The Divine in Us ... คุยกับต้นไม้
John F. Kennedy -- ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของอเมริกา -- เคยกล่าวเอาไว้ว่า จงอย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวท่านเองว่า ท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติ (Ask not what your country can do for you, ask what you can do for your country) แต่ฉัน -- ประชากรธรรมดาคนที่เกือบ 60 ล้าน ของประเทศไทย -- อยากจะพูดเสียใหม่ว่า อย่ามัวแต่ขีดเส้นบนแผนที่อยู่เลย แต่คิดเสียใหม่เถอะว่า อย่าถามว่าโลกนี้จะให้อะไรแก่เราบ้าง แต่จงถามว่า เราจะทำอะไรคืนให้แก่โลกได้บ้าง ใช่, โลกนี้นี่แหละ โลกที่คุณกำลังยืนอยู่ โลกที่อยู่ในอ้อมกอดของบรรยากาศที่คอยปกป้องทุกชีวิต โลกที่เอาเนื้อกายของเขาให้คุณเหยียบย่ำ โลกที่ราวกับเป็นโถส้วมคอยรองรับความเน่าเสียทุกอย่างที่เราสร้างขึ้น เราจะทำอะไรได้บ้าง สำหรับฉัน... ฉันเลือกปลูกต้นไม้ เพราะเชื่อ... ในสิ่งที่คุณอาจไม่เห็นด้วย หรือแม้กระทั่งกล่าวว่า ไร้สาระ ในช่วงระยะเวลาราวห้าพันล้านปี ที่กลุ่มก๊าซได้มารวมตัวกัน มีการแลกเปลี่ยนถ่ายเท บีบอัดและคลายตัว ชีวิตแรกก่อกำเนิดขึ้นมา จนมาถึงทุกวันนี้ พลังบางอย่างได้ถือกำเนิดขึ้น และดำรงอยู่ในสรรพสิ่งต่างๆ ไม่รู้ทำไม ฉันถึงเชื่อเสียเหลือเกินว่า มันคือสิ่งเดียวกับความเป็นพุทธะ เป็นสิ่งเดียวกับพระเจ้า หรืออะไรก็ตาม ตามแต่ปัจเจกจะเรียกไปตามความเชื่อของตัวเอง และก็นั่งแหละ มนุษย์เคยสัมผัสได้ถึงพลังเหล่านั้น ที่อยู่ในแม่น้ำ สายลม ภูเขา ต้นไม้ และพื้นดิน ที่ไหลเวียนมาบรรจบกับพลังในตัวของเขาเอง จนมาระยะหนึ่ง ที่ความรู้ของมนุษย์เจริญก้าวหน้าจนกระทั่งล่วงเข้าสู่เขตแดนของความอวดดี ความผิดพลาดทั้งหมดเกิดจากความมั่นใจมากจนเกินไปในความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ จนไม่รู้ว่า หัวใจและจิตวิญญาณของตัวเราเองนั้น มีศักยภาพในการที่จะรับรู้ถึงความจริงอีกมากมายจากธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ผลก็คือ เราละเลยต่อพลังในสิ่งแวดล้อม และความเชื่อมโยงที่เรามีอยู่ เราเพิกเฉยต่อปรากฏการณ์บางอย่างด้วยว่ามันอธิบายไม่ได้ เรานำเอาธรรมชาติมาร่อนด้วยตะแกรงของวิทยาศาสตร์ แล้วอธิบายส่วนที่ไหลผ่านออกไปด้วยคำว่าเรื่องงมงาย เราขาดความเคารพต่อแม่น้ำลำธาร ภูเขา และต้นไม้ เราจึงบุกทำลาย จนกระทั่งพลังอันเคยยึดโยงอยู่อย่างสมดุลนั้นปั่นป่วนไปเสียหมด ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำเอาความสัมพันธ์ในระดับนั้นกลับมาอีก สายใยที่ขาดสะบั้นลง ย่อมไม่สามารถต่อให้ติดได้เพียงฝ่ายเดียว มนุษย์ขาดความเชื่อมโยงกับธรรมชาติในระดับความเชื่อ นั่นคือ ไม่แม้แต่จะเชื่อว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริง เราหวังใช้ต้นไม้เป็นแค่ปอดฟอกอากาศให้เรา เป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ประดับเมือง เป็นแค่ร่มเงาคอยบังแดด เป็นแค่ส่วนหนึ่งของงานตกแต่ง จะมีสักกี่คนรู้สึกว่าต้นไม้คือเพื่อน คือครอบครัว คือส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วสายใยชีวิตที่ขาดลงไปแบบนั้นจะเกิดขึ้นได้ยังไง เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันไปเจอข้อความในเว็บไซต์ //www.beliefnet.com ที่ชักชวนให้เราลองเข้าไปคุยกับต้นไม้ จริงอยู่ว่า บางคนอาจจะคุยกับต้นไม้อยู่แล้ว แต่บทความที่ฉันเอามาฝากนี้ เป็นการคุยกับต้นไม้จากเบื้องลึกของจิตใจ ซึ่งอาจจะก้าวเข้าสู่ระดับหนึ่งของการภาวนาเลยก็ว่าได้ ฉันขออนุญาตเอาบทความของคุณ Mara Freeman มาบอกต่อนะ จริงหรือไม่จริง ก็แล้วแต่จะคิด แต่เรื่องบางเรื่อง ลองทำดูก็ไม่น่าจะเสียหายนี่นา มาลองคุยกับต้นไม้กันเถอะ 1. พาตัวคุณเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางต้นไม้ ลองทำใจให้เงียบๆ แล้วลองรู้สึกถึงพลังที่อยู่รายรอบตัวคุณ บางครั้งคุณอาจจะพบว่าต้นไม้บางต้นดู ตื่นตัว กว่าต้นอื่นๆ หรือบางต้นอาจจะปลดปล่อยพลังอันอบอุ่นและเป็นมิตรออกมา ในขณะที่บางต้นอาจจะดูเฉยๆ ไม่ยินดียินร้ายอะไร ในขั้นแรกนี้ ให้ลองรู้สึกดูก่อนว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นมีพลังที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง 2. ปล่อยให้ตัวคุณเลื่อนไหลเข้าไปหาต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง (เข้าใจว่า ความรู้สึกบางอย่างมันจะบอกเราเอง ว่าเราจะเข้าไปหาต้นไหน) พิจารณาดูต้นไม้ต้นนั้นใกล้ๆ ดูทุกส่วน จากรากถึงยอด ต้นไม้ทุกต้นจะมีสนามพลังอยู่ (ในนี้ใช้คำว่าออร่า) ลองจับดูว่าพลังนั้นแผ่ออกมาจากส่วนใด โดยการลองเดินเข้าใกล้บ้าง เดินออกห่างบ้าง และใช้ฝ่ามือของคุณจับกระแสของพลังนั้น (ฉันเลือกที่จะหลับตาลง) 3. คิดถึงการส่งกระแสความรู้สึกที่อบอุ่นจากหัวใจคุณไปสู่ต้นไม้ต้นนั้น และถามเขาว่า เขาจะให้คุณเข้าไปใกล้เขามากกว่านี้ และใช้เวลาร่วมกันกับคุณสักครู่ได้มั้ย ถ้าคุณรู้สึกว่าเขาให้ ก็ให้เดินเข้าไปหาเขา แล้วเอาลำตัว และมือทั้งสองข้างของคุณแนบกับลำต้นและรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา (and tune into its consciousness) สังเกตดูรายละเอียดต่างๆ ในระยะใกล้ สูดกลิ่นของเขา และรู้สึกถึงผิวสัมผัสของเขา 4. ลองเอาใบของเขามาขยี้เบาๆ และสูดกลิ่นของเขา 5. นั่งลงตรงโคนต้น แล้วเปิดใจรับพลังของต้นไม้ ให้เขาพาคุณเข้าไปสู่ภวังค์ลึกของการภาวนา (แปลว่าทำสมาธินะ คิดว่า) ซึ่งคุณไม่ต้องทำอะไรมากไปกว่าการนั่งเฉยๆ อย่างผ่อนคลาย แล้วปล่อยให้ต้นไม้ค่อยๆ ปลดปล่อยคุณออกจากความคิดที่ยุ่งเหยิง และขจัดความจุกจิกวุ่นวายใจที่คุณต้องรับมาจากชีวิตประจำวัน ปล่อยให้สภาวะนี้ดำรงอยู่นานเท่าที่คุณต้องการ 6. เริ่มบทสนทนากับต้นไม้ ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวต้นไม้เอง เกี่ยวกับตัวคุณ หรือแม้กระทั่งการปรึกษาปัญหาต่างๆ ปล่อยให้คำถามต่างๆ ลอยไป เพียงนั่งนิ่งๆ รอคำตอบ แล้วคำตอบหรือทางออกก็จะปรากฏขึ้นจากเบื้องลึกของคุณ (as an inner sense of knowingness) 7. เมื่อคุณรู้สึกว่าเพียงพอแล้ว ก่อนเดินกลับออกมา ให้คุณวางมือของคุณไว้ที่ลำต้นอีกครั้ง เพื่อส่งคำขอบคุณอันออกมาจากหัวใจ จาก //www.beliefnet.com/Faiths/Pagan-and-Earth-Based/2002/04/How-To-Talk-To-A-Tree.aspx ไม่มากก็น้อย แค่ได้เป็นเพียงแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้ใครสักคนหรือสองคน ได้ลุกขึ้นมาค้นหาความเชื่อมโยงของสายใยระหว่างตัวเรากับธรรมชาติ ที่เร้นกายอยู่ในซอกหลืบของป่าคอนกรีตแห่งนี้บ้าง ฉันก็พอใจแล้วล่ะ
Create Date : 28 มกราคม 2552
4 comments
Last Update : 28 มกราคม 2552 16:49:52 น.
Counter : 968 Pageviews.
ให้ความรู้สึกว่า มึงหน่ะรู้อยู่แล้วแต่คิดไม่ได้อะไรอย่างนี้ 555
อีกอย่างคือ ต้นไม้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดตอนอกหักแหละ ฮ่าๆๆ
ps:หลงรักรูปในกล่องคอมเม้นอย่างแรงค่ะคุณพี่ขา:)