Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
12 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 

ทศชาติชาดก เรื่อง พระมหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 17





ทศชาติชาดก
เรื่อง พระมหาชนก
ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 17


จากตอนที่แล้ว พระมหาชนกโพธิสัตว์ทรงปลงพระเกศาและพระมัสสุ ทรงนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ อุ้มประคองบาตรดินเสด็จจงกรมอยู่ในปราสาท เหมือนพระปัจเจกพุทธเจ้ากำลังออกเดินบิณฑบาต ทรงเจริญธรรมอยู่ในปราสาทนั้นด้วยความปลื้มปีติ ทรงทำสมาธิเจริญภาวนาตลอดคืนยันรุ่ง แล้วในที่สุด ก็ทรงตัดสินพระหฤทัยเด็ดขาดที่จะเสด็จออกผนวช โดยไม่ต้องอำลาใคร

ในเช้าวันนั้น พระนางสีวลีเทวีทรงหวั่นพระหฤทัยถึงพระราชสวามีว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพระองค์ จึงได้ประดับตกแต่งพระวรกายอย่างสวยงาม แล้วเสด็จก็ขึ้นปราสาทกับเหล่าสตรีทั้ง ๗๐๐ นาง

ในขณะที่เสด็จขึ้นบนปราสาทนั้น ก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงมาพอดี แต่พระเทวีก็ไม่ได้เฉลียวพระหฤทัย เห็นแต่กิริยาอาการที่สงบสำรวมเหมือนกับสมณะที่บวชมานาน จึงจำไม่ได้

เมื่อเสด็จขึ้นไปถึงที่ประทับ ก็ไม่ทรงเห็นใครเลย ทอดพระเนตรเห็นเพียงเส้นพระเกศาที่วางไว้อยู่บนพระแท่นสิริไสยาสน์ เห็นห่อเครื่องราชาภรณ์ จึงเริ่มสงสัยว่า “บรรพชิตรูปนั้น คงไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า เห็นจะเป็นพระราชสวามีสุดที่รักเป็นแน่”

เมื่อทรงดำริดังนี้แล้ว ก็รีบเสด็จวิ่งลงจากปราสาทพร้อมกับพวกสนมนางในทันที ไปจนทันพระโพธิสัตว์ที่หน้าพระลานหลวง ครั้นไปถึง ก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์อย่างน่าสงสาร สยายเกศาลงเบื้องพระปฤษฎางค์ กับด้วยสตรีทุกนาง

พระเทวีได้ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์ทรงละทิ้งพวกหม่อมฉัน เสด็จหนีไปแต่ผู้เดียว ทรงทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไร พวกหม่อมฉันมีความผิดอะไรหรือ พระองค์มุ่งเสด็จไปประดุจว่าปราศจากราชสมบัติเสด็จออกผนวช”

พระโพธิสัตว์แม้จะได้ฟังถ้อยคำทัดทานอย่างไร ก็ทรงทำเหมือนไม่ได้ยินถ้อยคำของพระนาง ยังคงเสด็จดำเนินไปเรื่อยๆ โดยมีป่าหิมพานต์เป็นเป้าหมาย



เช้าวันนั้น เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ อำมาตย์ เสนาบดี ปุโรหิต ทั่วพระนครก็เกิดโกลาหลกันใหญ่ บางคนยังนุ่งห่มผ้าไม่เรียบร้อย พอได้ยินข่าวว่า พระราชาทรงออกผนวชแล้ว ก็รีบวิ่งออกมาที่หน้าพระลานหลวง

เมื่อมาถึงแล้ว ต่างก็รู้สึกสับสนกันไปหมด ได้เกิดการวิพากวิจารกันไปต่างๆ นานาว่า ต่อไปนี้ ใครจะปกครองแผ่นดิน พระราชาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมอย่างนี้จะมีแต่ที่ไหน แทนที่จะอนุโมทนาสาธุการ กลับร้องห่มร้องไห้ไปตามๆ กัน

พระสนมนารีทั้ง ๗๐๐ นาง ประคองแขนทั้งสองข้างกันแสง ทรงคร่ำครวญว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมพสกนิกร พระองค์จะละทิ้งพวกข้าพระองค์ไปทำไม ขอได้โปรดอยู่เป็นร่มโพธิสมภารอันประเสริฐให้แก่เหล่าข้าพระบาทด้วยเถิด”

ฝ่ายพระนางสีวลีเทวีทรงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้ามากที่สุด ได้พยายามกราบทูลรั้งพระราชาเอาไว้ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ พระราชายังคงเสด็จดำเนินไปด้วยอาการปกติเหมือนพญาช้างกำลังมุ่งสู่สมรภูมิ ไม่ได้หวั่นไหวหรือสนใจในคำอ้อนอวนเลย

พระเทวีจึงคิดอุบาย ด้วยการให้มหาอำมาตย์มาเฝ้า แล้วรับสั่งให้รีบไปจุดไฟเผาเรือนเก่า ศาลาเก่า ด้วยการให้พาพรรคพวกไปรวบรวมหญ้าและใบไม้นำมาสุมให้เป็นควันมากๆ ทำเหมือนว่าไฟกำลังโหมหนักขึ้นเรื่อยๆ มหาอำมาตย์ก็รีบทำตามสั่งทันที

เมื่อพระนางสีวลีเทวีรับสั่งเสร็จแล้ว ก็รีบตามเสด็จพระราชาไป หมอบแทบพระยุคลบาท ทำเป็นกราบทูลด้วยความตกพระทัยว่า

“เสด็จพี่ เรือนคลังจำนวนมากกำลังถูกไฟไหม้ คลังเงิน คลังทอง คลังแก้ว คลังพัสดุสิ่งของ คลังทองแดง คลังเหล็กเป็นอันมาก มีเปลวไฟเสมอเป็นอันเดียวกันอย่างน่ากลัว แม้อยู่คนละส่วนก็ลุกเป็นไฟทั้งหมด

ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับไปดับไฟเสียก่อน พระราชทรัพย์ของพระองค์อย่าได้ฉิบหายไปเพราะอัคคีภัยเลย ดับไฟเสร็จแล้วจึงค่อยเสด็จออกผนวชภายหลังก็ได้ จะได้ไม่ถูกครหาว่า เสด็จออกไปโดยไม่เหลียวแลพระนครที่กำลังถูกไฟไหม้”




ฝ่ายพระมหาชนกผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่นต่อการบรรพชา ได้ตรัสว่า

“ดูก่อนน้องหญิง เธอตรัสอะไรอย่างนั้น เราไม่มีความห่วงใยด้วยของเหล่านั้นที่ถูกเพลิงเผาผลาญเลย
ใครเป็นเจ้าของ คนนั้นก็มีแต่ความเร่าร้อนอยู่เป็นนิตย์ แต่เราหามีความกังวลไม่

เมื่อกรุงมิถิลาถูกเพลิงเผาผลาญอยู่ ของอะไรๆ ของเรามิได้ถูกเผาผลาญเลย
เพราะเราได้สละวางสมบัติเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว”


ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาก็เสด็จออกทางประตูทิศอุดร นางสนมกำนัลชั้นในทั้งเจ็ดร้อยก็ยังคงออกตามเสด็จไป ทูลอ้อนวอนให้เสด็จกลับไม่ขาดปาก มีน้ำตานองหน้าร่ำให้ดุจเดียวกัน

พระนางสีวลีเทวีทรงคิดอุบายขึ้นอีกอย่างหนึ่ง ทรงรับสั่งให้พวกอำมาตย์ ทำเป็นเหมือนมีโจรจำนวนมากมาปล้นฆ่าชิงทรัพย์ของชาวบ้าน และปล้นแว่นแคว้นบริเวณรอบๆ

พวกอำมาตย์ก็รีบไปจัดการตามกระแสรับสั่งโดยเร็ว ก็มีคนจำนวนมากถืออาวุธครบมือ มีผ้าโพกศีรษะ ถืออาวุธวิ่งไปวิ่งมาตามสถานที่ต่างๆ สวมบทบาทเหมือนกับกำลังบุกปล้นชาวบ้าน แต่ก็ไม่ได้ฆ่าหรือทำร้ายใคร

ฝ่ายชาวบ้านไม่รู้เรื่องอะไร ก็ตกใจกลัวจริงๆ จึงร้องตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือจากพระราชาว่า “ข้าแต่มหาราช พวกโจรกำลังปล้นแว่นแคว้น ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแก่พวกข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ฝ่ายพระนางสีวลีก็กราบทูลสำทับลงไปว่า “เกิดโจรป่าขึ้นแล้ว กำลังปล้นแว่นแคว้นของพระองค์ ขอพระองค์จงเสด็จกลับเถิด แว่นแคว้นนี้อย่าพินาศเสียหายเลย ขอพระองค์ได้โปรดเสด็จกลับไปปราบโจรร้ายด้วยเถิด”

แต่พระโพธิสัตว์เป็นผู้มีพระปัญญาเฉียบแหลม ทรงดำริว่า

“เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ จะไม่เกิดโจรปล้นทำลายแว่นแคว้นอย่างเด็ดขาด
เพราะเราปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม ไม่เคยมีโจรร้ายเกิดขึ้นในบ้านเมือง

พสกนิกรทุกหมู่เหล่าต่างเกรงบารมีเรา
แต่เหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น จะต้องเป็นการกระทำตามคำสั่งของพระสีวลีเทวีอย่างแน่นอน”

จึงทรงมีรับสั่งกับพระเทวีว่า

“เราเป็นผู้ไม่มีความกังวลแล้ว มีชีวิตอยู่เป็นสุขสบายดี
เมื่อแว่นแคว้นถูกโจรปล้น เรามิได้มีของอะไรจะให้ปล้น

เราเป็นผู้ไม่มีความกังวล มีชีวิตอยู่เป็นสุขดีหนอ
เราจักมีปีติเป็นภักษาเหมือนเทพชั้นอาภัสสราพรหม”

ว่าแล้วก็รับสั่งให้พระเทวีเลิกทำเช่นนั้นเสีย อย่าทำให้ชาวแว่นแคว้นต้องเสียขวัญเลย และอย่าได้ติดตามพระองค์ต่อไปอีกเลย... ส่วนว่าพระราชเทวีจะทำตามรับสั่งนั้น หรือจะทรงคิดหาอุบายอะไรอื่นอีก พระนางจะสามารถเกลี้ยกล่อมพระราชสวามี ให้กลับไปครองราชย์ดังเดิมได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป

โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)

from dmc.tv




 

Create Date : 12 ตุลาคม 2550
0 comments
Last Update : 14 ตุลาคม 2550 18:36:50 น.
Counter : 1451 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


เมืองทะเลทราย
Location :
Dubai United Arab Emirates

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ว้า...ดูไบเนี่ยทำไม มันร้อนจริง ๆ เลย



Friends' blogs
[Add เมืองทะเลทราย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.