ตุลาคม 2550

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
(7) ++ Last day in Hanoi and No place like Home ++วันสุดท้ายของการเดินทางค่ะ ++
16 สิงหาคม วันสุดท้ายในเวียดนามแล้ว



นอนต่อ ประมาณตีห้ามารู้สึกตัว เพราะหนุ่มเจเค้าปลุกมารินดา ว่าใกล้ถึงแล้ว มืดออก มองไปก็ไม่เห็นอะไร ไม่รู้ว่าเจเค้ารู้ได้ไงว่าใกล้ถึง เราเลยปลุกพี่ติมั่ง ปีนลงไปเข้าห้องน้ำอีกที ประมาณยี่สิบนาทีรถไฟก็จอด ตอนนี้เราเริ่มลังเลว่าใช่หรือเปล่า ทำใมมันไม่เหมือนกะตอนขามา เค้ามาส่งผิดที่ไหม หรือว่าสถานีอื่น แต่ดูจากฝรั่งตู้อื่นๆ ก็ลงที่นี่กันหมด ทั้งนักท่องเที่ยว ทั้งคนเวียด เราก็เลยลงมั่ง

คนเยอะมากๆ ทั้งคน ทั้งรถไฟ ทั้งรถมอไซค์ที่เอาใส่รถไฟมา รถลาก อะไรไม่รู้สารพัด เราก็ไหลตามคนไปเรื่อย เดินออกมาข้างนอก มอไซค์กะ Taxi จำนวนมหาศาลรอเก็บเหยื่อตรงนี้อยู่แล้ว มองหา Taxi Hanoi ไม่มีเลยสักคน มีแต่ VN กะอะไรไม่รู้ มอไซค์ใจกล้าบางคนถึงกะมาดึงกระเป๋าไปจากมือเรา ฝันไปเหอะ ไม่มีวันปล่อยหรอกย่ะ

อ๋อ... เห็นแล้วค่ะ ที่เค้าบอกว่ารถเมลล์สาย 23 กะ 32 ผ่านหน้าสถานีรถไฟน่ะ ผ่านทางนี้เอง เราเองก้องง เพราะทุกทีไปเข้าด้านข้าง ไม่เคยเห็นรถเมลล์ผ่านสักที คราวนี้ถ่องแท้เลยค่ะ

พี่ติชวนเดินออกมาข้างหน้า ผ่านฝูงแร้งฝูงกาอย่างไม่แยแส เห็นไปมองป้ายอยู่ข้างบนสถานีเขียนว่า Ga Hanoi แปลว่าเรามาถูกที่แล้ว ที่นี่คือสถานีรถไฟ แต่ว่าทุกทีที่เราเข้ามาน่ะ เราเข้าด้านข้าง เลยเหวอๆไปสักหน่อย เดินมาอีกสักพัก สองไฟแดง ก็เห็น Hanoi Taxi เป็นวีออสคันใหญ่โต (ถ้าเทียบกะรถกระป๋องของเจ้าอื่น) เอาแผนที่โรงแรมให้เค้าดู เค้าโอเช คนขับคนนี้พูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย เราบอกว่า เรากลัวมิเตอร์ เค้าบอกว่า ถ้าเป็น Hanoi Taxi ไม่ต้องกลัวมิเตอร์เลย เพราะเค้าเขียนไว้ชัดเจน มีตารางด้านหน้า มีบัตรคนขับให้ดูเป็นกิจลักษณะมากๆ พอเราบอกว่าขามาเรานั่ง VN มา มิเตอร์วิ่งซะน่ากลัว เค้าหัวเราะแล้วส่ายหน้าใหญ่ ต่อไปถ้าใครจะขึ้น Taxi ดูให้ดีนะคะว่าเป็นHanoi แท็กซี่เท่านั้น




มาถึงโรงแรมเรา จิงๆ แค่ 18,000 เอง มันวนออกซ้ายเข้าอีกซอย โผล่อีกด้าน เลยเพิ่มเป็น22,000ด่ง เพราะว่าทางนั้นมันเป็นวันเวย์ ไอ้เราก็งงๆ มันจะวันเวย์ตรงไหนฟร่ะ ในเมือที่นี่มันขับรถไม่มีเลนซะหน่อย แต่ช่างเหอะ ยังอยู่ในเรทที่รับได้ พอมาถึงโรงแรม กดกริ่งด้านหน้า ประตูไฟฟ้าก็เลื่อนขึ้น ตาตู๋กะอีกคนกำลังนอนอยู่ที่พื้น งัวเงียๆ หยิบกุญแจให้เราห้องหนึ่ง เป็นห้องใหญ่ เราก็เฟิร์มว่าเราจะออก 6 โมงเย็นนะ เค้าก็อืมๆๆ แล้วเราก็ขึ้นไปอาบน้ำ ห้องนี้เป็นห้องใหญ่ ราคาห้องคืนละ 20 เหรียญ มีอ่างอาบน้ำ เตียงคิงส์ไซส์ มีสายเน็ตให้ต่อได้ ถ้าใครหอบ notebook มา ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วย เราไม่ค่อยสนใจอะไรมาก เพราะวันนี้โปรแกรมแน่นทั้งวัน อาบน้ำเสร็จ รื้อของออกจากกระเป๋า ออกมาเตรียมตะลุยฮานอยกันต่อเลย

เจ็ดโมงกว่า ลงมาข้างล่างเจอเจ้าของเค้า ถามเค้าค่าห้องว่าคนละเหรียญใช่ไหม เค้าบอกว่าไม่ใช่ ตู๋เข้าใจผิด คนละเหรียญนั่นคืออาหารเช้า ค่าห้องเค้าคิดเรา 10 เหรียญ เท่ากะที่เรานอนห้องเล็กทั้งคืน เราก้อเอาที่เราเขียนไว้ให้เค้าดู ที่ตู๋บอกไว้ตั้งแต่วันเข้า เค้าส่ายหน้าอย่างเดียว บอกว่า impossible พี่ติรำคาญแล้วก็คงเข็ดกะเมื่อวานที่ไม่ได้ไปไหนแกร่วอยู่ล็อบบี้โรงแรมที่เมาท์เท่นวิวทั้งวัน เลยบอกว่าเอาๆ ไปเหอะ ก็ได้ ไหนๆ ก้อไหนๆ แล้ว จะได้มีที่แพ็คของก่อนกลับ เพราะน้ำหนักเกินแน่ๆ หางแดงให้โหลดได้แค่ 15 โลเอง ถามมาจากสุวรรณภูมิแล้วว่าถ้าน้ำหนักเกินคิดไง เค้าบอกว่าโลละ 165 บาท แพงอ่ะ อันไหนแพ็คใส่เป้ได้จะได้แพ็คก่อน



เดินออกมา ไปวัดหงอกเซินก่อน อยู่ตรงกันข้ามกะหุ่นกระบอกน้ำเลย แต่เราก้อผ่านไปผ่านมา ไม่ได้เดินเข้าไปสักที เดินไปถ่ายรูปกะสะพานแสงอาทิตย์สีแดง สัญญลักษณ์ของวัดให้เรียบร้อย ดีจัง คนน้อยมากๆ มีคนเวียดนามที่รับจ้างถ่ายรูปมามองๆ กล้องเรากะพี่ติ เค้ายังไม่เปิดให้เข้า เราเลยไม่เสียเวลา ไปที่อื่นต่อเลย

ผ่านทะเลสาบฮวานคิ่ม หรือที่ภาษาเวียดนามเค้าเรียก BOHO บรรยากาศแตกต่างกะตอนกลางคืนลิบลับ ตอนกลางคืนมีแต่สาวๆ หนุ่มๆ มาพลอดรักกัน เช้าๆ มีคุณยายคุณย่า คุณป้าคุณลุงมาออกกำลังกายกันเต็มไปหมด ทั้งรำไทเก็ก มีป้ากลุ่มนึงรำอะไรก็ไม่รู้มีดอกไม้เป็นสายสวยๆ มองเพลินดี เดินออกมาด้านหน้าวัดหงอกเซิน มีคนกำลังไหว้เจดีย์อยู่ด้านนอก เห็นแล้วรู้สึกชื่นชมที่เค้ารักษาวัฒนธรรม

เวลาเราเดินตามถนนตอนเช้า จะเห็นว่ามีคนหอบดอกไม้มาขายเป็นกระจาดๆ เยอะไปหมด ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าเค้าขายหมดเหรอ อาจเป็นเพราะธรรมเนียมบ้านเราไม่ค่อยมีกระมัง แต่ที่นั่น เค้าก็ซื้อกันเยอะมาก ไปจัดแจกัน ไปประดับบ้าน ไปไหว้อะไรๆ เราก็ชอบเพราะสวยดี แล้วราคาก็ไม่แพง วันนั้นลองถามเล่นๆ กุหลาบห่อใหญ่ประมาณสามสิบดอก ก้านยาวเป็นเมตร ทั้งช่อเค้าขาย 10,000 ด่ง หรือประมาณ 20 กว่าบาทเอง ถ้าดอกไม้บ้านเราถูกอย่างนี้ พวกเราก็คงจะจัดดอกไม้กันเล่นเหมือนกันล่ะ

กีฬาที่เค้านิยมเล่นกันมากๆ ก็คงจะเป็นตะกร้อ แต่ไม่ใช้ลูกตะกร้อ เป็นลูกขนไก่ คล้ายลูกแบต ก้านยาวๆ แตะกันไปมารอบวง เหมือนๆ ตะกร้อ ท่าทางสนุกดี คนตีแบตหรือออกกำลังกายแบบอื่นก็มาก เต็มไปหมด บรรยากาศคล้ายๆ สวนลุมตอนเช้าบ้านเราไงงั้นเลย

เราเดินไปทางด้านใต้ ผ่านอนุสาวรีย์เลนินที่ใหญ่โตมโหฬาร



ตามเคย มีคนเล่นกีฬากระจายๆ อยู่ เดินผ่านไป เห็นตู้คีออส แสดงสถานที่ท่องเที่ยวในฮานอยอย่างละเอียด ตอนนี้เราจะเดินไปตึกโอเปร่าเฮ้าส์ ดูจากแผนที่แล้วไม่ไกล เดินได้



ระหว่างทางเห็นร้านไก่ย่าง คล้าย ๆ KFC แต่เค้ายังไม่เปิด เราก็เลยยังไม่ได้แวะ เดินผ่านไปอีกหน่อย ทางซ้ายมือเจอไอติมฟันนี่ ที่ล่ำรือกัน ก็ยังไม่เปิดอีกล่ะ สงสัยเราจะมาช้าไป เดินไปอีกไม่ไกลก้อเจอตึก Opera House อันใหญ่โตมโหฬาร สวยงามมาก อยู่ติดถนนใหญ่ ข้างๆ โรงแรมฮิลตันสุดหรูตอนนี้เค้ามีโชว์อะไรอยู่ แต่เราอ่านไม่ออก



เดินถ่ายรูปจนพอใจ แล้วเดินต่อไปพิพิธภัณฑ์ของเค้าอีกสองที่ จำชื่อไม่ได้แล้ว เพราะไม่ได้เข้าข้างใน เราเคยเข้าพิพิธภัณฑ์ที่ดานังมาแล้ว คล้ายๆ กัน เลยไปที่อื่นต่อ แต่ก็ถ่ายรูปมาเยอะเหมือนกัน เพราะตึกเค้าเก่าแล้วก็สวยดี ดูขลังๆขัดกับบรรยากาศเมืองฮานอยที่สับสนวุ่นวายมากๆ



ขากลับเดินกลับมาทางเก่า ไปทางใต้ทะเลสาบ ผ่านห้างทรังเทียน ห้างใหญ่ที่สุดของเค้า บรรยากาศประมาณว่าเป็นพารากอนบ้านเค้าเลย แว๊บๆ เดินไปดูของเล่น เอาแอร์เย็นๆ ราคาของส่วนใหญ่พวกน้ำหอม เสื้อผ้าจะแพงกว่าบ้านเราไม่มาก เพราะงั้นซื้อ Duty free คิงส์พาวเวอร์ของเรานี่ล่ะดีสุด ฝากของก้อได้ด้วย

เราเดินออกมาจากห้าง ดูแผนที่แล้วไปต่อกันที่โบสถ์เซ็นโยเซฟกัน แต่จะผ่านหน้าเวียดนามแอร์ไลน์ด้วย เพราะขากลับ ถ้าของเราไม่เยอะมากจะได้นั่งแวนที่นี่ไป ราคามาตรฐาน 2 เหรียญ เดินมาไม่ไกล เห็นเวียดนามแอร์ไลน์ พร้อมวินรถตู้ที่จอดอยู่ด้านหน้าเป็นตับ โอเช ได้การล่ะ

เดินไปจากเวียดนามแอร์ไลน์อีกหน่อย ก้อไปถึงโบสถ์ ของระลึกในร้านแถวนี้สวยดี คล้ายๆ ที่ฮอยอัน แต่ราคาค่อนข้างสูง ระหว่างสองข้างทางมีโรงแรมเป็นระยะๆ เท่าที่ถามดูราคาจะสูงกว่าแถบที่เราพักนิดหน่อย



เดินมาถึงหน้าโบสถ์ ทำใมคนมันเยอะอย่างนี้ล่ะ วันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์สักหน่อย ถ่ายรูปด้านหน้าสักประเดี๋ยวก็เดินเข้าไปข้างใน คนเยอะมาก เหมือนเค้าจะประกอบพิธีอะไร เราเดินๆ ถ่ายรูปได้นิดหน่อยก็เกรงใจเค้า ออกมาข้างนอกก็ได้ กระจกสีที่นี่สวยงามมาก เสียดาย ถ้ามีโอกาสได้ถ่ายรูปเต็มๆ ทั้งแท่นบูชา ทั้งตัววิหารก็คงดี



เดินออกมา คราวนี้คนข้างๆ บ่นหิวเต็มที เราเลยเดินกลับมาที่พัก จริงๆ ตั้งใจจะเดินไปตลาดด่งซวนก่อน ขาเดินออกมา ผ่านอนุสาวรีย์ใครก็ไม่รู้ริมทะเลสาบ เล็กๆ เรียบง่ายให้อารมณ์สงบดี นั่งพักที่นี่สักหน่อย แล้วก็ออกเดินต่อ เลยจะกลับไปกินเฝอร้านเดิม แล้วก็ไปเอาของที่โรงแรมด้วย เดินกลับมาเหนื่อยพอควร เพราะอากาศตอนเก้าโมงกว่าเกือบสิบโมงนี่ร้อนพอๆ กะบ้านเราเลย



มานั่งกินเฝอร้านอร่อยถ้วยละ 10,000 ด่ง ให้พี่ติกลับไปเอาของโรงแรม แล้วพี่ติก็หน้าตื่นกลับมาบอกว่าเค้าจะให้เราย้ายห้อง อ้าว..... ทำใมงั้นล่ะ กินเฝอให้เสร็จแล้วไปคุยกะโรงแรมอีกที

เดินไปโรงแรม เจ้าของโรงแรมไม่อยู่แล้ว อยู่แต่เจ้าตู๋ เจ้าตู๋ก็ยืนยันให้เราย้ายห้อง มาอยู่ห้องเล็กของพี่ติ เราก็ถามว่าถ้างั้นเราจ่ายครึ่งเดียวเป็น 5 เหรียญใช่ไหม แต่เจ้าตู๋บอกว่าไม่ได้ เจ้าของบอกไว้ว่าต้อง 10 เหรียญ อ้าว....... ถ้า 10 เหรียญก็เท่ากับที่ชั้นต้องนอนที่นี่ทั้งคืนเลยสิ ไม่แฟร์มากๆ เลย ของเราก็กองๆ ไว้เต็มห้อง แล้วจะมาบอกให้ย้าย เพราะตอนเช้าเราเอาของในกระเป๋าที่ฝากเค้าไว้ก่อนไปซาปามารื้อ ตั้งใจจะแพ็คเก็บไว้ด้วย เจ้าตู๋มันยืนยันท่าเดียวจะให้เราออกไปอยู่ห้องนั้น ให้เก็บของเดี๋ยวนี้ อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าเราลืมของแล้วกลับมาโรงแรม มันจะทำอย่างไรกับของๆ เรา

ด้วยความหัวเสีย ไม่คิดว่าจะทำกะเราอย่างนี้ เราเลยบอกว่าไม่เอาห้องแล้ว แล้วก็โยนๆ ของใส่กระเป๋า ลวกๆ ลากกระเป๋ามาไว้ในห้องเก็บของใต้บันได ช่างปะไร จะเช่าห้องเก็บดีๆ ไม่ให้เช่า เดี๋ยวตอนเย็นชั้นซื้อของเสร็จ ชั้นจะนั่งแพ็คมันอยู่ที่บันไดนี่ล่ะ เงินค่าห้อง เอาไปจ่ายค่า Taxi นั่งสบายๆ ไปสนามบินดีกว่า คิดไงงี้ ก็ไม่อยากอยู่เห็นหน้าเจ้าตู๋มันเลย เราเลยลากพี่ติออกมาตระเวณเมืองกันต่อ



ก่อนมานี่ เราศึกษาเส้นทางรถเมลล์จาก เว็บนี้เรียบร้อยมาแล้วค่ะ เค้ามีเส้นทางบอกไว้แผนที่ละเอียดมากๆ แล้วรถเมลล์ที่นี่ราคาก็ถูกแสนถูก นั่งสบาย คนน้อยด้วย 3,000 ด่ง ตลอดสายเลย

//www.hanoibus.com/carte_bus/index.htm

ที่เว็บนี้จะมีแผนที่บอก เราคลิกเลือกสายรถเมลล์ด้านข้างได้เลยค่ะ แล้วเค้าจะมีเส้นสีแสดงถนนที่วิ่งผ่าน แล้วเราก็ซูมเข้าซูมออกได้ตามใจชอบ เราใช้วิธีนี้เขียนลงแผนที่ฉบับจริง ของเรา ทำให้ไม่ต้องทะเลาะกะมอไซค์รับจ้าง ไม่ต้องทนอกสั่นขวัญหายเวลานั่ง Taxi นั่งทั้งวันหมดไปไม่ถึงค่า BTS ไปสยาม คุ้มดีไหมล่ะคะ

เราเปิดโพย นั่งสายสาย 9 จากหน้าคาเฟ่ 5 ชั้นริมทะเลสาบ เพื่อความมั่นใจเอารูปในแผนที่ ชี้ให้คนขับกะกระเป๋าดูค่ะ (เราซื้อแผนที่อีกแผ่นค่ะ ราคา 15,000 ด่ง เป็นเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ แล้วก็มีแผนที่ และรูปของสถานที่สำคัญๆ บอกไว้ด้วย) รถออกไปสักพักไม่ถึงสิบนาที เค้าก็จอดแล้วกระเป๋าก็มาลากให้พวกเราลง เราลงตรงหน้าวัดอะไรสักอย่าง เดินตรงเข้าไปก็มาถึง Hochimin mouessum เรียบร้อย เห็นเจดีย์เสาเดียวอยู่ข้างหน้าเลย แต่ดูเวลาแล้ว เข้าไปเที่ยวก่อนดีกว่า เค้าปิดตอน 11 โมงครึ่ง เดี๋ยวจะไม่ทันเอาค่ะ



เดินเข้าไป ซื้อตั๋วคนละ 10,000 ด่ง เพื่อเข้าไปข้างใน คนเยอะมากเลย แต่เราก็ไม่ยั่น เค้าให้ฝากเฉพาะเป้ใหญ่ๆ กระเป๋าเล็กกะกล้องเอาเข้าได้ค่ะ

เดินขึ้นไปบนบันได ก็เจอลุงโฮยืนเด่นเป็นสง่า เป็นแลนด์มาร์กที่ทุกคนต้องถ่ายรูปกะท่านที่จุดนี้ ถ่ายรูปไฟที่เพดานมาค่ะ สวยดี เหมือนกิ่งไอวี่เลย

ที่นี่ดูไม่ค่อยเหมือนพิพิธภัณฑ์เท่าไหร่ มองๆ ไปคล้ายแกลอรี่มากกว่าค่ะ คนที่ชอบศิลปะสไตน์ Fine Art น่าจะชื่นชอบมาก เพราะที่นี่ทุกมุมเป็น อาร์ต อาร์ต และอาร์ต ค่ะ

เดินโต๋แต๋ถ่ายรูปเพลินๆ อ้าว หมดเวลาแล้ว เค้ามาไล่ออกไปแล้วค่ะ เดินลงมาข้างล่าง มีแคทีนเล็กๆ ดูนาฬิกาเวลา 11 โมงครึ่ง ไม่ทันแล้ว จะไปเยี่ยมลุงโฮเค้าก็ปิดหมด เปิดอีกทีก็บ่ายสอง เราไม่เอาดีกว่า เข้าห้องน้ำข้างล่าง ซื้อขนมมานั่งกินนิดหน่อย ซื้อน้ำตุนไว้ พอเสร็จเรียบร้อย เราก็เดินไปไหว้เจดีย์เสาเดียวด้านหน้า คนเยอะพอสมควร นึกขึ้นได้ รีบโทรบอกเจ๊ว่าไม่ได้ห้องที่โรงแรม ช่วยกันบ่นเสร็จแล้ว เจ๊บอกว่ารถมาถึงเย็นๆ แล้วค่อยนัดกันอีกที

เดินไปดูจัตุรัสเทียนอันหมิงน้อย แดดตอนนี้ร้อนมาก เราเลยไม่เดินไป Flag tower ทั้งที่ดูในแผนที่ไม่ไกลกันมาก แต่เปลี่ยนใจไปวิหารวรรณกรรมแห่งวัดหว่านเหมียวแทน

ดูจากแผนที่แล้วไม่ไกลค่ะ เลยตั้งใจจะเดินไปกัน แต่พอเดินมาได้สักหน่อยเริ่มร้อน และเหนื่อยมาก แต่เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว กินน้ำเดินเล่นไปเรื่อยๆ สักพักใหญ่ๆ ก้อมาถึงค่ะ เดินเลียบถนนมา เห็นวิหารวรรณกรรมอยู่ด้านข้าง แต่ต้องเดินไปเข้าด้านหน้านะคะ มีอยู่ทางเดียว

เดินมาจนถึง เห็นป้ายรถเมลล์ที่นี่มีสาย 2 ที่กลับไปทะเลสาบได้ด้วย ได้การล่ะ ไม่ต้องเดินไปขึ้นสาย 9 ตรงไกลโพ้นนั่น จริงๆ รถเมลล์ที่นี่ดีมากนะคะ ป้ายรถเมลล์ส่วนใหญ่จะมีแผนที่แสดงสายรถเมลล์บอกเส้นทางไว้ค่อนข้างละเอียด แต่บางทีมันก็ละเอียดมากไปจนเราไปไม่ถูกอ่ะ



มาถึงด้านหน้า มีรถนักท่องเที่ยวจอดเต็มเลยค่ะ วิหารวรรณกรรมเป็นสถานที่ที่สำคัญมากของฮานอย เพราะที่นี่มีประตูแสงอาทิตย์ที่เป็นเหมือนสัญญลักษณ์ของฮานอยอยู่ ซื้อตั๋วผ่านประตูไป คนละ 6,000 ด่ง มั้งคะ ไม่ค่อยแน่ใจ เดินผ่านประตูไป มีคนคอยเอากรรไกรตัดตั๋ว เรียบร้อย ก็เห็นซุ้มประตูแสงอาทิตย์สีแดงสดอยู่ด้านหน้าค่ะ คนถ่ายรูปตรงจุดนี้เยอะมาก เราจะพลาดได้ไง เลยเอากะเค้าด้วย

จากจุดนี้มองไปจะเห็นสระน้ำอยู่ข้างหน้าค่ะ ค่อนข้างใหญ่ สองข้างจะเป็นศาลา มีซุ้ม ข้างในจะเป็นน้องเต่าค่ะ เต่าเป็นร้อยๆ ตัวเลยเค้าเชื่อกันว่าใครมาลูบหัวเต่าแล้วจะโชคดี เรียนเก่ง ถึงเราจะพ้นวัยเรียนมาแล้ว (ทำเป็นลืมว่ากลับมาต้องมาสอบเนตฯ ต่อ) ก็ลูบกะเค้ามั่ง เต่าบางตัวก็สวย ตัวใหญ่มากค่ะ แต่บางตัวก็ทรุดโทรมมาก บางตัวมีความสำคัญขนาดที่เก็บเอาไว้ในศาลาตะหาก ไม่ค่อยเข้าใจหรอกค่ะ แต่มันคงสำคัญ มีไกด์เวียดนามอธิบายนิดๆ หน่อยๆ ให้ฝรั่งฟัง เราอ่านเอามาจาก BP ได้เนื้อหาเยอะกว่าเยอะเลย

เดินเข้าไปข้างใน ด้านซ้าย นี่ล่ะ สิ่งที่ต้องการ ห้องน้ำ ค่าเข้าแล้วแต่ศรัทธา แต่เขียนว่า 500 ด่ง เราไม่มีเหรียญ 500 ซะด้วย เราเลยเอาแบงค์ 1,000 ใส่ไป ถือซะว่าทำบุญ สาธุ๊

พอเสร็จกิจเดินออกมาจะเข้าไปข้างใน ผ่านร้านของที่ระลึกนิดๆ หน่อยๆ ด้านในค่อนข้างแคบ อับ มีกระถางธูปสวยค่ะ เก่าๆ แล้วก็มีหงษ์สองตัว สูง คอยาว สวยเชียว และรูปปั้น ใครบ้าง เราก็ไม่อาจทราบได้ แต่เค้าคงจะยิ่งใหญ่และมีความสำคัญ เราเลยไหว้รวมๆ กันไปหมด ตอนนี้เห็นเด็กสาวๆ ชาวเวียดนามเอาดอกไม้มาไหว้กันเยอะ ไม่รู้ว่าเป็นช่วงสอบหรือเปล่านะคะ



เราเห็นป้ายจารึกข้างในที่พี่หนุ่มเมืองกรุงแห่ง BP เคยเล่าว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นลายพระราชลัญจกรของจักรพรรดิแห่งจีน ประทานมาไว้ให้ แปลว่าที่เรียนที่นี่ มีความสำคัญอย่างยิ่งเลยค่ะ

อยู่ในวัดได้เกือบบ่ายสอง ได้เวลาจรลีออกมาหาซื้อของกลับเมืองไทยแล้ว เราเดินออกมาไปขึ้นรถเมลล์สาย 2 เดินออกมาจากหน้าวัด เลี้ยวขวา เลียบสวนสาธารณะมาเรื่อยๆ เจอไฟแดง เดินย้อนมาทางขวามืออีกทีแล้วรอขึ้นรถ ตรงนี้ถามเค้าอีกทีเพื่อความแน่ใจนะคะ เอารูปวัดหงอกเซินให้ดู ผู้หญิงเวียดนามอายุกลางคนที่เราถามก็ขี้ไปที่เลข 2 แล้วก็พยักหน้า บอกว่า BOHO ค่ะ เราก็ขึ้นรถไป ได้นั่งตามเคย แอร์เย็นดี แต่ก็มีกลิ่นบุหรี่เป็นเรื่องปกติ นั่งไปสักยี่สิบนาที รถก็มาถึงค่ะ เราชี้รูปให้กระเป๋ารถเมลล์ดูตั้งแต่จ่ายกระตังค์ แล้วเค้าก็เดินมาบอกค่ะ

เราลงที่หน้าห้างทรังเทียน เดินขึ้นไปซื้อน้ำขั้นบนสุดที่ supermarket พี่ติซื้อขนมปังไส้เนื้อ ชิ้นมหึมามากๆ 10,000 ด่ง เราก็ซื้อไอติมกิน 5,000 ด่ง อร่อยดีค่ะ เดินลงมา ไปดูแผนที่รถเมลล์ ไม่มีคันไหนผ่านตลาดด่งซ่วนเลย เลยตัดสินใจเดินเอาค่ะ

มันร้อนอ่ะ ร้อนมากๆ เลย เดินไปบ่นไป ร้อนไปในที่สุดก็มาถึงตลาดค่ะ คนเยอะ ของเยอะมาก อารมณ์ประมาณประตูน้ำบ้านเรา แต่ผิดหวังกะเป้ที่นี่มากเลย คิดว่าจะราคาถูก ราคาแพงกว่าร้านที่หน้าหุ่นกระบอกอีก ข้อสำคัญแบบให้เลือกมีน้อย ต่อของก็ไม่ได้ เราเลยลา เอ็กซ์อยากได้หมวก ต่อมาได้ 6 ใบ 14 เหรียญ จากราคาใบละ 3 เหรียญค่ะ คละๆ แบบ เอา ตอนแรก ชี้ไปที่อันไหน เค้าก็บอกว่าไม่ได้ แพงๆ จนเราโมโห บอกว่าถ้า you expensive ทุกอัน I’m not buy แล้วจะเดินหนี มันเลยยอมค่ะ

จริงๆ ร้านขายหมวกตรง Old Quanter มีหลายร้านเหมือนกันค่ะ แต่แพงกว่า แล้วก็ต่อได้น้อยกว่าที่นี่ แบบเยอะดีค่ะ คนชอบหมวกมาคงจะกรี๊ด เพราะที่เลือกไปให้เพื่อนก็ชอบกันดี ใบละหกสิบกว่าๆ ไม่แพงเลยถ้าเทียบกะบ้านเรา

แล้วเราก็เดินกลับมาที่ร้านขายเป้ตรงหน้าหุ่นกระบอกน้ำ ดูจากแผนที่ประกอบนะคะ ร้านแรกเป็นร้านลุงค่ะ ตอนกลางคืนต่อได้เยอะหน่อย สงสัยแกอยากจะปิดร้าน แต่กลางวันเขี้ยวแหะ ผิดเป็นคนละคนเลย ต่อเยอะก็ไม่ได้ เราเลยกลับไปร้านน้องผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ กัน เค้าใช้มือถือ nokia 5300 รุ่นเดียวกะน้องเราด้วย ร้านนี้จะมีผู้หญิงสองคนขายด้วยกันค่ะ คนนึงจะพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างเก่ง เวลาเราต่อของเราใช้วิธีให้เค้าเขียนราคาลงในสมุดโน้ตนะคะ ถ้าต่อราคาก็ขีดออก เขียนอันใหม่ วิธีนี้จะดีกว่าใช้เครื่องคิดเลขเพราะจะไม่งง และมีหลักฐานค่ะ เวลาจ่ายเงินจริงๆ เราเลือกเรียบร้อย คิดเงิน ต่อกันสนุกสนาน เพราะเค้าจำเราได้ว่าวันแรกเรามาดู มาต่อไว้แล้ว ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาเยอะกว่านี้อีกหน่อย จะบอกให้ซื้อไว้ตั้งแต่กลางคืนค่ะ เพราะยิ่งดึก ของยิ่งถูก เราเลยซื้อมาซะเยอะเลย รวมๆ เกือบ 30 ใบ มีใบใหญ่ 100+20 ลิตรของเพื่อนเอ็กซ์ 1 ใบ แล้วก็ 75+15 ของพี่ติอีกใบ อันอื่นก็เป็นวันเดย์บ้าง 60 ลิตรบ้าง กระเป๋ากล้องบ้างค่ะ กระเป๋าน้องลิงรุ่นเดินทางใบใหญ่ เราซื้อจากแม่สายใบละ 550 บาท ที่นี่ขายแค่สามร้อยเอง ฮือๆ เสียดายอ่ะ แต่เอาเหอะ ไงๆ ก้อใช้จนคุ้มแล้วค่ะ

อ้อ... ตอนเราต่อของ ตอนแรกเราต่อของอยู่หน้าร้าน พอดีมีฝรั่งมาดูเราต่อ แล้วเค้าก็โวยวายว่าทำใมเราซื้อของได้ถูก เราก็บอกว่าเราน่ะ ซื้อ too many bags นะ เจ้าของร้านผู้หญิงเลยลากเราเข้าไปหลังร้าน ให้ไปเลือก ไปตกลงราคา ห่างไกลสายตาของคนอื่นๆ แต่เราว่าของที่ฮอยอันถูกกว่าเยอะค่ะ ที่นี่ราคาค่อนข้างสูง แต่การตัดเย็บจะดูดีกว่าที่ฮอยอัน แต่ถ้าเลือกดีๆ ที่ฮอยอันถูกกว่าเยอะ แล้วก็ต่อได้มากกว่าด้วย

ตอนนั้นเราเหลือเงินดอลล่าร์อยู่แค่ ไม่ถึงห้าสิบเหรียญ ของที่ซื้อที่ต่อไว้ เกือบ 2 ล้านด่ง ไงๆ ก้อต้องไปกดเงินเพิ่ม เลยออกมากเงินเพิ่ม เราเลือกกดตู้ AgriBank เพราะเห็นเป็นแบงค์ใหญ่สุด แต่กดไมได้ซะงั้น ตอนนี้เริ่มใจหาย เพราะไม่แน่ใจว่าตู้อื่นจะกดได้หรือเปล่า อ้อ... ไม่ต้องห่วงนะคะ ตู้ ATM ที่นี่มีภาษาอังกฤษด้วย

เดินมาอีกนิดเจอตู้ IncomeBank มีตรา Visa Master กะอื่นๆ อีกเยอะ เสี่ยงดวงอีกที กดได้ด้วย เย้ๆๆๆๆ กดมาสองล้าน เสียค่าธรรมเนียมไป 20,000 ด่ง ค่ะ

กลับมาจ่ายเงินค่ากระเป๋าที่เลือกไว้ เอาใบเล็กๆ ใส่ใน 100 ลิตรให้หมด แล้วให้พี่ติแบก ส่วนใบเล็กๆ ก็ช่วยกันถือมาที่โรงแรม เจอเจ้าตู๋ ต่อว่ามันอีกนิดหน่อย บอกมันว่าเห็นไหม this’s the reason why I want the room ต่อว่าต่อขานเสร็จ ก็เอาเป๋า เอาของออกมาแพ็ค เลือกเอาผ้าเปียกๆ หนักๆ แยกไว้ต่างหาก เราเอาเป้ 60 ลิตรออกมาสองใบ ไว้สะพายขึ้นเครื่อง ส่วนใบใหญ่กะใบเล็กที่ถือมาก็เอาใส่ใน 100 ลิตรกะ 75 ลิตร ยัดกันใหญ่ อะไรพอทิ้งได้ เราก็ทิ้งไปเลย เอาของหนัก ผ้าเปียกๆ ใส่เป้หลังแบกขึ้นเครื่องค่ะ แล้วเราก็เอากระเป๋ากะของอื่นๆ ที่ซื้อมารวมกัน สรุปแล้วได้เป้หลัง (อย่างหนัก 2 ใบ) ใบใหญ่ ไว้โหลด 100 ลิตร +75 ลิตร อย่างละใบ ที่โรงแรมก็ไม่มีเครื่องชั่งแต่ประมาณดูแล้ว น้ำหนักเกินแน่นอนค่ะ

จัดของเสร็จก็เกือบหกโมงเย็นแล้ว เครื่องเราออกเวลา21.30 เราควรจะไปถึงที่นั่นก่อนทุ่มครึ่ง ไหนๆ เราก็เซฟค่าโรงแรมวันนี้ได้ 10 เหรียญ เอามาจ่ายเป็นค่า Taxi นั่งไปสนามบินสบายๆ ดีกว่า เพราะของเราตอนนี้เยอะมากกกกกก คงจะไปขึ้นรถที่เวียดนามแอร์ไลน์ไม่ไหวแล้ว จริงๆ ของเราเองมีอยู่ไม่เท่าไหร่หรอกนะคะ ที่เหลือน่ะของฝากซื้อของเพื่อนๆ ทั้งนั้น

ตอนเราจัดของ นายตู๋กะเด็กเฝ้าโรงแรมอีกคนก็มาเมียงมอง จ้องๆ เรา แต่เราไม่สนใจ ก็ you ไม่ cincere เองนี่นา ถ้าเปลี่ยนให้มาอยู่ห้องเล็ก 5 เหรียญเราก็จ่าย แต่นี่จะเก็บเท่ากะที่นอนทั้งคืน นายตู๋เลยถามว่าเรามีรถไปหรือยัง เค้าจะเรียก Taxi ให้ เราก็โอเช เพราะจริงๆ กะนายตู๋ เราเองก็มีความรู้สึกดีอยู่กะเค้ามาก ตั้งแต่วันที่เค้าเก็บกระเป๋าตังค์เราไว้นั่นล่ะ แต่นะ นายเจ้าของนี่สิ น่าโมโห เหมือนกะว่าเค้าเห็นเราไม่มีทางไปที่อื่น เพราะของเราเยอะ ราคาห้องเท่าไหร่ เราก็ต้องอยู่กะเค้า ฝันไปเหอะย่ะ รู้จักคนไทยน้อยไปเสียแล้ว

เพื่อประหยัดแรง และเวลาของเรา เราเลยให้ตู๋เรียก Taxi มาให้ เป็นของ Vietnam Airline ค่ะ ค่ารถไปสนามบิน ก็ 10 เหรียญ รถมารับอยู่หน้าปากซอยเลย นายตู๋ช่วยเราขนของออกไป เราเลยให้ทิปเค้าไปร้อยนึง ร้อยบาทเงินไทยนี่ล่ะค่ะ เพราะเหลือเงินด่งอยู่นิดเดียว ตั้งใจจะเอากลับไปเป็นที่ระลึกแล้วก็เหลือดอลล่าร์เป็นภาษีสนามบินไม่มากนักด้วย

ระหว่างทาง โชเฟอร์ของเราก็ขอเปิดวิทยุ เป็นฟุตบอลค่ะ เวียดนามกะอะไรก็ไม่รู้ เราฟังไม่รู้เรื่อง รู้แต่ว่าเค้าไม่ได้ออกทางสะพานข้ามแม่น้ำแดงที่เรามาตอนนั่งรถเมลล์สาย 17 เข้าเมือง แต่ออกมาทางเหนือ ผ่านโรงแรมสวยหรูใหญ่โต ออกไป ได้ยินเสียงคนพากษ์บอลตะโกน เลยถามเค้าว่าใครยิงได้ เค้าบอกว่าเวียดนาม

สำหรับคนที่จะนั่งสาย 17 นะคะ ให้เดินออกมาทางตลาดด่งซ่วน ตรงออกมาเรื่อยๆ เลยค่ะ จะมีป้ายรถเมลล์ป้ายใหญ่อยู่ริมสะพานก่อนข้ามแม่น้ำแดง ขึ้นสาย 17 ตรงนั้นได้เลยค่ะ รถมีถึง 3 ทุ่ม ประหยัดดีค่ะ ตอนแรกเราก็จะใช้วิธีนี้เหมือนกัน เพราะดูจากแผนที่แล้วมันเดินออกจากโรงแรมไม่ไกลมาก แต่พอจัดของเสร็จ ก็พบว่าเราสองคนไม่สามารถแบกสัมภาระหนักขนาดนี้ไปได้ไกลเกินหน้าปากซอย อย่าว่าแต่ตลาดด่งซวนเลย

รับรองค่ะว่า Taxi นี่ดีมากเลยค่ะ ไม่มีโยกโย้ขอเงินเพิ่มช่วยเรายกของดี บริการน่าประทับใจจ๊อดอย่างยิ่ง เลยสมนาคุณ ติ๊ปไปหมื่นนึง อิๆ 10,000 ด่งนะคะ อย่าคิดมาก

มาถึงสนามบิน ดูแล้ว ยังไงๆ ก็คงจะน้ำหนักเกิน แต่ทำยังไงให้เกินน้อยที่สุด เราเลยรีแพ็คของกันใหม่ นั่งแพ็คกันอยู่ตรงนั้น มีคุณลุงชาวเวียดนามที่กำลังรอเครื่องไปฮาวายนั่งคุยใกล้ๆ เป็นเพื่อนกัน แกก็นั่งขำที่เราซื้อกระเป๋ามาเยอะ ก็บอกแกไปว่าเป็น Survineer ให้เพื่อนๆ แกเคยมาเมืองไทยด้วย แกชอบเมืองไทยมาก แกบอกว่าแกชอบสมุย ภูเก็ต เชียงใหม่ เมืองไทย สวย สงบ เงียบ (เค้าใช้คำว่า quite เลยนะ ก็แน่ล่ะสิ ถ้าเทียบกะฮานอยเนี่ย) พี่ติเดินหาที่ชั่งกระเป๋า ซึ่งวางเรียงรายอยู่ แต่เสียหมดทุกอัน เลยเอาน่า เสี่ยงดวงเอา

บอร์ดประกาศให้เราไปขึ้นตั๋วได้ ฝากเป้หลังไว้กะลุงเวียด แล้วแบกของมาเช็คอินที่ช่องแอร์เอเชีย ที่เปิดให้เราสองช่อง มีทัวร์คนไทยสองกรุ๊ป นักฟุตบอลที่ไปเล่นที่นั่นอีกสามคน ฝรั่งต่างชาติอีก ดีใจที่ได้เจอคนไทย แต่ละคนกระเป๋าใบใหญ่เป้งๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ ถ้าคนไหนเกิน15 โลไม่มาก เค้าก็ใจดีให้ไปจัดกันใหม่ รีแพ็คแล้ว รีแพ็คอีก ฝรั่งคนหน้าเราคนเดียวสามสิบกว่าโล บ่นอุบเลย เพราะขาเค้ามากะลุฟเธนซ่าเค้าให้โหลดได้ตั้ง 30 โลแน่ะ เพื่อนเค้ากะเค้าต้องเอาออกไปแพ็คใหม่ แล้วค่อยมาชั่งหลังเราอีกรอบเหลือ 22 โล จ่ายน้อยหน่อย ค่อยยังชั่ว

ของยุ้ยกะพี่ติเหรอคะ แน่นอนอยู่แล้ว เกินสิคะไม่น่าถามเลย อย่าให้บอกเลยนะว่าเกินไปเท่าไหร่ อายค่ะ

โหลดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย เดินมาหาคุณลุงขอบคุณที่ช่วยดูกระเป๋าให้ ดูๆ แล้วคนเวียดนามที่ไม่ได้ทำมาหากินกะพวกนักท่องเที่ยวนี่ อัธยาศัยดี จริงใจ พร้อมจะช่วยเหลือพวกเราทุกคนเลย คนจำนวนน้อยไม่น่าทำให้ภาพพจน์ของประเทศเค้าเสีย ทั้งที่ประเทศเวียดนามมีอะไรให้เที่ยวเยอะมาก แต่คนของเค้าเอง กลับจะให้นักท่องเที่ยวไม่กล้ามาที่นี่อีก

แบกเป้เดินเข้าไปข้างใน ผ่าน ตม.เค้า รวดเร็ว สะดวกสบาย แล้วก็เดินออกมา ของเราเกท 4 เครื่องยังไม่เข้าหลุมจอดเลย ตอนนี้ก็เพิ่งสองทุ่มครึ่งเอง เหลือเวลาอีกตั้งชม.แน่ะ

นึกขึ้นมาได้ ตายละสิ ยังไม่ได้จ่ายภาษีสนามบินเลยอ่ะ ไม่เห็นเค้าดักไว้จุดไหนเลย ทำไงล่ะทีนี้ พอดีนั่งอยู่กะกรุ๊ปคนไทยที่เพิ่งมาจากคุนหมิง มาเที่ยวต่อที่ฮานอย น้าๆ แกให้เราไปถามไกด์ของแก พี่เค้าน่ารักมาก บอกว่าไม่ต้องเสีย เพราะเดือนที่แล้ว เค้าเพิ่งเปลี่ยนกฎให้รวมภาษีสนามบินไว้กะตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว ตั๋วหางแดงที่เราซื้อตั้งแต่ต้นปีเลยได้รับอานิสงค์ไปด้วย เราเลยไม่ต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 14 เหรียญ เหลือเงินช็อปของกินในดิวตี้ฟรีต่ออีกหน่อย คราวนี้ไม่ต้องกลัวน้ำหนักเกินแล้วด้วย 555

ดิวตี้ฟรีที่นี่ของค่อนข้างน้อย และแพง เมื่อเทียบกับที่คิงส์พาวเวอร์ของเรา พี่ติไปเดิน ๆ ดูแว่นกันแดด แล้วบอกว่าไม่มีแบบใหม่ๆ สวยๆ เลย นั่งๆ รอๆ สักสามทุ่มสิบนาที เครื่องก็เข้าหลุมจอด พอเห็นเครื่องมา คนก็พรึ่บไปยืนเข้าแถวกันอย่างพร้อมเพรียง แหม..... ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงๆ เค้าก็มีที่ให้เรานั่งอยู่แล้ว ดูแล้วไม่เกิน 50 คนด้วยซ้ำ กะโบอิ้งลำเล็ก ยังไงๆ ก็หลวม เรากะพี่ติไม่มายด์ที่ต้องนั่งหน้าอยู่แล้ว นั่งหลังก็ได้ เอาท้าวแขนออกสองข้างก็นอนยาวได้เลย สบายดีออก

ระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง สาวเวียดนามเจ้าหน้าที่ในชุดอ๋าวหญ่าย ก็มาตรวจเช็คตั๋วคนที่อยู่ในแถว แต่เรายังเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้อยู่ เลยมองเพลินๆจน เค้าเปิดประตูเรียบร้อยแล้ว ค่อยๆ ทยอยกันเข้าไป เราถึงไปเช็คกะเค้า ได้ที่นั่งสบายๆ อย่างที่คิดไว้ว่า 10 แถวสุดท้ายคงว่าง พี่ติยัดของใส่ช่องใส่ของบนหัวเสร็จ ก็เตรียมตัวนอนกัน เก้าอี้แถวใครแถวมัน พี่นักฟุตบอลก็ด้วย ได้ยินเสียงคนในกรุ๊ปทัวร์ที่เข้าแถวเมื่อกี้โวยใส่สจ๊วตกะแอร์ลั่น เรื่องที่นั่ง ซึ่งทั้งคนไทย ทั้งฝรั่งแถวนั้นก็งงๆ เพราะทุกคนที่ขึ้นหางแดงก็ล้วนแต่ต้องยอมรับและทำใจในข้อนี้กันดีอยู่แล้ว คุณจ่ายค่าโดยสารราคาประหยัด จะมาเรียกร้องการบริการชั้นเดียวกะ TG ได้ยังไงล่ะ เสียงคนโวยเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ คนแถวนั้นสี่ห้าคน เริ่มเปลี่ยนมานั่งข้างหลังเรา บ่นกันพรึม เอาอะไรนักหนา แค่เครื่องไม่ดีเลย์เหมือนตอนเรามาจากภูเก็ตก็น่าจะดีใจแล้ว

เราเลิกสนใจกับมนุษย์เจ้าปัญหาด้านหน้า หันหน้าออกมาที่กระจกข้าง เพื่อร่ำลาเวียดนาม เมื่อวานเย็น เราเพิ่งกล่าวคำอำลากับซาปา เมืองในขุนเขาที่แสนสงบ แต่คืนนี้เรากำลังอำลาเวียดนาม และฮานอย อยู่ในใจ

ลาก่อนเมืองที่ทุกวินาทีมีแต่ความเร้าใจเช่นฮานอย

ลาก่อนทะเลสาบคืนดาบ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในยามกลางวัน และ Lovelake ตอนกลางคืน

ลาก่อนหุ่นกระบอกน้ำ และมอไซค์ที่เดินตามเราได้ทั้งวันพร้อมพูดแค่ Moto ๆๆๆ

ลาก่อนเวียดนาม สักวัน เราคงได้กลับมาอีกครั้ง

การเดินทางในครั้งนี้กำลังจะปิดฉากลง พร้อมกับสจ๊วตและแอร์โฮเตสที่กำลังสาธิตวิธีใช้ถุงชูชีพ ซึ่งเราก็คิดเหมือนกันทุกครั้งที่ดูว่า ถ้าไอ้เสื้อบ้านี่ไม่ติดปีกให้เราบินได้ ยังไงๆ เราก็คงไม่รอดถ้าเครื่องตกจริงๆ เวลาแห่งการเดินทางครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง เมื่อกัปตันปิดไฟในเครื่อง และนำเครื่องทยานออกจากสนามบินนอยไบ เราหันไปมองไฟลางๆ ของสนามบินและเมืองฮานอยอีกครั้ง ก่อนปรับเก้าอี้ลงนอน

ถ้าการเดินทางครั้งนี้ไม่สิ้นสุดลง เราจะเริ่มการเดินทางใหม่ได้อย่างไร

บรรทัดสุดท้าย คงต้องขอบคุณใครอีกหลายคนที่มีส่วนทำให้การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้น

พี่ติ..... ที่ไปด้วย ที่ถือของ ที่ถ่ายรูป และเป็นกำลังใจให้ทุกเวลา อยู่ข้างกันตลอดมา

พี่จุ๋ม... ที่โทรมาบอกว่า นังยุ้ย.....หางแดงโปร 0 บาท คืนนี้จองด่วนเลยนะ ไปเที่ยวกัน

เท็ดดี้ ....... สำหรับเลนส์ไวด์ ถ้าไม่มีไวด์เพื่อนตัวนี้ รูปเราคงสวยไมได้ครึ่งของเท่าที่เห็น

ขอบคุณสมาชิกบอร์ดในห้อง Blueplanet พันทิป และเว็บแบกเป้ของ TKT สำหรับทุกทู้ที่เกี่ยวกับเวียดนาม ฮานอย และซาปา เพื่อเป็นข้อมูลในการเดินทางและการตัดสินใจในทุกเรื่อง โดยไม่ต้องพึ่ง lonely planet เลย

และขอบคุณเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ และใครๆ อีกหลายคน ที่เป็นกำลังใจอยู่ทั้งไกลและใกล้ ตลอดเวลา

เครื่องบินเริ่มบินสูงขึ้นจนเรามองไม่เห็นแสงไฟที่พื้นแล้ว จากสายตา เรามองเห็นแม่น้ำใหญ่อยู่ข้างล่าง นั่นคงเป็นแม่น้ำแดงที่หล่อเลี้ยงคนเวียดนามทุกชีวิตที่อยู่รอบแม่น้ำสายนั้น และเป็นแม่น้ำสายนี้เองที่เมื่อเราข้ามผ่านเมื่อไหร่ เราก็ได้พบการเดินทางและผจญภัยใหม่ๆ ในแทบทุกครั้ง

ลาก่อน พบกันใหม่เมื่อการเดินทางครั้งใหม่เริ่มขึ้น

แก้มยุ้ย





Create Date : 10 ตุลาคม 2550
Last Update : 10 ตุลาคม 2550 15:41:14 น.
Counter : 1339 Pageviews.

8 comments
  
ขอบคุณครับ สนุกมาก และได้ข้อมูลดี อิอิจะไปประมาณ 3-17 ธันวานี้แหละครับ เออ...โรงแรมที่เหงียนทำ ที่ซาปาอ่ะครับชื่ออาไรว้า
โดย: ohmitaru วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:1:33:18 น.
  
มาตอบค่ะ

ชื่อทันลอยด์ อะไรสักอย่าง หาง่ายมากๆ

จากถนนเส้นหลักที่ผ่านจากโบส์ถ มา Cat cat เดินตรงมาเรื่อยๆ ค่ะ จะเห็นร้าน buffalo bell (แพงมาก ไม่อร่อยด้วย) ด้านซ้ายมือ มีบันไดขึ้นข้างๆ ร้าน เดินขึ้นบันไดขึ้นไปจนสุด เลี้ยวซ้าย โรงแรมจะอยู่ทางขวามือ อีกด้านจะเป็นร้านขายอาหารค่ะ

โรงแรมเล็ก สะอาด เด๋วจะพยายามหารูปมาลงให้นะคะ

โดย: หมวยแก้มป่อง วันที่: 12 ตุลาคม 2550 เวลา:15:50:27 น.
  
ขอบคุณมากเลยค้าบบ
โดย: ohmitaru วันที่: 13 ตุลาคม 2550 เวลา:23:12:07 น.
  
แกไปเวียดนามฉันไปญี่ปุ่น แล้วมันจะเจอกันไหมเนี่ย!
>> รวมเล่มขายแพ็คคู่เลยดีไหม Wa <<

ปล.อย่าลืมไปเม้นท์บล็อกฉันนะ

www.jp-sky.blogspot.com
โดย: ดาวอ่ะ IP: 203.113.40.7 วันที่: 23 ตุลาคม 2550 เวลา:16:30:12 น.
  
อ่านสนุกมากเลยค่ะ ว่าจะไปเดือนมกราคม ขอร้องแกมบีบบังคับให้สามีไปเที่ยวกัน พอดีว่าซื้อตั๋วนก 3 บาทไปอุดรเดือนมีนาคม เตรียมไปหลวงพระบาง 9 วัน พอมกราจะไปฮานอย (นกสามบาทเช่นกัน) สามีไม่ยอม บอกให้เพลาๆหน่อย

ยังไงตอนนี้สามีก็ยอมแล้ว แต่มีเวลาแค่ 5 วันสี่คืนเองค่ะ ไม่สามารถไปได้นานกว่านี้ เสียใจ (แต่ห้ามเรื่องมาก เพราะได้ไปก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว)

แล้วใกล้ๆเดินทางจะมาอ่านเก็บรายละเอียดอีกนะคะ

สงสัยว่าต้องทำวีซ่ามั้ยคะ? ถ้าเขียนบอกแล้วขออภัยนะคะ นั่งอ่านเว็บจนงงไปหมด (พอดีพรุ่งนี้ว่างนิดนึง) แต่ไม่มีที่ไหนเขียนเรื่องวีซ่า ไม่อยากทึกทักเอาเองว่าไม่ต้องทำ
โดย: พี่หมูน้อย (พี่หมูน้อย ) วันที่: 31 ตุลาคม 2550 เวลา:4:00:35 น.
  
ดีใจจังค่ะ ที่ข้อมูลมีประโยชน์กับคนอื่นๆ ที่จะไป

ใครจะเอาไฟล์ที่แก้มยุ้ยทำข้อมูลไว้ พร้อมแพลน เมลล์มาบอกได้นะคะ mysussi@yahoo.com

ตอบพี่หมูน้อยนะคะว่าไม่ต้องทำวีซ่าค่ะ มี passport อย่างเดียวก็เข้าได้แล้วค่ะ

เดินทางปลอดภัยนะคะ พี่หมูน้อย

สุขสันต์วันลอยกระทงค่ะ

โดย: แก้มยุ้ย จขบ. IP: 61.19.222.31 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2550 เวลา:16:24:46 น.
  
อยากถามคุณแก้มยุ้ย หน่อยครับว่า
ร้านที่ขายเป้ หน้าหุ่นกระบอกน้ำ เค้าเปิดถึงกี่โมงเหรอครับ วันธรรมดาเปิดมั้ย
แล้วพวกเป้ กระเป๋า คุณภาพของเค้าเป็นไงบ้างครับ ขายของแท้ด้วยหรือป่าวครับ
ขอโทษที่ถามเยอะหน่อย พอดีกำลังจะไปอาทิตย์ เลยอยากซื้อกลับมาฝากคนแถวนี้บ้างครับ ขอบคุณครับ
โดย: โยครับ IP: 124.120.136.198 วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:12:58:33 น.
  
ตอบคุณโยค่ะ

เป้ที่ซื้อมาราคาแพงกว่าที่ฮอยอันค่ะ แต่ไม่มาก ส่วนคุณภาพก้อตามราคา

เป้ใบ 75+15 ลิตร ทนมากๆ ใช้หลายงานแล้ว อึดดีค่ะ แต่ใบกลาง 60 ลิตร ไม่ทนเท่าที่ควร เย็บตะเข็บไม่ดี แล้วซิปก้แตกง่าย เวลาเจอสายพานเครื่องบินค่ะ

ส่วนร้าน บางร้านปิดสองทุ่ม บางร้าน(ที่เป็นลุง) เปิดถึง 4 ทุ่ม ยิ่งดึก ยิ่งต่อได้มาก ค่ะ เสียดายเหมือนกันที่วันซื้อรีบๆ เลยต่อได้ไม่เยอะเท่าที่ใจอยาก

ถ้ามีเวลาเดินถามราคาก่อนนะคะ แล้วค่อยเลือกร้าน ไม่ต้องรีบค่ะ อ้อ... หมวกก็น่าซื้อค่ะ สวยๆ คุณภาพดีด้วย เราซื้อได้ใบละเหรียญค่ะ ที่บ้านเราต้องใบละ 100 -200 ขึ้นทั้งนั้นค่ะ

โชคดีในการเดินทางนะคะ
โดย: หมวยแก้มป่อง วันที่: 28 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:55:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยแก้มป่อง
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



"All Or Nothing"

ถ้าจะรักต้องให้หมดทั้งใจ หรือก็ไม่ต้องเลย
Friends Blog
[Add หมวยแก้มป่อง's blog to your weblog]