นักเตะแห่งความหวังของทัพเซเรเซาที่บ่องตงว่า "ยังไม่ได้ขี้เล็บของ โรนัลโด้ หรือ ริวัลโด้ เลย"
เพราะทั้งที่ออกนำไปก่อนถึง 2-0 จากประตูของ เฟร็ด และออสการ์ รวมทั้งรูปเกมที่ไม่ได้ดูเป็นรองกว่าทัพ "อัซซูรี่" เหมือนเป็นการบอกกันกลายว่าสมควรจะจบเกมดังกล่าวด้วยการเป็น "ผู้ชนะ" แต่ความไม่แน่นอนของพวกเขา บวกกับความตั้งใจของขุนแข้งลูกหนังแดนมะกะโรนีก็ทำให้เกิด 2 ประตูจากทางฝั่งทีมแดนพิซซ่า ทั้งลูกโหม่งของ ดานิเอเล่ เด รอสซี่ และลูกยิงไกลสุดสวยของ มาริโอ บาโลเตลลี่ นั่นเอง
ลูกยิงตีเสมอ 2-2 ของ "มาริโอ บาโลเตลลี่"
ผมบอกไม่ได้ว่า บราซิล ไม่นิ่ง หรือ อิตาลี นิ่งกว่ากันแน่ แต่ที่แน่ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ กุนซือของ บราซิล มีการบ้านกองโตที่จะมีเวลาให้ทำกันไปอีกปีกว่าๆ กับโจทย์ที่ว่าทำอย่างไรให้ บราซิล เป็นทีมที่ดีที่สุด เพราะเท่าที่มีอยู่ตอนนี้หากเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์กับเบอร์ 1 ของโลกทีมปัจจุบันอย่าง "กระทิงดุ" สเปน ต้องยอมรับโดยศิโรราบว่า "กระดูกยังคนละเบอร์" จริงๆ
12 ปีแห่งการรอคอยของทัพ "แซมบ้า"
ผมยังจำ บราซิล ชุดแชมป์โลก 2002 ซึ่งเป็นความสำเร็จในรายการฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของพวกเขาได้ นำมาด้วย มาร์กอส ผู้รักษาประตูที่ทั้งเก๋าและหนึบ เล่นด้วยระบบ 5-3-2 ใช้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ 3 คนประกอบด้วย ลูซิโอ,โรเก้ จูเนียร์ และเอ็ดมิลสัน ใช้วิงแบ็ก 2 คนได้แก่ คาฟู และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส แผงกองกลางแน่นปั้กอย่างกิลแบร์โต้ ซิลวา และ เคลแบร์สัน โดยมีตัวเชื่อมในแดนกลางอย่าง โรนัลดินโญ่ มี ริวัลโด้ เป็นตัวสร้างสรรค์เกม และปิดท้ายด้วยดาวยิงระดับเพชรฆาตอย่าง โรนัลโด้ อาจไม่ใช่ทีมที่ดีที่สุดเท่าที่ บราซิล เคยมีมา
แต่นี่คือทีมที่คว้าความสำเร็จมาได้ในครั้งล่าสุด และอีกหนึ่งเรื่องที่ บราซิล ลืมนึกไปกับการได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน เพราะครั้งแรกที่พวกเขาได้จัดเมื่อปี 1950 นั้น พวกเขาทำได้แค่เพียงรองแชมป์เท่านั้น แรงกดดันในสนาม มาราคาน่า หรือ "ชามอ่างยักษ์" ของพวกเขาอาจยังไม่ดุดัน เหลือเวลาอีก 1 ปีนับจากวันนี้
"สิ่งที่น่าจับตาก็คือพวกเขาจะสามารถทวงความยิ่งใหญ่ของพวกเขากลับมาได้หรือไม่"
เรื่องโดย : อธิคม ภูเก้าล้วน
ข้อมูลจาก //sport.sanook.com