บทที่ 9 ผู้อยู่เบื้องหลัง
บทที่ 9 ผู้อยู่เบื้องหลัง

ศรัณย์กลับมายังห้องพักในสภาพเฉยชาราวกับร่างที่ไร้วิญญาณนับตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุกับชลธิชา วันนี้บิดาของอีกฝ่ายเดินทางมาถึง หญิงสาวจึงให้ชายหนุ่มกลับมาพักผ่อนที่ห้อง แม้เธอเจ็บ แต่เธอก็ยังคงห่วงใยเขาเสมอ... แล้วเขาล่ะ? ทำไมถึงได้ปล่อยให้อารมณ์ชั่ววูบเข้ามาทำให้ความสัมพันธ์อันแสนนานมีรอยร้าว การที่เขาเข้าหาเก็จลดาแบบนี้ เท่ากับว่าได้บอกกับเธอว่าเขาเองพร้อมจะเปิดโอกาสให้เธอเข้ามาภายในใจโดยไม่ขัดข้อง...

เพราะมันคนเดียว... ปริตร นิลนาค

ศรัณย์ทวนชื่อนี้ในใจเป็นร้อยๆ ครั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดแปดด้าน เท่าที่ภุชคินทร์ผู้เป็นบิดาเคยบอกมาว่าตนไม่เคยมีเครือญาติที่ไหนเลย แล้วชายในบัตรประชาชนที่เขาพบในห้องของชลธิชาล่ะ อีกทั้ง ดวงตาสีเขียวเข้มดุดันที่จ้องมองเค้าในสระว่ายน้ำวันนั้น...

ศรัณย์เริ่มรู้สึกว่าชายหนุ่มลึกลับคนนี้กำลังเข้าคุกคามชีวิตเขาเรื่อยๆ ตกลงว่าเขาเป็นใครนะ !


ญาดาวีรีบบึ่งออกจากกรุงเทพฯ ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์จากมะลิ นางพิมพ์ดาวคือญาติผู้ใหญ่ที่เธอนับถือเสมือนแม่แท้ๆ และอีกฝ่ายก็เอ็นดูและห่วงใยเธอประหนึ่งลูกในไส้เช่นเดียวกัน

พอถึงโรงพยาบาลร่างระหงในชุดกางเกงยีนรัดรูปและเสื้อเชิ้ตสีครีมก็ถลันเข้าห้องพักของผู้เป็นคนไข้ทันที เหล่าสมาชิกที่มาเฝ้าไข้รวมทั้งคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียงต่างหันมาหาหญิงสาวเป็นตาเดียว

“คุณป้า...” ร้องเรียกพร้อมกับโผเข้าหานางพิมพ์ดาวที่นอนคลายยิ้มราบเรียบบนเตียง มือเรียวสวยเกาะขอบเตียงไว้พร้อมกับชำเลืองไปยังหน้าแข้งหญิงสูงวัยที่เข้าเฝือกไว้หนา

“ไปทำอีท่าไหนถึงได้ขาหักเอาได้คะ ปูนนี้แล้วน่าจะระมัดระวังตัวหน่อย”

“อย่าไปว่าคุณพี่พิมพ์เธอเลยนะหนูวี โทษที่น้าเถอะ หากว่าน้าเอื้อมไปรับตัวคุณพี่...”

“เธอไม่ผิดหรอกมะลิ” พูดดักคออีกฝ่ายไว้ก่อนหันมาหาหลานสาวที่ยืนหน้าบึ้ง “มันคงเป็นคราวเคราะห์ของป้าน่ะวี...” พูดพร้อมกับถอนใจ “ข้ามบันไดไปอีกไม่กี่ขั้นก็จะถึงวัดแล้ว...”

มะลิเองก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจ นึกเสียดายที่ไม่ได้ขึ้นไปไหว้พระที่วัดป่ามณีนิล นานๆ ทีจะได้กลับมาที่นี่สักครั้ง ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก !

“แล้วนี่เรามาแบบนี้ไม่รบกวนเรื่องเรียนนะยัยวี” เอ่ยถามหลานสาวที่ค่อยๆ ทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเล็กที่ที่ตั้งอยู่มุมห้อง

“ไม่ค่ะ อันที่จริงวันนี้หนูลากิจซะด้วยซ้ำ ตอนบ่ายมีเรียนแค่วิชาเดียว”

“ลาทำไม...มีธุระอะไรงั้นเหรอ” นางพิมพ์ดาวรอฟังคำตอบจากหลานสาว

“คือพอดีว่ายัยชลเกิดอุบัติเหตุน่ะค่ะคุณป้า ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”

“ตายจริง ! แล้วแม่หนูนั่นเป็นยังไงบ้าง อาการหนักมั้ย?” มะลิผินหน้าไปหาญาดาวีเช่นกัน

“แรกๆ ก็อาการหนักค่ะ แต่ว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้ว” พูดพร้อมกับถอนหายใจ “ไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่นหรอกนะคุณป้า ห่วงตัวเองก่อนเถอะค่ะ”

“ดูซินังหลานคนนี้...” พิมพ์ดาวเอ็ดใส่จนมะลิต้องแอบคลี่ยิ้ม บรรยากาศในห้องอบอุ่นด้วยสายใยและระหว่างป้าหลานก่อนที่เสียงเคาะประตูจะทำให้ญาดาวีต้องเอนหน้าไปมอง

หญิงสาวลุกจากโซฟา เดินดุ่มๆ ตรงไปยังหน้าประตู ความรู้สึกแปลกประหลาดก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้ตัว มือเรียวสวยหมุนลูกบิดพร้อมกับดึงประตูบานหนาเข้ามาด้านใน กลิ่นหอมอ่อนๆ พัดโชยเข้ามาเตะจมูก ร่างสูงสง่าของบุรุษผู้อยู่ในอาภรณ์สีขาวยืนเด่นอยู่ตรงหน้าเพียงเอื้อมมือ โครงหน้าได้รูป เครื่องหน้าที่จัดวางอย่างลงตัว คิ้วหน้าเข้ม ดวงตาสีน้ำตาลอันอบอุ่น และรอยยิ้มอันแฝงไปด้วยเสน่ห์ลึกลับ เขานั่นเอง...

“ใครเหรอ? วี...” ผู้ป่วยที่นอนอยู่บนเตียงร้องถามหลานสาวจนร่างบางสะดุ้งโหยงทว่าสองตายังประสานกับสองเนตรของชายหนุ่ม

“ผมเองครับ...วายุ” ชายหนุ่มตะโกนบอกก่อนผินมายังวงหน้าของญาดาวีที่เริ่มแดงซ่าน “ขอผมเข้าไปเยี่ยมอาจารย์หน่อยครับ” เขาบอกกับเธอเบาๆ ร่างบางถอยหลังให้อีกฝ่ายได้ก้าวเข้ามาก่อนเดินนำหน้ามาราวกับว่าลอยละล่องอยู่บนอากาศอันเบาหวิว

“เป็นอะไรไปยัยวี ดูทำตาลอยๆ” หันไปทักหลานสาวก่อนที่อีกฝ่ายจะเบิกตามองคนเป็นป้าและหันมาหาร่างสูงสง่าที่ยืนข้างๆ “ว่าไง วายุ...วันนี้ไม่มีสอนเหรอ?” คนสูงอายุกว่าเอ่ยถามเสียงเรียบ

“ไม่ครับ...อาจารย์เป็นยังไงบ้างครับ” เอ่ยถามคนเจ็บ น้ำเสียงทุ้มกังวานที่ได้ยินคล้ายกับกระชากร่างญาดาวีให้กลับคืนสู่ความฝันอันพิลาศ... เหนือท้องฟ้าอันอึมครึม ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่ง กางปีกสีแดงฉาน โอบอุ้มเธอขึ้นจากผืนดิน ปกป้องเธอจากนาคาที่หมายจะเอาชีวิต...

“ยัยวี !!!” เสียงตะโกนเรียกของนางพิมพ์ดาวทำให้หญิงสาวสะดุ้งโหยงอีกครั้ง สามร่างต่างหันไปมองเธอพร้อมรอยยิ้ม “นี่พ่อวายุ อาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในตัวจังหวัดนี่แหละ...วายุ นี่ญาดาวี หลานสาวครูเองจ้ะ” จัดการแนะนำให้หญิงสาวและชายหนุ่มให้รู้จักกัน

ญาดาวีหันมามองเขาตรงๆ อีกครั้ง สายตาคู่นั้นจ้องลึกลงไปยังสองตาของเธอ ความอบอุ่น ห่วงใยและหวงแหนฉายชัดอยู่ในแววตาคู่นั้น ประหนึ่งเราทั้งสองเคยผูกพันกันมาแสนนาน

“วายุ...” หญิงสาวทวนชื่อเขาเบาๆ ริมฝีปากอวบอิ่มคลายยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว



ศรัณย์ นิลนาค ค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายออกอย่างช้าๆ จนหมด ชายหนุ่มจ้องมองโครงหน้าคมเข้มของตัวเองในกระจกเงาบานย่อมที่ติดอยู่ภายในห้องน้ำ

สายน้ำเย็นสดชื่อรินไหลลงมาจากฝักบัว ร่วงสู่ร่างหนาที่เหนื่อยล้ามาทั้งวัน ดวงตาเขียวคล้ำพริ้มหลับลงช้าๆ อย่างพร้อมกับถอนหายใจยาว ไอเย็นจากวารีค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง ดวงจิตอันอ่อนแรงล่องลอยไปไกลในความฝัน... สายน้ำโขงที่เขาเคยแหวกว่ายอย่างสนุกสนานและมีความสุข ภาพบิดาและมารดาที่นั่งอยู่กันพร้อมหน้า และบ้านริมน้ำอันแสนอบอุ่นที่เขาจากมา...

ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนโยกตัวออกมาจากสายน้ำที่เซ็นสาด หยิบเอาครีมอาบน้ำพร้อมกับบีบใส่มือก่อนจะค่อยๆ ลูบไล้ไปบนท่อนแขนแข็งแรง

วันนี้ดูครีมอาบน้ำจะลื่นมือเป็นพิเศษ ปลายนิ้วที่สัมผัสลงบนผิวกายคล้ายกับว่ามันแตะโดนผิวบางอย่างที่มันมะเมื่อมไม่เหมือนผิวกายมนุษย์ ชายหนุ่มค่อยๆ ก้มลงมองแขนซ้ายที่ยังมีคราบฟองครีมอาบน้ำ ถอยกายเข้าหาฝักบัว สายน้ำกระเซ็นสาดลงใส่ร่างสูงอีกครั้งก่อนที่ศรัณย์จะร้องครางออกมา...

ดวงตาเขียวคล้ำจ้องเขม็งที่ท่อนแขนซ้ายที่มีเกล็ดสีเขียวเล็กๆ ขึ้นปกคลุมผิวหนังคล้ำเข้ม... ไอเย็นแผ่ซ่านจากปลายเท้าขึ้นมาจนจรดศีรษะ ชายหนุ่มพยายามตั้งสติ ยกแขนขึ้นพินิจดูใกล้ๆ อีกครั้ง... รีบยกมืออีกข้างขึ้นมาจับเกล็ดสีนิลวาบวับนั้นเบาๆ มันปกคลุมทั่วท่อนแขนซ้ายและกำลังไล่ขึ้นสู่ต้นแขน...

“ไม่นะ...ไม่จริง...!!!” ศรัณย์เร่งน้ำแรงขึ้นพร้อมกับเอามืออีกข้างถูแขนซ้ายอย่างแรง แต่ทว่าเกล็ดเหล่านั้นกลับไม่หลุดหายไป เขาพยายามใช้นิ้วแกะมันออก แต่ยี่งแกะก็ยิ่งรู้สึกเจ็บราวกับว่าตนกำลังเอามีดกรีดเนื้อหนังตัวเองยังไงยังงั้น...


“คืนนี้เธอต้องดึงดวงจิตของกลิ่นจันทร์ให้เข้าสู่ความฝันที่เธอนิรมิตขึ้น แล้วจากนั้นฉันก็จะเข้าไปหาเธอ...” ปริตรบอกคำสั่งแก่นิทรา นาคาสาวคนสนิท แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับก้มหน้านิ่ง

“ว่าไงล่ะ...” นาคหนุ่มว่าเสียงขรึม ดวงตาสีดำขลับค่อยๆ แหงนขึ้นมองเขาตรงๆ

“ไม่ได้ ฉันจะไม่ยอมทำอะไรแบบนี้อีกแล้ว” นาคสาวถอยหลังหนึ่งก้าว พยายามเก็บอาการของความหึงหวงและไม่พอใจไว้แต่มันก็กลับไม่เป็นผล ดูท่าว่านาคหนุ่มที่เธอลุ่มหลงอยู่นี้คงกำลังตกหลุมรักนางมนุษย์สาวคนนี้เป็นแน่ เธอจะยอมไม่ได้ จะยอมให้ปริตรสมรักกับชลธิชาไม่ได้ เธอสู้อุตส่าห์ทำเพื่อเขามาตั้งเท่าไหร่ แล้วนี่เธอจะปล่อยให้เขาได้พบนางมนุษย์ในความฝันที่เธอนิรมิตขึ้นมางั้นหรือ?

“ถ้าฉันมีมณีนาคสวาทอยู่ในมือนะ ฉันจะไม่ยอมมาขอร้องเธอแบบนี้แน่ !” ปริตรกระชากเสียงห้วน มองอีกฝ่ายตาขวางก่อนสะบัดหน้าหนีอย่างฉุนเฉียว

“ชลธิชาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา...” ประโยคที่ได้ยินกระชากให้ปริตรหันกลับมาหานิทราอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวเข้มเบิกกว้างรอฟังคำอธิบาย

“เพื่อนของเธอ...ต่างก็เคยเป็นนาคาและที่สำคัญ พวกนั้นมีฤทธิ์เดช !”

“จะมีฤทธิ์ได้ยังไง พวกมันเป็นมนุษย์นะ ไม่ใช่นาคเหมือนเรา ถึงจะเคยเกิดเป็นนาคาก็เถอะ” อีกฝ่ายเบ้ปากก่อนที่นิทราจะก้าวขาเข้าไปหาเขา มือเรียวยกขึ้นจับท่อนแขนนาคหนุ่มพร้อมกับบีบเบาๆ

“ฉันสัมผัสได้... ผู้หญิงที่ชื่อเก็จลดากับญาดาวี หรือแม้กระทั่งศรัณย์ที่สถานะเป็นครึ่งคนครึ่งนาค เมื่อพวกเขารู้ว่าตัวเองมีบางอย่างอยู่ในตัวหรือเมื่อสวรรค์เปิดทางให้พวกเขาได้เห็นอำนาจบางอย่างที่พวกเขามี...ถึงตอนนั้นมันก็คงยากที่พวกเราจะต่อกรกับพวกเขา...” น้ำเสียงสั่นเครือของนิทราทำให้โทสะในร่างกายของนาคหนุ่มพุ่งพรวดขึ้นในทันใด ดวงตาสีเขียวคล้ำค่อยๆ กลายเป็นแดงฉาน มือแข็งแกร่งยกขึ้นจับสองแขนของนิทราอย่างแรง

“จำไว้นะ... ฉันคือผู้สืบทอดบัลลังก์แห่งนิลนาคคนต่อไป ไม่มีใครเอาชนะฉันได้หรอก...นิทรา !!!”


นกสีชมพูสดตัวน้อยค่อยๆ บินหลาออกมาจากบ้านหลังงามของศราวิน ปีกเล็กๆ แต่ทว่าแข็งแกร่งบินเข้าสู่ดงไม้ทึบข้างถนนที่ไม่ค่อยมีคนสัญจรก่อนที่สตรีรูปร่างงดงามผู้อยู่ในอาภรณ์สีชมพูทั้งตัวจะค่อยๆ เดินออกมาจากดงไม้ด้วยท่วงท่าอันมาดมั่น

ดวงตาสีน้ำตาลแดงของศรุตากวาดมองไปรอบบริเวณก่อนจะผินหน้าไปยังเส้นทางที่ตนจำต้องมุ่งหน้าไปให้ถึง การรายงานความคืบหน้าแก่เจ้านายถือเป็นอีกหน้าที่หนึ่งที่สาวกแห่งรักตปักษ์จำเป็นต้องทำ

“เป็นแม่นกแสนรู้ของศราวินอยู่นานรู้สึกเป็นยังไงบ้าง...” เสียงกังวานใสที่เอ่ยทักทำให้หญิงสาวต้องผายยิ้มกว้าง สตรีผู้สูงวัยกว่าเธอค่อยๆ สืบเท้าลงมาจากบันไดบ้านที่ตกแต่งอย่างงดงาม

“ก็ดีค่ะ เธอฉลาดและมีพลังเหมือนกับที่พี่ดาวคิดไว้ไม่มีผิด” ศรุตาจุดยิ้มเมื่อนึกถึงใบหน้าของหญิงสาวคนนั้น คนที่รักตปักษ์เลือกให้เธอเป็นคนดูแลคฤหาสน์ที่มณีนิล

“เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า” ตรีดาวบอกเสียงเรียบก่อนหันหลังกลับและเดินนำหน้าผู้เป็นลูกน้องเข้าสู่ตัวบ้านทรงยุโรปที่ตกแต่งอย่างงดงาม

ทั้งสองนั่งประจันหน้ากันอยู่ในห้องนั่งเล่นที่เงียบสงัด เวลาเกือบยี่สิบปีที่รักตปักษ์ต้องสาบสูญไปจากความทรงจำของใครหลายๆ คน นับตั้งแต่แพ้สงครามครานั้น ตรีดาวก็เหมือนสูญสิ้นทุกอย่างในชีวิต เธอซมซานไปขอความช่วยเหลือจากครุฑผู้ทรงฤทธิ์ตนหนึ่งโดยที่เธอไม่เคยลืมความเคียดแค้นในอดีตเลยแม้แต่น้อยมีแต่รอคอยวันเวลาที่เธอจะแก้แค้นเหล่านาคาให้สาสมใจ...

“พี่ดาวจะเอาแม่หนูนั่นมาเป็นพวกของเราจริงหรือคะ” ศรุตาเชิดหน้าถาม ศราวินมีความเฉลียวฉลาดและเคยเกิดเป็นครุฑในอดีต แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่ารักตปักษ์ควรนำเธอเข้ามาในตระกูล

“ตอนนี้สายเลือดรักตปักษ์...เหลือเพียงแค่ฉันคนเดียว หากเรามีพันธมิตรที่เพิ่มมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรไม่ใช่เหรอ”

“แต่แม่นั่นเป็นมนุษย์ จะช่วยพวกเราได้สักแค่ไหน?” ศรุตาอ้าปากเถียง การบำเพ็ญด้วยระยะเวลาอันยาวนานทำให้เธอดูมีรูปร่างและหน้าตาที่ยังดูอ่อนกว่าวัยเฉกเช่นตรีดาว

“ก็เพราะเป็นมนุษย์ยังไงล่ะ ฉันถึงได้เลือก...” คนพูดลากเสียงยาวก่อนยกตัวขึ้นจากที่นั่ง ทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังสวนนกข้างตัวบ้าน ปักษานานาชนิดถูกขังไว้ในกรง ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วไม่ขาดสาย

“หากว่าศราวินรู้ว่าตัวเองไม่ธรรมดาเธอก็จะยิ่งนำพาพวกเราให้ไปพบกับนาคา ฉันมีลางสังหรณ์บางอย่างศรุตา สังหรณ์ใจว่าเรากำลังจะได้พบกับบางอย่างที่รอคอยมาแสนนานโดยการนำพาของมนุษย์สาวคนนี้” ดวงหน้าได้รูปค่อยๆ หันมาหาผู้เป็นลูกน้องที่นั่งก้มหน้าครุ่นคิด

“ทำหน้าที่ของเธอต่อไป คอยดูแลศราวินและทำให้เธอได้พบกับพลังที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวของเธอ...”


เก็จลดาทรุดนั่งอยู่ริมบึงน้ำใหญ่ในสวนสาธารณะอันเงียบสงบ บัดนี้เวลาล่วงเข้าสามทุ่มแล้ว บรรยากาศรอบกายมืดมิดและน่ากลัว ภัยคุกคามจากมิจฉาชีพและเหล่าผู้ไม่หวังดีมีอยู่รอบกายแต่ทว่าหญิงสาวกลับไม่สะทกสะท้าน...

ดวงตาสีดำสนิทเหม่อมองเงาพระจันทร์ที่ตกกระทบบนผืนน้ำเคลื่อนไหวระยิบระยับ พลันนั้นภาพขณะที่เธอถูกศราวินทำร้ายก็ฉายวาบขึ้นมาในโสตประสาท...

เธอไม่ใช่คนอ่อนแอนะเก็จลดา แล้วทำไมถึงไม่สู้... บอกกับตัวเองด้วยความปวดร้าว รอยข่วนที่แขนยังคงไม่จางหายไป มิหนำซ้ำมันยังฝากแผลเจ็บไว้ในใจเธออีกต่างหาก

ดวงตาดุจนางพญาอินทรีย์ผู้น่าเกรงขามคู่นั้นทำให้เธอหวั่นเกรงยังไงพิกล...หรือว่า เธอไม่อาจอยู่เหนือศราวินได้ เธอเป็นได้แค่เหยื่อ เป็นได้แค่ผู้ถูกกระทำ ไม่สามารถตอบโต้อีกฝ่ายได้เลยงั้นหรือ?

เก็จลดาหยัดกายขึ้นจากผืนหญ้าริมตลิ่งหนองน้ำกว้าง ดวงหน้าซีดเซียวแหงนมองพระจันทร์บนฟากฟ้าที่ทอประกายเหลืองอร่ามเจิดจรัสบนท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งไร้ซึ่งหมู่เมฆแต่ทว่าพลันนั้นเอง เหล่าเมฆาสีดำหนาทึบมากมายก็พลันหลั่งไหลมาบดบังแสงจันทร์ไว้ในฉับพลัน หญิงสาวจ้องมองปรากฎการณ์แปลกประหลาดบนฟ้าก่อนที่แขนเรียวจะถูกใครบางคนกระชากให้หันกลับมา

ชายหนุ่มสองคนยึดร่างเธอไว้ หญิงสาวจ้องมองอย่างเดือดดาล พยายามสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมแต่ก็ไม่เป็นผล “ปล่อยนะ... ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้” ตะโกนร้องเสียงหลง ร่างบางถูกฉุดกระชากลากถูเข้ามาใต้ทิวไม้ใหญ่รกครึ้มอันมีร่มงำหนาทึบเป็นเกราะกำบังสายตา เก็จลดาได้ทีจึงก้มลงไปกัดที่ข้อมือของที่ยึดตัวไว้ทางด้านซ้ายก่อนที่มันจะร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด

แผลจากรอยฟันคล้ายว่าจะเจ็บแสบราวกับว่าถูกพิษร้ายแรงของสัตว์มีพิษบางอย่าง ชายโฉดล้มลงไปกองกับพื้นพร้อมกับร้องครางอย่างเจ็บปวด มืออีกข้างยกขึ้นกุมข้อมือที่เริ่มแดงซ่านภายหลังถูกหญิงสาวกัดเข้าเต็มแรง

เพื่อนอีกคนปล่อยตัวร่างบางพร้อมกับวิ่งเข้าไปหา เก็จลดาจึงรีบยกตัวขึ้นและออกวิ่งก่อนที่มันจะตามมาตะครุบตัวเธอไว้ได้ทัน สองร่างล้มกลิ่งลงไปกับพื้น หญิงสาวถูกอีกฝ่ายจับท่อนขาและลากครูดไปกับพื้นหญ้าเข้ามายังพงหญ้าอีกฟาก

หญิงสาวนอนเหนื่อยหอบอยู่บนพื้น พยายามประคองตัวเองลุกขึ้นก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นมีดปลายแหลมที่หนุ่มตรงหน้าควักออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันตรงดิ่งมาหาเธอ...และหมายจะจ้วงแทงลงไปยังหน้าท้อง แต่ทว่า...ไอหมอกสีดำหนาทึบก็แผ่เข้าปกคลุมทั่วบริเวณในฉับพลัน

เก็จลดารู้สึกอึดอัดประหนึ่งว่าทั้งร่างถูกบีบให้เล็กลง แต่ทว่าในขณะเดียวกันหญิงสาวก็กลับรู้สึกคล้ายกับว่าร่างกายได้รับพลังงานบางอย่างที่ทำให้เธอมีพละกำลังขึ้นมา สองตาเบิกมองรอบกายที่มืดมิดเพราะไอหมอกเหล่านั้น หญิงสาวลุกขึ้นยืน ก้าวขาออกไปอย่างระมัดระวังในขณะที่เสียงร้องโหยหวนของมนุษย์ดังอยู่ใกล้ๆ

ไอหมอกสีดำหนาทึบเหล่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปกับอากาศอันเย็นเยียบริมฝั่งหนองน้ำใหญ่ ภาพตรงหน้าแทบจะทำให้เก็จลดาเข่าอ่อนยวบลงไปตรงนั้น ชายสองคนที่ตรงเข้ามาทำร้ายเธอเมื่อครู่นอนจมกองเลือดอยู่เบื้องหน้า คนนึงมีรอยบาดลึกรอบลำคอจนแทบจนศรีษะแทบหลุดออกจากบ่า ส่วนอีกคนมีมีดปลายแหลมเล่มเล็กปักอยู่กลางอกซ้าย...

“สวัสดีเก็จลดา...” เสียงแหบพร่าของใครบางฉุดให้หญิงสาวสะดุ้งโหยง ร่างบางหันซ้ายขวาก่อนจะได้พบกับชายร่างใหญ่ผู้อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิทยืนอยู่ด้านหลัง

ดวงตาสีดำสนิทอันน่ากริ่งเกรงทำให้เก็จลดาขนลุกซู่ “คุณเป็นใคร?” เอ่ยถามออกไปอย่างตะกุกตะกัก อีกฝ่ายโคลงศีรษะพร้อมกับคลายยิ้ม

“ฉันก็คือเธอ... เธอก็คือฉัน...” เสียงหัวเราะที่ได้ยินทำให้หญิงสาวมองเขาอย่างสับสน ร่างสูงสะบัดหน้าหนีก่อนวางเท้าเดินเนิบนาบไปอย่างสบายใจ เก็จลดารีบตามเขาไปติดๆ

“คุณยังพูดไม่จบ ตกลงว่าเมื่อกี้คุณช่วยฉันใช่มั้ย?” คำถามของหญิงสาวทำให้นาคผู้มากฤทธิ์ต้องหันกลับมา

“ที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องช่วยเธอซะด้วยซ้ำ...แต่ก็เอาเถอะ แค่นี้ไม่เป็นไรหรอก”

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้น...” เก็จลดาลากเสียง เขาพูดราวกับว่ารู้จักตัวตนของเธอดียิ่งกว่าตัวเธอเองเสียอีก

“ฉันชื่ออำภุช...” ชื่อที่ได้ยินทำเอาอีกฝ่ายนิ่งไปพักนึง “เธอมีบางอย่างที่ทำให้ฉันสะดุดตาและก็...อยากจะทำความรู้จักกับเธอให้มากขึ้น” สายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาทำให้พลังอำนาจในตัวของเก็จลดาเพิ่มขึ้น

“เธอไม่ธรรมดานะเก็จลดา รู้ตัวบ้างรึเปล่า?” รอยยิ้มหยักสวยของอำภุชทำให้หญิงสาวค่อยคลายอาการตึงเครียดลงไปได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังเริ่มสับสนในคำพูดของเขาอยู่ดี หรือว่า...เขาจะรู้ความสามารถในการติดต่อสื่อสารกับงูของเธอ

“ทำไมถึงปล่อยให้เขารังแกได้ล่ะ?... มันเป็นภาพที่ดูไม่ค่อยดีเลยนะ” จบคำ ภาพวันที่เธอถูกศราวินเล่นงานก็แล่นวาบเข้ามาอีกครั้งราวกับว่าคนข้างหน้าสั่งการให้เธอได้เห็นภาพนั้น

“ก็...ฉัน...ฉันไม่รู้จะทำยังไง” บดริมฝีปากตัวเองอย่างเจ็บใจ อำภุชค่อยๆ สืบเท้าเข้ามาหา

หญิงสาวแหงนขึ้นมองอีกฝ่าย ดวงตาสีดำสนิทสองคู่สบสายตากัน... มือหนาของนาคาผู้ทรงฤทธิ์ยื่นบางสิ่งส่งให้มนุษย์สาว

“สร้อยเงินที่ห้อยจี้สีดำ... หากสามวันนับแต่ที่เธอห้อยสร้อยเส้นนี้ เธอยังคงเป็นเก็จลดาที่อ่อนแอเหมือนเคย มันจะหลุดหายออกไปจากคอเธอ... แต่ถ้า... ถ้าเธอมีอำนาจและบารมีเพียงพอจะคู่ควรแก่นาคเสน สร้อยเส้นนี้จะทำให้เธอได้ค้นพบพลังอำนาจบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวเธอ...เก็จลดา !!!”



Create Date : 03 กรกฎาคม 2554
Last Update : 3 กรกฎาคม 2554 13:32:26 น.
Counter : 501 Pageviews.

4 comments
  
ลุ้นๆ ตอนหน้าน่าจะเริ่มเผยตัวตนของแต่ละคน
แต่ดีใจมากที่ วายุ กะ หนูภัทร เจอกันแล้ว เย้ๆ
โดย: pearzilla IP: 24.177.193.99 วันที่: 4 กรกฎาคม 2554 เวลา:6:27:51 น.
  
รออ่านอยู่นะครับ ผมอยากให้มาลงทุกวันเลยครับ
โดย: nui IP: 110.49.241.43 วันที่: 10 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:07:06 น.
  
10 วันแล้ว รออ่านต่อไปค่ะคุณมิ้นท์ สู้ๅ
โดย: pearzilla IP: 24.177.193.99 วันที่: 14 กรกฎาคม 2554 เวลา:9:38:58 น.
  
อ่าคับ... ขอโทษด้วยที่อัพช้า (มากๆ) ^^

เดี๋ยววันนี้อัพให้อ่านแน่นอนคับ พอดี ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ กลับบ้านมาพักผ่อนอ่าคับ กะว่าจะเขียนบทต่อไปให้เสร็จในวันนี้แหละคับ...
ก็แบกโน้ตบุ๊คส์ไปพิมพ์ที่ท้องไร่ท้องนาตอนเย็นๆ บรรยากาศ ดีสุดๆ ทุ่งข้าวเขียวขจี ลมพัดเย็นสบาย ท้องฟ้ามีเมฆกระปิดกระปอย นี่ก็ว่าจะหอบโน้ตบุ๊คส์ไปพิมพ์นิยายที่ริมฝั่งแม่น้ำมูลเลยคับ... ห่างจากบ้านผมไปประมาณสิบกว่ากิโลฯเอง

เฮ่อ...ได้กลับมาบ้าน..มีความสุขจัง

ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามอ่านนะคับ
โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 17 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:02:48 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
กรกฏาคม 2554

 
 
 
 
 
1
2
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
MY VIP Friend