บทที่ 2 อดีตกาล
บทที่ 2 อดีตกาล

กลิ่นจันทร์ก้มลงมองผืนน้ำเย็นใสเบื้องล่าง ภาพดวงหน้านวลเนียนของหญิงสาวงดงามดังเช่นนางอัปสรในจิตรกรรมอันวิจิตรลอยเด่นบนสายธารที่พลิ้วไหวตามสายลมอ่อนๆ ในยามสาย เธอรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ตอนนี้เธออายุสี่สิบกว่าแล้ว แต่ทำไมเมื่อครู่นี้ถึง...

คิดพร้อมกับยกสองมือขึ้นดู ผิวกายขาวสะอาด นวลเนียนและมีน้ำมีนวลไม่เหี่ยวย่นเหมือนที่เป็นอยู่ ตกลงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...

“พี่จันทร์คะ...” เสียงใสแจ๋วของเด็กสาววัยสิบห้าดังแว่วมาแต่ไกล กลิ่นจันทร์หันซ้ายขวา รีบสาวเท้าขึ้นมาจากริมฝั่งหนองน้ำใหญ่

“มาอยู่นี่เอง...” คนที่ยืนหอบหายใจตำหนิเสียงค่อย

“มะลิ... นี่มะลิจริงๆ เหรอเนี่ย?” ยกมือขึ้นทาบอกอย่างไม่อยากเชื่อสายตา กว่ายี่สิบปีที่จากกันไป เธอยังคงไม่ลืมความผูกพันขณะพักอาศัยอยู่ที่มณีนิลเลย

“ใช่ค่ะ...” เด็กสาวเอียงคอมองคนเป็นพี่อย่างสงสัย ก่อนจะยกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญที่ทำให้ต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบมาหาพี่สาวยังฝั่งหนองมณีนิล

“ตามมาเร็วค่ะ พี่ภุชมารอพี่จันทร์ที่บ้านน่ะ” มะลิฉีกยิ้มกว้างก่อนหันหลังวิ่งดุ่มๆ จากไป หญิงสาวรู้สึกใจเต้นตึงตังขึ้นมา หากว่าเธอย้อนเวลาได้จริงก็อยากจะเห็นโครงหน้าคร้ามคมขณะยังเป็นหนุ่มแน่นอีกสักครั้ง

แต่ทว่าเมื่อสาวเท้าตามมะลิมาไม่ทันครบสามก้าวลมพายุก็พัดโหมกระหน่ำอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวเซถลาเกือบล้มลงยังพื้นดินแต่ยังดีที่มือหนาของภุชคินทร์ยังคว้าร่างเธอไว้ได้ทัน

“ภุช...” หันไปหาร่างสูงที่ประคองเธอไว้แน่น ดวงตาสีเขียวคล้ำที่จ้องมองเต็มไปด้วยความห่วงหามิเคยเปลี่ยนแปลง แต่ทว่ารูปหน้าคร้ามคมกลับเคร่งขรึมจนหญิงสาวรู้สึกใจหวิว

ลมแรงพัดกระหน่ำเข้าใส่สองร่างที่ยืนกอดกันนิ่งในขณะที่กลุ่มสมาชิกแห่งตระกูลนิลนาคค่อยๆ เดินมาสมทบจากด้านหลัง

“อรวินทร์...” หญิงสาวโพล่งปากเรียกเพื่อนสนิทที่วางหน้าเคร่งขรึมเฉกเช่นทุกคน วารียืนเคียงข้างกับภูรินทร์ หนุ่มใหญ่ผู้เป็นประมุขของบ้านในขณะที่ปณาลียืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่หลังสุด หรือว่า... เธอกำลังจะได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นในอดีตอีกครั้ง...

กลิ่นจันทร์หันกลับมายังเบื้องหน้าอีกครั้ง พลันนั้นสองตากลมใสก็พลันได้เบิกค้าง กลุ่มชายฉกรรจ์มากมายที่มีใบหน้าดุดันยืนประจันหน้าอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีชายแก่วัยห้าสิบยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหน้าเคียงข้างกับคนรักของปณาลีที่คิดทรยศต่อนิลนาค สมคบคิดกับอำมาตย์จงกรดเพื่อวางแผนช่วงชิงมณีนาคสวาท

“คุณศฤงคาร...” กลิ่นจันทร์พูดเสียงกระซิบ บรรยากาศอันอึมครึมปกคลุมเหนือหนองมณีนิลก่อนที่กลุ่มเมฆหมอกสีดำหนาทึบจะลอยต่ำลงมาจากฟากฟ้า ทั้งนิลนาคและพวกนาคสีดำฝั่งตรงข้ามต่างก็มีอาการหวั่นวิตกไม่แพ้กัน...

กลุ่มคนผู้สวมชุดดำค่อยๆ ลอยผ่านเมฆหมอกสีดำหนาทึบเหล่านั้นออกมาด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย หญิงสาวแต่ได้จ้องมองพวกเขาด้วยความยำเกรง ความหวาดกลัวแทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูขุมขน ยังคงยึดจับเรียวมือหนาของภุชคินทร์ไว้แน่น

หญิงสาวร่างบางผู้ยืนเด่นหน้าสองหนุ่มร่างสูงใหญ่ปรายตามองมายังฝั่งสมาชิกนิลนาคทีละคนจนเมื่อสองตากลมใสของกลิ่นจันทร์ประสานเข้ากับดวงเนตรสีดำขลับอันทรงอำนาจขององครักษ์สาวแห่งราชวงศ์นาคเสน ตระกูลพญานาคสีดำที่ยิ่งใหญ่ในแถบอีสานเหนือร่างกายของกลิ่นจันทร์ก็เหมือนว่าไร้การควบคุม

“ยินดีด้วยที่เธอยังไม่เป็นอะไร... ขอให้โชคดี” นางนาคาผู้ทรงอำนาจบอกเสียงเบาก่อนผินวงหน้าซูบตอบมายังกลุ่มผู้คิดไม่ซื่อต่อนาคเสน

จู่ๆ กลุ่มพายุสีดำเข้มก็กวาดเอาร่างชายฉกรรจ์เหล่านั้นขึ้นไปบนฟ้าก่อนจะฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ อำมาตย์เฒ่าผู้เป็นหัวหน้ากำลังจะกลายร่างเป็นนาคาแต่ทว่าแผ่นดินก็พลันแยกออกจากกัน ร่างที่ไร้การทรงตัวของอำมาตย์จงกรดดิ่งฮวบลงสู่ผืนปฐพีในที่สุด

สถานการณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ทว่ากลุ่มองครักษ์ทั้งสามแห่งนาคเสนยังไม่จากไป...

“ได้โปรดเห็นใจเราด้วย อย่าฆ่าศฤงคารเลยนะ” ปณาลีทรุดฮวบต่อหน้าคนรัก เอาทั้งร่างบังกายศฤงคารไว้

“ให้โอกาสเขาอีกสักครั้ง...” ภูรินทร์ช่วยวิงวอนอีกแรงในขณะที่หญิงสาวผู้สวมชุดสีดำสนิทหรี่ตาลงต่ำพร้อมกับสูดลมหายใจก่อนจะเชิดใบหน้าขึ้นสูง

ดวงตาสีดำสนิทจ้องลึกลงไปยังสองตาเขียวคล้ำอันขี้ขลาดของศฤงคาร “นาคเสนไม่เคยให้โอกาสใครเป็นครั้งที่สอง...” เอ่ยบอกเสียงเรียบก่อนผินหน้าไปหาลูกน้องคนสนิท

“ช่วยจัดการทีอำภุช ฉันอยากกลับบ้านแล้ว” ร่างสูงใหญ่ของอำภุชตรงปรี่เข้ามาหานาคหนุ่มที่ยกมือไหว้ร้องขอชีวิต กลุ่มนิลนาคต้องวิ่งเข้าไปพาปณาลีออกมา และสุดท้าย...ศฤงคารก็ถูกฉีกร่างออกเป็นชิ้นๆ ต่อหน้าปณาลีคนรัก


กลิ่นจันทร์สะดุ้งเฮือกขึ้นมากลางดึก หญิงวัยสี่สิบยกตัวขึ้นจากเตียงนอนก่อนตรงไปเปิดสวิตซ์ไฟ ห้องนอนหลังเล็กๆ บนบ้านไม้ริมฝั่งโขงจึงสว่างโร่ขึ้นมา

ภาพในความฝันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก เรื่องเหล่านั้นต่างก็ล่วงผ่านมากว่ายี่สิบปีแล้ว แต่จู่ๆ ทำไมถึงกลับมาฝันเห็นเหตุการณ์ที่กลุ่มองครักษ์ของนาคเสนลงมาจัดการอำมาตย์จงกรดที่คิดวางแผนช่วงชิงมณีนาคสวาทจากตระกูลนิลนาคและเพื่อใช้โค่นล้มราชวงศ์อันยิ่งใหญ่แห่งกัณหาโคตมะ

“มีอะไรรึเปล่า” เสียงแหบเครือของภุชคินทร์ทำให้กลิ่นจันทร์ต้องหันขวับมาทางด้านหลัง รูปหน้าคมเข้มที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาจ้องมองผู้เป็นภรรยาอย่างเป็นห่วง

“เรามีเรื่องต้องคุยกันนะภุช” บอกเสียงเรียบก่อนเดินนำหน้าสามีไปยังระเบียงกว้าง

“ฉันกังวลเรื่องลูก...”

“เรื่องศรัณย์ มีเรื่องอะไรที่จะต้องกังวลอีกเหรอ?” ภุชคินทร์ถามกลับน้ำเสียงอ่อนโยนแต่หญิงที่ทรุดบนเก้าอี้ไม้กลับยังวางหน้าเคร่ง

“ซักวันศรัณย์ต้องรู้ความจริงแน่ ว่าเขา...ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา” น้ำเสียงสั่นเครือของกลิ่นจันทร์แว่วผ่านลมเย็นยามใกล้รุ่ง ร่างหนาที่ยืนอยู่ตรงหน้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดก่อนพริ้มตาหลับลงช้าๆ

“จู่ๆ ฉันก็ฝันเห็นภาพตอนที่นาคเสนลงมาทำลายกลุ่มของอำมาตย์จงกรดและพี่ศฤงคาร ถึงแม้ว่าตอนนี้มณีนาคสวาทจะอยู่ภายใต้การครอบครองของนิลนาค แต่ฉันก็ยังไม่วางใจ ฉันขอถามจริงๆ นะภุชคินทร์ พักหลังมานี้คุณได้ติดต่อกับอรวินทร์บ้างรึเปล่า...”

หนุ่มใหญ่เบิกสองเนตรขึ้นสบกับสองตากลมโตของผู้เป็นภรรยา กลิ่นจันทร์กัดฟันแน่น รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“เราสองคนติดต่อกันเป็นระยะ” คำตอบที่ได้ยินทำให้เธอต้องผ่อนลมหายใจที่สั่นระรัวออกมาช้าๆ นี่ขนาดว่าเขาสัญญาว่าจะพาเธอไปอยู่ในที่ๆ ไม่มีใครรู้จัก แต่ว่าตัวเองก็ยังคงไปมาหาสู่กับตระกูลนิลนาคอยู่งั้นหรือ?

“ถึงยังไงเราก็เป็นญาติกันนะจันทร์... อรวินทร์เป็นห่วงพวกเรามาก”

“ฉันรู้...แต่ว่า ฉันไม่อยากให้ลูกต้อง...”

“ไม่ต้องห่วง คนที่จะรับช่วงต่อ ดูแลมณีนาคสวาทต่อจากอรวินทร์ก็คือลูกชายของพี่ปณาลี” ภุชคินทร์ย่อตัวลงนั่งยังฝั่งตรงข้ามของภรรยา

“ลูกชายของพี่ปณาลี...” กลิ่นจันทร์ลากเสียงคล้ายคนกำลังเหม่อลอย “ใช่...ฉันไม่รู้เรื่องเหตุการณ์หลังจากที่พิณภัทร์มาช่วยฉันเลย ตกลงว่าต่อจากนั้นเป็นยังไงกันบ้าง”

ผู้เป็นสามียกตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้ เดินเนิบนาบไปยังริมระเบียง แสงอาทิตย์สีส้มทอประกายอยู่ทางทิศตะวันออก เมฆสีชมพูระบายทั่วโค้งฟ้า

“ตอนที่...เธอถูกพวกมนุษย์จับตัวไปยังหนองคายนั้น รักตปักษ์ได้ทำสงครามครั้งใหญ่กับนาคเสน” กลิ่นจันทร์ยกมือขึ้นทาบอก หวนนึกถึงคราวที่ถูกนายงามพลผู้ที่หลงรักเธอพากลับมายังหนองคายก่อนที่เธอจะแอบหนีออกมาจนได้

“ตอนนั้นอาภูรินทร์ก็อาสาไปช่วยนาคเสนรบ แต่ว่าไม่ได้เอามณีนาคสวาทไปด้วย...”

“แล้วทำไมคุณอาภูรินทร์ถึงไม่นำมณีนาคสวาทไปด้วยล่ะ” คราวนี้คนที่ยืนทอดสายตาเหม่อมองสายน้ำโขงที่ทอประกายเหลืองอร่ามยามต้องแสงทินกรยามเช้าค่อยๆ หันกลับมา รูปหน้าคร้ามแดดที่เริ่มยับย่นปิดสองตาลงจนสนิทพร้อมกับระบายลมหายใจคล้ายกำลังขับไล่ที่สิ่งอัดอั้นมานาน

“เธอคงจำได้...ว่านาคเสนเป็นคนฆ่าพี่ศฤงคาร คนรักของพี่ปณาลี พี่สาวฉัน”

“อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่...พี่ลีแอบขโมยมณีนาคสวาทมาเพื่อจะใช้ฆ่าพวกนาคเสน แต่ว่า...กลับถูกตรีดาว ทายาทแห่งรักตปักษ์ชิงไปได้เสียก่อน จากนั้นพี่ปณาลีก็ถูกลูกหลงจากการปะทะจน...” ดวงเนตรสีเขียวค่อยๆ เบิกมองเรือนหน้าของผู้เป็นภรรยาที่รีบตรงเข้ามาหา ยกมือขึ้นลูบต้นแขนเพื่อปลอบโยน

“แล้วมณีนาคสวาทล่ะ...” กลิ่นจันทร์ยังคงไม่มีวันลืมมณีศักดิ์สิทธิ์ที่เธอเป็นผู้นำพามันมาสู่ตระกูลนิลนาคได้ อาจจะเป็นเพราะเคยผูกพันกันมาแต่อดีตชาติก็เป็นได้

“หลังจากนั้นกลุ่มองครักษ์ของนาคเสนก็ไปชิงเอามาได้ และพวกเขาก็ได้ฆ่าตรัศวิน รักตปักษ์จนตาย...” มือที่จับต้นแขนของสามีไว้พลันได้หลุดลงแนบลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง กลิ่นจันทร์ถอยกายออกห่างจากภุชคินทร์อย่างไม่รู้ตัว จู่ๆ หยดน้ำตาก็พลันเอ่อท้นท่วมขอบตาขึ้นมา ภาพรูปหน้าขาวสะอาดของทายาทแห่งรักตปักษ์ผู้เป็นเพื่อนชายที่แสนดีเธอยังคงจำได้ติดตา เขายอมกรีดเลือดรินรดหลวงพ่อมณีนิลเพื่อให้มณีนาคสวาทปรากฎโดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีขอเพียงให้เธอไม่ต้องเกี่ยวข้องกับตระกูลนิลนาค เขายอมช่วยนาคาซึ่งเป็นศัตรูเพราะเห็นแก่เธอ... แม้จะคิดตกลงปลงใจกับภุชคินทร์และอยู่กินกันมาร่วมยี่สิบปี แต่ทว่า...กลิ่นจันทร์ก็ยังคงจำความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นได้เสมอ และเธอ...ก็ไม่อยากให้เพื่อนที่แสนดีต้องพบกับจุดจบเช่นนี้

สายลมเย็นสบายพัดหอบเอาไอน้ำขึ้นมาปะทะสองร่างที่ยืนนิ่งค้างราวกับหุ่นที่ไร้ชีวิต ดวงตาสีเขียวคล้ำของภุชคินทร์จดจ้องไปยังสองตากลมใสของหญิงมนุษย์ผู้ที่เขาตัดสินใจร่วมใช้ชีวิตคู่มานับสิบปี แต่ว่า...สายตาคู่นั้นของเธอกลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว


ญาดาวีปรับกระจกรถลงจนกระทั่งถึงระดับใบหน้า สายลมอ่อนๆ ต้นฤดูฝนพัดหอบเอากลิ่นไอน้ำลอยเข้ามาปะทะ หญิงสาวชะลอรถเลียบข้างทางก่อนจะเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นทางดินกว้างราวสามเมตรสำหรับรถเข้าออกได้ทางเดียว เสียงกัมปนาทดังก้องอยู่ทางอีกฟากของโค้งฟ้า

เก็จลดายืดอกเพื่อสูดเอาอากาศเย็นชื้นเข้าปอด เมฆสีดำตั้งเค้ามาแต่ไกล ชลธิชารีบหันไปช่วยสารถีสาวขนข้าวของออกมาจากหลังรถ

“นี่ยัยดา...ฉันอุตส่าห์ขับรถจนเหนื่อยแกจะมีน้ำใจมาขนของช่วยกันมั้ยเนี่ย” ญาดาวีแหกปากร้องก่อนที่หญิงสาวหน้ารถจะหันขวับมาตาขวาง

เก็จลดาเดินกระฟัดกระเฟียดมาหาทั้งคู่ก่อนฉวยเอากระเป๋าเสื้อผ้าจากมือของชลธิชาเดินดุ่มๆ จากไป “ดูมันทำ...ก็เพราะเป็นแบบนี้แหละถึงไม่มีแฟนกับเค้าซักที”

“แกก็...เดี๋ยวดาก็ได้ยินหรอก” ชลธิชาตีแขนญาดาวีเบาๆ ก่อนจะรีบหอบสัมภาระตามก้นเก็จลดาที่นำหน้าไปไกลแล้ว


หญิงวัยสี่สิบผู้เป็นเจ้าบ้านออกมาต้อนรับพร้อมกับลูกจ้างหญิงวัยห้าสิบและหลานสาวอีกสองคน เก็จลดาวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนชานเรือนก่อนยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า

“คุณป้า...” ญาดาวีทิ้งกระเป๋าลงพื้นทันทีที่ได้พบหน้านางพิมพ์ดาวผู้เป็นป้า หญิงสาวโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่นพลางหอมฟอดใหญ่

“ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ยัยดา อยู่สุขสบายกับพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ คงไม่เคยคิดถึงป้าล่ะสิท่า...”

“โถ่...ป้าพิมพ์ก็...” หลานสาวหยิกแก้มห่อเหี่ยวของผู้เป็นป้าทีนึงก่อนหันมาเพื่อนสาวทั้งสองที่ยืนเก้กังอยู่ด้านหลัง

“คนผมยาว ตาโต ใบหน้าคมคาย ท่าทางมาดมั่น ชื่อเก็จลดาค่ะ” อธิบายสรรพคุณซะครบถ้วนจนเก็จลดาต้องแยกเขี้ยวใส่คนเป็นเพื่อน เธอยกมือไหว้นางพิมพ์ดาวอีกครั้งก่อนคลายยิ้มอ่อนโยน

“ส่วนคนนี้ สวยแบบหวานๆ ค่ะ ตาอาจไม่โตมาก แต่ว่าผิวพรรณผุดผ่อง ใบหน้าเปล่งปลั่ง แถมยิ้มสวยอีกต่างหาก...”

“พอๆ เถอะยัยวี” นางพิมพ์ดาวเอ็ดหลานสาวคนโตเบาๆ จนญาดาวีต้องหรี่ตาทำทีเป็นน้อยใจ

“สวัสดีค่ะคุณป้า หนูชื่อชลธิชาค่ะ เรียกชลเฉยๆ ก็ได้ค่ะ” นางพิมพ์ดาวเพ่งพินิจรอยยิ้มหวานละมุนของหญิงคราวลูกตรงหน้า พลันนั้นจิตใจก็นึกไปถึงใครบางคนที่จากกันไปแสนนาน... เด็กคนนี้ ดูๆ ไปก็คล้ายกับ...

“พี่วี...” เสียงตะโกนโหวกเหวกของสองหลานสาวฝาแฝดของนางพิมพ์ดาวทำเอาทั้งหมดรีบหันไปยังเด็กสาวทั้งสองทันที เพียงเดือนและพวงดาววัยแปดขวบโผเข้ากอดแข้งกอดขาพี่สาววัยยี่สิบสองพร้อมๆ กัน

เมื่อแนะนำเพื่อนทั้งสองแก่สมาชิกในบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วญาดาวีจึงพาเข้าสู่ห้องพักส่วนตัวที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก

“นี่ห้องแกเหรอวี...” เก็จลดาทิ้งกระเป๋าลงพื้นก่อนเดินไปทรุดนั่งที่เตียงนอนสีขาวนุ่มนิ่ม นอกหน้าต่างที่มีผ้าม่านขาวปลิวสะบัดได้ยินเสียงฝนลงเม็ดปรอยๆ

“ใช่...เวลาปิดเทอมนะ พ่อกับแม่ก็จะพาฉันมาพักอยู่กับคุณป้าพิมพ์นี่แหละ ขอบอกว่าสนุกสุดยอด” คนที่มีอดีตอันแสนหวานผายยิ้มก่อนหันไปมองชลธิชาที่ยืนมองสภาพห้องอย่างพินิจพิเคราะห์

“ยิ้มอะไรเหรอชล” เจ้าของห้องแอบลอบมองเพื่อนสาวที่อมยิ้มอย่างมีเลศนัยน์

“ก็...นึกถึงห้องของศรัณย์เค้าน่ะ ห้องของเค้าก็คล้ายๆ ห้องเธอนี่แหละ” ชลธิชาหยีตาในขณะที่ประกายอันงดงามบนดวงตาดำขลับของเก็จลดาค่อยๆ อ่อนแสงลง

“หืมม์...ได้เข้าห้องเค้าตั้งแต่เมื่อไหร่กันย่ะ คงไม่ใช่ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายนะ...”

“ก็ราวๆ นั้นแหละ” ดวงหน้าเนียนละเอียดแดงเรื่อขึ้นมาในทันใด ญาดาวีก็เอาแต่ก้มหน้ายิ้มที่ได้แซวเพื่อนสนิทที่มีคนรักอย่างศรัณย์ ผู้ชายที่ดีพร้อมไปเสียทุกอย่าง

“อ้าว...จะไปไหนล่ะดา...” ศีรษะที่มีผมสั้นซอยเป็นเอกลักษณ์หันไปหาร่างเพรียวลมของเก็จลดาที่ทำท่าลุกพรวดขึ้นจากเตียง

“ไปเดินเล่นข้างนอกหน่อย อยู่ในนี้มันอึดอัด” บอกเสียงห้วนก่อนเดินกระแทกส้นเท้าออกจากห้องไป

“มันเป็นอะไรของมันเนี่ย...” สองสาวหันมาสบสายตากันอย่างงงงวยก่อนที่สองพี่น้องวัยแปดขวบจะมาเคาะประตูที่เปิดออกกว้างเบาๆ

เพียงเดือนและพวงดาวชะโงกหน้าอยู่คนข้างของประตูทำเอาชลธิชาแทบหลุดหัวเราะ “คุณป้าพิมพ์ดาวให้มาบอกว่าถ้าพี่ๆ ทั้งสามคนจัดข้าวของเสร็จแล้วก็ให้ไปทานของว่างที่ห้องนั่งเล่นค่ะ” เพียงเดือนบอกคำสั่งอย่างครบถ้วนก่อนที่น้องสาวจะเสริมต่อท้าย

“และคุณป้าก็ยังบอกอีกว่าจะถามเรื่องที่พี่ๆ จะไปกราบพระกันน่ะค่ะ” จบคำญาดาวีก็หันไปหาชลธิชาก่อนเอนสายตามายังสองพี่น้องหน้าห้อง

“ขอบใจมากจ้ะ...บอกคุณป้าว่าอีกสิบนาทีเดี๋ยวพี่จะไปพบ”

“ค่ะ...หนูไปหละนะคะ” บอกลาอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะวิ่งหยอกล้อกันจากไป



Create Date : 03 เมษายน 2554
Last Update : 3 เมษายน 2554 16:56:11 น.
Counter : 749 Pageviews.

2 comments
  
โหย หนุกอ่ะ แล้วศรุตาไปไหนเอ่ย ไม่ยักกะพูดถึง ต้องรอติดตามตอนต่อไป อิอิ อัพไวไวนะคะ พี่ ผีเสื้อสีดำ
โดย: จีจี้ IP: 118.174.50.79 วันที่: 8 เมษายน 2554 เวลา:16:04:33 น.
  
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ

Beautiful graphic comments


โดย: ดอยสะเก็ด วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:12:01:42 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
เมษายน 2554

 
 
 
 
 
2
4
5
6
7
8
9
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
3 เมษายน 2554
MY VIP Friend