย กรรมเช่นน ี้เจ้าเคยทำหรือไม่ หากเจ้าการมันถึงพร้อมแล้วก็ตามยถากรรม มิใช่การถึง พร้อมแล้ว คือ ไม่เคยทำเวรกันมาแต่ก่อน ก็ขอปฏิปทา ของข้าพเจ้าจงเป็น ไปในศาสนาอย่าได้ขัดข้อง พออธิษฐานเสร็จแล้วก็นั่งลงฉันน้ำ ส่วนเสือก็ กระโดดมาจากคนที่ตายอยู่นั้น ข้ามศีรษะขึ้นริมฝั่ง ส่วนว่าอาตมาภาพนั้น ฉันน้ำเสร็จแล้วก็ขึ้นฝั่งคลองตามหลังเสือ พอเสือมองเห็นก็วิ่งออกหน้าไปก่อน ประมาณ ๒๐ เส้น เดินตามไปไม่ช้าก็พบเสือตัวนั้นหมอบอยู่ทำท่าจะตะครุบ จึงพิจารณาขึ้นว่า หากเราทั้งสองเคยเป็นกรรมกันมาแล้วอย่างใดก็จงเป็นเช่น นี้เถิด หากไม่เคยเป็นกรรมหรือเบียดเบียนกันแล้วก็จงอยู่อย่าได้เบียดเบียน กันเลย อธิษฐานเสร็จแล้วก็ตรงไปหาเสือประมาณ ๕ ศอก เสือกระโดดเข้า ป่าเงียบ จึงเดินตามเข้าดงนั้นไป

ชาวบ้านจะฆ่า

ประมาณ ๓ ทุ่มเศษ ก็พ้นจากดงไปถึงบ้านชื่อนาบันได เป็นบ้านของข่าไม่มี ศาสนา มองเห็นศาลเจ้าของเขานึกว่าเป็นศาลาที่พักนอกบ้าน ก็ขึ้นพักที่นั้น ไม่รู้การปฏิบัติของเขา ชาวบ้านเขามองเห็น ก็ถือตะบองและหอกดาบหลาว แหลนต่าง ๆ มาทำท่าจะทุบตีบ้าง จะฟันบ้าง จะแทงบ้าง แล้วพูดขึ้นไม่รู้ ภาษากัน เป็นแต่สั่นศีรษะเท่านั้น เขาจึงไปตามคนภาษาเขามาถามเป็น ภาษาลาวว่าจะไปไหน จึงได้บอกกับเขาว่าจะไปกรรมฐาน แต่คนนั้นบอกว่า เจ้ามาอยู่ที่นี่เจ้าจุดไฟผิดผีของพวกบ้านแล้ว เจ้าจงไปหาซื้อความมาเลี้ยงผี ก่อนจึงไปได้

อาตมาภาพบอกว่าไม่มีเงิน แต่คนนั้นจึงขอคลี่ดูย่ามและบาตรและสายคาด เอว เห็นไม่มีเงินแกจึงขอมีดโกนกับผ้าสบง ได้ยอมให้แต่ผ้าสบงและเขาให้ ตัดผ้าสบงผืนนั้นออกเป็น ๑๖ ท่อนแล้ว เขาแจกกันในคืนวันนั้น จึงได้อาศัย อยู่นั้นตลอดรุ่ง พอสว่างตอนเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต ก็มีเฉพาะแต่คนภาษา ลาวเขาใส่ให้ข้าวก้อนหนึ่งประมาณเท่าไข่เป็ด จึงกลับไปฉันที่ศาลา เสร็จ แล้วก็เดินต่อไปเข้าเขาส้มโรงในวันนั้น ข้ามเขาไปได้ ๔ ลูก เลียบไปตาม ชายเขา

พอประมาณ ๕ โมงเย็นมองหาที่พัก เผอิญมองไปเห็นสามเณรองค์หนึ่ง นั่งนับลูกประคำอยู่ เข้าไปถามไม่พูดด้วย เป็นแต่เขียนหนังสือบอกว่า "ผมอยู่เมืองหงสาวดี เที่ยวธุดงค์ไปกับอาจารย์ บัดนี้อาจารย์ตายเสียแล้ว ยังเหลือแต่ผมคนเดียว บัดนี้อายุผมได้ ๑๗ ปี จะเที่ยวไปไม่อาลัย ผมชื่อ เณรจวง" ดังนี้ จึงพักอาศัยอยู่ในถ้ำเดียวกันในคืนวันนั้นจนตลอดรุ่ง

พอสว่างรุ่งเช้าขึ้น สามเณรรูปนั้นจึงกวักมือเรียกอาตมาภาพว่า สามเณรท่าน จงเข้ามานี้ ครั้งอาตมาภาพเข้าไปถึง สามเณรรูปนั้นจึงพูดว่า ต่อไปนี้บ้าน มนุษย์ห่าง เมื่อท่านต้องการอาหารแล้ว รุ่งเช้าขึ้นท่านจงฟังเสียงชะนีมันร้อง เมื่อชะนีร้องมากชุมที่ไหนท่านจงเข้าไปที่นั้น เพราะชะนีกินผลไม้เป็นอาหาร ท่านไปถึง เมื่อท่านต้องการ ท่านก็จะได้ฉันผลไม้นั้นเป็นอาหาร ว่าแล้วก็นั่ง นิ่งอยู่ อาตมาภาพจึงขอลาท่านไป สามเณรนั้นจึงพูดว่า "ท่านจะเดินต่อไป ท่านจงเรียนพระพุทธมนต์ ๕ พระองค์ด้วยผมก่อน ท่านจะไปด้วยความ สวัสดิภาพ" ดังนี้อาตมาภาพถามว่า พุทธมนต์นั้นอย่างไร สามเณรจึงบอก ว่า "นะเมตตา โมกรุณา พุทปรานี ธายินดี ยะเอ็นดู" ดังนี้ ท่านจงเจริญ บ่อย ๆ ท่านจะปลอดภัย ดังนี้

ต่อนั้น อาตมาภาพจึงลาเณร แล้วเที่ยวต่อไปอีก ๓ วันยังไม่พบบ้านคน ฉันผลไม้เป็นอาหาร วันคำรบ ๔ เดินไปมองขึ้นไปบนยอดภูเขาเห็นต้นยา ใหญ่ มองไกลคล้าย ๆ กับเจดีย์ เพราะฤดูนั้นเป็นฤดูใบยาร่วงเสียหมด เป็นพัก ๆ คล้ายกับต้นมะพร้าว แต่ต้นมันใหญ่ปลายต้นเล็ก คล้ายกับยอด เจดีย์ อาตมาภาพจึงอุตส่าห์ขึ้นไปดู เห็นใบพร้อมทั้งเปลือกเข้าใจแน่ได้ว่า เป็นยาแท้ จึงเก็บเอาใบแห้งมาสูบดู ก็เป็นรสเมาอย่างยาที่มีอยู่ตามบ้านคน อาตมาภาพจึงเอามีดโต้เล่มเล็ก ๆ ที่ติดย่ามไปนั้นบากต้นยาได้สองกีบก็ถือไป จวนค่ำก็ถึงบ้านแห่งหนึ่ง ๖ หลังคาเรือน ไม่รู้ชื่อบ้าน เพราะคนเหล่านั้น เป็นข่าไม่รู้ภาษากัน อาตมาภาพจึงแวะเข้าจำวัดอาศัยเงือบหินที่ชายเขา รุ่งเช้าก็เข้าไปบิณฑบาต เห็นคนแก่คนหนึ่งนั่งหลามข้าวโพดสาลีอยู่ ผ้าก็ไม่ นุ่งห่มเลย อาตมาภาพจึงไปยืนหน้าบ้านแก ๆ ก็คว้าไม้ท่อนฟืนตรงเข้ามาหา ทำท่าจะตีอาตมาภาพ ๆ มองเห็นเช่นนั้นก็หลับตายืนตรงอยู่กับที่ ไม่ช้าแก ตรงเข้าไปจับชายจีวร แล้วพูดขึ้น แต่ไม่รู้ภาษา อาตมาภาพจึงตรงเข้าจี้มือ ลงในกระบั้งหลามข้าวโพด แกก็เอามาให้หมดทั้งกระบั้ง อาตมาภาพก็หลีก ไปนั่งฉันอยู่ ณ ลานหินทิศตะวันออกบ้านของคนเหล่านั้น แกก็ตามไปดู แล้วก็คลานเข้ามาจับฝ่าเท้าของอาตมาภาพแสดงความรักใคร่ คือแกหัวเราะ ขึ้นแล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน เรียกเพื่อนบ้านมาดูทั้งหญิงทั้งชาย แต่ไม่มี ผ้านุ่งห่มทั้งนั้น

หญิงเปลือยกายจะเข้ามาจับต้อง

ผลที่สุดผู้หญิงก็จะเข้ามาใกล้ ๆ จับขาอย่างตาแก่คนนั้น อาตมาภาพจึงโบก มือห้ามแล้วตรงไปจับเอาแต่นิ้วมือคนผู้ชายด้วยกันเข้าให้ใกล้ แล้วโบกมือ ห้ามผู้หญิงไม่ให้เขาจับผู้ชายคนเหล่านั้นก็รู้นัย เขาจึงห้ามผู้หญิงไม่ให้เข้ามา ใกล้และจับ

บ่ายพอสายนั้น อาตมาภาพก็เข้าไปอาศัยอยู่เงือกหินที่อาศัยนอน คนเหล่า นั้นก็ตามไปดู ที่นั้นมีร่มไทรและต้นตะเคียนมีบ่อน้ำ ใบไม้สดชื่น อาตมา ภาพจึงพิจารณาว่าที่นี้จะเป็นที่สบายแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ตกลงพักรั้ง แรมทำความเพียรเจริญอานาปานสติอยู่ที่นั้น ๑๙ วัน แล้วจึงเดินข้ามเขาไป อีกวันตลอดค่ำ

ไปถึงบ้านข่าแห่งหนึ่งประมาณ ๙ หลังคาเรือน ซึ่งเป็นข่าตะโอ่ยเข้าไปตั้งอยู่ ใหม่ ยังมีข่าสองคนพอส่งภาษาลาวได้ มาถามว่าเจ้าอยากไปไส ถ้าคำไทย ว่าคุณจะไปไหน ดังนี้ อาตมาภาพตอบว่า จะไปเที่ยวกรรมฐาน แกจึง บอกว่าต่อไปข้างหน้าบ้านคนห่างและส่งภาษากันไม่ถูกเลย อย่าไปดีกว่า ตกลงอาตมาภาพก็ไปหาถ้ำอาศัยจำพรรษาอยู่ที่นั้น ก็มีคนสองคนนั้นใส่บาตร ให้ฉัน อาหารบิณฑบาตเป็นข้าวโพดหลามด้วยกระบั้งไม่พุ่ง อาตมาภาพก็ อาศัยจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำนั้น บำเพ็ญเพียรเพ่งอาโบกสิณ คือเพ่งน้ำเป็น อารมณ์บำเพ็ญอารมณ์ทั้งสองนี้เป็นที่สบายใจอยู่จำพรรษาในที่นั้นนับว่า ปลอดภัยไม่มีอันตรายมาเบียดเบียน

ตอนออกพรรษาแล้ว ๕ วัน จึงเที่ยวต่อไปอีก ข้ามเขา ๓ ลูกแล้ว จวนจะ ค่ำยังไม่พบบ้านคน อาตมาภาพก็แวะขึ้นเขา หาน้ำฉันเพื่ออันจะพักจำวัดที่ นั้นด้วย เผอิญไปพบพระหลวงตาองค์หนึ่งหาบตะกร้าใหญ่เที่ยวเก็บผลไม้ มะเดื่ออยู่หน้าถ้ำ อาตมาภาพจึงถามท่านว่าอยู่ที่ไหน ท่านตอบว่าผมอยู่ใน จักรวาล อาตมาภาพจึงตะกายขึ้นไปพักที่ถ้ำ วางบาตรไว้แล้วจึงไปสรงน้ำ เสร็จกลับมา พระหลวงตาองค์นั้นก็มาพักที่ถ้ำอันเดียวกันจำวัดด้วยกันในถ้ำ นั้น ท่านเรียกอาตมาภาพไปเรียนคาถาด้วย ท่านว่าคาถาสำเร็จคือปรารถนา อะไรก็สำเร็จตามประสงค์ดังนี้ ใจความว่า "โอม อุ อะ มะ นะโม พุทธายะ ชะ สุ มัง" ท่านบอกว่าให้เณรเจริญเป็นนิตย์ เณรจะสมหวังดังความตั้งใจใน ชาตินี้และชาติหน้า ดังนี้

พออาตมาภาพเรียนจำไว้แล้ว ท่านก็ลงไปในเวลา ๗ ทุ่ม คือตี ๑ ในกลาง คืนวันนั้น อาตมาภาพถามว่าท่านจะไปไหน ท่านตอบว่าจะไปเที่ยวใน จักรวาล อาตมาภาพถามว่าท่านชื่ออะไร ท่านตอบว่าผมชื่อพระ ดังนี้ แล้วก็เดินเรื่อยไปตามชายเขา อาตมาภาพจำวัดอยู่ที่นั้นจนสว่าง

งูรัดสามเณร

ยังมีงูตัวหนึ่งโตประมาณ ๑ จับ เลื้อยมาเอาหางสอดเข้าที่น่องเท้าของอาตมา ภาพ แล้วรัดเข้าให้แน่นอยู่ไม่ช้าก็แลบหางออกมาแหย่ไปตามตัวตามรักแร้ อยู่นานสว่างขึ้น มันจึงวางพื้นตัวออกแล้วก็เลื้อยเข้าไปในถ้ำนั้น ต่อมา อาตมาภาพก็ลุกขึ้นฟังเสียงชะนีร้องมากที่ไหน ต้องไปที่นั้นเพื่ออาศัยฉันผลไม้ เป็นอาหาร เพราะว่าป่าดงเหล่านั้นมีผลไม้ครบทุกชนิด เช่นกล้วย หรือขนุน ผลส้ม ลูกฝรั่ง ลูกมะเดื่อ หรือส้มจีนมีมากมายชนิด ชะนีก็กินไม่หวัดไม่ ไหว อาตมาภาพก็เก็บผลไม้นั้นฉันเป็นอาหาร และเดินต่อไปอีก ๓ คืน ยังไม่พบบ้านคน

ถูกเจ้าอาวาสไล่หนี

ไปพบคนจำนวนหนึ่ง ไม่มีบ้านไม่มีเรือน อาศัยอยู่ตามถ้ำ ตามเขา กินผล ไม้เปลือกไม้เป็นอาหาร ไม่ห่มผ้าห่มผ่อนเลย ส่วนลูกอ่อนของเขาเอารังผึ้งที่ มันร้างแล้วมาห่มให้และปูให้เด็กนั้นนอน พอไปพบเข้าเขากลัวแตกตื่นวิ่งหนี ทิ้งไม้สีไฟและเครื่องมือใช้สอยและรังผึ้งร้าง อาตมาภาพก็เข้าไปตรวจดูเห็น แน่ได้ว่าพวกนี้เขากินผลไม้ และเปลือกไม้เป็นอาหาร อาตมาภาพก็เดินผ่าน ข้ามเขานั้นไปอีก เป็นเวลา ๓ คืน ถึงเมืองพาบัง มีวัดและเจดีย์ โบสถ์ และศาลา มีพระพุทธศาสนาอย่างเมืองเรา แต่พระเณรเมืองนั้นฉันข้าวค่ำ และจับต้องสตรีในอาวาสไม่เป็นอาบัติ จับต้องสตรีนอกอาวาสจึงเป็นอาบัติ ดังนี้ อาตมาภาพจึงพักอยู่ที่นั้น ๑๖ วัน ถูกเจ้าอาวาสไล่หนี เพราะเห็นว่า แข่งดีเขา เพราะฉันหนเดียว ประเทศนั้นเป็นคนยาง มีคนลาวเมืองหล่มคน หนึ่งไปอยู่ที่นั้น พอส่งภาษากันได้ อาตมาภาพจึงหนีจากที่นั้นเดินข้ามเขามา อีก ๒ คืน ไปพบบ้านหนึ่งชื่อ บ้านป่าเหล็ก มี ๔๐ หลังคาเรือน เป็นคน พวน ส่งภาษาลาวได้ แต่ไม่มีวัด พวกนี้ทำไร่ข้าวโพดกินเป็นอาหาร และมี บึงน้ำใหญ่ในระหว่างดงป่าไม้ใกล้กับตีนเขา อาตมาภาพพิจารณาเห็นว่าที่นี้ เป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมดี อาตมาภาพจึงพักอยู่ที่นั้นอีกประมาณ ๑๓ เดือน

ตกลงจำพรรษาที่นั้นอีกพรรษาหนึ่งบำเพ็ญให้ใจนิ่งอยู่ที่ลมสุด คือที่ว่างตรง สะดือ รู้สึกว่าได้ความสบาย เพราะจิตนิ่งอยู่ที่อันเดียว ได้ความว่าทั้งโลกนี้ เป็นทุกข์เพราะใจทำงาน คือคิดไม่หยุด ตกลงคนทั้งโลกนี้ก็เป็นทุกข์เพราะใจ เท่านั้น จะเป็นสุขก็เพราะใจเท่านั้น จิตนี้นำมาซึ่งอารมณ์เป็นที่พอใจก็เป็นสุข ขึ้น เมื่อจิตนำมาซึ่งอารมณ์เป็นที่ไม่พอใจก็เป็นทุกข์ขึ้นเท่านั้น สาธุชนผู้ ปฏิบัติทางใจมีสติเป็นหลักฐานพอเป็นที่อาศัยจิต ให้จิตเฉยอยู่มิให้จิตนำมาซึ่ง อารมณ์เป็นที่พอใจ และอารมณ์ที่ไม่เป็นที่พอใจ ได้ดักจิตเฉยอยู่ที่อารมณ์ อันเดียว ทั้งกลางวันกลางคืนจนจิตไม่นำมาซึ่งอารมณ์ทั้งสอง ทั้งส่วนเป็นที่ พอใจและไม่พอใจไม่แล้ว ทุกข์จะมาทางไหน เมื่อจิตเฉยอยู่ที่อันเดียวนั้นได้ ศัพท์ว่า วิหะระติ แปลว่า ย่อมอยู่สบาย สบายศัพท์นี้ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ เฉย ๆ นั้นเอง ตกลงอาตมาภาพบำเพ็ญเพียรโดยวิธีดักจิต อยู่ถ้ำชื่อ นางแพง

พบสัตว์ประหลาดคล้ายปลาไหล

อยู่พอพ้นเขตพรรษาแล้ว ก็เที่ยวไปตามภูเขาอีกประมาณ ๕ วัน ไปถึงเขา ลูกหนึ่งชื่อภูเขาอ่าง เพราะมีหนังสือจารึกแผ่นศิลาเป็นตัวลาวอ่านได้ความว่า "นี้ภูเขาอ่างเงิน เป็นที่พักของพระองค์เจ้าเมต" ดังนี้ และที่นั้นมีบ่อน้ำใหญ่ ไหลออกมาจากภูเขา แต่น้ำนั้นฉันไม่ได้ เพราะมีกลิ่นคาวคล้ายกับน้ำล้าง ไส้เดือน ถึงจะล้างมือล้างเท้าก็ติดมือติดเท้า พอถูกกลิ่นก็ทนอาเจียนไม่ได้ อาตมาภาพเห็นน้ำเหม็นเช่นนั้นจึงพักพิสูจน์ดูว่าน้ำนี้จะเป็นเพราะอะไรจึงคาว นัก นั่งเข้าที่อยู่ที่นั้นประมาณ ๕ โมงเย็น เสียงน้ำงดไหล ลืมตาขึ้นไม่เห็น น้ำไหลจริง ไม่ช้าเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งตัวคล้ายกับปลาไหลออกมาจากรูนั้น ใหญ่ประมาณ ๔ จับ ยาวประมาณ ๑๒ ศอก มีสีแสดอิฐบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง สีน้ำเงินบ้าง เลื้อยลงสู่บึงที่มีในภูเขานั้น

ต่อจากนั้น อาตมาภาพจึงเดินขึ้นเขาไป เพื่อหาถ้ำที่สำหรับจำวัด เพราะ เดือนมืดจะเดินกลางคืนก็เห็นจะลำบาก พอขึ้นไปบนหลังเขาไปพบพระองค์ หนึ่งชื่อ สาธุวันดี ท่านบอกว่าท่านอยู่เมืองหลวงพระบาง ขณะนั้นอายุของ ท่านองค์นั้นกำลัง ๒๕ ปี ท่านถามอาตมาภาพว่าเณรเที่ยวมานานแล้วได้ คุณวุฒิอะไรบ้าง อาตมาก็เล่าเรื่องที่เป็นมาของตนให้กับท่านฟัง ท่านจึงแนะ นำว่า "บุคคลซึ่งบำเพ็ญเพียรอันเป็นบุพเพของตนเป็นมาแล้วอย่างไร คนนั้น จะมีความเพียรก้าวหน้าไม่ท้อถอย เพราะว่าชาติที่เป็นมาแล้ว สุขบ้าง ทุกข์ บ้าง ดีบ้าง ชั่วบ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เมื่อเห็นเช่นนี้ว่าความ เกิดเป็นมนุษย์และสัตว์ในโลกมีภพอันไปปรกติ ผู้นั้นจึงกล้าต่อความเพียรนั้น อีกในโลกนี้ เหตุนั้นผู้เห็นบุพเพนิวาสานุสสติ แล้วจึงมีความเพียรก้าวหน้าไม่ หยุด ผู้บำเพ็ญทั้งหลายเมื่อชำนาญการดักจิตแล้ว ควรบำเพ็ญปัญญาจักษุ อันนี้ให้เจริญขึ้น จึงจะไม่ท้อถอยต่อการบำเพ็ญ" ดังนี้ ต่อไปนั้นอาตมา ภาพจึงถามท่านว่าปฏิบัติแค่ผมควรบำเพ็ญแล้วหรือยัง ท่านตอบว่าการดักจิต ของเณรก็ชำนาญบ้างแล้ว แต่ขาดปัญญาจักษุ เหตุนั้น ควรอบรมปัญญา จักษุให้กล้าก่อนจึงควรต่อไป จากนั้น ท่านก็แนะนำทางปัญญาจักษุพอ สมควร แล้วท่านจึงแสดงฤทธิ์ของท่านบางสิ่งบางอย่าง เช่น หายตัว คือ ขณะนั้นไปเที่ยวบิณฑบาตด้วยกันกับอาตมาภาพ ๆ เดินตามหลังท่านเดิน ก่อน ทายกเขาไม่เห็น ข้าวบิณฑบาตก็ไม่ได้ ได้เฉพาะแต่อาตมาภาพผู้เดิน หลัง ที่ถ้ำนั้นมีบ้านอาศัยบิณฑบาต ๕ หลังคาเรือน ทำไร่ข้าวเป็นอาชีพ ของคนชาติพวน

พบพระชำนาญเวทเดินบนน้ำได้

ต่อนั้นไป อาตมาภาพพักศึกษากรรมฐานกับท่านองค์นั้นอยู่ ๑๖ วัน จากนั้นท่านออกเดินตามครองน้ำ ชายฝั่งเป็นถนน คือ ท่านเดินไต่หลังน้ำไป เป็นของสุดวิสัยของอาตมาภาพที่จะตามได้ จึงเป็นอันว่าหมดหนทางจะตาม ไปด้วยท่าน ต่อนั้นไป อาตมาภาพก็เดินตามเขาอีก ๒ วันไปถึงเมืองวัง ไปพักอยู่ถ้ำเต่างอย ไปเที่ยวบิณฑบาตบ้างแดง ทางประมาณ ๑๐๐ เส้น ที่นั้นมีบ่อน้ำอาศัยเป็นที่สบายแก่การบำเพ็ญสมณธรรม อาตมาภาพพักทำ ความเพียรเพ่งกสิณอาโปธาตุบ้างเพ่งอากาศธาตุบ้าง บำเพ็ญอยู่ที่นั้น ๒ พรรษา เกิดเรื่องอธิกรณ์ ๔ ครั้ง

เจ้าคณะแขวงเรียกตัวไปสอบถาม

คือไปอยู่ทีแรก เจ้าคณะแขวงเรียกเข้าไปในเมืองตรวจดูใบสุทธิ อาตมาภาพ บอกว่าไม่มีอุปัชฌายะ เจ้าคณะแขวงบอกว่า เณรต้องเข้ามาอยู่วัดด้วยหมู่ คณะ อย่าไปอยู่ถ้ำอยู่เขาคนเดียวไม่สมควร อาตมาภาพบอกว่าผมบำเพ็ญ กรรมฐาน ขอใต้เท้าจงให้โอกาสแก่ผมบ้าง ท่านตอบว่าบำเพ็ญอะไรข้าไม่รู้ ถ้าเป็นพระเป็นเณรแล้วควรเข้าไปอยู่ในวัดทั้งนั้น

อาตมาภาพได้ยินคำนี้นึกขันได้ว่า ที่นี้จะเป็นอุปสรรคแก่การบำเพ็ญสมณ ธรรม แต่เราทนอยู่ได้เราก็จะได้บำเพ็ญขันติบารมี เมื่อนึกขึ้นมาเช่นนี้อาตมา ภาพจึงกราบลาท่านเพื่อจะออกไปอยู่ถ้ำตามเดิม ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ต้องเข้า อยู่วัดนะ อย่าไปอยู่ป่าอยู่เถื่อนตามลำพังของตน เพราะเป็นเณรต้องอยู่ บังคับของพระ อาตมาภาพก็นิ่งไม่พูด ออกจากวัดของท่านก็กลับเข้าไปอยู่ ถ้ำตามเดิม อธิษฐานไม่พูด จะบำเพ็ญแต่สมณธรรมอย่างเดียว ใครจะว่า อะไรไม่พูดด้วย ต่อนั้นก็ตั้งหน้าบำเพ็ญความเพียรส่วนเดียวอีก ๑๐ กว่าวัน เจ้าคณะแขวงใช้พระให้ไปบอกให้เข้ามาอยู่วัด อาตมาภาพก็นั่งเข้าที่ทำสมาธิ เรื่อยไป ไม่พูดด้วย พระที่ไปถ้ำมาบอกแก่เจ้าคณะแขวงว่าเณรเป็นแต่นั่ง สมาธิหลับตาอยู่ไม่พูดด้วย

วันหลังต่อมา เจ้าคณะแขวงให้นายตำบลไปบอกให้หนี ถ้าไม่หนีต้องเข้าไป หาเจ้าคณะแขวงในวันนี้ อาตมาภาพก็เข้าไปหาเจ้าคณะแขวงในเมือง แต่ไม่ พูด ท่านถามว่าจะหนีหรือ ก็ไม่พูด จะเข้ามาอยู่ในอาวาสด้วยไหม ก็ไม่ พูด ท่านถามอะไร ๆ ก็ไม่พูด ท่านดุด้วยคำหยาบหลายอย่างหลายประการ หนักเข้านั่งสมาธิอยู่ที่นั้น วันตลอดค่ำคืนตลอดรุ่ง ดักจิตอยู่ไม่ให้จิตตามเอา อารมณ์อะไรทั้งหมดเข้ามาสิงอยู่ภายในใจ รู้สึกสบายและทำความเข้าว่าคำ พูดอะไรทั้งหมดเป็นสักเพียงแต่เสียง เป็นธาตุอันหนึ่งไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน เราเขา เป็นแต่ว่าเสียงนั้นเป็นที่พอใจของตนก็ว่าเสียงนั้นดี เสียงอันใดไม่เป็น ที่พอใจของตน ก็ว่าเสียงนั้นชั่ว ที่จริงเสียงนั้นจะให้เป็นรูปเป็นกายเป็นหญิง เป็นชายก็หามิได้

ตกลงทั้งโลกนี้จะสงัดจากเสียงไม่มี เพราะหูเรายังมีอยู่ เข้าบ้านก็เสียงคน ออกป่าดงก็เสียงสัตว์ เช่นอยู่ป่า สัตว์บางชนิดร้องเสียงเพราะเป็นที่พอใจเรา ก็ว่าเสียงดี บางทีเสียงสัตว์บางตัวร้องขึ้น ไม่เป็นที่พอใจเรา ก็ว่าเสียงนั้นชั่ว ร้าย ผลที่สุดลมพัดต้นไม้เสียงออดแอดซะนิดหน่อยเป็นที่พอใจน่าฟังก็ว่าเสียง นั้นดี หากพายุมันพัดมาแรงเสียงอืดอาดครึกครื้นเรากลัวก็ว่าเสียงนั้นร้ายหรือ ชั่ว ที่จริงเสียงหรือหูเท่านั้นเป็นไปตามธรรมดาของโลก เช่นหู ถ้าเสียงดังขึ้น ไม่ฟังก็ได้ยิน เช่น เสียงไม่ดี หูไม่ได้ต้องการฟัง มันก็ดังขึ้นเอง เหตุนั้น มิเป็นการควรละหรือที่เราทำโทษหูที่ได้ยินและเสียงที่ดังนั้น อันเป็นไปตาม ธรรมดาวิสัยของโลก

เมื่ออาตมาภาพได้พิจารณาเช่นนี้ ยังมีความอิ่มอกอิ่มใจมิได้โศกเศร้าเสียใจ ในกิริยาอันที่ท่านขู่เข็ญดุดันต่าง ๆ ไม่ช้าอาตมาภาพก็ไปพักจำวัดอยู่ที่โบสถ์ หลับไปฝันเห็นเทวดาเหาะมาทางอากาศมาบอกอาตมาภาพว่า ดูกรเจ้า สามเณร จะมีผู้มาขัดขวางต่อปฏิปทาของท่านอย่างน่าพิศวงใจ ดังนี้ อาตมาภาพก็ตื่นนอนขึ้นมา แล้วพิจารณาว่า อะไรจะขัดขวางข้อปฏิปทาของ ข้าพเจ้ายิ่งกว่าความตายไม่มี แม้แต่เสือทำท่าจะกัดอยู่เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าสละ ชีวิตมาหลายหนแล้ว มิได้ทอดธุระเลยว่าไม่ปฏิบัติศีลธรรมต่อไปอีก นี้มนุษย์ เหมือนกัน ที่สุดท่านก็คงฆ่าให้ตายเท่านั้น ชีวิตนี้ถึงไม่มีคนฆ่ามันก็จะตาย เองอยู่แล้ว ส่วนความดีคือศีลธรรม เราไม่ปฏิบัติเอาก็ไม่ได้ ตกลงเราจะหวง ชีวิตอันจะตายอยู่เองเปล่า ๆ มาละศีลธรรมอันเป็นที่พึ่ง ทั้งในภพนี้และภพ หน้า มิเป็นการควรเลย

เมื่ออาตมาภาพตกลงเช่นนี้แล้วก็ออกจากโบสถ์ เข้าสู่ถ้ำที่อยู่ตามเดิม บำเพ็ญเพียรพิจารณาอนัตตาธรรมเป็นลำดับไป มิได้เพ่งกสินอย่างเดิม โดยเหตุที่ว่าปัญญาเกิดขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากอุปสรรคเช่นนั้น จะเป็นอันตราย แก่ข้อปฏิบัติ บำเพ็ญอยู่ที่นั้นตลอดจนฤดูแล้ง

[ ยังมีต่อ ]

<< ย้อนกลับ - หน้าต่อไป >>




Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 20:45:57 น. 0 comments
Counter : 324 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jจุ้ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


facebookฝากข้อความได้ครับ
Google

ฟังวิทยุออนไลครับ
ฟังวิทยุออนไลน์ กดที่รูปครับ




หลับฝันดี
๑ หลับคืนนี้ฝันดีนะที่รัก...
หลับตาพักหลับตาฝันถึงวันใหม่...
หลับคืนนี้คนดีฝันถึงใคร...
รู้บ้างไหมฉันตั้งใจฝันถึงเธอ...


Friends' blogs
[Add Jจุ้ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.