รูปบล็อคนอก
Photobucket - Video and Image Hosting
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
23 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 5

ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน ตอนที่ 5



สารบัญบทความ

ประวัติพระบุญนาค เที่ยวกรรมฐาน
ตอนที่ ๑
ตอนที่ ๒
ตอนที่ ๓
ตอนที่ ๔
ตอนที่ ๕
หน้า 6 จาก 6
[ ๕ ]


ประวัติพระบุญนาคเที่ยวกรรมฐาน



โต้หลักพระศาสนากับพระสมุห์

เมื่อเทศน์จบลงยังมีนายอาจารย์เรื่อง และครูโรงเรียนชื่อนายแก้ว ซึ่งอาศัยกิน อยู่กับเจ้าคณะจังหวัด ท่านพระครูสังฆปาโมกขทวาจารย์ นำเอาเนื้อความซึ่ง อาตมาภาพกล่าวว่าโยมทั้งหลายเป็นเดียรถีย์ พระทั้งหลายก็เป็นอลัชชีไปเรียน ท่านพระครูสังฆปาโมกขทวาจารย์เจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อท่านได้ทราบ ท่านก็โกรธใหญ่ ให้พระสมุห์ภัยไปไล่ให้หนี บอกว่าสามเณรจะมาแข่งดีกับ จังหวัดกาฬสินธุ์หรือเณร อย่ามาทำอย่างนี้เลย เณร จงหลีกไปเถิด เดี๋ยวจะถูกจับสึก

อาตมาภาพตอบว่า ผมนี้มาแล้วจากอุบลจนถึงนี้ จะให้ผมหนีอย่างไรอีก ท่านสมุห์เล่าหนีแล้วหรือยัง ผมเห็นว่าท่านสมุห์ก็ควรหนีไปเที่ยวธุดงค์บ้าง ตามอริยประเพณี

ท่านถามว่าเณรเดินตามอริยประเพณีแล้วหรือยัง
อาตมาภาพตอบว่าผมเข้าใจว่าอริยประเพณีเป็นมา ดังนี้

อาตมาภาพตอบว่า มี ๕ อย่างคือ ๑. ไม่ฆ่าสัตว์อื่น ๒. ไม่เข้าไปว่าร้ายและ ล้างผลาญคนอื่น ๓. สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๔. นั่งนอนเสนาอันสงัด ๕. เป็นใหญ่ในจิตของตน ๕ อย่างนี้แหละเรียกว่าอริยประเพณี

ท่านถามว่าถ้าเณรเดินตามอริยประเพณีแล้ว ทำไมว่าเขาเป็นเดียรถีย์ เป็น พระอลัชชี ไม่ชื่อว่าเบียดเบียนเขาหรือ

อาตมาภาพตอบว่า เปล่าผมไม่ได้เบียดเบียน หากจะมีคนเดียรถีย์และพระ อลัชชีแล้ว ผมสงสารเขาจะไปตกนรก ผมกล่าวขึ้นเพื่อบุคคลเช่นนั้นรู้สึกตัวสัก หน่อย เพื่อจะให้เขากลับสำรวมในพระธรรมวินัยในพระศาสนานี้

ท่านจึงถามว่าเณรเข้าใจว่าใครเป็นเดียรถีย์ ท่านองค์ไหนเป็นอลัชชี

อาตมาภาพตอบว่า บุคคลไม่ถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งบุคคลนั้นเป็นเดียรถีย์ ท่านองค์ไหนแกล้งประพฤติล่วงเกินพระธรรมวินัย ท่านองค์นั้นชื่อว่าอลัชชี

ท่านตอบว่า เช่นฉัน เณรเห็นว่าเป็นอลัชชีหรือลัชชีบุตร

อาตมาภาพตอบว่าถ้าท่านสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ท่านก็เป็นลัชชีบุตร หากท่านไม่สำรวมในพระปาฏิโมกข์ละเมิดล่วงเกินในพระธรรมวินัย ท่านก็เป็นอลัชชี

ท่านจึงถามต่อไปว่า เณรเป็นอรหันต์หรือ ?

อาตมาภาพตอบว่า ถ้าผมสำเร็จอรหันต์ ผมก็เป็นอรหันต์เท่านั้น ถ้าผมยังไม่สำเร็จอรหันต์ ผมก็ยังเป็นปุถุชนอยู่

ท่านจึงถามอีกว่าธรรมอะไรทำให้บุคคลให้เป็นอรหันต์ ?

อาตมาภาพตอบว่า ผู้เห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ ชื่อว่า พระอรหันต์

ท่านจึงถามต่อไปว่า เณรเห็นอริยสัจทั้ง ๔ แจ้งแล้วหรือยัง ?

อาตมาภาพตอบว่า ความรู้จริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ เป็นความรู้ความเห็นของ พระอริยเจ้า หากผมเป็นพระอริยเจ้า ผมก็รู้แจ้งเห็นจริงในอริยสัจทั้ง ๔ ข้อ อยู่ตราบนั้น

ท่านจึงพูดขึ้นว่า ถ้าเช่นนั้นเณรก็เป็นทั้งปุถุชนทั้งอริยะ ใช่ไหม ?

อาตมาภาพตอบว่า ธรรมดาผู้บำเพ็ญพรตในศาสนาพระพุทธเจ้า แรกก็เป็น ปุถุชนปฏิบัติเพื่ออริยมรรคนั่นเอง

ท่านสมุห์ภัยถามต่อไปว่า เณรได้อริยมรรคแล้วหรือยัง ?

อาตมาภาพตอบว่าผมจำได้ซึ่งองค์อริยมรรค ๘ ประการ มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด

ท่านจึงบ่นต่อไปว่า ความจำองค์อริยมรรค ๘ ได้เท่านั้นจะสำคัญตนเป็น ผู้วิเศษไป อ้ายพันนี้มันบ้าจริง ๆ ตัวของเณรนี้แหละเป็นตัวอลัชชีใหญ่ แกบวชเข้ามาเบียดเบียนหมู่พวกภิกษุสามเณร ดูหมิ่นดูถูกเพื่อนบรรพชิตด้วย กันทั้งหมดว่าพวกนั้นเป็นอลัชชีพวกนี้เป็นลัชชีบุตร เดี๋ยวแกยุแหย่ให้สงฆ์แตก ร้าวเป็นอนันตริยกรรม ตัวของเณรเองจะเป็นโทษถึงอนันตริยกรรม ตายแล้ว แกก็ไปตกอเวจีมหานรกเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้แกก็ไม่ควรเป็นเณรแล้ว การติเตียน พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นนาสนังคะ ขาดครองเณรมิใช่หรือ ตกลงเณร นี้แกไม่ใช่เป็นเณรแล้ว แกติเตียนพระสงฆ์ นี้ท่านอุบาสก อุบาสิกา เธอคนนี้ ไม่ใช่เณรแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายอย่าพากันเชื่อถือมาก พวกเจ้าจะนำพากัน เป็นบ้าไปตามเธอคนนี้ทั้งหมดใช้ไม่ได้ พวกเจ้าจะพากันติเตียนพระสงฆ์แล้ว พวกเจ้าจะพากันไปทำบุญที่ไหน เพราะพระสงฆ์เท่านั้นเป็นบุญเขตของโลก

ต่อนั้น ท่านจึงผินหน้ามาถามอาตมาภาพว่า ใช่ไหมเธอ หรือเธอเห็นเป็น อย่างไรอีก ?

อาตมาภาพตอบว่า ท่านจะถามถึงความเห็นของผมแล้วก็มีความเห็นอยู่ หลายอย่าง หลายประการ มีนัยอันจะพูดอยู่มากมายมิใช่เล่น

ท่านสมุห์ภัยท่านจึงบอกว่า แกมีความเห็นมากมายนั้นเห็นอย่างไร จะพูดได้ มากมายนั้น แกจะพูดได้อย่างไรจงพูดขึ้นมา

อาตมาภาพพูดต่อไปว่า เท่าที่ท่านสมุห์จะมาโทษว่า ผมขาดจากเณรทีเดียว ด้วยเหตุแห่งการติเตียนพระอลัชชีเท่านั้นผมไม่เห็นด้วย เพราะผมมิใช่ติเตียน พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผมพูดเพื่อจะให้พระอลัชชีรู้ความผิดของตน เท่านั้น ส่วนพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าผมไหว้อยู่ทุกวันว่า สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ จนถึงสามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ผู้ปฏิบัติดีและผู้ปฏิบัติชอบนั้นแหละถือว่าพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ผม มิได้ติเตียนพระสงฆ์ผู้ประพฤติดี ผมกล่าวตามโทษของบุคคลผู้กระทำผิดพระ วินัย ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ท่านเคืองอะไรหนักหนาหรือท่านประพฤติผิด พระธรรมวินัยกับเขาบ้าง

ท่านตอบว่าไม่ว่าแต่ฉันเลย เจ้าคณะแขวงก็มีม้ามีวัวมีเงินตั้งหลายพันบาท ไม่เห็นว่าท่านเป็นพระอลัชชี

อาตมาตอบท่านว่า ถ้าเช่นนั้นท่านทั้งหลายค่อนข้างเป็นพระอลัชชีไปแล้วมิใช่ หรือ พระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามิได้ยกเว้นเจ้าคณะแขวงให้ประพฤติผิด พระธรรมวินัยมิใช่หรือ ใครต่อใครก็ตาม ครั้นเมื่อบวชแล้วก็มีศีลสังวร ๒๒๗ ข้อเสมอภาคกันมิใช่หรือ หรือท่านยกเว้นที่ไหนบ้าง

ท่านสมุห์จึงพูดว่าขี่ม้าเท่านั้น จับเงินขายทอง และซื้อของบางสิ่งบางอย่างเท่า นั้น จะขาดความเป็นสมณะด้วยหรือเณร

อาตมาภาพตอบว่าไม่ชื่อว่าเป็นสมณะด้วยเหตุแห่งการเบียดเบียนสัตว์อื่นนั้น เอง ดังมีในภาษิตว่า นะ หิ ปัพพชิโต ปะรูปะฆาตี สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต แปลว่า ผู้ฆ่าสัตว์อื่นเบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะเลย ดังนี้ครับ

ท่านโกรธใหญ่ว่า ถ้าเช่นนั้นเณรก็คงเหมาพระทั้งหมดไม่ชื่อว่าเป็นสมณะทั้ง นั้นใช่ไหม ?

อาตมาภาพตอบว่า ผมไม่ได้เหมาใครเลย เป็นแต่ผมแสดงธรรมไปตามคำสั่ง สอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

ท่านสมุห์ภัยจึงพูดขึ้นว่า เรื่องอื่นมีถมไป ทำไมเณรไม่เทศน์ ทำไมเณรจึง เทศน์เรื่องส่อเสียดพระเจ้าพระสงฆ์

อาตมาภาพตอบว่า อันที่จริงผมต้องการประกาศศาสนา ในเรื่องนี้ผม พิจารณาเห็นว่า ผู้บวชในศาสนาทุกวันนี้ถือกันเป็นแค่เจ้าลัทธิเท่านั้น สำคัญ ว่าได้บวชแล้วก็เป็นตัวบุญเท่านั้น คือถือเอาแค่ลัทธิศีรษะโล้นห่มผ้าเหลืองเท่า นั้น เป็นอันว่าสำเร็จในการบำเพ็ญบุญมาแล้ว ก็ประพฤติผิดพระธรรมวินัยไป ต่าง ๆ เพราะสำคัญว่าเราเป็นพระแล้ว ทำไปบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะใครเขา คงจะไม่อาจว่าเราได้ง่าย ๆ เพราะเราเป็นพระ ถ้าเขาดูหมิ่นเราโดยเหตุเล็ก น้อยเท่านั้น เขาก็กลัวบาปเพราะเราเป็นพระแล้ว ข้อนี้แหละเป็นเหตุให้ ศาสนาเสื่อม ฝ่ายพระก็ทนงตัวว่าเราเป็นพระ ใครไม่อาจดูหมิ่นเราได้ ฝ่าย โยมเห็นความผิดของพระก็ไม่กล้าทักท้วงเพราะกลัวเป็นบาปนี้เอง ทั้งฝ่ายพระ ก็ไม่มีความละอายกลายเป็นพระอลัชชี ทั้งฝ่ายโยมก็เห็นผิดกลายเป็นเดียรถีย์ ต่างก็พากันมาสำคัญลัทธิที่ผิด ๆ เท่านี้ว่าเป็นบุญกุศล มิได้ประพฤติหาความ จริงของพระพุทธศาสนา ต่างก็มาสำคัญว่าเป็นปฏิปทาของพระพุทธศาสนาหมด วิธีทำกันเท่านั้นแล้วก็นอนใจอยู่ มิหนำซ้ำยังประพฤติย่ำยีพระพุทธ ศาสนาให้ถึงแก่ความคร่ำคร่าลงไป จะได้นามว่าพุทธบริษัทคือหมู่เหล่าของ ท่านผู้รู้วิเศษอย่างไรได้

ถูกเจ้าคณะจังหวัดกักตัว

ต่อนั้น ฝ่ายคณะสงฆ์จังหวัดกาฬสินธุ์ มีท่านพระครูสังฆปาโมกขทวาจารย์ เป็นประธานกักตัวของอาตมาภาพแล้วยื่นคำร้องมาเรียน พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพรหมมุนี (คือสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) วัดบรมนิวาส กรุงเทพมหานคร) เมื่อท่านดำรงค์สมณศักดิ์เป็นพระโพธิวงศาจารย์ อยู่ จังหวัดนครราชสีมา หาว่าอาตมาภาพดูหมิ่นผู้ประพฤติพุทธศาสนาทั่วไปใน สังฆมณฑล ตกลงเวลานั้นถูกกักพร้อมทั้งการไต่สวนอยู่ที่นั้น ๑ เดือนกับ ๑๔ วัน พระสงฆ์ในจังหวัดกาฬสินธุ์อุทธรณ์ ๒ ครั้ง หมายว่าจะให้ฉิบหาย จากศาสนาเลย ทั้งบังคับให้สึก ขู่เข็ญหลายอย่างหลายประการ อาตมาภาพ ปฏิญาณตนว่า เมื่อชีวิตนี้ยังอยู่ตราบใด จะไม่เปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจาก กาย หากท่านทั้งหลายจะสึกผมแล้วจงทำศีรษะของผมให้ขาดออกจากร่าง กายนี้เป็น ๒ ท่อนก่อนจึงค่อยเปลื้ยงผ้าเหลืองออก จึงจะเป็นอันสึก หาก ดวงชีวิตนี้ยังอยู่ อย่าเลยท่านทั้งหลายเอ๋ย ในชีวิตนี้เป็นไปไม่ได้เสียแล้วใน การสึกของผม ถึงไหนถึงกัน หากจะล้างผลาญชีวิตของผมให้ตายลงวันนี้ก็ ยอมตาย หากจะให้สึกไม่ย่อมสึกเป็นอันขาด ในชีวิตนี้ ท่านทั้งหลายต้องการ อย่างไรทำไปเถิดหากผมไม่ได้มอบชีวิตนี้ถวายแก่พรหมจรรย์แล้ว ที่ไหนผมจะ มาแสดงในข้อว่าท่านทั้งหลายประพฤติค่อนข้างเป็นอลัชชี ท่านทั้งหลายจงฟัง ดูเถิด คำพูดอันนี้เป็นคำพูดหมิ่นพระอลัชชีโดยตรงอยู่แล้ว ท่านทั้งหลายเห็น ใครอื่นเขาพูดกันไหม เพราะเขากลัวผิดกลัวตายกันอยู่ จึงช่วยนิยมความ ประพฤติผิดพระธรรมวินัยเป็นถูกนิยมกันอยู่เท่านั้น ส่วนผมเล่าเอาเถอะ ใน ชีวิตนี้จะตายลงวันไหนก็ตาม ขอแต่ได้ประพฤติพระธรรมวินัยให้เป็นไปอยู่ และได้นำความจริงของศาสนามาประกาศตามเป็นจริงอยู่เช่นนี้ ผมมิได้ห่วง ในชีวิตอันทำกิจของพรหมจรรย์ให้เป็นไปอยู่ เพราะผมได้มอบชีวิตแล้วแก่ พรหมจรรย์อย่างแน่นแฟ้น เรื่องของศาสนานี้ ผมมิได้หวาดหวั่นแล้ว อย่าหา ว่าแต่ท่านทั้งหลายจะมาขู่ให้ผมสึก หรือให้เห็นตามข้อประพฤติที่ผิด ๆ ของ ท่านทั้งหลายมิได้มี และท่านทั้งหลายเอ๋ยคนเช่นผม ถ้าไม่แน่นอนในใจแล้ว ทั้งไม่ประพฤติ ทั้งไม่พูดในเรื่องนั้น ๆ ถ้าประพฤติหรือพูดลงแล้ว ยอมสละ ชีวิตลงแทนคำพูดและความประพฤติของตนอย่างเด็ดหัวตัวขาดทีเดียว คำพูด ทั้งหมดที่ผมแสดงไปว่า พระทั้งหลายเป็นอลัชชี โยมทั้งหลายกลายเป็น เดียรถีย์ ข้อนี้นั้นผมเผดียงหาตัวพระอลัชชีเท่านั้น มิใช่ผมพูดด้วยความเห่อ เหิมของคนนับถือเท่านั้น บัดนี้ ผมขอประกาศอีกเป็นครั้งที่ ๒ ว่า ตัวผมเอง ได้มองเห็นมลทินของศาสนา คือ พระเณรประพฤติไม่เป็นธรรมแล้ว แต่ครั้ง ผมจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำภูผากูดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ จึงได้เที่ยวธุดงค์ออกมาเพื่อ ประกาศพระพุทธศาสนา ทั้งเผดียงหาตัวพระอลัชชี พึ่งมาพบเมื่อเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ปี พ.ศ. ๒๔๗๓ ในจังหวัดกาฬสินธุ์นี้เอง ก็ชอบกลอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเกิดก็เกิดเดือน ๓ ขึ้น ๓ ค่ำ ตั้งใจจะทำกิจของศาสนาก็มีการอันถึง พร้อม ในกำหนดอันเดียวกัน บางที ต่อไปข้างหน้าหากชีวิตของข้าพเจ้ายัง ตั้งอยู่ไปนาน อาจจะบริหารพระพุทธศาสนานี้ให้เป็นยุคเป็นธรรมก็อาจเป็นได้

นี่แหละฟังดูเถิดท่านทั้งหลายเอ๋ย ความตั้งใจของผมได้เป็นมาแล้วอย่างนี้ ที่ไหนผมจะหวั่นไหวต่อความกระทบกระทั่งของท่านทั้งหลายด้วยฝีปากเท่านั้น มิได้มีเลยแม้แต่ชีวิตนี้ผมก็ได้สละลงแล้ว เพื่อกิจของศาสนาอันมีคุณานุภาพ อันยิ่งใหญ่ไพศาล

อุบายแนะนำของอาจารย์

ครั้นเมื่ออาตมาภาพหยุดพูดนิ่งอยู่ ฝ่ายคณะสงฆ์ก็เขียนคำร้องอุทธรณ์มาเป็น ครั้งที่ ๒ ผลที่สุดพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมมุนีที่อยู่วัดบรมนิวาสทุก วันนี้ จึงตัดสินใจให้ตัวอาตมาภาพลงไปชำระที่จังหวัดนครราชสีมา อาตมา ภาพจึงมีจดหมายไปเรียนท่านอาจารย์สิงห์และอาจารย์มหาปิ่นพร้อมกับท่าน พระครูวิเศษสุตคุณ เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น ตกลงท่านอาจารย์สิงห์และ อาจารย์มหาปิ่นก็ลงมาแก้ไขช่วยที พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพรหมมุนีที่ จังหวัดนครราชสีมา ตกลงท่านก็ตัดสินยกเลิกและเรียกเอาตัวของอาตมาภาพ กลับไปอบรมปฏิปทาของศาสนาในสำนักของท่านอาจารย์สิงห์และท่าน อาจารย์มหาปิ่นอีก ครั้นเมื่อกลับมาถึงสำนักของท่านอาจารย์สิงห์แล้ว ท่านก็ แนะนำอุบายให้ว่า บัดนี้คณะปฏิบัติยังไม่มีความกล้าหาญเสมอภาคกัน ยัง เริ่มริอยู่ จงปฏิบัติเรื่อย ๆ ไป ต่อเมื่อได้มีกาลอันถึงพร้อมจงทำกัน หากไม่มี โอกาสอันเหมาะแล้ว จงแสวงหาความพ้นทุกข์โดยส่วนตัวนั้นเถิด เพราะ เวลานี้พวกปฏิบัติยังอ่อน เท่ากับกำลังหว่านข้าวกล้าลงในนานั่นเอง

ครั้นเมื่ออาตมาภาพได้รับโอวาทท่านแล้ว จึงขอลาท่านไปจำพรรษาอยู่ที่ภูเขา ฝายพญานาคในพรรษานั้นตั้งใจบำเพ็ญความสงบส่วนตัวก็นับว่าได้ความ สบายใจ มิได้มีอุปสรรคอันหนึ่งอันใดเลย

ถ้าสึกจะมอบสมบัติและลูกสาวให้

ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว เที่ยวธุดงค์ไปทางจังหวัดมหาสารคาม ไปพักอยู่ที่ บ้านแห่งหนึ่ง ยังมีคนตระกูลหนึ่งเขาเป็นคนมีทรัพย์พอสมควร เขาก็นิมนต์ ให้พักอยู่ที่ป่าช้าได้ ๒๐ วัน แกคนนั้นเป็นคนเข้าออกปฏิบัติทั้งแม่ทั้งลูก ครั้น ต่อมาโยมคนนั้นจึงเล่าความเป็นมาของเขาว่า ผมก็แก่แล้ว การไปมาก็ไม่ สะดวก และผมเป็นทุกข์อยู่อย่างหนึ่งคือ หากผมตายลงไปกลัวจะไม่มีใครจะ พาลูกของผมอยู่ เพระผมมีลูกสาวคนเดียวเท่านั้น ทรัพย์สิ่งของก็มากมาย ไม่รู้ว่าใครจะมาช่วยรักษาและพาลูกของผมอยู่กินไปล่วงหน้า คนโดยมากไม่ ตั้งอยู่ในศีลธรรม เป็นแต่นักเล่นถั่วเล่นโปและนักเลงสุรา หากจะเอาคนพวก นั้นมาปกครองรักษาทรัพย์ ก็เป็นอันว่าถึงความฉิบหายเท่านั้น ท่านคุณเณร ก็ยังดูน้อยยังหนุ่มนัก ขอให้อยู่ไปนาน ๆ ก่อน อย่าไปเที่ยวไปทางอื่นอีก หรือหากจะสึกออกมา พ่อก็จะมอบสมบัติให้ครอบครอง ดังนี้

ต่อไป อาตมาภาพก็นั่งนิ่งอยู่มิได้พูดคำหนึ่งคำใด ทำดุจกับว่านั่งสมาธิ ดู เหมือนว่าแกคนนั้นมีความละอายขึ้น แล้วก็ลากลับขึ้นบ้าน ครั้นเมื่อคำลงวัน นั้นอาตมาภาพจึงพิจารณาต่อไปว่า บัดนี้เรามีอายุเพียง ๒๐ ปีเท่านั้น บัดนี้ เราหนุ่มนักจะอยู่ในศาสนาตลอดชีวิตไหม ครั้นพิจารณาเช่นนี้ก็รู้สึกขึ้นทันที ว่า บัดนี้จิตของเราเอนเอียงเป็นไปตามความชักนำของโยมคนนั้น ครั้นระลึก ขึ้นได้ทำความประดุจหนึ่งว่าขู่จิตของตนว่าแม้เราปฏิบัติหาทางพ้นทุกข์เป็น เวลา ๗ ปี นี้เรื่องการอะไรหนอจะมาสงสัยกับมาตุคามอยู่เช่นนี้ อย่าเลยนะ สถานที่นี้เป็นอัปมงคลแล้ว เราควรหนีเสียเดี๋ยวนี้แหละดีกว่า ครั้นพิจารณา แล้วก็หนีไปในกลางคืนวันนั้น

ครั้นเดินไปตามทางกลางคืน วันนั้นตั้งใจพิจารณาว่าเจ้าอวิชชาอยู่ลุ่มลึกนัก หากมาทำความวิจิกิจฉาสงสัยขึ้นมิเข้าเรื่องเข้าการ อย่าเลยนะเราจะต้องเข้า ป่าช้าเข้ารกเพื่อดัดสันดานความลุ่มหลงตอนนี้ให้แยบคายลงไป

๗ วันฉันข้าว ๑ หน

ครั้นเมื่อพิจารณาตกลงเช่นนั้นก็เที่ยวไปหาที่สงบอีก ๕ วัน ถึงแม่น้ำโขงแล้วก็ เดินไปตามภูเขา อาศัยบิณฑบาตฉันตามบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่ตามชาย เขา อีก ๓ วันถึงภูเขาคง แขวงเมืองคำทองก็พักทำความเพียรอยู่ถ้ำแห่งหนึ่ง ชื่อถ้ำสองห้องและพักจำพรรษาอยู่ที่นั้น ในกลางพรรษานั้นบำเพ็ญทรมานอด ข้าว ๗ วัน ฉันหนหนึ่งจนตลอดพรรษา ในเดือนแรกนึกว่าชีวิตนี้จะตั้งอยู่ไม่ ตลอด ๓ เดือน เพราะมีอาการเหน็บชาไปทั่วร่างกาย ครั้นถึงวันคำรบ ก็ฉัน ข้าว ขณะที่ฉันลงไปประมาณครึ่งอิ่ม เกิดอาการอยากนอนขึ้น ครั้นฉันจนอิ่ม ก็มีอาการมืดหน้ามืดตาถึงจะลืมตาอยู่ก็มองไม่เห็นอะไร มืดไปหมดถึงจะลืม ตาดูตะวันก็ไม่เห็นตะวัน เป็นแต่จะนอนเสียให้ได้ นอนอิ่มหนึ่งแล้วตื่นนอน ขึ้นมาแล้วจึงมองเห็นอะไรต่ออะไรได้

ครั้นต่อมาเดือนที่ ๒ ก็ทำอย่างนั้นเรื่อยไป คือ ๗ วันฉันหนหนึ่งถึงวันคำรบ ๗ แล้วก็ออกบิณฑบาตมาฉัน ครั้นฉันก็มีรสดี แต่ฉันมากไม่ได้ ถ้าฉันมาก อาเจียนเสียหมด แต่ไม่ถึงกับมืดหน้ามืดตาอย่างก่อน ต่อนั้นก็อุตส่าห์ บำเพ็ญต่อไประหว่าง วันไหนยังไม่ถึงวันกำหนดฉัน ตื่นขึ้นแต่เช้า รู้สึกเหน็บ ชาขึ้นแต่ปลายเท้าจนถึงหนังศีรษะ ครั้นต่อไปจนตลอดพรรษา ส่วนร่างกายรู้ สึกซีดผอมเหี่ยวแห้งมาก ออกพรรษาแล้วก็กลับฉันทุกวันได้ ๑๖ วัน ปรากฏ ว่าเหงื่อซึมปลายเท้าปลายมือและริมฝีปาก ส่วนผิวหนังยังยุบเหี่ยวเปราะลอก ออกได้ยาว ๆ ตามหลังมือหรือศอกแขน ผิวหนังที่ลอกออกมามองส่องตะวัน เห็นรูขนเป็นแถว ๆ ได้พิจารณาเป็นอนิจจังว่าดวงชีวิตยังตั้งอยู่ภายในกายนี้ แต่ผิวหนังที่ลอกออกมานี้ เขาตายไปแล้วจากความอยู่แห่งชีวิต ครั้น พิจารณาดังนี้ก็เกิดความสังเวชขึ้น รู้สึกจิตดิ่งลงไปตั้งอยู่ปกติ ต่อไปนั้นก็ พิจารณาความสงบอันนั้นให้นิ่งอยู่ นิมิตปรากฏเห็นช้างสารใหญ่ทั้ง ๒ ตัว เข้ามาจับตัวอาตมาภาพขึ้นนั่งบนหลังแล้วพาขึ้นไปบนภูเขาสูง ๆ แล้วคว้าเอา ผ้าไตรจีวรมาวางลงไหล่ขวาแห่งอาตมาภาพ แล้วยกลงวางไว้ที่บนก้อนหินที่ เป็นยอดภูเขา ต่อนั้นก็รู้สึกตัว ก็ยังนั่งสมาธินิ่งอยู่ที่ก้อนหินต่อนั้นก็พิจารณา ต่อไป นี้เรื่องอะไร ได้คำตอบความว่า การอุปสมบทเป็นพระของเราจะเป็นผู้ ใหญ่ทั้งสองฝ่ายท่านจะโปรดอนุเคราะห์ ต่อนั้นอาตมาภาพก็เที่ยวธุดงค์มา จากเมืองคำทองแดนของฝรั่งเศสเรื่อยมาถึงกรุงเทพฯ นี้ เมื่อเดือน ๔ ขึ้น ๘ ค่ำ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ครั้นมาถึงในวันนั้น พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พรหมมุนีจึงเรียกเข้าไปถามว่า "เณรนี้หรือถูกเจ้าคณะแขวง จังหวัดกาฬสินธุ์ กักตัว" อาตมาภาพก็รับตามเป็นจริง ท่านจึงจับไปดูลายมือลักษณะที่มีอยู่ บนฝ่ามือแล้วท่านก็สั่งว่าจงหัดขานนาคเสีย

อุปสมบท

พอใกล้อุปสมบทแล้ว ครั้นวันหนึ่ง ท่านก็สั่งไปกับแม่ชีเป๋าว่า เรียนท่านที่วัง ให้ทราบว่าอาตมาจะบวชพระรูปหนึ่งหวังว่าคงไม่เหลือวิสัย ต่อนั้น คุณเป๋าก็ มาเรียนพระเดชพระคุณท่านที่วัง ก็รับอนุเคราะห์จัดการสมณบริขารอุปสมบท อาตมาภาพเป็นภิกษุขึ้นในศาสนา เมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๕ ค่ำ ใน พ.ศ. นั้น

ครั้นบวชแล้วก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี้ไม่กี่วัน เดือน ๕ ข้างแรม ท่านเจ้าคุณนำตัว ของอาตมาภาพกลับที่โคราช อาตมาภาพได้จำพรรษา ที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมานั้น

ครั้นออกพรรษาแล้ว อาตมาภาพก็เที่ยวลงมาทางพระบาทสระบุรี เตลิดเข้า มาที่กรุงเทพ อยู่ ๘ วัน อาตมาภาพก็ขอเจริญพรลาพระเดชพระคุณ โปรด ช่วยอนุเคราะห์ค่าโดยสารรถเสร็จแล้วอาตมาภาพก็กลับไปจำพรรษาที่วัดป่า สาลวันกับอาจารย์สิงห์ที่โคราชอีก ในระหว่างกลางพรรษาที่ ๒ เกิดโรคเหน็บ ชา อ่อนเพลีย บางวันก็ออกไปบิณฑบาตไม่ได้ บางวันก็ไปได้ นึกว่าหายาที่ ไหนมาฉันก็ไม่หาย นึกรำคาญใจขึ้นมา ก็นึกว่าจะไม่ฉันอาหารเสียเลย ให้ มันตายเสียดีกว่าจะอยู่เป็นทุกข์ไปหลายวัน ครั้นพิจารณาตกลง


<< ย้อนกลับ




Create Date : 23 ตุลาคม 2554
Last Update : 23 ตุลาคม 2554 20:56:25 น. 0 comments
Counter : 285 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Jจุ้ย
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




ข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ


facebookฝากข้อความได้ครับ
Google

ฟังวิทยุออนไลครับ
ฟังวิทยุออนไลน์ กดที่รูปครับ




หลับฝันดี
๑ หลับคืนนี้ฝันดีนะที่รัก...
หลับตาพักหลับตาฝันถึงวันใหม่...
หลับคืนนี้คนดีฝันถึงใคร...
รู้บ้างไหมฉันตั้งใจฝันถึงเธอ...


Friends' blogs
[Add Jจุ้ย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.