รูปบล็อคนอก
Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 1

ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน



สารบัญบทความ

ประวัติพระบุญนาค เที่ยวกรรมฐาน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
หน้า 2 จาก 6
[ ๑ ]


ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน



มารดาพาไปทำบุญวันเกิด

อาตมาภาพเป็นบุตรคนสุดท้องของบิดามารดา เมื่ออายุได้ ๖ ขวบพอดี วันนั้นเป็นเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ มารดานำพาไปทำบุญวันเกิดแห่งอาตมาภาพ ที่วัด เผอิญหนาวจัด มองเห็นท่านพระครูปานห่มจีวรผืนใหญ่ เข้าใจว่าจะ อุ่นก็ร้องเรียกให้มารดาขอให้ มารดาบอกว่ายังไม่บวช เอามาห่มไม่ได้ กลัวบาป อาตมาภาพมองขึ้นไปข้างบน เห็นพระพุทธรูปที่พิมพ์ใส่แผ่น กระดาษเรียงลำดับ ๑๒ องค์ ซึ่งพระท่านติดไว้บนหัวนอน ถามมารดาว่า นั้นอะไร มารดาบอกว่านั้นรูปพระเจ้า ดังนี้

ต่อนั้น อาตมาภาพก็นึกรักใคร่เลื่อมใสในพระพุทธรูปนั้น บอกมารดาขอให้ มารดาไม่ขอ ก็ร้องไห้ขึ้นในทันใดไม่หยุด ตกลงสมภารวัดได้เอามาให้ แล้วนำไปไว้ที่บ้าน วันหลังถามมารดาว่า แม่ เวลานี้พระเจ้าอยู่ที่ไหน แม่บอกว่า พระเจ้าไปนิพพานแล้ว จึงขอให้แม่นำไปนิพพานที่พระเจ้าอยู่ แม่บอกว่าไปไม่ได้ นิพพานอยู่เมืองฟ้า

ไปอยู่วัด

ต่อมาวันหลัง เห็นพระเดินเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับกันมามาก ๆ องค์ คล้ายกับรูปที่ติดอยู่บนหัวนอน นึกว่าเป็นพระเจ้า จึงร้องบอกมารดาว่า แม่ นั่นพระเจ้ามาหน้าบ้านเรา มารดาโผล่ออกมาดูเห็นพระไปเที่ยว บิณฑบาต มารดาจึงร้องนิมนต์พระว่านิมนต์ก่อนค่ะ พระก็ยืนเป็นแถว ลำดับกันอยู่ก็นึกเลื่อมใสมาก ครั้นมารดากลับมาจากใส่บาตรจึงถามว่า แม่พระมาจากไหน มารดาบอกว่าไปจากบ้านไปบวชอยู่ที่วัด เมื่อทราบว่า พระไปจากบ้านไปบวชอยู่ที่วัด ต่อนั้นอาตมาภาพก็ขอให้มารดานำพาไปบวช มารดาบอกว่า ยังเล็กยังบวชไม่ได้ ก็อ้อนวอนขอให้มารดานำพาไปฝาก ไว้วัด มารดาก็ห้ามเป็นครั้งที่ ๒ ว่ายังเล็กเกินไป ก็ขอไปไม่หยุด ต่อมา มารดาไม่พูดด้วย ก็ร้องไห้ว่าอยากไปอยู่วัด ทั้งบ่นทั้งร้องไห้ แต่เช้าจนเที่ยง จนไม่กินข้าวสาย เพราะเสียใจกลัวมารดาจะไม่ไปฝากที่วัด ตกลงมารดา ก็นำพาไปวัด เผดียงต่อสมภารว่า อ้ายหนูร้องให้อยากมาอยู่วัด ไม่รู้จะ ทำอย่างไร สมภารก็เรียกไปถามอาตมาภาพตอบว่าอยากบวช ท่านจึง ถามอีกว่าอยู่กับเราไปก่อนไหม ใหญ่จึงบวช จึงตอบท่านว่าอยู่ มารดา ก็มอบให้อยู่กับพระแต่วันนั้นเป็นต้นมา อยู่กับพระไป ๒ เดือน บิดา มาจากขายกระบือไม่เห็นก็ถามว่า มารดาบอกว่าแกไปอยู่วัด บิดาก ็ออกไปเที่ยววัด ถามว่าแกอยากเข้าไปนอนบ้านไหม จึงบอกกับพ่อว่า ไม่อยากไป พ่อก็มอบให้พระเป็นครั้งที่ ๒ ครั้นจนเข้าพรรษา อาจารย์ ก็พาไปจำพรรษาที่วัดป่าอำเภอยโสธรไกลจากบ้านเดิมประมาณ ๓ พ้นเส้น (๑๒๐ กม.) คนเดิน ๓ คืนจึงจะถึง ขณะขี่เกวียนไปตามทาง อาจารย์ บอกว่าอีก ๓ ปีจึงบวช ไปอยู่ในเมืองเรียนหนังสือกับเขาก่อน แต่นั้น ก็นึกดีใจมากเพราะอาจารย์กำหนดจะบวชให้ในระหว่าง ๓ ปี แต่ยังไม่ร ู้ว่าอะไรเป็นปีเป็นเดือน ตื่นเช้ามาก็ถามอาจารย์ทุกวันว่าถึง ๓ ปีหรือยัง อาจารย์ก็หัวเราะทุกวัน นานเข้าท่านรำคาญ ท่านบอกว่าถ้าถึง ๓ ป ีจะบอกให้ดอกน๊ะ และจะบวชให้พร้อม ต่อนี้ไปอย่าถามอีกนะ จงเรียน หนังสือเข้าให้มาก ๆ จึงบวช

บรรพชา

ต่อนั้น อาตมาภาพก็ตั้งใจเรียนหนังสือในสำนักอาจารย์ต่อไป จนอายุได้ แปดขวบพอดี ตรงกับเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ กลางคืนวันนั้น ฝันเห็นพระเจ้า พร้อมทั้งรัศมีสว่างไสว ตื่นนอนขึ้นมารู้สึกคิดถึงมากจึงกราบพระสวดมนต์แล้ว ก็ปรารถนาเป็นพระเจ้าอีกองค์หนึ่ง ต่อนั้นไปทุก ๆ วัน ก็ตั้งใจเก็บดอกไม้มา บูชา แล้วปรารถนาเป็นพระเจ้า จนอายุ ๙ ขวบอาจารย์ก็บวชให้เป็น สามเณร พอบวชแล้วก็เรียนหนังสือกับอาจารย์ ต่อไปอีกเป็นเวลา ๖ ปี พอดีอายุครบ ๑๔ ขวบเต็ม ๑๕ ปีย่าง เผอิญพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งชักชวน ทำปาณาติบาตฆ่าแย้ ๑ ตัว พอกลับมาถึงวัด ค่ำสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ต่อไปประมาณ ๔ ทุ่ม ก็จำวัดแล้วนิมิตฝันเห็นพระพุทธเจ้า พร้อมด้วย พระภิกษุ ๒๓ องค์นั่งประชุมอยู่ใต้ร่มไม้หว้าชุมพู และท่านแสดงธรรมว่า "จะเป็นสมณะเพราะศีรษะโล้นก็หามิได้ คนจะเป็นสมณะเพราะผ้าเหลือง ก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะไม่มีภรรยาก็หามิได้ จะเป็นสมณะเพราะเรียนรู้ มากก็หามิได้ ผู้เที่ยวไปไม่มีอาลัยในชีวิตและถึงพร้อมด้วยความเป็นอยู่และ ที่อาศัยเช่นนี้ จึงได้นามว่าเป็นสมณะ"

ขณะที่ฝันนั้นปรากฏว่าแดดร้อนจัด อาตมาภาพก็เข้าไปอาศัยอยู่ในร่มนั้น เย็นดี แล้วท่านเอาน้ำให้ฉัน น้ำนั้นเมื่อฉันเข้าแสบสมอง คล้ายกลิ่นสุรา และแสบจมูกมาก เลยตื่นขึ้น ขณะนั้นเป็นเวลา ๗ ทุ่ม (ตี ๑) เงียบสงัด และเดือนหงายแจ้งสว่างมองไปเห็นเพื่อนบรรพชิตทั้งพระและสามเณรนอน เกลื่อนกล่นอยู่บนพนักเล็กข้างนอกกุฏิ เพราะฤดูนั้นเป็นฤดูร้อน เป็นเดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ ต่อนั้นอาตมาภาพจึงลงจากพนักกุฏิเล็ก ไปนั่งอยู่ใต้ร่ม มะม่วง หวนคิดถึงคำฝันที่ปรากฏทั้ง ๔ ข้อ แล้วนึกถึงมารยาทความ เป็นอยู่ของพระสาวกและพระศาสดา คงไม่ตลกคะนองเกลื่อนกันเช่นนี้ พอนึกแล้วก็ตกลงใจว่าเราจะต้องหลีกออกไปบำเพ็ญความสงบและมารยาท ที่ปรากฏฝันเห็นนี้ให้จงได้ นึกแล้วนึกเล่าจนนอนไม่หลับอีกในคืนนั้น

ลาอาจารย์เข้าป่าเที่ยวกรรมฐาน

พอรุ่งเช้าขึ้นมา ฉันแล้วก็ลาพระอาจารย์ ท่านก็ไม่อนุญาต บอก พระอาจารย์ว่าผมตกลงแล้วแต่คืนนี้ ผมเห็นจะไม่อยู่ ว่าแล้วก็ขอขมาโทษ ต่ออาจารย์ วางขันดอกไม้ไว้ซึ่งหน้าท่านแล้วก็หลีกไปวันแรก เดือน ๔ แรม ๔ ค่ำ ไปพักป่าช้าบ้านหนองแสง ตอนค่ำลงนึกกลัวผี ได้พิจารณา ว่า "อะไรเป็นผี ได้ความว่าใจเป็นผี เพราะร่างกระดูกเขาเผาและฝังหมด เสียแล้ว ตกลงว่าไม่จริง วัว, ควาย, หมู, ไก่ ก็มีใจทั้งนั้นทำไมคนกินเนื้อ มันได้ เช่นวัว ควายยิ่งตัวใหญ่ไม่กลัวผีมันหลอกหรือ ทำไมกินเนื้อมันได้ ขนเอาเนื้อเอากระดูกมันไปเก็บไว้ที่บ้านทั้งกินเสียด้วย จนกระทั่ง ปู, ปลา ก็มีใจทั้งนั้น หากว่าใจสัตว์ที่ตายแล้วเป็นผีอยู่กับซากศพที่ฝังไว้แล้วนั้นเป็น ผีหลอกคน ถ้าเช่นนั้น คนที่ฝังซากวัว, ซากควายลงที่ท้องของตนก็จะไม่ เป็นอันอยู่ อันนอน เพราะผีมันจะหลอก เปล่าทั้งนั้น ไม่ปรากฏเลยว่า ค่ำมาคนนั้นคนนี้ถูกผีวัวหลอกหรือผีหมูผีไก่หลอกก็เปล่าทั้งนั้น ตกลงว่า มนุษย์นี้หลอกกันทั้งนั้น สิ่งใดกินเนื้อมันเห็นว่าไม่มีผีมันหลอกดังนี้ มนุษย์ที่ตายแล้วฝังอยู่ป่าช้าเช่นนี้ยิ่งแล้ว เพราะมันกลัวป่าช้า ตายแล้ว ที่ไหนมันจะมา ถ้าใจของคนยังมีติดอยู่ที่กายทำไมมันจะตาย ใจคนหนี แล้วแต่อยู่เรือนขณะมันตายทีแรก นั้นมิใช่หรือ มันจึงตาย"

เดินธุดงค์เข้าในป่าดงพงไพร

เมื่อพิจารณาเช่นนี้ แต่วันนั้นมา ขึ้นชื่อว่าป้าช้าอยู่ได้ทุกแห่งไป ไม่ต้อง กลัวผีอีก เดินเที่ยวพักไปตามป่าช้าบ้านอื่น ๆ ต่อไปได้ ๙ คืน ถึงฝั่ง แม่น้ำโขงซึ่งเป็นแดนของฝรั่งเศส (ในขณะนั้น ประเทศลาวอยู่ใต้ปกครอง ของฝรั่งเศส) เป็นเวลา ๕ โมงเศษ ข้ามเรือแกวคนหนึ่ง พอข้ามไปถึง ฝั่งนั้นบ้านเล็กตั้งริมฝั่งแม่น้ำโขง ยังไม่มีวัด ทั้งอยู่ใกล้ริมภูเขา ชื่อ บ้านแก้งกะอาก

พอไปถึงบ้านนั้นมืด พอดีผู้ใหญ่บ้านเขานิมนต์ให้ขึ้นพักจำวัดที่เรือน เพราะ กลัวช้างป่า เขาบอกว่ามันเข้ามารบกวนบ้านนั้นทุกวัน เมื่อได้ยินเขาเล่าเช่น นั้น อาตมาภาพก็ยืนพักพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ได้ความว่า "บัดนี้เราเป็นบุตร ของพระศาสดา เราจะเชื่อความเป็นพ่อของเราในข้อที่ว่าอย่าลุอำนาจแก่ ความกลัวอันมีประจำใจมาแล้วแต่วันเกิด ทุกตัวสัตว์จะนำพาคนได้ดี (อย่าง ไร) เพราะความกลัว แล้วมนุษย์และสัตว์ทั้งโลกนี้มีความกลัวอยู่เช่นนี้ ตกลง ว่าหัวใจเราก็จะแค่หัวใจสัตว์เท่านั้น ไม่เห็นแปลกจากสันดานสัตว์" นึกแล้วก็ ตั้งใจอดทนต่อความกลัวเดินผ่านบ้านนั้นไป

คนในบ้านนั้นทักท้วงว่าพระกรรมฐานท่านไม่พักเรือนคน แต่ขณะนั้นก็มีความ กลัวอยู่อย่างระส่ำระสาย แต่นึกถึงว่า ความอดทนคือขันติบารมี ก็เป็นธรรม อันจะพึงบำเพ็ญส่วนหนึ่ง ตกลงว่าเวลานั้นจำเป็นจำไป ก็คืออดทนต่อความ กลัวต่อสัตว์ร้ายนั้นไป มิใช่ไปด้วยความหมดกลัวอย่างไม่กลัวผี

พอไปถึงที่แห่งหนึ่งเป็นหนทางช้างเดิน แถบทรายภูเขา ขณะนั้นยังไม่รู้ว่าที่นั้น เป็นทางช้าง เห็นแต่ว่าที่นี้เตียนดี เมื่อเราต้องการเดินจงกรม ก็จะได้เดิน ตามแนวนี้ และที่นั้นมีต้นตะเคียนใหญ่ และมีเครือหวายเป็นพุ่มห้อยล้อม ต้นตะเคียนดกหนาเป็นร่มดี ฝ่ายว่าอาตมาภาพจึงตรึงกั้นมุ้งลงเพื่ออาศัยในที่ นั้น เสร็จแล้วก็นั่งสมาธิต่อไปในที่นั้น ต่อมาตอนดึกจวนรุ่ง เวลา ๙ ทุ่ม (ตี ๓) เผอิญมีช้างตัวหนึ่งเป็นประธานในช้างทั้งหลายเดินผ่านเชือกเผือก (เชือก) ที่แขวนกลดให้ขาดตกลงแล้ว ได้ยินเสียงช้างพับหูดังโปะ ก็นึกตกใจ ว่านี้เป็นเสียงอะไรเปิดมุ่งขึ้นดู เห็นช้างยืนเทียมกลด ก็นึกตกใจจนหายใจไม่ ออก แน่นหน้าอกขึ้นมาแล้ว ก็ค่อยคลานออกจากมุ้งเข้าไปอาศัยพุ่มหวายที่ รกห้อมล้อมต้นตะเคียนอยู่ ไม่ช้าช้างก็ฉวยเอามุ้งขึ้นฟาดบนศีรษะช้างเอง แล้วจับเหวี่ยงลงมาแล้วก็เอาเท้าขยี้ ไม้ช้าจับเอามุ้งขึ้นฟาดบนศีรษะของตน แล้วดึงลงมาขยี้ ทำดังนี้ จนมุ้งและกลดมุ่นสลายหยิบไม่ถูกแล้ว ช้างก็ยืนอยู่ ครู่หนึ่งแล้วก็หันหน้าไปเข้าไปทางต้นตะเคียนแล้วก็ดึงเครือหวายที่นั้นกินเป็น อาหาร ตกลงเวลานั้น ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มหวายใต้คางช้าง

ช้างกระทืบกลด

อีกไม่ช้า หมู่ของช้างเดินตามกันมาอีก ๒๑ ตัว มาทันช้างตัวที่กินหวายอยู่ ก่อนนั้น ต่างตัวก็มายืนห้อมล้อมต้น ตะเคียนดึงเครือหวายลงมากินเป็น อาหาร ฝ่ายว่าอาตมาภาพ ทั้งนี้รู้สึกว่าแค้นใจอยู่ คือแน่นหน้าอกหายใจ ไม่ออกเพราะ ควายกลัวอยู่สักครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่า "มาคราวนี้เพื่อบำเพ็ญกิจ ของศาสนา ฉะนั้น ขออันตรายทั้งหลายจงพินาศฉิบหายไปด้วยอำนาจคุณ พระรัตนตรัย"

พออธิษฐานเสร็จแล้วก็เกิดคันตามลำคอ และแสบจมูกขึ้นมาทนไม่ได้ก็ไอ และกระแอมขึ้นด้วยเสียงอันดัง ฝ่ายว่าช้างทั้งหลายเหล่านั้น ตื่นเสียงไอพา กันวิ่งแตกตื่นหนีไป ขณะนั้น ก็พอสว่าง ออกมามองดูบาตรและห่อผ้า เห็นไปอยู่ในเหวซึ่งช้างมันเหวี่ยงลงไป ก็ค่อย ๆ คลานลงไปที่เหวเอาบาตร และผ้าขึ้นมาได้ แล้วก็ครองผ้าและบาตร เข้าไปบิณฑบาตในบ้านนั้น นายดีผู้ใหญ่บ้านถามว่า คุณพักที่ไหนช้างไม่รบกวนคุณหรือ ฝ่ายว่าอาตมา ภาพก็ทำดุจนิ่งอยู่ ไม่พูดและไม่ตอบว่ากระไร แกก็แปลกใจบ่นว่า พระเณร อะไรถามไม่พูด แกก็ตามออกไปดูที่อยู่เห็นรอยช้างมันขยี้กลดและมุ้งแตก สลาย แกจึงถามอีกเป็นครั้งที่สองว่าเวลาช้างมันมาทำลายของท่าน ใต้เท้า ไปอยู่ที่ไหน ช้างจึงไม่ทำร้ายตัวของใต้เท้าด้วย

ลิงมานอนบนตัก

ฝ่ายว่าอาตมาภาพก็นั่งฉันข้าวเรื่อยไป มิได้พูดและตอบแก่โยมคนนั้นคำใด หนึ่งเลย พอฉันเสร็จแล้วก็ตะพายบาตรไต่ชายเขาไปประมาณ ๘๐ เส้น พบพึงน้ำมีบัวหลวงบัวทองจอกแหนต่าง ๆ มีร่มไม้สดชื่นหลายอย่างตามริมบึง แต่บึงนั้นมีฝั่งชันและสูง มีท่าลง ๕ แห่งเป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ทั้งหลาย เป็นต้นว่า เสือ, ช้าง, หมี, ลิง, กระทิง สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นในป่านั้นย่อม อาศัยมากินน้ำในบึงนั้น ฝ่ายว่าอาตมาภาพไปถึงเข้าก็พิจารณาว่า ที่นี้มีน้ำใส ดีและป่าไม้ก็สดชื่นควรแล้วอันเราผู้ต้องการความสงบจะต้องพักบำเพ็ญอยู่ที่นี้ แล้วก็หลีกไปอาศัยอยู่ร่มไทรที่จับอยู่ชายเขาห่างจากบึงประมาณ ๑๐ เส้น

พอตะวันค่ำลง ประมาณ ๕ โมงเย็น เผอิญมีเสียงเสือร้องฮ้าวฮือ ๆ ฮ้าวฮือ ๆ ร้องจากหลังเขา มากินน้ำในบึงนั้น เสียงเสือร้องดังก้องมาในทิศทั้ง สี่ ฝ่ายว่าอาตมาภาพได้ยินเข้าก็ตกใจ พิจารณาไปว่า บัดนี้เรานำชีวิตมาสู่ อันตรายด้วยหวังเพื่อบารมี เมื่อตกลงใจเช่นนี้ เกิดขนพองสยองเกล้าอย่าง พิศวงใจ คือปรากฏว่าขนทั้งตัวยาวออกข้างละแขนตั้งขึ้นตั้งลง เสียงเสือยิ่ง ร้องใกล้เข้ามาทั้ง ๖ ตัว มาตัวละทิศ ขณะนั้นเกิดแน่นใจลำคอแข็ง น้ำตา ทั้งสองข้างใหลหยดหยาดออกมา หยิบจีวรในบาตรมาห่มคลุมปิดทั้งตัวทั้ง ศีรษะ นั่งขัดสมาธิแล้วนึกอะไรยังไม่ออก เพราะยังแน่นหน้าอก นึกอะไรก็ไม่ ออก อยู่ประมาณ ๕ ทุ่ม ยังมีลิงไม่ใหญ่ไม่เล็กขนาดกลาง ๆ ลงมาจากต้น ไทร มาร้องโวกเวียนอ้อม ๓ รอบ แล้วเข้ามานอนข้างที่บนหน้าตัก เอา ศีรษะหนุนเข่าขวา ร้องเรียกโวก ๆ ดังนั้นอยู่เรื่อยไป จนกว่าประมาณ ๖ ทุ่ม จึงนึกได้ว่าจะเป็นเช่นนี้กระมังโบราณท่านว่าผีสม่อยกินไส้พุงคนนอนค้างเข้า กลางคืน

พอนึกได้เช่นนี้แล้วอาการแน่นหน้าอกก็ค่อยทุเลาลงพอให้นึกอะไรต่อไปได้ จึง ได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า "สาธุ สาธุ สาธุ ข้าแต่เทพยดาทั้งหลาย พร้อมด้วย คุณพระรัตนตรัย หากว่าข้าพเจ้ายังมีกรรมเวรกับสัตว์ตัวหนึ่งตัวใดแล้ว ขอ สัตว์เหล่านั้นมาล้างผลาญทำลายในชีวิตแห่งข้าพเจ้าให้เป็นไปตามยถากรรม นั้น ๆ หากว่าข้าพเจ้ามิได้มีกรรมเวรกับสัตว์ตัวหนึ่งตัวใดแล้ว ส่วนปฏิปทา การบำเพ็ญบารมีของข้าพเจ้าจงเป็นไป อย่าได้ขัดข้องต่ออันตรายทั้งหลาย อันจะพึงมีในเบื้องหน้า" พออธิษฐานเสร็จลง ลิงตัวนั้นก็กระโดดออกไปขึ้นบน ต้นไทรทันใด ก็นึกขึ้นได้ว่า เราคงจะไม่มีเวรเลย พอสำเร็จอธิษฐานลิงก็ออก หนีทันที ก็นึกดีใจขึ้นมาได้ บริกรรมกำหนดนึกพุทโธ ๆ ตามหายใจเข้า หายใจอออกอยู่เรื่อยไป

พอจวนสว่างเสือก็ร้อง ฮ้าวฮือ ๆ ขึ้น ก็แน่นหน้าอกขึ้นอีก น้ำตาทั้งสองข้าง ก็ไหลหยดหยาดซึมซาบออกมา ไม่ช้าช้างพัด (คำว่า "พัด" หมายถึง "ก็") ร้องเสียงดังเอ๊ก ๆ เอ๊กขึ้นอีก ขณะนั้นใจสะดุ้งขึ้นมาแค้นค้างอยู่ที่ต้นคอ หูดังอื้ออยู่ครู่หนึ่ง ปรากฏลิ้นแข็ง ฟันออกมาที่ริมปากแล้วก็หูดับ แล้วไม่รู้ อะไร ในระหว่างนั้นคล้าย ๆ กับนอนหลับไม่ฝัน ก่อนจะรู้สึกตัวคล้ายกับนอน ฝัน แต่ยังนั่งอยู่ ปรากฏว่ายังมีหญิงสาวหนุ่มคู่หนึ่ง ถือดอกบัวมาอันหนึ่ง มาถวายแล้วบอกว่าท่านจงทนไปเถิด ท่านจะเป็นผู้หมดเวรในชาตินี้ ดังนี้ แล้วก็รู้สึกขึ้นทันที

พอดีสว่าง ก็ไปเที่ยวบิณฑบาตบ้านนั้นอีก พอไปถึงบ้าน นายดีผู้ใหญ่บ้าน บอกแก่ชาวบ้านนั้นว่าท่านองค์นี้ท่านมาบิณฑบาต ใครมีศรัทธาก็จงใส่บาตร ให้ท่านไปเถิด ใครไม่มีศรัทธาก็แล้วไป ส่วนตัวเราเข้าใจว่าจะเป็นคนบ้า กระมัง ถามไม่พูด มิฉะนั้นก็เป็นคนพิกล มาจากแห่งหนึ่งแห่งใดเป็นแน่ วันนั้นมีคนใส่บาตรให้ ๒ คน ได้ข้าวประมาณเท่า ๒ ฟองไข่เป็ดแล้วกลับไป ฉัน พอฉันเสร็จตอนกลางวันก็นั่งสมาธิและเดินจงกรมไปตามเคย

ครั้งค่ำลงตอนเย็น เสือมันร้องเสียงดัง ฮ้าวฮือ ๆ ทุกวัน ๆ พอได้ยินเสียงเสือ ร้องขึ้นก็เกิดแน่นหน้าอกน้ำตาไหลซึมซาบออกมาดังนั้นทุกวันไป ตอนกลาง คืนนอนไม่หลับเคยสักนิด นั่งอย่างไรก็อยู่อย่างนั้น หากจะติง (ขยับ) ตัวหรือ เดินไปมาในเวลากลางคืน ก็นึกว่าเสือหรืออะไรมันจะมองเห็น เอาผ้าจีวรห่อ คลุมศีรษะ แล้วก็นั่งนิ่งอยู่ เพื่อว่าจะให้สัตว์ที่มามองเห็นว่าเป็นตอไม้ไป มัน จึงจะไม่ทำอันตรายแก่เรา ทำอย่างนั้นอยู่ในที่นั้น ๓ วัน ส่วนเวลากลางวัน ก็เดินจงกรมบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้างตามธรรมดา ส่วนกลางคืนนั่งทำพิธีเป็น ตอไม้ไปเลย

อยู่ต่อมาถึงวันคำรบ ๔ คิดปรารภอันจะกลับบ้านและสำนักวัดเดิม ไม่ช้าใน ขณะคิดจะกลับคืนสู่สำนักวัดเดิมนั้นยังมีตะขาบใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากรู หิน มาตรงเฉพาะหน้าแล้วก็กัดสะดือกินใส้ของตนจนจะขาดเป็นท่อนแล้วก็ ตายไป ก็นั่งพิจารณาอาการของสัตว์นั้นอยู่ ไม่ช้ายังมีเต่าใหญ่ตัวหนึ่งคาบ ผลมะสั้นลูกโต ๆ เข้ามาวางจรดกับเข่า หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หลีกไป อาตมา ภาพก็นั่งพิจารณาอาการสัตว์ทั้งสองที่ปรากฏขณะนั้น ได้ความว่า หากเรา เพียรทำลายความกลัวของเราได้แล้ว เราก็จะมีผลดังเต่า ตัวโง่ ๆ ทำไมมัน ยังเอาผลไม้มาให้เราดูได้ ถึงความกลัวนี้ไม่หาย เราก็อดทนต่อความกลัวอยู่ ต่อไป ต่างก็ได้บำเพ็ญขันติบารมี คือว่าจะกลัวเพียงใด ก็อดทนอยู่นั้นเอง ทนต่อความกลัวอยู่ที่นั้น ตอนค่ำมาพอเสือร้อง ๒ เสียงดังฮ้าวอือ ๆ ก็แน่น หน้าอกน้ำตาไหลออกมาอยู่เช่นนั้นได้ ๑๐ วัน

ลงนั่งริมบึงให้เสือกิน

ในวันคำรบ ๑๐ ตอนเย็นเสือร้องที่บนเขา ก็แน่นหน้าอกเข้าอีก จึงนึกขึ้นมา ว่า เราทนต่อความกลัวมาเป็นเวลา ๑๐ วันแล้วไม่เห็นหายสักที เป็นทุกข์อยู่ ดังนี้ร่ำไป หากจะกลับบ้านก็กลัวเพื่อนบรรพชิตพร้อมทั้งอาจารย์จะดูถูกเรา ว่าไปไม่กี่วันก็กลับมา แล้วไม่เห็นเป็นอะไรไปได้ที่ไหน เราก็จะอายขายหน้า และรำคาญหู คืนไปสู่สำนักวัดให้คนอื่นเขาดูถูกปฏิปทาของศาสนา ทั้งเราก็ จะเป็นทุกข์ต่อไปเพราะจะรำคาญหู เขาจะเย้ยเล่นว่าเราเป็นกรรมฐานด้วย ก้อม (คำว่า "ก้อม" หมายถึง ค่อม เตี้ย สั้น)

ตกลงถึงจะอยู่ที่นี้ก็เป็นทุกข์ จะกลับคืนสู่สำนักวัดก็เป็นทุกข์ กลัวเขาจะไม่ เชื่อถือข้อประพฤติของเราต่อไปอีก คือเป็นคนไม่จริงกลับกลอก แหนงว่าเรา ไปให้เสือกัดตายในวันนี้เสียดีกว่าจะทนทุกข์อยู่ดังนี้หลายวันไปอีก ถ้าเรายัง ไม่ตายอยู่ต่อไปอีกพรุ่งนี้หรือมะรือนี้ก็จะเป็นทุกข์ เพราะความกลัวเช่นนี้ต่อไป หากว่าเสือกัดให้เราตายเสียแล้วในวันนี้ก็ใครเล่าจะมากลัวให้เป็นทุกข์อยู่ที่นี้ อีก ตกลงว่าเอาเถิดเป็นทุกข์เพราะเสือกัดไม่กี่ชั่วโมงแล้วก็ตายไป ดีกว่าเรา ทนทุกข์อยู่เช่นนี้ต่อไปหลายวันอีก คิดตกลงแล้วก็เตรียมครองผ้าให้เรียบร้อย เป็นปริมณฑล แล้วก็ตรงไปยังท่าน้ำที่บึงที่เสือเคยลงกินน้ำทุกวัน

พอลงไปถึงริมน้ำแล้วก็นั่งขัดสมาธิ พิจารณาว่า เมื่อมันมากินเรามันก็คงกัด ที่ตรงคอของเรานี้ ประเดี๋ยว ๆ ก็ตายเท่านั้น ไม่ต้องลำบากอีกหลายวัน คิด แล้วก็ตั้งปณิธานปรารถนาว่า "หากข้าพเจ้าตายลงในวันนี้ ด้วยอำนาจแห่ง คุณธรรมทั้งหลายมีผลแห่งการรักษาศีลเป็นต้น จงดลบันดาลยังข้าพเจ้าให้ได้ ถึงสุคติมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า" อธิษฐานเสร็จก็นั่งอยู่ ไม่ช้าเสือก็มาถึง นั่ง หลับตาอยู่ได้ยินเสียงหายใจเสือดังกึกฮือ ๆ เข้าก็ลืมตาขึ้น เห็นเสือตัวใหญ่สี มุ่ม (สีลูกตาล) มองดูเท้าหน้าทั้งสองของเสือใหญ่เท่าต้นคอของเรา นึกแล้วก็ แน่นหน้าอกขึ้นทันที น้ำตาก็หยดหยาดลงในขณะนั้น แล้วตระครุบลงหมา บอยู่คอยให้เสือเข้ามากัด ไม่ช้าเสือครางขึ้นเสียงดังกึกฮือ ๆ แล้วก็คว๊ากฝุ่น ดินมาใส่ถูกศีรษะ ๓ ที แล้ว เสือก็กระโดดขึ้นบนฝั่งบึงแล้วร้องเสียงดังอ้าว ฮือ ๆ ไกลออกไปจึงเงยขึ้นนึกได้ว่า เสือมันไม่กินเราเพราะอันตรายยังไม่มาถึง นึกแล้วก็ขึ้นฝั่งบึงเดินตามหลังเสือขึ้นมาห่างกันประมาณ ๑๐ กว่า ๆ วา พอ เสือมองเห็นก็ทำท่าตะครุบก็เดินตรงเข้าไปหาเสือ ยังอีกประมาณ ๒ ก้าวขา เสือก็กระโดดแล้วจึงไปตามชายเขา ส่วนว่าอาตมาภาพครั้งนั้นก็เดินกลับไปยัง ที่พักร่มไทร ขณะนั้นกำลังเดินไปพรางพิจารณาว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์คือสัตว์ วิเศษ แปลว่าพวกใจสูง พร้อมด้วยบุญญาภิสังขารจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ตกลงว่า ใครทั้งหมดในโลกนี้จะอยู่ได้ทนเพราะความกลัวตายก็หามิได้ หรือ ว่านึกอยากตายแล้วก็ตายลงทันทีหามิได้ ข้อนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์คง ตั้งอยู่ได้หรือตายลงก็ดี ต้องเป็นไปตามยถากรรมของสัตว์ตามให้ผลเท่านั้น

เดินเข้าไปให้เสือกิน

พิจารณาเช่นนี้แล้วก็ถึงร่มไทร นั่งลงที่ก้อนหินที่เคยพักแล้ว ก็พิจารณาต่อไป ว่า "เช่นเราเวลานี้คิดอยากตาย ทั้งไปให้เสือกัดกินเสียด้วย ข้อนี้กรรมยัง รักษาอยู่ยังไม่ให้ผลในความตายมาถึง จึงไม่ตายเช่นคนอื่นเล่า ที่เขาตาย แล้วก่อนเรายังอยู่ในบ้านเรือนเสียด้วย มีพี่น้องญาติวงศ์รักษาไม่อยากให้เขา ตาย คนที่ตายไปนั้นเขาก็ไม่อยากตายแล้วก็ไม่เห็นว่ามีใครทำเขาตาย ทำไม เขาตายไปแล้ว ข้อนี้ความเป็นอยู่ได้หรือความตายไปเหล่านี้มิได้อยู่ในความ ปกครองต้องการของใครเสียแล้ว ความเป็นอยู่หรือความตายไปเป็นเรื่องของ กรรมจะให้ผลเป็นส่วนพิเศษ นอกจากความปกครองของใจต่างหากมิใช่ว่าใจ นี้ปกครองชีวิตได้โดยเด็ดขาด เช่นใจยังไม่อยากตายเลย พอเจ็บปวดที่ไหน เจ้าใจต้องนึกหายามาใส่ ผลที่สุดก็ตาย เช่นใจของเราเวลานี้นึกอยากตายก็ ไม่เห็นมันตาย ข้อนี้อย่าเลยเจ้าใจเอ๋ย ชีวิตความเป็นอยู่นี้หรือจะตายลงเมื่อ ไรมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ในเจ้าเสียแล้ว ฉะนั้นควรแล้วหรือเราจะมานึกกลัวตาย หรืออยากตายให้เป็นทุกข์เปล่า ๆ มิเข้าเรื่องเข้าการความเป็นอยู่หรือความ ตายไปมีตัวกรรมเป็นเจ้าของทำหน้าที่นั้นเป็นส่วนพิเศษ เราจะไปหวงแหน ช่วยเขาให้เขาทำให้ดีขึ้นกว่านี้ก็เปล่า หรือนึกจะทำลายของเขาจนนำไปยอม ให้เสือกัด เสือก็ไม่กัด เพราะเจ้าของเขารักษาอยู่"

เมื่อพิจารณาตกลงเช่นนี้แล้วก็รู้สึกหายกลัว แล้วก็ค่ำเข้าประมาณ ๑ ทุ่มรู้สึก ง่วงนอนมาก ก็นอนทับลงที่ลานหินนั้น เงยหน้าขึ้นมองดูดวงดาวสดใสสว่าง ดี ก็นึกสบายใจขึ้นประการเดียวเท่านั้น ชั่วครู่เสือก็ครางขึ้นใกล้ ๆ เสียงอ้าว ฮือ ๆ ใจก็นึกขึ้นทันที "ว่าบัดนี้ข้าพเจ้ารู้ดีแล้วชีวิตนี้มิได้มีกรรมสิทธิ์ในข้าพเจ้า ใจนึกสั่งเจ้าของชีวิตคือเจ้ากรรม ว่าเจ้ากรรมเอ๋ย ผู้เป็นจ้าของแห่งชีวิต บัดนี้เสือมาใกล้เข้าแล้ว เห็นสมควรเช่นไร เจ้าก็คงจัดการไปตามเรื่องนั้น แหละหนอ" นึกแล้วก็นอนหลับต่อ ขณะหลับอยู่นั้น ฝันว่าช้างเผือกมาจับ ยกเอาทั้งตัวขึ้นนั่งบนศีรษะ แล้วก็เดินขึ้นหลังเขาไปพัก อยู่ร่มไม้ใหญ่เย็น เงียบ

ไม่ช้าก็ตื่น พอตื่นขึ้นก็นึกพยากรณ์คำฝันของตนว่าฝันเช่นนี้ปฏิปทาของเราจะ เจริญยิ่ง ๆ ต่อไป จึงพึงพิจารณาต่อไปว่า แต่ก่อนเรามีความกลัวมาปิดกั้น สันดาน จนนึกอะไรไม่ออก บัดนี้ ความกลัวอันนั้นก็ถึงความพ่ายแพ้ไปแล้ว บัดนี้เราควรจะบำเพ็ญธรรมบทไหนหนอ พิจารณาไปมาก ๆ ระลึกขึ้นได้ว่า "สติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงรับรองว่าเป็นธรรมอันบุคคลพาเจริญ ให้มากแล้วได้บรรลุธัมมาภิสมัย ภายใน ๗ ปีบ้าง ๗ เดือนบ้าง ๗ วันบ้าง"

ต่อมา อาตมาภาพนั่งสมาธิพิจารณาต่อไปว่า กายก็สักเพียงว่า แต่กาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา เรียกกายานุปัสสนา และเวทนา สุขทุกข์ ก็ไม่ใช่เรา เรียกเวทนานุปัสสนา และจิตก็ไม่ใช่เรา เรียกจิตตานุ ปัสสนา และธรรมารมณ์ที่คิดพล่านกับจิตก็ไม่ใช่เรา เรียกธรรมานุปัสสนา

เมื่อพิจารณาเสร็จลงก็เกิดความสนใจมากขึ้นว่า เราปฏิบัติเพื่อจะละกายอัน เป็นมนุษย์ที่เจืออยู่ด้วยความทุกข์ เพื่อจะได้ความสุข เวทนาอันเกิดแก่ทิพ สมบัติสุขนั้นก็มิใช่เรา และของเราเสียแล้ว หรือจิตผู้จะเสวยความสุขก็ไม่ใช่ และไม่เป็นของเราเสียแล้ว และธรรมารมณ์ผู้จะรับรู้ซึ่งความสุขอันเราพึงได้ก็ ไม่ใช่เรา และไม่เป็นของเราเสียแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ปฏิปทาที่บำเพ็ญอยู่ด้วย ความลำบากถึงเพียงนี้ เราจะเมื่อไรหนอเป็นคุณสมบัติอันพึงได้พึงถึง เพราะ ว่ากายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมก็ดี พระเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ไม่ใช่เราและ ไม่เป็นของเราเสียแล้ว ผลจะพึงได้อันเกิดแต่การรักษาศีลและเมตตาภาวนา จะพึงมีที่ไหนหนอ พิจารณาไม่ตกลงก็เกิดความสนใจมากขึ้น พอดีสว่างรุ่ง เช้าขึ้นก็เดินไปบิณฑบาต ขณะเดินไปบิณฑบาตก็พิจารณาไปพลางว่าทุกข์ อันเกิดแต่ความรำคาญก็ปรากฏอยู่ที่เรา สุขอันเกิดจากแต่ความชื่นใจก็ ปรากฏอยู่ที่ ความเฉย ๆ ไม่รำคาญใจและได้ชื่นใจก็ปรากฏอยู่ที่เรา หากสุข เวทนาก็ดี ทุกขเวทนาก็ดี อุเบกขาเวทนาก็ดี พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ใช่ของ เรา ไม่ใช่เรา ทำไม่หนอ จึงปรากฏอยู่ในสันดานของข้าพเจ้าไม่รู้สิ้นรู้สุด ดังนี้

พอเข้าไปถึงบ้าน เผอิญนายดีผู้ใหญ่บ้านแถลงมาบอกว่า คนเช่นคุณไม่รู้บ้า หรือคนทำกลอย่างหนึ่งอย่างใดไม่รู้ จะอยู่อาศัยบ้านนี้ไปนานไม่ได้ จงหลีก ไปเถิด พอกลับจากบิณฑบาตฉันเสร็จก็เตรียมของหลีกไปในวันนั้น

[ ยังมีต่อ ]

<< ย้อนกลับ - หน้าต่อไป >>




Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 20:29:02 น. 0 comments
Counter : 342 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jจุ้ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


facebookฝากข้อความได้ครับ
Google

ฟังวิทยุออนไลครับ
ฟังวิทยุออนไลน์ กดที่รูปครับ




หลับฝันดี
๑ หลับคืนนี้ฝันดีนะที่รัก...
หลับตาพักหลับตาฝันถึงวันใหม่...
หลับคืนนี้คนดีฝันถึงใคร...
รู้บ้างไหมฉันตั้งใจฝันถึงเธอ...


Friends' blogs
[Add Jจุ้ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.