บทที่ 11 ตามล่า
บทที่ 11 ตามล่า

ชลธิชาหายจากการบาดเจ็บแล้ว หญิงสาวออกจากโรงพยาบาลมาได้สามวันในขณะที่ได้คนรักและเพื่อนสนิทอย่างญาดาวีคอยดูแล นับวันเธอก็ยิ่งสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติในตัวศรัณย์ เขาดูน่าสงสัย คล้ายกับว่ากำลังปิดบังอะไรบางอย่างไว้ บางอย่างที่ชลธิชากำลังสงสัยและหวั่นเกรง...

รถยนต์คันงามวิ่งสวนทางกับยานพาหนะในท้องถนนอันคราครั่ง หญิงสาวเหม่อมองผ่านกระจกรถออกไป สายฝนเริ่มเทกระหน่ำลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมแรงพัดโหมเข้าใส่ใจกลางเมืองหลวงที่แออัดยัดเยียดราวกับเงาสีดำอันชั่วร้ายของมัจจุราช...

สองหนุ่มสาวต้องหนีขึ้นห้องมาอย่างเปียกปอนเพราะโรงจอดรถกับตัวอพาร์ตเม้นท์นั้นห่างกันพอควร เมื่อถลาเข้าห้องพักมาได้ศรัณย์ก็รีบวิ่งไปหาผ้าขนหนูมาซับตัวให้คนรักทันที

ปลายนิ้วแกร่งค่อยๆ หยิบเอาผ้าขาวซับดวงหน้าที่เปียกชื้นออกเบาๆ “เหนื่อยมั้ยชล...” เอ่ยถามคนรักเสียงค่อย ชลธิชาช้อนสายตาขึ้นสบกับดวงเนตรเขียวคล้ำที่อบอุ่นก่อนส่ายศีรษะช้าๆ

“ศรัณย์เองก็เปียกเหมือนกัน” พูดจบก็คว้าผ้าขนหนูจากมือเขามาเช็ดศีรษะของชายหนุ่ม ศรัณย์โอบร่างบางนั้นมาแนบกับลำตัว สองร่างประสานสายตากันอย่างชิดใกล้ ริมฝีปากอันรุ่มร้อนบดเบียดกันและกัน...

“ชล... ศรัณย์...” เสียงเคาะประตูหน้าห้องทำให้สองร่างต้องคลายรอยจูบออกจากกัน รูปหน้าคร้ามคมจ้องมองไปยังประตูห้องก่อนหันมาหาหญิงสาว

“เดี๋ยวผมไปดูเอง...” ศรัณย์สาวเท้าไปที่ประตูก่อนจะเปิดมันออกช้าๆ ดวงหน้าวงรีที่รับกับผมสั้นซอยของญาดาวีลอยเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้า

สองตาสีน้ำตาลสุกใสดูเป็นกังวลก่อนที่เธอจะค่อยๆ ถอยร่างออกห่างจากหน้าประตู ศรัณย์จ้องมองอีกฝ่ายด้วยความงุนงงก่อนจะเหลือบไปเห็นคราบหยดน้ำและดินโคลนที่เปรอะเปื้อนอยู่หน้าห้อง เมื่อเหลือบมองไปตามเส้นทางของมันก็ยาวไปจนถึงหน้าลิฟต์... รอยการเลื้อยคล้ายงู งูที่ตัวใหญ่เอาการ...

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” จู่ๆ ญาดาวีก็ขนลุกซู่ขึ้นมา หญิงสาวจ้องหน้าศรัณย์ด้วยความหวั่นเกรง ชลธิชาโผออกมาเกาะหลังคนรักก่อนมองหน้าญาดาวีและได้เห็นรอยนั่น...

หญิงสาวรู้สึกหนาวยะเยือกจับใจเมื่อเพ่งมองรอยบนพื้นนั่นที่มาหยุดอยู่หน้าประตูห้องของเธอ ผู้คนที่เดินออกมาจากลิฟต์แล้วเห็นรอยประหลาดต่างหยุดดูอย่างงุนงง บางคนที่เปิดประตูออกมาจากห้องแล้วก็ต้องชะงักงัน... มันใกล้เข้ามาแล้วชลธิชา ใกล้ความจริงมากขึ้นทุกทีแล้ว...


“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้เธอฟังชล... เรื่องสำคัญมาก” ญาดาวีกุมมือเพื่อนสนิทที่เธอรักที่สุดไว้ ชลธิชาวางหน้านิ่งขรึมภายใต้ความเคร่งเครียดที่เธอซุกซ่อนไว้

ญาดาวีค่อยๆ ระบายลมหายใจออกเบาๆ บีบมือชลธิชา “เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันกลับไปหาคุณป้าพิมพ์ดาว ที่นั่นฉันได้พบกับผู้ชายคนนึง เขาชื่อวายุ...”

“แล้วยังไงต่อ...”

“เขาเล่าให้ฟังว่าในสมัยก่อนมณีนิลมีครอบครัวนามว่านิลนาคอาศัยอยู่ริมหนองมณีนิล ชาวบ้านเชื่อว่าพวกเขาเป็นนาคาในร่างมนุษย์ นิลนาคมีทายาทนามว่าภุชคินทร์ และเขาก็รักกันกับหญิงสาวคนนึงชื่อกลิ่นจันทร์ ก่อนจะเกิดเรื่องราวที่ทำให้ต้องพลัดพรากและหลบหนีไปอาศัยยังที่อื่น...”

“ภุชคินทร์... กลิ่นจันทร์... นิลนาคงั้นเหรอ?” ชลธิชาทวนคำ รู้สึกประหนึ่งว่าร่างกายลอยละล่องอยู่บนเวิ้งอากาศอันเบาหวิว หัวใจเต้นแรงอย่างไม่รู้ตัว หรือว่าภาพที่ได้เห็นในความฝัน มันจะ...

“พวกเขาก็คือพ่อและแม่ของศรัณย์..” จบประโยคชลธิชาก็หันขวับมาจ้องหน้าญาดาวีทันที “ถ้าฉันไม่ได้ฟังเรื่องที่เธอเล่าให้ฟังว่าฝันเห็นภาพอะไรบ้าง และเรื่องราวที่พวกเราได้พบเจอฉันจะไม่ยอมปักใจเชื่อเด็ดขาด แต่นี่... ฉันชักใจสั่นมากขึ้นทุกทีแล้วชล...”

“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง?...ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไงดี...” ชลธิชาเบือนหน้าหนี

“เริ่มจากถามความจริงจากศรัณย์...” ญาดาวีย้ำช้าชัด ชลธิชาหันมามองเพื่อนสนิทด้วยความหวั่นเกรง

“แต่ฉันอยากรอให้แน่ใจกว่านี้ มันอาจจะเป็นแค่ความบังเอิญก็ได้วี มันอาจจะเป็นแค่เรื่องไร้สาระ..” ญาดาวีส่ายหัวเมื่อได้ฟังคำนั้นจากปากเพื่อนรัก

“คนที่จะไขความจริงทั้งหมดได้ก็คือพ่อกับแม่ของศรัณย์ คุณป้าพิมพ์ดาวบอกว่าเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่ชื่อกลิ่นจันทร์ ก่อนที่เธอจะหายไปพร้อมกับตระกูลนิลนาค มีชาวบ้านหลายคนยืนยันได้ว่าเห็นคนในตระกูลนั้นกลายร่างเป็นพญานาคต่อหน้าต่อตา ฉันอยากพาคุณป้าพิมพ์ดาวและคุณน้ามะลิไปพบพ่อกับแม่ของศรัณย์...”

“ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอวี” ชลธิชาลากเสียงก่อนที่ญาดาวีจะจ้องหน้าเธอตรงๆ

“เธอรู้มั้ยว่าคุณวายุบอกฉันว่ายังไง ตอนนี้ตระกูลนิลนาคมีศัตรูคอยจ้องจะเล่นงาน หนึ่งคือพวกครุฑสองคือนาคาอีกกลุ่ม...พวกเขาต้องการจะฆ่าศรัณย์...”

“อะไรนะ !!!” สองร่างจ้องหน้ากันแน่นิ่ง ตกลงว่าเรื่องที่เธอกำลังจะได้พบนั้นเป็นเรื่องจริงเหรอนี่? ไม่นะ... ศรัณย์เป็นแค่ผู้ชายธรรมดา ไม่มีทางเป็นนาคตามที่เธอเห็นในความฝันและตามที่ญาดาวีกล่าวหาเด็ดขาด

“ขอฉันคิดอีกซักพักได้มั้ยวี ขอเวลาฉันอีกนิด...”

“วายุบอกฉันว่าพวกเขาเริ่มรุกรานเราแล้ว ทั้งเธอและศรัณย์กำลังถูกตามล่า...”


เก็จลดายืนมองเศียรของพญานาคที่ชูหงอนอันงดงามหน้าอุโบสถในวัดโบราณกลางกรุงเก่าอยุธยา วันนี้ทั้งคณะออกมาศึกษาศาสนสถานในสมัยอยุธยาเพื่อเก็บรายละเอียดความแตกต่างของวัดที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจึงทำให้หญิงสาวจ้องมองเศียรอันงดงามนั้นอย่างไม่เบื่อหน่าย รู้สึกสุขใจยามได้มองและยิ่มรู้สึกอิ่มเอมมากขึ้นเมื่อจินตนาการเห็นเศียรนั้นชูขึ้นกลางหนองน้ำใสในกลางเดือนเพ็ญอันนวลผ่อง...

แต่ทว่าพลันนั้นเองสมาธิและความสุขที่ได้รับก็จางหายไปในฉับพลันเมื่อเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังใกล้เข้ามาพร้อมกับกลิ่นสาปของปักษาที่เธอจำได้แม่น

ร่างระหงของศราวินยืนกอดอกห่างไปราวห้าเมตร บนไหล่อันสง่างามนั้นมีนกตัวน้อยสีชมพูสดเกาะอยู่ ดวงตาสีน้ำตาลแดงของมันจ้องมองดวงหน้าของเก็จลดาแน่นิ่ง

“มันก็เป็นได้แค่เดรัจฉานสัตว์...” น้ำเสียงเย้ยหยันและเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้เก็จลดาต้องสะบัดหน้าไปจ้องมองอย่างไม่พอใจ นกน้อยกรีดร้องใส่อีกฝ่ายเมื่อแสงทินกรสาดส่องกระทบพลอยสีดำที่ห้อยบนคอเก็จลดา

ศราวินเบือนหน้าหนีก่อนแหงนดวงพักตร์ขึ้นจ้องมองรูปสลักที่อยู่เหนือประตูอุโบสถ พญาครุฑกางปีกอันแข็งแกร่ง กางกรงเล็บแหลมคมจิกนาคสองตัวเอาไว้...

“ครุฑยุดนาค...” คลายยิ้มเยียบเย็นส่งให้เก็จลดา “ยังไงก็แพ้ แพ้มาทุกภพทุกชาติ และจะแพ้ตลอดไป...”

“ถึงยังไงแม่พญาครุฑก็ต้องตกเป็นทาสนางกัทรุตั้งหลายร้อยปี เพราะความโง่เง่าของนางวินตา...”

“เพราะความเจ้าเล่ห์ขี้โกงของนางกัทรุต่างหากล่ะ !!!” ศราวินสะบัดเสียงใส่ เก็จลดาสูดลมหายใจเข้าปอดด้วยความฮึดฮัดก่อนเดินเข้าหาศราวินที่เตรียมตั้งรับอย่างไม่หวั่นเกรง

“เก็จลดา...” เสียงเรียกของญาดาวีฉุดให้หญิงสาวต้องหยุดนิ่ง เพื่อนอีกคนวิ่งเหยาะๆ ตรงมาหาก่อนหันไปมองศราวินที่ยืนแสยะยิ้ม

“ไม่มีเรื่องกันสักครั้งจะได้มั้ย?” หันไปว่าใส่เก็จลดาก่อนที่อีกฝ่ายจะสะบัดตัวเดินหนีไป

“ฉันไม่มีวันจะญาติดีกับแม่นั่นแน่” สองตาสีน้ำตาลอ่อนของญาดาวีประสานกับสองเนตรของศราวินที่ดุดันราวกับนางพญาอินทรีย์ นกน้อยส่งเสียงร้องอีกครั้งก่อนที่หญิงสาวจะหันหลังกลับและเดินจากไป


ชลธิชาต้องยืนนิ่งราวกับว่าทั้งร่างกลายเป็นหินที่ไร้ชีวิตเมื่อได้พบกับชายหนุ่มปริศนาคนนั้นอีกครั้ง... ปริตร นิลนาค

“ดีใจหรือเสียใจที่ได้พบผมอีก...” น้ำเสียงทุ้มกังวานทำให้ร่างบางขนลุกซู่ เขาช่างคล้ายกับศรัณย์ราวกับพิมพ์เดียว

ชายหนุ่มในชุดขาวสะอาดตาเดินเข้าไปหา เขาคลายยิ้มพร้อมกับจ้องหน้าหญิงสาวตรงๆ “ผมดีใจที่ได้พบคุณอีกนะครับ ชลธิชา...”

“คุณรู้ชื่อชั้น” หญิงสาวเอานิ้วชี้จิ้มอกตัวเองก่อนที่อีกฝ่ายจะแกล้งฉีกยิ้ม

“ผมเรียนที่เดียวกันกับคุณ แต่คุณคงไม่ทันได้สังเกตุเห็นผม”

“เหรอคะ... เอ่อ ต้องขอบคุณสำหรับเรื่องที่คุณช่วยฉันวันนั้นด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่...วันนี้ดูสีหน้าคุณไม่ค่อยสบายใจจัง” ดวงตาสีเขียวคล้ำเจ้าเล่ห์เหลือบมองดวงหน้าที่เอนหนีไปอีกทาง

“ฉันก็...มีเรื่องต้องให้คิดหลายเรื่องค่ะ” ชลธิชาถอนหายใจก่อนเดินนำหน้าชายหนุ่มไปทางด้านหลังวัดที่ติดกับคูน้ำใหญ่

“คุณกำลังสงสัยในตัวเค้า...” ชายหนุ่มผู้เดินตามหลังลากเสียง นั่นทำให้ร่างบางต้องหยุดกึกในทันใด

ปริตรค่อยๆ สืบเท้ามายืนเคียงข้างหญิงสาว “คุณคิดไม่ผิดหรอก สิ่งที่คุณเห็นคือเรื่องจริง !”

“คุณพูดเรื่องอะไร” ชลธิชาสะบัดหน้ามาหาเค้า ทั้งรู้สึกไม่พอใจและหวาดกลัวกับสิ่งที่คนตรงหน้านี้พูดปริตรสืบเท้าตามมา ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องสองตาของหญิงสาวเพื่อสะกดจิต

พลันนั้นภาพขณะที่ศรัณย์กำลังกลายร่างเป็นพญานาคก็ปรากฎภายในสองตาเขียวคล้ำของเค้า “ไม่จริง...” หญิงสาวถอยหลังหนีด้วยความหวาดกลัวก่อนจะพริ้มตาหลับ

“เค้าไม่ใช่มนุษย์ชลธิชา...เค้าไม่ใช่มนุษย์” คำพูดที่ดังก้องฉุดให้สองตาที่พริ้มหลับต้องเบิกมอง แต่ทว่า...กลับไร้ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มปริศนานามว่าปริตร นิลนาคคนนั้นอีกแล้ว


เก็จลดานั่งเหม่อมองแม่น้ำอยุธยาที่สงบนิ่งอยู่บนศาลาริมน้ำหลังงามแห่งหนึ่งภายหลังจากเสร็จสิ้นการศึกษาดูงานที่วัดในเขตพระราชวังหลวง หญิงสาวหยิบจี้สีดำที่ห้อยคอขึ้นดูช้าๆ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมันอย่างหลงใหลก่อนนึกไปถึงใบหน้าอันเครียดขรึมของบุรุษร่างใหญ่ที่อยู่ในอาภรณ์สีดำนามว่าอำภุช

นี่มันก็ผ่านมาร่วมอาทิตย์แล้วที่เธอได้รับสร้อยเส้นนี้มา มันยังคงอยู่ที่คอของเธอและยังไม่หายไปไหน มิหนำซ้ำเธอกลับรู้สึกถึงพลังอำนาจที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งการเคลื่อนที่ๆ รวดเร็ว การรับกลิ่นที่ดีเลิศและแม่นยำ รวมทั้งกำลังแขนและมือที่แข็งแกร่งขึ้น

หญิงสาวคลายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัวเมื่อนึกถึงภาพตอนที่ตนเองมีชัยเหนือศราวินผู้ที่ยกตนเองประหนึ่งนางหงส์ผู้สูงศักดิ์ เธอไม่มีวันที่จะบินอยู่บนฟ้าตามที่ใจประสงค์ได้แน่...

“เธอเปลี่ยนไปนะดา...” น้ำเสียงราบเรียบทำให้คนที่กำลังนั่งคิดอะไรเงียบๆ ต้องหันขวับมา

ญาดาวีสืบเท้าขึ้นไปบนศาลาก่อนหย่อนตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม คนเป็นเพื่อนเบือนหน้าหนีไปยังแม่น้ำกว้างพร้อมกับถอนหายใจจนได้ยินเสียง “จะมาหาเรื่องอะไรชั้นอีกล่ะ?”

“ฉันก็แค่เป็นห่วง พักนี้เธอดูแปลกๆ ชอบอยู่คนเดียว และก็...เจ้าอารมณ์มากขึ้น” จบประโยค ดวงตาสีดำสนิทอันดุดันก็หันขวับมาจ้องมองญาดาวี กระแสจิตที่อาฆาตมาดร้ายไม่ได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสั่นสะท้านเลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่ถูกเธอจ้องมองจะต้องรีบหลบสายตาเว้นเพียงญาดาวีที่ไม่เคยจะหลบสายตาเก็จลดาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“ชั้นไม่มีเวลามานั่งต่อปากต่อคำกับเธอหรอกนะวี” เสเบือนหน้าหนีไปอีกทางก่อนยันกายลุกขึ้น “ขอตัวก่อนนะ” จบคำก็เดินดุ่มๆ ลงจากศาลาไปทิ้งให้คนข้างหลังต้องมองตามจนลับสายตา


เก็จลดาเดินห่างออกไปไกลจนเกือบถึงรถยนต์อยู่แล้ว หากว่าหญิงสาวไม่เหลือบไปเห็นสองร่างที่ยืนประจันหน้ากันอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่เสียก่อน ชายหนุ่มแปลกหน้าและหญิงสาวที่อาฆาตแค้นเธอกับเพื่อนๆ นักหนาคนนั้น...

“ชั้นคิดว่าจะจัดการมันอาทิตย์หน้า เธอช่วยจัดเตรียมคนให้ชั้นด้วย” ปริตรบอกกับนิทราเสียงขรึมภายหลังจากตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะจัดการกับลูกชายคนเดียวของภุชคินทร์แต่ทว่านิทรากลับเห็นไม่ตรงกัน

“เร็วเกินไป...” สามคำที่ฉุดให้นาคหนุ่มต้องหันขวับมาอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้คุณอรวินทร์รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว อำภุชก็คงรู้แล้วว่าชั้นเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้มากเกินไป วาสิตากำลังไม่พอใจชั้น...”

“วาสิตา องครักษ์อันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์นาคเสนงั้นเหรอ?” นาคหนุ่มลากเสียง

“ใช่ ชั้นเป็นสมุนของนาคเสน และวาสิตาคือนาคโอปปาติกที่เก่งที่สุดในบรรดาเหล่านาคสีดำทั้งหมด”

“ก็ช่างปะไร เราไม่ได้ไปฆ่าพวกนาคสีดำซักหน่อย” ปริตรยักไหล่พร้อมกับแสยะยิ้ม

“ไม่ได้” การปฏิเสธอย่างหัวแข็งทำให้นาคหนุ่มเริ่มไม่พอใจ “ก่อนที่นายจะเกิด อำมาตย์จงกรดวางแผนหวังช่วงชิงมณีนาคสวาทสีเขียวมรกตไปจากพวกตระกูลนิลนาค บางคนก็กล่าวว่านาคพวกนั้นหวังจะนำมณีสีเขียวอันมีฤทธิ์นั้นไปถวายให้แก่องค์ศรีโคตมะ บ้างก็ว่านาคเหล่านั้นหวังจะนำมาทำร้ายราชวงศ์นาคเสนเพื่อโค่นล้มอำนาจ แต่ไม่ว่าเหตุผลใดๆ นาคาพวกนั้นก็ต้องจบชีวิตลงด้วยเงื้อมือขององครักษ์ทั้งสาม...”

“แต่ชั้นจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้ไอ้นั่นมันลอยหน้าลอยตามีชีวิตอยู่แน่ แม่ของชั้นต้องตายก็เพราะพ่อกับแม่มันเป็นต้นเหตุ” ปริตรตะคอกใส่นิทราเสียงเครือ

“ความจริงแล้ว ศฤงคาร พ่อของนายตายด้วยฝีมือขององครักษ์ทั้งสามรวมทั้งแม่ของนายด้วย” จบคำนิทราก็ก้มหน้างุด นึกหัวเราะกับคำพูดของตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอยั่วยุปริตรสารพัด กล่าวหาว่าเป็นเพราะกลิ่นจันทร์จึงทำให้นิลนาคต้องอยู่ไม่เป็นสุข จนเป็นเหตุให้ปณาลีต้องตาย...

“ชั้นไม่คิดเลยว่าเธอจะพูดอย่างนี้นิทรา ชั้นไว้ใจเธอแค่ไหน เธอก็รู้...” นาคหนุ่มชี้หน้านิทราอย่างเลือดขึ้นหน้า หญิงสาวมองเค้าอย่างน้ำตาคลอเบ้า นึกถึงความผิดที่ได้กระทำลงไป มันช่างไม่สมควรยิ่ง...

“ชั้นขอโทษปริตร ชั้นขอโทษ ได้โปรดหยุดเถอะนะ ปล่อยให้เรื่องทั้งหมดมันจบลงแค่นี้ เรื่องในอดีตมันผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว”

“ไม่ ไหนเธอว่าจะยืนอยู่เคียงข้างชั้นจนกว่าเราจะกำจัดไอ้ครึ่งคนครึ่งนาคนั่นสำเร็จไง ชั้นจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจนี้แน่ ถ้าเธอไม่อยากช่วยก็ไม่ต้องช่วย แล้วก็อย่ามาให้ชั้นเห็นหน้าอีก !!!”


“วันนี้พี่ดาวต้องไม่เชื่อแน่ๆ เลยค่ะว่าแม่ศราวินของเราไม่เจออะไรมา...” ศรุตาลากเสียง ภายหลังจากโผบินออกมาจากบ้านของผู้เป็นนายตรงสู่คฤหาสน์หลังย่อมของตรีดาว รักตปักษ์เพื่อส่งข่าวความเคลื่อนไหว

เจ้าของบ้านหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาว ปลายนิ้วหยิบน้ำส้มคั้นขึ้นจิบเบาๆ “เจออะไร? อย่าบอกนะว่าเจอนาค...” ศรุตาอ้าปากยิ้มเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ

“พี่ดาวนี่เก่งจัง เดาถูกได้ยังไงคะ” ตรีดาวผายยิ้มแทนคำขอบคุณ “ตาคิดว่าแม่หนูนั่นคงเคยเกิดเป็นนาคาเมื่อชาติที่แล้ว แต่ฤทธิ์เดชบางส่วนยังคงอยู่ ดวงตาเธอมีสีดำน่ากลัว ทรงอำนาจไม่เบา แถมที่คอยังห้อยจี้สีดำ...คล้ายๆ กับสร้อยของพวกกัณหาโคตมะ”

“สร้อยของพวกนาคสีดำงั้นเหรอ?” ทายาทหนึ่งเดียวแห่งตระกูลอันมีนามว่าผู้มีปีกสีแดงเปรยเสียงขรึมก่อนที่ศรุตาจะยกยิ้ม

“เมื่อหลายวันก่อนหนังสือพิมพ์ลงข่าวเรื่องที่พบรอยประหลาดในอพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ตอนที่อยู่กับศราวิน ตาอ่านใจความคิดแม่หนูนั่นเลยได้รู้ว่าห้องที่รอยคล้ายพญานาคนั้นไปหยุดอยู่เป็นห้องของเพื่อนสมัยมัธยมของศราวิน เธอชื่อชลธิชาค่ะ...”

“มันต้องมีอะไรเกี่ยวพันกับพวกนาคาแน่ ในเมืองหลวงแบบนี้ไม่ค่อยจะมีนาคตระกูลไหนกล้าเผยตัวโจ่งแจ้งแบบนี้หรอก ไปสืบมานะศรุตา ชั้นอยากรู้ว่ามันเป็นนาคตระกูลไหนถึงได้กล้ามาอยู่ใกล้ครุฑอย่างเรา...”

“เรื่องนี้ทำให้นึกถึงมณีนิล มีเพียงนาคตระกูลเดียวที่อาจหาญอยู่ใกล้เรา... พวกนิลนาค !” คำพูดของศรุตาทำให้ดวงตาสีน้ำตาลแดงของครุฑสาวเบิกกว้างในฉับพลัน ความเคียดแค้นที่ยังไม่จางหายประหนึ่งเปลวเพลิงที่ยังลุกโชนอยู่ในใจของตรีดาวอยู่ทุกคืนวันคุกรุ่นรอวันที่จะเผาไหม้ทุกชีวิตที่ทำให้เธอเจ็บ พวกมันทำลายรักตปักษ์ ทำให้เธอสูญเสียสิตามัน ไตรเวทย์ และน้องชายคนเดียวของเธอ... ตรัศวิน

“ไม่แน่...มันอาจจะเป็นสมุนของนิลนาคก็ได้” หันมาหาศรุตาพร้อมกับบอกเสียงขรึม “ไปสืบมาให้ได้ว่ามันเป็นใคร?...”



Create Date : 23 กรกฎาคม 2554
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 18:40:37 น.
Counter : 544 Pageviews.

5 comments
  
แง ได้แต่เดา คาดว่าอีกหลายตอนกว่าจะเผยแน่ๆเลยใช่มั้ยค่ะคุณมิ้นท์

แต่ปริตรนี่นิสัยเดียวกะแม่ตัวเองเด๊ะเลย
โดย: pearzilla IP: 24.177.193.99 วันที่: 24 กรกฎาคม 2554 เวลา:6:46:12 น.
  
เพิ่งเข้ามาอ่าน งงๆแต่ก็สนุกดี ภาคก่อนมันชื่ออะไรหรอจะได้ตามอ่าน
โดย: yuechan IP: 119.42.120.157 วันที่: 24 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:20:49 น.
  
ภาค 1 นาคสวาท
ภาค 2 นาคนิรมิต ครับ

อันที่จริงภาคสองก็จบแล้วหละครับ

แต่เพื่อนๆ ในบล็อกอยากให้เขียนภาคสามก็เลยจัดต่อจากภาคสอง...

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 25 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:12:50 น.
  
เขียนเก่งจังคะ ยิ่งอ่านไปเรื่อยก็อ่านได้ง่าย ไม่วกวน สนุกมากๆๆๆๆๆๆ
จะรอตอนต่อไปคะ
โดย: แม่ต้นข้าว IP: 115.87.32.190 วันที่: 27 กรกฎาคม 2554 เวลา:18:26:14 น.
  
ติดตามผลงานอยู่ค่ะ แต่งเก่งจัง
โดย: ล่องลอย IP: 172.168.1.77, 180.183.241.161 วันที่: 30 กรกฎาคม 2554 เวลา:4:06:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
23 กรกฏาคม 2554
MY VIP Friend