ตุลาคม 2557

 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
มาแล้วนะสุราษฎร์ธานี 3 คืน 4 วันตอนเดียวจบ
สวัสดีค่ะ

วันนี้ขอไปล่องใต้บ้างค่ะ ไม่ได้มาเที่ยวภาคนี้นานแล้ว สบโอกาสได้ตั๋วเครื่องบินราคาไม่แพง   เลยไปเที่ยวสุราษฎร์กันดีกว่า อยากไปไหว้พระบรมธาตไชยาและไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา ตามไปเที่ยวด้วยกันนะคะ เผื่อเพื่อนๆสนใจอยากเที่ยวตามโปรแกรมนี้บ้าง  

26/9/2557

พอเครื่องลงที่สุราษฎร์ใกล้ๆบ่ายโมง เราก็รับรถเช่าที่อยู่ในสนามบินจาก" Sixt" ที่ซื้อคูปองมาจากงานไทยเที่ยวไทย จองไว้บ่ายสองโมงแต่รับรถเร็วไปหนึ่งชั่วโมงก็ไม่ได้มีปัญหาใดๆยืดหยุ่นกับลูกค้าดีนะคะ (ตอนส่งรถคืนก็ขอช้าไปสี่ชั่วโมง เพื่อให้พอดีจำนวน 3 วัน )

พร้อมเดินทางกันแล้วก็ขับรถออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปทางอ.ไชยา ขับมาได้ไม่ไกลจากสนามบินให้สังเกตป้ายบอก ร้านต้มเลือดหมูนครปฐม ชื่อร้านจำไม่ได้แล้วค่ะเป็นอาคารพาณิชย์อยู่ติดกันหลายๆห้อง เหมาะที่จะเติมเสบียงลงท้องแบบง่ายๆก่อนค่ะ และรสชาติเขาก็อร่อยทีเดียวค่ะ บนโต๊ะมีขายขนมซึ่งรสชาติคล้ายขนมใส่ไส้บ้านเราแต่ตัวแป้งทำจากสาคู ชื่อที่คนใต้เรียกไม่คุ้นหูจำไม่ได้ค่ะ



จากสนามบินมาอ.ไชยาถ้าไม่แวะทานข้าวก่อน สักสามสิบนาทีก็ถึงแล้วค่ะ เราแวะที่สวนโมกข์ก่อน ภายในบรรยากาศร่มรื่นเหมือนอยู่ในป่ามากๆ แต่ไม่ได้ใช้เวลาที่นี่นานมากนัก 



จะสุขหรือสุกเราเองเลือกเอาได้นะคะ



คิดไว้นานแล้วค่ะว่าสักวันจะต้องเดินทางมาที่"วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร"นี้ให้ได้สักครั้งในชีวิต เพราะอยากจะมากราบสักการะพระบรมธาตุไชยาปูชณียสถานอันเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองมาเป็นพันปี อยากจะมาเห็นเจดีย์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่อาณาจักรศรีวิชัย 

ด้านหน้าวัดมีพิพิธภัณฑ์ มีพี่คนหนึ่งซึ่งประจำอยู่ในป้อมเล็กๆด้านหน้าใจดีและกระตือรือล้นมากในการเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวแวะเข้าไปดูด้านในพิพิธภัณฑ์ แต่โบราณวัตถุชิ้นสำคัญๆของจริงส่วนมากอยู่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรุงเทพนี่ล่ะค่ะ (ใครยังไม่เคยไปหาโอกาสไปดูให้ได้สักครั้งในชีวิตนะคะ)



ขอบูชาพระบรมธาตุไชยาด้วยการเดินเวียนรอบพระธาตุ 3 รอบพร้อมด้วยการสวดบทพระพุทธคุณ (ก่อนหน้านี้มีคณะนักเรียนมากันหลายรถบัสเลยค่ะ ได้ยินเด็กหลายๆคนถามกันตลอดว่าครูให้เดินกี่รอบ เรารอให้คนอื่นๆไปหมดก่อนแล้วเดินคนเดียว คนที่วัดบอกว่าเมื่อวานน้ำท่วมพื้นด้านล่างเลยให้ขึ้นมาเดินกันตรงระเบียงวิหารคด)



ออกจากวัดพระบรมธาตุไชยาเลี้ยวขวาแล้วตรงขึ้นมาประมาณหนึ่งกิโลก็เจอป้ายที่ปากซอยเขียนไว้ว่า วัดหลง จำได้ว่าเคยอ่านเจอว่าแถบนี้เป็นวัดเก่ามีมาตั้งแต่โบราณเช่นกัน เคยขุดพบซากโบราณวัตถุเป็นจำนวนมากเลยขอมาดูของจริงให้เห็นกับตาสักครั้ง 

ที่เห็นคือมีซากเจดีย์ขนาดใหญ่มีรั้วล้อมรอบ และถึงแม้มีรั้วล้อมรอบเรากลับเห็นเด็กนักเรียนชายหลายคน เดินข้ามรั้วและขึ้นไปเดินเล่นบนซากเจดีย์อายุเป็นพันปี เด็กๆอาจจะยังมองไม่เห็นคุณค่า คงต้องเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะปลูกฝังจิตสำนึกที่ดีในการช่วยกันดูแลรักษาสมบัติของชาติ



พอมาถึงเวลานี้ก็ประมาณสี่โมงเย็นกว่าๆแล้ว ขับตรงไปพุมเรียง อีกสิบกว่านาที หาอาหารทะเลอร่อยๆกินเป็นมื้อเย็น ขับตรงมาเรื่อยๆจนมาถึงจุดที่เหมือนแยกออกจากกัน เอาล่ะซีจะไปทางไหน จริงๆแล้วไปได้ทั้งสองทางค่ะ แต่ถ้ามุ่งจะไปร้านอาหารริมทะเลให้ไปทางขวาไว้นะคะ ตรงไปอีกเรื่อยๆจะเห็นลานจอดรถอยู่หน้าร้าน มีให้เลือกอยู่สองร้านอยู่ติดกัน

ร้านพลับพลาซีฟู๊ด ต.พุมเรียง อ.ไชยา ติดทะเลค่ะ บรรยากาศแบบชาวบ้านๆ นั่งกินอาหารมองวิวทะเลเพลินๆ ร้านใหญ่ สามารถรองรับกลุ่มสัมมนา กรุ๊บทัวร์ได้แบบสบายๆ 




มาสุราษฎร์ธานีครั้งนี้เน้นกินอาหารทะเลเป็นหลัก ปูทะเลร้านนี้ สด แน่น ไม่ผิดหวัง 
วัตถุดิบดี ฝีมือการปรุงก็คงแล้วแต่ความชอบส่วนตัว



ก้ามปูขาวนึ่งมาเนื้อแน่นๆ หอยนางรมสดๆ นั่งมองทะเลดูน้ำลด รับลมทะเลเย็นๆ



คืนนี้เราเลือกพักที่ The O Valley Boutique (ท่าโรงช้าง)ที่พักราคาประหยัดและอยู่ระหว่างเส้นทางที่เราจะเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้ (ระวังนิดหนึ่งนะคะ ตอนกลับออกจากพุมเรียง จะเจอสี่แยกแรกและมีป้ายบอกเลี้ยวขวาไปอ.กาญจนดิษฐ์ อย่าเพิ่งเลี้ยวนะคะให้ตรงไปก่อน)

27/9/2557

จากโรงแรม The O Valley Boutique  ไปสี่แยกที่ใช้มุ่งไปเขาสกนั้นไม่ไกล จะแวะตุนเสบียงหรือเครื่องดื่มที่ปั๊มที่อยู่ติดกับตัวโรงแรมเลยก็ได้ 

ขับมาตามเส้นทางหลวงหมายเลข 401 ผ่านแยกบ้านตาขุนที่เลี้ยวขวาไปเขื่อนรัชชประภา วันนี้เรายังไม่ไปเขื่อนค่ะ เรามุ่งหน้าไปเที่ยวที่อื่นก่อน ขับมาถึงประมาณหลักกิโลที่ 92 ซ้ายมือก็จะเห็นป้ายของ"วัดถ้ำวราราม"หรือ"วัดถ้ำปลา" เรามาถึงประมาณสิบโมงยังไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ถามแม่ค้าว่าไปให้อาหารปลาตรงไหน แม่ค้าว่าให้เดินเข้าไปในถ้ำตรงไปเรื่อยๆเลยค่ะ



เดินทะลุถ้ำออกมาอีกด้านจะเจอคลองสก 



ตรงท่าน้ำมีปลาตะเพียนหางแดงชาวบ้านเรียก "ปลาลำป้า"จำนวนมาก นักท่องเที่ยวนอกจจากจะใจบุญให้อาหารปลาแล้ว "บางคนก็คงลืมคิด" แม้ทางวัดจะตั้งถังขยะไว้ให้ทิ้งในบริเวณใกล้ๆก็ยังไม่วายทิ้งถุงพลาสติกและหนังยางไว้บริเวณท่าน้ำที่ลงไปให้อาหารปลา กลัวแต่ว่าลมพัดมาขยะเหล่านี้ปลิวลงไปในน้ำ ปลาหิวๆหน้ามืดนึกว่าเป็นอาหารกินเข้าไปอาจถึงตายได้ จะได้บุญอาจกลายเป็นบาปโดยไม่รู้ตัว



เราตั้งใจว่าจะขับรถไปถ่ายรูปตรงจุดชมวิวที่อยู่เลยทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาสกแต่ไม่ได้หารายละเอียดไว้ ปรากฏว่าแถวนั้นไม่สามารใช้อินเตอร์เน็ตได้ ขับขึ้นเขาจนลงเขาไป จนไปเจอร้านค้าข้างล่าง ถามได้ความว่าเลยมาแล้ว (รู้ล่ะว่าเลยมาแล้วแน่ๆเพราะจุดชมวิวควรจะอยู่ที่สูงๆ แต่ไม่มีที่ให้จอดถามใครและไม่มีที่กลับรถ)  ขับย้อนกลับขึ้นไปใหม่ทีนี้พี่ตำรวจที่ตั้งด่านและพวกเราขับเลยไปโบกมือเรียกสอบถาม แต่ก่อนที่พี่เขาจะถามเรา 
เราชิงถามก่อน "จุดชมวิวอยู่ตรงไหนคะ" พี่เขาตอบกลับมาว่า "จะดูอะไร" ฮ่า ฮ่า เราคิดในใจแล้วจุดชมวิวจะให้ดูอะไรคะ สรุปว่าจุดชมวิวก็อยู่แถวๆที่มีตำรวจตั้งจุดตรวจตราดูความเรียบร้อยแถวๆนั้น จำได้ว่าเคยเห็นบล๊อกหนึ่งพูดถึงน้ำตกเล็กๆที่อยู่แถวนี้ เลยถามถึงน้ำตกนี้ คุณตำรวจว่าอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากตรงนี้ให้สังเกตดีๆมิฉะนั้นอาจเลยไปอีกก็ได้

ก็จริงอย่างที่คุณตำรวจเขาว่าค่ะ คือไม่เห็นป้ายใดๆที่จะบอกว่า ที่นี่คือน้ำตกนะ " หรือเรามองไม่เห็นเอง ถ้าไม่มีก็น่าจะมีป้ายมาปักบอกไว้สักนิดก็ดีนะคะ เผื่อมีคนที่สนใจแบบเราเขาอยากมาก็คงจะดีไม่น้อยค่ะ เพื่อนๆคนไหนที่อยากแวะน้ำตกนี้ (ไม่ทราบชื่อ) คงต้องสังเกตด้วยตัวเอง ถ้ามาจากอุทยานแห่งชาติเขาสกขับเลยมาเส้นทางที่จะไปพังงา เขาหลัก ประมาณหลักกิโลที่ 32-33 อยู่ขวามือจะเห็นมีลานเล็กๆพอให้รถเก๋งจอดได้สองคัน แต่ถ้าเป็นรถกระบะก็มีทางเล็กๆขับลงไปจอดหน้าน้ำตกได้ค่ะ  น้ำตกนี้ถึงแม้มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็สูง สวยแบบพอเพียงที่สำคัญคืออยู่ติดถนนไม่ต้องเดินไกล 



และที่น้ำตกนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวนะคะ เรายังเจอนักท่องเที่ยวซึ่งน่าจะเป็นคนท้องถิ่น เป็นรถกระบะ 3 คันกับเจ้าถิ่นอีกหนึ่งตัว เจ้าจ๋อคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ตัวเดียว ดูเชื่องกว่าพวกเดียวกับมันที่อื่นๆที่เคยเจอมา หรือเป็นเพราะมันอยู่ลำพังตัวเดียวเลยไม่ต้องแก่งแย่ง ช่วงชิงกับใคร เจ้าจ๋อตัวนี้ดูนิสัยดีจนเราไม่แน่ใจว่าถ้ากลับไปอีกทีมันจะคงอยู่ตรงที่เดิมไหม น่าจะมีคนเอามันไปเลี้ยงแน่ๆ



ออกจากน้ำตกก็ขับมาที่อุทยานแห่งชาติเขาสก ตรงข้ามปากทางเข้าอุทยานเขาสกมีตลาดนัดท้องถิ่นดูคึกคักคนเยอะดี แต่เรามุ่งตรงมาที่ตัวอุทยานเลย

โฮ่ โฮ่ ...ผิดแผนนิดหน่อย เมื่อผู้ร่วมทริปที่มีแต่ผู้สูงวัยดูระยะทางที่จะเดินไปถึงตัวน้ำตกอย่างน้อยต้องมีสามกิโลทุกคนเลยปฏิเสธกันหมด ในเมื่อสามเสียงโหวต No เราเสียงเดียวเลยต้องทำตาม เลยได้แต่เดินชมวิวทิวทัศน์ เอาเท้าแช่น้ำตกเย็นๆ พอสบายๆก็กลับกันล่ะ ผู้สูงวัยหิวขัาวเที่ยงกันแล้วด้วยค่ะ 



ปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาสกมีที่พักและร้านอาหารอยู่หลายร้าน ซึ่งดูๆแล้วเหมือนจะเน้นชาวต่างชาติเสียมากกว่า เราเลือกกินมื้อกลางวันที่ร้านอาหารของ "เขาสก เรนฟอเรสต์"

ร้านเขาสก เรนฟอเรสต์ เรสเตอร์รองก์ ติดอยู่แม่น้ำใสๆบรรยากาศดี ดูแล้วสบายตา ที่พักก็ดูน่าสนใจมีแบบติดริมน้ำ สามารถโดดลงน้ำที่ท่าน้ำหน้าที่พักได้ด้วยค่ะ



ร้านกว้างขวาง ดูสะอาดสะอ้าน ห้องน้ำก็สะอาด



เมนูแนะนำที่ชอบคือทอดมันผักรวม ไก่สะเต๊ะ เมนูไหนไม่แน่ใจราคา เราแนะนำให้สอบถามกันให้ชัดเจนก่อนสั่งจะดีที่สุด อาหารมีเมนูหลากลายดีคะ่ 



บ่ายแก่ๆท้องอิ่มๆ ตาปรือๆ ขับเข้าที่พักที่จองล่วงหน้าไว้ 
เลือกพักที่ เขาสก บูติกแคมป์รีสอร์ท ว้าว..วิวภูเขาหน้าที่พักไม่ผิดหวังเลยค่ะ หากยังขับรถไม่ชำนาญขอแนะนำให้จอดรถไว้ด้านล่างข้างหน้ารีสอร์ทเพราะทางขึ้นชันสูงทีเดียวค่ะ 



มาเที่ยวป่าก็อยากนอนเต็นท์ค่ะ แต่จะนอนเต็นท์แบบคนหนุ่มสาวก็ไม่ไหวอีก 
ถูกใจใช่เลยค่ะสำหรับ "เขาสกบูติกแคมป์รีสอร์ท"



ถึงแม้จะนอนในเต็นท์ นอนในป่า แต่ที่นี่ก็มีแอร์ มีห้องน้ำในตัว ถึงแม้เต็นท์อาจจะไม่ได้มีสภาพใหม่กิ๊กแต่ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากๆค่ะ กลมกลืนดีกับธรรมชาติ ไม่มีแมลงเข้ามาในเต็นท์ กลางคืนหลับสบายมาก



มาพักผ่อนจริงๆค่ะ หลังจากเข้าที่พักก็หาเครื่องดื่มเย็นๆมาดื่มกันจนถึงเย็น (เดินลงเนินไป มีร้านมินิมาร์ทเล็กๆ ราคาถูกกว่าในรีสอร์ทค่ะ แต่ก็ควรอุดหนุนของรีสอร์ทให้เขาได้พอมีกำไรบ้าง)



ฟังเสียงป่า ดูพระอาทิตย์ตก 



28/9/2557

บรรยากาศยามเช้าหน้าที่พัก ไม่ต้องเดินไปไหนโผล่ออกมาจากเต็นท์ก็เห็นแบบนี้อยู่หลายชั่วโมงค่ะ



จิบกาแฟ นั่งดูหมอกยามเช้า ฟังเสียงป่าอยู่หลายชั่วโมง



จากแยกบ้านตาขุนเลี้ยวเข้าไปประมาณสิบกว่ากิโล ก็ไปถึงท่าเรือเทศบาลของเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลานประมาณสิบโมงกว่าๆ ติดต่อเหมาเรือเขาว่าถ้าไปแค่เขาสามเกลอ แวะกินข้าวเที่ยงบนแพนางไพร ราคาอยู่ที่ 1500 บาท ถ้าไปถึงถ้ำปะการัง 2800 บาท เราเห็นว่าเป็นท่าเรือของเทศบาลจึงไม่ได้ต่อรองราคา 



จากท่าเรือใช้เวลานั่งเรือไปร่วมหนึ่งชั่วโมงเศษๆ นั่งชมวิวภูเขาหินปูนเพลินๆ ตัดกับน้ำในเขื่อนสีเขียวสวย



นั่งเรือผ่านแพต่างๆ อยู่หลายแพ



ลงจากเรือตรงจุดนี้ และเดินเท้าต่อไปอีก 30 นาทีมีทั้งทางลาดและทางชัน การเดินทางไปถ้ำปะการังถ้ามีเด็กเล็กและผู้สูงอายุมาด้วยเปลี่ยนเป็นนั่งทานอาหารบนแพหรือเล่นน้ำที่แพดีกว่า เพราะขนาดเราเองยังทำเอาแฮ่กๆเหมือนกัน 



นั่งแพของอุทยานต่อไปอีก 15 นาทีก็จะถึงบริเวณปากถ้ำค่ะ 
ราคาเหมาเรือมา 2800 บาทรวมค่าแพและคนนำทางแล้วค่ะ 


ถ้ายังหนุ่มสาวเรี่ยวแรงดีๆก็แนะนำให้ไปเที่ยวกันดูค่ะ ชมความสวยงามของถ้ำปะการัง ภายในถ้ำแต่ละจุดสวยงามแตกต่างกัน ใช้เวลาชมภายในถ้ำประมาณ 15 นาที



ปากทางเข้าถ้ำสูงชันเล็กน้อยค่ะ ต้องใช้ความระมัดระวัง




ด้วยทัศนียภาพแห่งภูเขาหินปูนในบริเวณนี้ ตัดกับน้ำใสสีเขียว ทำให้เขื่อนรัชชประภาเป็นเขื่อนที่มีความสวยงามมาก







จุดที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเขื่อนรัชชประภาที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องมาให้ถึงก็คือบริเวณนี้ค่ะ
 "เขาสามเกลอ"ภูเขาหินปูนที่เรียงกัน บางคนก็เรียก "กุ้ยหลินเมืองไทย"



เราไม่ได้วางแผนที่จะค้างคืนบนแพในเขื่อนค่ะ ดังนั้นหลังจากใช้เวลาหมดไปแล้วร่วม 5 ชั่วโมงก็ให้เรือกลับไปส่งที่ท่า 5 ชั่วโมงวันนี้ช่างผ่านไปเร็วมากๆค่ะ



ก่อนจะโบกมือลาเขื่อนรัชชประภาก็ขอขับรถขึ้นไปชมความงามบนสันเขื่อนอีกครั้งก่อนลาจาก




เห็นความแตกต่างชัดเจนระหว่างหน้าเขื่อนและหลังเขื่อน 
" มีได้ก็ย่อมมีเสีย "



จากเขื่อนเชี่ยวหลานรีบบึ่งรถมุ่งหน้าสู่ปากน้ำตาปี (เส้นทางที่จะไปอ.กาญจนดิษฐ์) ห่างจากตัวเมืองสุราษฎร์มาประมาณ 7 กิโลแหล่งร้านอาหารทะล ริมปากแม่น้ำตาปีมีให้เลือกมากมายอยู่หลายร้านเลือกกันไม่ถูกเลยทีเดียวค่ะ 

เราตัดสินใจเลือกร้าน "ลำพู 3 " อยู่ปากแม่น้ำเลยค่ะ บรรยากาศริมแม่น้ำ ลมเย็นๆ 



เมนูที่พลาดไม่ได้เหมือนเดิมคือปูทะเลนึ่งของโปรด กับปลากุเลาทอดกินกับน้ำยำมะม่วงอร่อยค่ะ ร้านนี้เห็นคนท้องถิ่นเองก้มากินกันเยอะค่ะ คิดว่าความอร่อยแต่ละร้านคงไม่ทิ้งกันมากเพราะขับรถขากลับเห็นมีรถจอดเต็มกันแทบทุกร้านค่ะ 



คืนนี้เลือกที่พักราคาประหยัด แต่คุ้มค่ามากๆ อยู่ในซอย ศรีวิชัย 21  "นารายา ริเวอร์ไซด์รีสอร์ท"  



"นารายา ริเวอร์ไซด์รีสอร์ท"ที่พักราคาหลักร้อย ในอ.เมือง จ.สุรษฎร์ธานี มีทั้งสระว่ายน้ำและฟิตเนส ด้านหลังติดแม่น้ำบรรยากาศราคานี่เราคิดว่าคุ้มมากๆทีเดียว ใครสนใจไปพักก็อย่าลืมติดชุดว่ายน้ำไปรีแลกซ์ ว่ายออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดีกันนะคะ ข้อเสียของที่นี่คือเราคิดว่าน่าจะเหมาะกับคนที่มีรถส่วนตัวเท่านั้น เพราะเข้าซอยไปลึกเหมือนกัน 



29/9/2557

โปรแกรมวันสุดท้ายเน้นไหว้พระและรับประทานอาหารเท่านั้นค่ะ จึงเริ่มโปรแกรมของเช้านี้ด้วยการเดินทางไปวัดใหม่พัฒนาราม อยู่ในเมืองค่ะ ถนนพัฒนาราม ตลาดล่าง  ไป
กราบสักการะหลวงพ่อพัฒน์ นารโท เพื่อความเป็นศิริมงคล  



ขับรถกลับย้อนมาทางเดิมข้ามสะพานข้ามแม่น้ำตาปีทีอยู่ข้างศาลหลักเมืองตรงไปบางใบไม้ จากสะพานมาไม่ไกลมากเกือบสองกิโล ร้านอยู่ซ้ายมือ เยื้องๆกับทางเข้าวัดบางใบไม้

สวนอาหารลุงมูล ร้านอาหารที่อยู่ในบรรยากาศของสวนมะพร้าว ให้อารมณ์แบบชาวใต้ดีแท้ๆ นึกถึงตอนเด็กๆจะได้ยินเสมอว่าภาคใต้มีต้นมะพร้าวเยอะมากๆ  



นั่งกินข้าวในบรรยากาศบ้านสวน



อาหารอร่อย วัตถุดิบของอาหารดีมีคุณภาพค่ะ ปลาอินทรีย์ทอดซีอิ๊วชิ้นใหญ่สด ทานคู่กับอาหารรสจัดดี ต้มข่าก็อร่อย ห่อหมกมะพร้าวอ่อนเครื่องแกงหอมแต่รสชาติเค็มไปหน่อย



มาถึงถิ่นแล้วดังนั้นหลังทานอาหารเสร็จจึงขับรถไปฝั่งตรงข้าม กราบสักการะหลวงพ่อข้าวสุก วัดบางใบไม้ ประวัติหลวงพ่อว่าสร้างจากข้าวก้นบาตรของหลวงพ่อขำตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวบ้านบางใบไม้ หากสนใจลองค้นหาอ่านประวัติดูเพิ่มเต้มแล้วจะทึ่งมิใช่น้อย



วัดสุดท้ายสำหรับการเดินทางวันสุดท้ายในสุราษฎ์ต้องขับไปไกลพอสมควร ขับไปที่อ.ดอนสักซึ่งใช้เวลาร่วมๆชั่วโมงค่ะ ไหนๆมาทั้งทีแล้วก็ไปให้ถึงที่ที่อยากไปให้ครบเสียเลย ไม่อยากมานั่งบ่นเสียดายภายหลัง 

เมื่อมาถึงเราก็เข้าไปที่มณฑปหลวงพ่อจ้อยเพื่อกราบสักการะหุ่นขี้ผึ้งและสังขารของหลวงพ่อค่ะ




แล้วจึงขับรถขึ้นไปกราบพระบรมธาตด้านบนซึ่งสามารถมองลงไปเห็นทะเลฝั่งบ้านดอนที่ลงเรือไปเกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพงันได้ (จากสนามบินมีรถบัสโดยสารวิ่งไปถึงท่าเรือดอนสักค่ะ) 



ขับกลับมาทางเดิมแต่เลี้ยวขวาเข้าไปในอ.กาญจนดิษฐ์ เพื่อไปกินมื้อเย็นที่ปากน้ำกระแดะ เห็นมีอยู่สองร้านติดกันเขาว่าอร่อยทั้งสองร้าน เราเลือร้านเคียงเล มาครั้งหน้าจะลองร้านในอ่าวบ้าง



จริงๆแล้วตั้งแต่ที่พุมเรียงก็ได้สั่งหอยนางรมสดมากินแล้ว แต่ต้องขอบอกว่า หอยนางรมสดที่ปากน้ำกระแดะนี้อวบใหญ่มากจริงๆค่ะ อยากแนะนำให้มากินที่ปากน้ำกระแดะนี้ถึงที่เลยค่ะ เพราะรสชาติสุดยอดจริงๆ



มาสุราษฎร์นอกจากจะกินปูสุราษฎร์ หอยนางรมสดตัวอ้วนๆแล้ว อีกหนึ่งที่อย่าพลาดนะคะคือ กุ้งเผาค่ะ กุ้งแถบนี้ตัวโตสด มันกุ้งในหัวหอมมันจริงๆ 



กั้งทอดกระเทียมก็อร่อยค่ะ



ถึงแม้ว่าจะกินหอยนางรมสดๆในร้านมาแล้ว 3 ตัวแต่เมื่อเดินออกมาที่ลานจอดรถเห็นร้านเพิงแผงของชาวบ้านก็อยากจะอุดหนุนกันบ้าง ลองสอบถามเลียบๆเคียงๆดูก่อน หอยนางรมสดๆมีให้เลือกหลายราคา ราคาขึ้นอยู่กับขนาดของหอย เริ่มตั้งแต่ 7 บาท เราเลยเลือกไซส์ใหญ่สุดตัวละ 25 บาทส่วนเครื่องเคียงขายต่างหากชุดละ 25 บาท(สี่คนใช้ชุดเดียวก็พอค่ะ)



บอกได้คำเดียวว่า โอ้แม่เจ้า...มันสุดยอดมากๆ เมื่อกี๊กินในร้านว่าสุดยอดแล้ว เจอคุณลุงเจ้านี้เลือกหอย ตอกหอยนางรมให้กินกันสดๆเดี่ยวนั้นมันเป็นอะไรที่อร่อยที่สุดในชีวิตตั้งแต่ลองลิ้มชิมรสหอยนางรมมาค่ะ ทุกคนขอเบิ้ลรอบสองกันทุกคน ส่วนเราอายุน้อยที่สุดขอเป็นสาม

หอยนางรมสดๆใหญ่ๆ มาเถอะค่ะที่นี่ปากน้ำกระแดะ สุดยอดมากค่ะ




ทุกวันนี้อยากกลับไปสุราษฎร์ธานี คิดถึงน้องปู น้องกุ้ง น้องหอยนางรม ตัวใหญ่ๆอวบๆที่สุดเลย (คนเห็นแก่กินตัวจริงค่ะ ฮ่า ฮ่า)

ขอบคุณที่ร่วมติดตามด้วยกันเสมอมานะคะ

พบกันใหม่บล๊อกหน้านะคะ

สวัสดีค่ะ



Create Date : 25 ตุลาคม 2557
Last Update : 26 ตุลาคม 2557 18:19:29 น.
Counter : 17729 Pageviews.

0 comments

hellojaae
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



เขียนบล๊อกเพราะอยากเขียน อยากแบ่งปัน ใช้วิธีจิ้มดีดจึงมีผิดๆถูกๆ (แม้จะพยายามตรวจทวนทุกครั้ง) เป็นบล๊อกอนุรักษ์รูปแบบเดิมๆคือเขียนไล่เรียงลงมา เพราะทำรูปแบบอื่นไม่เป็น 555 ยังเขียนต่อไปเพราะเห็นว่าก็ยังมีคนหลงๆเข้ามาอ่าน 555 สวัสดีและขอขอบคุณทุกคนค่ะ
Website counter