บทที่ 18 ผู้สูงศักดิ์
บทที่ 18 ผู้สูงศักดิ์

เมื่อนำร่างนางมนุษย์ผู้เป็นคนรักของศรัณย์มาให้ครุฑที่ตนนับถือแล้ว ตรีดาวก็รีบสาธยายเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นนับแต่อดีตเป็นต้นมา “ที่ตรัศวินผู้เป็นน้องชาย ไตรเวทย์ที่เป็นอาและสิตามันผู้เป็นตาต้องจบชีวิตลงนั้นก็เป็นเพราะมนุษย์นามกว่ากลิ่นจันทร์ ต่อมานางสมสู่กับภุชคินทร์ นิลนาค จนให้กำเนิดลูกชายชื่อว่าศรัณย์ นิลนาค ข้ามิอาจลบเลือนความแค้นที่เกิดขึ้นได้จึงจับตัวมนุษย์นางนี้เพื่อเป็นตัวประกันในฐานะที่เธอคือคนรักของนายศรัณย์นั่น” จบประโยคก็หันมามองชลธิชาตาขวาง หญิงสาวถูกมัดมือไว้แน่น
คุกเข่าอยู่ต่อหน้าชายสูงวัยที่นั่งบนบัลลังก์สีแดง ณ ปราสาทร้างแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาสูง

“ที่สิตามัน ไตรเวทย์และตรัศวินต้องตาย ไม่ใช่เพราะคุณน้ากลิ่นจันทร์หรือนิลนาค แต่เป็นเพราะพวกคุณรุกรานนาคเสนต่างหากล่ะ” ชลธิชาแย้งครุฑสาวเสียงแข็ง

“แกเป็นแค่มนุษย์ต่ำต้อยอย่ามาทำเป็นรู้ดีหน่อยเลย จะตายอยู่แล้วยังปากดีอีกนะ” ดวงหน้าขึ้งโกรธหันไปที่ครุฑสูงศักดิ์อีกครั้ง “อย่าไปเชื่อมันนะคะ ที่เราต้องไปเยือนดินแดนอีสานเหนือเพราะนังกลิ่นจันทร์มันหว่านเสน่ห์ใส่น้องชายฉัน หวังล่อให้ตรัศวินตามมันไป มันรู้อยู่แล้วว่าที่ตรงนั้นนาคเสนปกครองอยู่”

หญิงสาวได้แต่กัดฟันฟังอีกฝ่ายกลบเกลื่อนความจริงอย่างเจ็บใจ ปักษาด้วยกันก็ย่อมจะต้องเข้าข้างกันเป็นแน่ หัวใจที่เจ็บช้ำหวนนึกไปถึงภาพที่ศรัณย์กับเก็จลดากำลังมีความสุขด้วยกันอีกครั้ง พลันนั้น...หยดน้ำตาก็รินไหลลงมาอีกรอบ ช่างมันเถอะชล...พวกครุฑจะใส่ร้ายนิลนาคว่ายังไงมันก็ไม่เกี่ยวกับเธออีกแล้ว

“เรามีกำลังมากมาย พวกนาคมันไม่กล้าขัดขืนต่อสู้แน่...หรือเจ้าจะให้ข้านำทูลต่อพระนางสวาหา”

“พระนางสวาหาหรือคะ...” ตรีดาวเลิกคิ้วสูงก่อนที่คนตรงหน้าจะคลายยิ้มและมองเธอประหนึ่งนางครุฑน้อยที่ไร้เดียงสา

“ใช่...พระนางสวาหา เป็นพระชายาของพระอัคนี ให้พระนางลงมาจัดการนาคพวกนั้น เรื่องมันจะได้จบๆ กันเสียที”


ภุชคินทร์และอรวินทร์ต่างหลบอยู่ใต้ซอกหินตีนเขาใกล้กับที่ซ่อนของตรีดาว รักตปักษ์ ด้วยความที่อีกฝ่ายมีครุฑมากมายคอยลาดตระเวนจึงทำให้นาคาทั้งสองมิอาจเข้าใกล้รัศมีของปราสาทโบราณอันเป็นที่ประทับของครุฑผู้ทรงฤทธิ์ซึ่งตรีดาวนับถือ แต่ทว่ากลับไม่ได้มีนาคาเพียงแค่ตนที่วนเวียนอยู่ในแถบนั้น

ปริตรที่ติดตามดูเหตุการณ์ทุกอย่างมาโดยตลอดนั้นนึกถึงแผนการที่จะกำจัดนิลนาคทั้งสองตนขึ้นมาได้ นาคหนุ่มส่งสาส์นลึกลับก่อนผูกไว้กับก้อนหินและโยนไปใส่ครุฑเฝ้ายามตนหนึ่ง ก่อนที่เหล่าปักษาจะรีบรุดมาตามคำบอกและได้เห็นนาคาในร่างมนุษย์สองตนที่แอบซุ่มดูพวกเขาอยู่ห่างๆ

“ลงไปจัดการมัน” ผู้เป็นหัวหน้าสั่งการลูกน้อง ครุฑสามตนบินโฉบลงมาจากฟากฟ้าตรงเข้าหาร่างภุชคินทร์และอรวินทร์ด้วยความเร็วสูง

ด้วยสัญชาติญาณที่มีจึงทำให้ทั้งสองรู้ว่าภัยร้ายกำลังจะกล้ำกรายเข้ามาหา อรวินทร์กลายร่างเป็นนาคสีเขียวก่อนเลื้อยเข้าซอกถ้ำส่วนภุชคินทร์แหวกเลื้อยไปทางหนองน้ำใหญ่ที่อยู่อีกไม่ไกล จนเมื่อทะลุยังอีกฟากของถ้ำยาวประมุขแห่งนิลนาคจึงรีบหลบเลื้อยตรงสู่หนองน้ำทันที เมื่อได้เห็นเกล็ดเกลียวสีเขียวคล้ำของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องเธอจึงคลายกังวลลง

“ศรัณย์อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ ฉันรู้สึกถึงเขา” ภุชคินทร์ในร่างนาคสีเขียวสื่อสารผ่านกระแสจิตกับอรวินทร์ที่ว่ายอยู่ใกล้กัน

“แต่ครุฑพวกนี้กำลังจ้องพวกเราอยู่ เราต้องว่ายกลับลงซอกหลืบ ไปยังถ้ำใต้น้ำเพื่อจะโผล่อีกฟากของภูเขา”

“นั่นมันไกลจากจุดที่ศรัณย์อยู่มาก...ถ้าพวกครุฑเจอเขาก่อนเราล่ะ?”

“มันต้องเสี่ยงดูภุชคินทร์...ต้องเสี่ยง” เวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดบังคับให้ภุชคินทร์ต้องทำตามข้อเสนอของอรวินทร์ในที่สุด


ญาดาวีรู้สึกรุ่มร้อนใจพิกลคล้ายว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้านี้ หญิงสาวบอกให้วายุติดตามไปช่วยเหลือภุชคินทร์และอรวินทร์ทั้งที่เขาควรจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเธอและกลิ่นจันทร์ เปิดโอกาสให้สาวกแห่งรักตปักษ์ทั้งสองได้ในที่สุด

เสียงกรีดร้องของพิมพ์ดาวและมะลิฉุดให้ญาดาวีสะดุ้งเฮือกอย่างตกใจ หญิงสองคนต่างวิ่งกระ:-)กระสนขึ้นบันไดบ้านมาด้วยความตื่นตระหนกก่อนตะโกนร้องไม่เป็นภาษา มะลิเข้ามาหาจับมือกลิ่นจันทร์ไว้แน่น บอกว่าเธอเห็นผู้หญิงคนหนึ่งบินลงมาจากฟ้ากำลังตรงดิ่งมายังเรือนไทยหลังงามแห่งนี้

“ศรุตา...ศราวิน” ญาดาวีกัดริมฝีปากตัวเอง บัดนี้คนที่จะปกป้องกลิ่นจันทร์และทุกคนในบ้านเหลือเพียงแค่เธอคนเดียวแล้ว... แต่เธอจะรับมือทั้งสองคนนี้ได้รึเปล่าล่ะ?

“น้ามะลิพาทุกคนไปหลบในห้องพระก่อนนะคะ...” หญิงสาวหันมาสั่งมะลิเสียงเข้ม

“แต่ว่า...” อีกฝ่ายกระอึกกระอัก ญาดาวียกมือมะลิขึ้นมาบีบไว้ก่อนหันไปหากลิ่นจันทร์ “วีสัญญา วีจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายทุกคน ไม่ต้องห่วงนะคะ” หญิงสาวเม้มปากแน่นก่อนผลักร่างทั้งสามเข้าสู่ห้องพระ กลิ่นจันทร์รีบทรุดนั่งต่อหน้าพระพุทธรูปปางนาคปรกก่อนหันไปบอกให้มะลิและพิมพ์ดาวรีบทำตามกัน “สวดภาวนา สวดภาวนาเร็วเข้า...”

เสียงสวดภาษาบาลีดังแว่วออกมาจากเรือนหลังใหญ่ขณะที่กระแสลมเย็นพัดโหมกระหน่ำไปทั่วทุกทิศ ญาดาวีออกไปยืนเด่นอยู่หน้าชานเรือนก่อนที่สตรีผู้มีปีกสีแดงทั้งสองจะกระพือปีก ลอยเด่นปรากฎอยู่เบื้องหน้า

ญาดาวีพริ้มตาหลับ สองมือประสานกันแนบแน่น ระลึกถึงความดีที่เคยกระทำ นับแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ขอให้มาหล่อหลอมรวมกันเป็นเกราะป้องกัน คุ้มภัยเธอจากภยันตรายทั้งปวงด้วยเถิด...

ศรุตาใช้ปีกพัดเอาท่อนไม้ใหญ่ให้ลอยขึ้นจากพื้นดินก่อนที่มันจะลอยละลิ่วเข้าใส่ร่างแบบบางที่ยืนนิ่ง พลันนั้น...รัศมีสีเหลืองท่องก็ส่องประกายออกมาจากร่างของญาดาวี ท่อนไม้ใหญ่ลอยละลิ่วกระเด็นกลับไปใส่ศรุตาจนอีกฝ่ายเกือบถอยหลบไม่ทัน

หญิงสาวเบิกดวงเนตรขึ้น สองตาสีเหลืองทองจ้องมองศัตรูที่หมายเอาชีวิต ศรุตากลายร่างเป็นนางครุฑที่มีร่างกายใหญ่โตในขณะที่ศราวินแอบหลบไปหากลิ่นจันทร์และพวกที่เหลือ

ทันใดนั้นเองแสงสีเหลืองทองก็ส่องประกายลงมาจากฟากฟ้า หมูเมฆสีดำคล้ำที่ปิดท้องนภาอยู่ค่อยๆ เคลื่อนห่างจากวงรัศมีเหลืองสุวรรณนั้น เมื่อศรุตาแหงนหน้าไปมองก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาบังดวงเนตรไว้ ภายในแสงสว่างสีขาวแสบจ้าค่อยๆ ปรากฎร่างของผู้สวมอาภรณ์ดุจกษัตริย์ ติดตามมาด้วยผู้รับใช้ราวสิบร่าง พระกฤติเทพนาคราช วิรูปักษ์ผู้สูงศักดิ์แห่งแดนจาตุมหาราชิกาทรงทอดพระเนตรนาคาผู้ใกล้ชิดในร่างมนุษย์สาวด้วยความเอ็นดูเหมือนอย่างเคย หากพ้นจากการเป็นมนุษย์ในชาตินี้เชื่อว่าเธอคงจะไปจุติเป็นนาคาแห่งวิรูปักษ์ ณ ดินแดนจาตุมหาราชิกาเหมือนเคยเป็นแน่

ญาดาวีได้แต่จ้องมองบุรุษที่ลอยละลิ่วลงมาจากฟากฟ้าราวกับต้องมนตร์ ทั้งร่างเหมือนกลายเป็นอณูอากาศเบาหวิวยังไงยังงั้น คล้ายว่าเคยได้พบผู้สูงศักดิ์องค์นี้มาก่อน คล้ายว่าเคยผูกพันกันมาเนิ่นนาน

“พิณภัทร์...” หนึ่งในสาวกผู้ติดตามองค์กฤติเทพนาคราชรำพึงเสียงค่อยถึงเพื่อนรักที่จ้องจุติลงมาเป็นมนุษย์ รัศมีของกลุ่มวิรูปักษ์ จากแดนสวรรค์ทำให้ศรุตาต้องเมียงมองอย่างหวาดหวั่น เมื่อศราวินหมายจะบุกเข้าสู่เรือนหลังงามเพื่อไปเอาตัวกลิ่นจันทร์ ทั้งร่างก็ต้องกระเด็นกระดอนออกมาด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งองค์กฤติเทพนาคราช

เหล่าผู้รับใช้ที่อยู่ในรูปกายมนุษย์ซึ่งสวมอาภรณ์สีทองเหลืองอร่ามได้กลายร่างเป็นนาคอันมีรูปกายเหลืองสุวรรณงดงามเปล่งปลั่ง โอบล้อมรอบเรือนทรงไทยของนางพิมพ์ดาวเอาไว้ทุกด้าน ศราวินรีบตรงดิ่งมาหาศรุตาอย่างจนตรอก องค์นาคาแห่งวิรูปักษ์ผู้สูงศักดิ์หยัดยืนเคียงข้างกายญาดาวี ดวงตาสีเหลืองทองอร่ามตาสองคู่จดจ้องไปยังร่างนางปักษา ความเจ็บปวดนับเท่าทวีโหมกระหน่ำใส่สองร่างในฉับพลัน...


ภุชคินทร์ได้พบร่างลูกชายในที่สุด สิ่งแรกที่เขาได้เห็นบนดวงตาเขียวคล้ำของศรัณย์คือความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส อรวินทร์ค่อยๆ เข้าไปปลอบผู้เป็นหลานพลางบีบมืออีกฝ่ายเบาๆ

“พวกเรารู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วหลานรัก เรารู้ว่าเก็จลดาใช้ฤทธิ์เนรมิตกายเป็นชลธิชา” คำพูดของอรวินทร์ทำให้ชายหนุ่มเบิกตาโพลง ก่อนจะเม้มปากยิ้ม

“จริงเหรอครับ?... แต่ถ้าหากว่าชล...”

“เราจะอธิบายให้ชลธิชาได้เข้าใจเอง” ภุชคินทร์สมทบ ก่อนแหงนหน้ามองยอดเขาสูงเบื้องหน้า ลำพังเพียงแค่พวกตนทั้งสามคนไม่อาจเข้าไปชิงตัวชลธิชาออกมาได้แน่ นี่ถึงคราวที่นิลนาคจำต้องทำสงครามกับเหล่าครุฑจริงๆ น่ะเหรอ?

“ชะตาได้ถูกกำหนดไว้แล้วภุชคินทร์” อรวินทร์ที่อ่านใจอีกฝ่ายออกจนหมดพูดขึ้น “ฉันเชื่อว่าพวกเราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง นาคากลุ่มอื่นคงไม่ยืนดูพวกเราต่อกรกับรักตปักษ์อย่างไม่คิดจะช่วยเหลือแน่ ตอนนี้เราต้องกลับไปตั้งหลักก่อน”

“แต่ว่า...” ศรัณย์แทรกขึ้นด้วยความร้อนใจ เขาไม่อยากทิ้งให้ชลธิชาต้องอยู่กับรักตปักษ์นานแบบนี้แน่ พวกมันมีสิทธิ์ที่จะกำหนดชะตาชีวิตหญิงสาวได้ทุกเมื่อ

“ถูกอย่างที่อรวินทร์บอก เราต้องกลับไปตั้งหลักก่อน แล้วค่อยวางแผนกันอีกที” ภุชคินทร์จับแขนบุตรชาย ศรัณย์จำต้องก้มหน้ารับกับคำแนะของผู้ใหญ่ทั้งสอง แต่ก่อนที่ทั้งสามร่างจะลาจากไปนั้นก็แว่วเสียงอันเกรี้ยวกราดของตรีดาว รักตปักษ์ดังก้องลงมาจากยอดเขา

“พวกนิลนาค ฉันรู้ว่าพวกแกอยู่แถวนี้ หากว่าไม่นำมณีนาคสวาทมาไถ่ตัวนังมนุษย์นี่ภายในสามวัน ฉันก็จะจัดการฆ่ามัน แล้วก็จะตัดหัวไปให้พวกแกได้ดู...”


นางครุฑฑีผู้รับใช้มาแจ้งแก่หญิงสาวว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งจากมนุษย์มาขอพบอยู่หน้าวิมาน สตรีในอาภรณ์สีน้ำเงินสดลุกจากที่นั่งก่อนตรงมายังประตูกว้างที่เปิดโร่ ชายหนุ่มผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่เชิงเชิงบันได หญิงสาวเห็นรัศมีสีแดงเพลิงอยู่รอบกายอีกฝ่ายก็เข้าใจทันทีว่าหนุ่มผู้นี้เคยมีกำเนิดเป็นครุฑ

“ท่านชื่ออะไร และมาหาข้ามีธุระอะไร” สุรเสียงกังวานใสเอื้อนเอ่ย วายุค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองดวงพักตร์กลมอิ่มเบื้องหน้า

“ข้าชื่อวายุ ในอดีตชาติเคยเป็นสาวกแห่งรักตปักษ์ แม้ชาตินี้ข้าจะสามารถนิรมิตกายเป็นครุฑได้ แต่ข้าก็หาได้ใช้ฤทธิ์ส่วนนี้เพื่อการประโยชน์อันใดเลย แต่บัดนี้รักตปักษ์กำลังทำการอันมิสมควร ข้าจึงหมายเชิญท่านลงไปห้ามปรามตรีดาว รักตปักษ์”

“ทำการมิสมควร พี่ตรีดาวทำอะไร?” ศรสวรรค์เลิกคิ้ว แม้เป็นชั่วระยะเวลาเพียงไม่นานที่เธอลงไปเกี่ยวข้องกับรักตปักษ์เพื่อทำความรู้จักกับตรัศวินผู้เป็นคู่หมั้น แต่เธอก็ได้รู้จักนิสัยใจคอของครุฑในตระกูลนี้มิใช่น้อย

“นางยังคงแค้นเคืองกลิ่นจันทร์และพวกนิลนาคอยู่ บัดนี้นางได้จับตัวหญิงคนรักของลูกชายกลิ่นจันทร์ไว้เป็นตัวประกัน โดยให้พวกนาคานำมณีนาคสวาทมาไถ่ตัวคืนไป ถ้าพวกนิลนาคไม่ทำตามที่นางเสนอ นางจะฆ่ามนุษย์นางนั้นซะ แต่ที่ข้ากังวลใจไม่ได้มีเพียงแค่นั้น พระนางสวาหา ชายาของพระอัคนีอันมีกำเนิดเป็นครุฑฑีอาจจะลงมาช่วยพวกรักตปักษ์ด้วย”

“จริงรึ !” ศรสวรรค์อุทานเสียงหลง หากเป็นดังคำที่หนุ่มผู้นี้กล่าวมา สงครามก็คงจะบังเกิดในอีกไม่ช้านี้แน่ วายุสูดลมหายใจอีกครั้งก่อนข้อร้องปักษาผู้สูงศักดิ์เช่นเธอ

“ข้าเชื่อว่าท่านเป็นผู้มีความยุติธรรม ท่านเองก็รู้ดีว่ารักตปักษ์ผิดตั้งแต่ต้น หากไม่มีครุฑตนไหนกล้าทัดทานเจตนาของตรีดาว ข้าก็จะขอเอาชีวิตเข้าแลก...”

“อย่าได้พูดอย่างนั้น รักตปักษ์ทำผิดเพราะไปเข่นฆ่านาคสีดำที่ตั้งท้องในเขตนาคเสน จนก่อให้เกิดสงครามของสองตระกูล ที่ตรัศวินตายในสงครามก็หาได้ใช่เพราะกลิ่นจันทร์ไม่” ดวงตาสีน้ำทะเลจ้องมองวายุด้วยประกายวาบวับ “ข้าจะนำเรื่องนี้ขึ้นทูลต่อสภาปักษา....ท่านแน่ใจได้เลยว่า รักตปักษ์จะไม่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าครุฑ ณ จาตุมหาราชิกาแห่งนี้แน่”



Create Date : 12 ตุลาคม 2554
Last Update : 12 ตุลาคม 2554 11:04:18 น.
Counter : 446 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
ตุลาคม 2554

 
 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
MY VIP Friend