Mint's world.
|
|||
บทที่ 8 ความสงสัยของศราวิน บทที่ 8 ความสงสัยของศราวิน ภายหลังจากที่ซื้อคฤหาสน์หลังงามจนเรียบร้อยแล้ว ตรีดาว หญิงวัยสี่สิบกว่าแต่ทว่ารูปหน้ายังดูอ่อนกว่าวัยนับสิบปีก็ลาจากไปด้วยพาหนะสีดำอันหรูหรา เธอทำตัวลึกลับยิ่งนัก... ศราวินทอดมองรถยนต์คันงามขับหายไปจนลับสายตา นี่ก็บ่ายโมงแล้ว จะกลับบ้านพักไปก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษที่จะต้องทำ หญิงสาวแหงนหน้ามองคฤหาสน์หลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าก่อนก้มมองลูกกุญแจในมือที่ถืออยู่ คฤหาสน์แห่งรักตปักษ์... บอกกับตัวเองแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าอันอิ่มเอิบและเป็นสุข ไม่รู้ว่าภายในนั้นมีอะไรหรือเพราะอะไรถึงทำให้เธออยากจะมาที่นี่เป็นวันละหลายสิบหนจน ในที่สุดก็ได้มันมาไว้ครอบครอง... หญิงสาวก้าวขาเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปก่อนจะไขกุญแจเปิดประตูบานใหญ่ที่ถูกล็อกอย่างแน่นหนา มือเรียวสวยหยิบกุญแจมาไขมันออก ประตูไม้เก่าแก่ที่สลักลวดลายพญาครุฑอันงดงามถูกผลักออกอย่างช้าๆ ในขณะที่นกสีชมพูตัวน้อยโผบินออกมาจากข้างในสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ... นี่เจ้าไปอยู่ข้างในบ้านนี้ได้ยังไง? ศราวินหรี่ตามองศกุณาตัวน้อยที่เกาะแขนเธอไว้ บ้านถูกปิดอย่างแน่นหนาในทุกทาง แต่เอ...ข้างบนเป็นดาดฟ้า นกน้อยของเธอก็น่าจะบินเข้ามาทางหน้าต่างที่ปิดไม่สนิทก็ได้นี่... ศราวินหยิบไฟฉายในกระเป๋าถือออกมาพร้อมกับคลี่แผนผังของบ้านโดยย่อซึ่งได้รับจากตรีดาวในวันนี้ แผงควบคุมสวิตซ์ไฟในบ้านอยู่ทางด้านซ้าย ติดกับห้องสมุด... หญิงสาวยกไฟฉายขึ้นส่องทางเดินที่มืดมิด ค่อยๆ ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ระหว่างนั้นใจก็คิดไปถึงคำบอกเล่าของผู้ดูแลบ้านที่เธอเคยซักถาม... รักตปักษ์ คือตระกูลมหาเศรษฐีตระกูลหนึ่ง บางคนก็ว่าพวกเขามาสร้างคฤหาสน์หลังงามขึ้นที่นี่เพราะอยากได้บ้านตากอากาศไว้สำหรับพักผ่อน หรืออาจจะเพราะว่าพวกเขาอยากจะหนีความวุ่นวายมาใช้ชีวิตอันเงียบสงบอยู่ที่เมืองอันห่างไกลเช่นที่นี่... ก่อนหน้าที่บ้านจะร้าง คฤหาสน์รักตปักษ์ประกอบด้วยสมาชิกสี่คน คือสิตามันผู้เป็นประมุข ไตรเวทย์ลูกชายคนสุดท้อง ตรีดาวหลานสาวและตรัศวิน รักตปักษ์ ผู้เป็นหลานชาย... แต่ว่า...ผู้ชายทุกคนที่อยู่ในบ้านกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงแต่คุณตรีดาวคนเดียว... ก็อย่างที่บอก พวกเขาลึกลับ หลอดไฟที่เคยปิดทิ้งไว้นานสว่างวาบขึ้นเมื่อศราวินกดเปิดสวิตซ์... เผยให้เห็นข้าวของเครื่องใช้และการตกแต่งบ้านที่ประณีตงดงาม หญิงสาวหันหลังกลับมา ทอดมองไปยังกลุ่มโซฟาตัวใหญ่ในห้องโถงที่มองทะลุจากแผงควบคุมสวิตซ์ไฟข้างห้องสมุด ในอดีตสมาชิกในบ้านคงมานั่งประชุมพร้อมหน้ากันที่นี่เป็นแน่ นกน้อยโผบินออกไปจากท่อนแขน ตรงสู่ชั้นสองของบ้าน หญิงสาวค่อยๆ สืบเท้าตรงไปยังบันไดไม้ที่มีฝุ่นจับบางๆ บ้านคงถูกทำความสะอาดไปครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนหรือสองเดือนที่แล้ว สิ่งที่หยุดสายตาของศราวินไว้จนมิอาจให้เหลียวมองสิ่งอื่นคือรูปปั้นขนาดสูงสองเมตรหน้าห้องขนาดใหญ่ที่สุด รูปร่างแข็งแกร่งเหมือนมนุษย์ผู้ชาย แต่ทว่า สองเท้ากลับเป็นกรงเล็บแหลมคมแทนนิ้วเท้าคนธรรมดา ใบหน้าก็มีจงอยปากแหลมคมยื่นล้ำออกมา และที่ด้านหลังคือปีกสีแดงที่แผ่สยายออกอย่างสง่างาม... หญิงสาวขนลุกซู่ สองเท้าก้าวเดินเข้าไปหารูปปั้นครุฑอย่างช้าๆ ยิ่งเข้าไปใกล้เท่าไหร่เธอก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าทั้งร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ... จนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นอันสง่างาม เมื่อยังเป็นเด็กไร้เดียงสา เด็กน้อยนามว่าศราวินใฝ่ฝันว่าอยากจะโผบินขึ้นบนท้องฟ้าดังเช่นเหล่าศกุณาสักครั้ง... เธอแหงนมองนภากว้างสีฟ้าใส เหล่านกน้อยบินหลากันเป็นฝูง เธอค่อยๆ กางแขนน้อยๆ ออก สูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ ก่อนจะออกวิ่งด้วยสองเท้าเปลือยเปล่า ให้ร่างกายบอบบางต้านลมที่โบกพัดในขณะที่สองตายังคงแหงนมองท้องฟ้าและเหล่าปักษาตัวน้อยเหล่านั้น... สักวันเธอจะบินให้ได้... เด็กสาวให้สัญญากับตัวเอง สายลมที่พัดสาดเข้าใส่ชั้นสองทำให้หน้าต่างที่ปิดไม่สนิทเปิดกระทบกับผนังห้องจนทำให้หญิงสาวต้องสะดุ้งโหยงหลุดออกจากภวังค์... ร่างระหงละสายตาจากรูปปั้นตรงหน้าก่อนสาวเท้าเดินไปยังบานหน้าต่างที่ถูกกระชากด้วยแรงลม ใกล้ๆ กันเป็นบันไดเล็กที่ทอดตัวยาวขึ้นสู่ระเบียงกว้าง ศราวินก้าวขาขึ้นบันไดไปไม่รีรอ เมื่อถึงขั้นสุดท้ายมือเรียวก็ปลดกลอนออกช้าๆ แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบมนุษย์สาวจนเธอต้องยกฝ่ามือขึ้นบังสายตา ลมเย็นลอยพัดมาปะทะร่างบางที่เดินขึ้นสู่ระเบียงกว้างแห่งคฤหาสน์รักตปักษ์อย่างช้าๆ เธอค่อยๆ ลดมือลงอย่างช้าๆ เบิกสองเนตรสู้กับแสงแดดอันแสบจ้า ทอดมองท้องฟ้าและทิวเขาเบื้องล่างด้วยรอยยิ้มอันสุขสมประหนึ่งนกน้อยที่หลุดพ้นจากกรงที่กักขัง... ชลธิชามายืนอยู่ที่ริมหนองมณีนิลอีกครั้ง...สองตากลมใสเบิกมองคุ้งน้ำอันกว้างใหญ่ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่บ้านริมน้ำหลังงามที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมฝั่ง พลันนั้นภาพตรงหน้าก็เลือนหาย เธอมองเห็นชายหนุ่มกับหญิงสาวสองคนเดินเคียงคู่กันอยู่ริมน้ำ ทั้งสองคนดูมีความสุข แต่ไม่นานภาพนั้นก็จางหายกลายเป็นภาพที่ทั้งคู่ถูกทั้งครุฑและนาคไล่ล่าหมายจะเอาชีวิต ชลธิชาถูกนำพาไปในทุกสถานที่ๆ ทั้งสองเคยย่ำผ่าน ประหนึ่งว่าเธอได้อยู่ในเหตุการณ์ในอดีตเหล่านั้น...จนกระทั่ง... หญิงสาวก้มลงมองสองเท้าเปลือยเปล่าที่เหยียบบนผืนทรายเนียนละเอียดริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ เหมือนว่าเคยได้ยืนอยู่ที่นี่... ใช่แล้ว สองตากลมใสกวาดมองไปรอบกาย ริมโขงนั่นเอง...ที่นี่คือบ้านของศรัณย์ ศรัณย์... เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งร้องเรียกหาผู้เป็นลูกดังมาแต่ไกลฉุดให้ชลธิชาต้องหันไปหาเสียงนั้น กลิ่นจันทร์วิ่งอย่างกระหืดกระหอบมาตามฝั่งโขง สายตาเหม่อมองหาลูกชายที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กลางแม่น้ำ ช่วยด้วย... ภุชคินทร์ช่วยลูกเราด้วย... หญิงคนนั้นวิ่งผ่านหน้าชลธิชาไปก่อนจะกระโจนลงน้ำ หญิงสาววิ่งตามเธอไปติดๆ รู้สึกเห็นใจและอยากจะช่วยเหลือเธอแต่ทว่ารูปหน้าเธอช่างคล้ายกับมารดาของศรัณย์ยิ่งนัก และชื่อที่เธอเรียกเด็กน้อยคนนั้นก็เป็น... เสียงพรายน้ำที่แตกเป็นฟูฟ่องสีขาวอยู่กลางลำน้ำโขงทำให้สตรีสองคนที่อยู่ต่างมิติต้องหยุดยืนอย่างชะงักงัน... นาคาสีเขียวตัวใหญ่ดันร่างเด็กน้อยขึ้นสู่ผืนน้ำได้ในที่สุดก่อนที่มันจะขนดกายโอบรัดและพาเข้าฝั่งอย่างปลอดภัย ร่างมหึมานั้นค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์ผู้ชายวัยกลางคน...เขาหอบหายใจมองลูกชายที่นอนแผ่หลาบนพื้นทรายตรงหน้าชลธิชาที่ยืนตัวสั่นเทิ้ม ลูกไม่เป็นไรใช่มั้ยภุช... กลิ่นจันทร์ถามเสียงเครือก่อนช้อนตัวศรัณย์ขึ้นมาอุ้มไว้แนบอก นาคหนุ่มเอื้อมมือไปจับชีพจรเด็กน้อยดูก่อนจะคลายกังวล ไม่...แค่สลบไปเท่านั้น ช่วยวางลูกลงกับพื้นที กลิ่นจันทร์ค่อยๆ วางลูกชายวัยแปดขวบลงตามคำสั่งของผู้เป็นสามี ภุชคินทร์พนมมือขึ้นพร้อมกับบริกรรมคาถาก่อนจะก้มลงพรมจูบหน้าผากน้อยๆ ของลูกชายเบาๆ และพ่นลมจากริมฝีปากไล่ตั้งแต่ศีรษะลงมาจนถึงหน้าอก... ดวงหน้าเกลี้ยงเกลาของเด็กน้อยค่อยๆ กลับมามีเลือดฝาดขึ้นอีกครั้ง สองเนตรดวงน้อยเบิกมองผู้เป็นบิดาและมารดาก่อนจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา กลิ่นจันทร์คว้าร่างลูกชายมาสวมกอดไว้แนบอก ทีหลังอย่าหนีไปเล่นน้ำคนเดียวแบบนี้อีกนะเจ้าเด็กดื้อ รู้มั้ยว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงเราแค่ไหน...ศรัณย์ ร่างแบบบางที่ยืนมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าตั้งแต่ต้นจนจบนิ่งค้างราวกับรูปปั้น ไม่ผิดชลธิชา... เด็กคนนั้นก็คือศรัณย์เมื่อครั้งยังเป็นเด็กและพญานาคที่ช่วยชีวิตเค้าขึ้นมาจากฝั่งก็คือบิดาของเขาเอง... ไม่จริงใช่มั้ยชลธิชา สิ่งที่เธอได้เห็นมันไม่ใช่เรื่องจริง ! นางพิมพ์ดาววัยสี่สิบเดินเนิบนาบมายังห้องรับแขกหลังจากที่หลานสาวทั้งสองมาร้องบอกว่ามีแขกสำคัญมาขอพบ สตรีผู้มาเยือนนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หวายอย่างสบายใจ เหม่อมองทิวไม้ที่ปลูกอยู่ล้อมเรือนพักเอนไหวไปตามสายลมอ่อนๆ ในเวลาย่ำค่ำ มะลิ... พิมพ์ดาวโพล่งปากออกมาอย่างไม่รู้ตัว คนที่ถูกเรียกหันมาตามเสียงนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง พี่พิมพ์ดาว... หญิงวัยสามสิบลุกจากเก้าอี้ก่อนก้าวขาฉับๆ เข้าไปหาเจ้าของบ้าน ไปมายังไงเนี่ย...เอา นั่งก่อนจ้ะ พิมพ์ดาวผายมือก่อนร้องเรียกหญิงแม่บ้านหาน้ำท่ามาต้อนรับแขกคนสำคัญ พอดีหนูมาทำธุระแถวนี้น่ะค่ะได้โอกาสเลยแวะมาหาพี่พิมพ์ ดีจ้ะ...แล้วพักอยู่ที่ไหนล่ะ ได้กลับไปดูบ้านบ้างรึเปล่า... คำถามของพิมพ์ดาวทำให้อีกฝ่ายต้องเอนสายตาหนีไปอีกทาง นับแต่นางสายบัวผู้เป็นป้าตายจากไปเธอก็เหมือนไร้ญาติขาดมิตร ทันทีที่เรียนจบจึงออกหางานทำที่กรุงเทพฯ นานๆ ทีถึงจะกลับมายังมณีนิล ความจริงแล้วเธอไม่อยากจะกลับมาที่นี่เท่าใดนัก เพราะมันทำให้เธออดนึกถึงคืนวันเก่าๆ ที่มีความสุขไม่ได้ วันที่เธอ ป้าสายบัวและพี่กลิ่นจันทร์ นั่งทานข้าวกันอย่างมีความสุข... วันคืนสมัยเด็กที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเรื่องราวตื่นเต้นน่าค้นหา... ถ้าไม่กลับไปพักที่บ้านก็นอนพักอยู่ที่นี่ก็ได้... พิมพ์ดาวบอกเสียงอ่อนก่อนที่มะลิจะหันมาหา ไม่เป็นไรค่ะ หนูมาแค่วันเดียวเดี๋ยวก็จะกลับแล้ว พูดจบก็ยื่นกระเช้าของฝากส่งให้อีกฝ่าย ไม่เห็นต้องลำบากเลย... เออ ไหนๆ มาแล้ววันนี้ก็ไปกราบพระที่วัดป่าเป็นเพื่อนพี่หน่อยสิ พลันนั้นมะลิก็นึกไปถึงภาพวัดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนเขาแห่งมณีนิล ในอดีตเธอกับป้ามักจะขึ้นไปทำวัตรที่นั่นบ่อยๆ งั้นก็ได้ค่ะ... ทั้งสองหยัดกายลุกขึ้น พิมพ์ดาวขอตัวไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับออกมาด้วยอาภรณ์สีขาวทั้งตัว ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงวัดป่าแห่งมณีนิลในที่สุด ศราวินเดินทางเข้าสู่กรุงเทพฯ เมื่อครบกำหนดที่เธอทำเรื่องลากิจ ข่าวลือเรื่องอุบัติเหตุของกลิ่นจันทร์ทำให้หญิงสาวพลอยได้ยินไปด้วย แม้จะไม่สนิทกันแต่อย่างน้อยก็เคยเรียนมัธยมโรงเรียนเดียวกัน เพื่อนเก่าบาดเจ็บจนถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลไม่ไปเยี่ยมเดี๋ยวจะถือว่าแล้งน้ำใจ ร่างระหงในชุดนักศึกษาหิ้วกระเช้าเยี่ยมไข้ใบใหญ่เดินออกจากลิฟต์ของชั้นที่หก พลันนั้นสองตาคมกริบก็ประสานเข้ากับดวงเนตรสีดำขลับของเก็จลดาที่เดินออกมาจากลิฟต์อีกตัวพร้อมกัน ความเกลียดชังรุนแรงก่อตัวขึ้นในใจของทั้งสองทันที อยากจะฉีกร่างของอีกฝ่ายให้แหลกออกเป็นชิ้นๆ ก็มิปาน... เธอมาที่นี่ทำไม? เก็จลดากระชากเสียงถาม ในมือถือตะกร้าเสื้อผ้าสำหรับศรัณย์และกลิ่นจันทร์ มันเรื่องของฉัน... ศราวินยิ้มเย่าะก่อนสะบัดร่างหนี อีกฝ่ายรีบยื่นมือออกไปคว้าแขนไว้และดึงรั้งให้หันมาประจันหน้ากันจนกระเช้าเยี่ยมไข้หลุดออกจากมือ ร่างระหงผู้งดงามดังนางพญาปักษาก้มลงมองชิ้นส่วนของกระเช้าที่หลุดออกจากกัน เสียงลมหายใจที่ดังเข้าออกอย่างแรงทำให้เก็จลดาต้องแสยะยิ้ม เก็บขึ้นมาเดี๋ยวนี้ สุรเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากร่างที่ยืนนิ่งไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ขอโทษที...พอดีกว่าเมื่อกี้ไม่ได้ตั้งใจ เก็บเอาเองก็แล้วกันนะ เก็จลดาสะบัดหน้าหนีพร้อมกับก้าวขาออกเดินแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับกางกรงเล็บแหลมคมและจิกลงยังท่อนแขนพร้อมกับครูดลงมาจนถึงฝ่ามือก่อนจะเหวี่ยงร่างเป้าหมายจนล้มลงไปกองกับพื้น เก็จลดาตัวสั่นเทิ้ม หันไปมองรอยข่วนที่ลากยาวตั้งแต่ต้นแขนลงมา มันเริ่มแดงและมีเลือดไหลซิบ ดวงตาสีดำสนิทหันมาจ้องมองผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าก่อนจะดีดตัวลุกขึ้นยืน ผู้ที่ถูกเหวี่ยงไปเมื่อครู่ตรงปรี่เข้ามาหาร่างระหงพร้อมกับยกฝ่ามือพร้อมจะฟาดลงกลางแสกหน้าอีกฝ่าย แต่ทว่าศราวินกลับยกกระเช้าใบใหญ่ฟาดใส่ชายโครงของเก็จลดาอย่างแรง โอ้ย... เก็จลดาล้มลงกับพื้นเป็นครั้งที่สอง กระแสลมแรงพัดกรูผ่านช่องหน้าต่างของระเบียงกว้างเข้ามา เสียงฝูงนกที่เริ่มบินกลับเข้ารังเสมือนส่งพลังบางอย่างให้กับศราวิน... ลมเย็นพัดกรูเข้าใส่ร่างระหง หญิงสาวยกสองแขนขึ้น จ้องมองคนที่นอนเจ็บบนพื้นดังเหยื่อผู้ไม่มีทางสู้ ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆ กลายเป็นแดงฉานน่ากลัว เก็จลดาพยายามยันกายลุกหนีในขณะที่อีกฝ่ายค่อยๆ ตรงปรี่เข้ามา หยุดนะ... เสียงกังวานใสฉุดให้ร่างที่กำลังเดือดพล่านนิ่งค้างในบัดดล เก็จลดาทอดสายตามองญาดาวีที่ยืนอยู่เบื้องหลังศราวินก่อนที่คู่อริจะหันหลังกลับไป เธอจะทำอะไรศราวิน ดวงหน้าที่รับกับผมสั้นซอยเชิดถามอีกฝ่ายอย่างไม่กริ่งเกรง ประกายสุกใสในสองตาของอีกฝ่ายทำให้ศราวินรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งจ้องตากับญาดาวี เธอก็ยิ่งเริ่มรู้สึกอ่อนแรงมากไปทุกที ร่างระหงจึงสะบัดมาหาคนที่นอนเจ็บบนพื้นอีกครั้ง อย่าหวังว่าแกจะได้อยู่ร่วมโลกกับฉันอย่างสงบสุขนะ... เม้มปากแน่นก่อนเดินผ่านหน้าญาดาวีลงบันไดไปในที่สุด เมื่อทุกอย่างสงบลงคนที่มาทีหลังจึงเดินเข้าไปหาเก็จลดาที่พยายามลุกขึ้นยืน ฉันจะไปหาชลก่อนนะ เธอลงไปให้พยาบาลเค้าทำแผลข้างล่างเถอะ บอกก่อนก้มลงคว้าเอาตระกร้าเสื้อผ้าที่ล้มคว่ำอยู่บนพื้นขึ้นถือพร้อมกับเดินตรงสู่ห้องพักของชลธิชา หญิงสาวพยายามลืมเปลือกตาที่หนักอึ้งขึ้นอย่างช้าๆ ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นโครงหน้าคมเข้มที่จ้องมองเธออย่างใจจดใจจ่อ แต่ทว่าพลันนั้นเองดวงหน้าอันหล่อเหลากลับแปรเปลี่ยนเศียรอันแปลกประหลาดและน่ากลัวดังหินสลักในเขตอาราม... พญานาค !!! ชล...เป็นอะไรไปครับ !!! ศรัณย์โผเข้าหาร่างคนรักที่กำลังตื่นกลัวบางอย่าง ยิ่งเค้าเข้าใกล้และสัมผัสกายเธอชลธิชาก็ยิ่งกรีดร้องราวกับคนเสียสติ ชล... ญาดาวีทิ้งตระกร้าผ้าลงทันทีที่ผลักประตูห้องเข้ามาได้ รีบวิ่งไปยังร่างเพื่อนสนิทที่กระเสือกกระสนหนีห่างจากศรัณย์อย่างสุดชีวิต ชล...เป็นอะไรไป... ญาดาวีจับกายเพื่อนรักไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะพลัดตกเตียง พยายามกระชากเสียงบอกให้หญิงสาวได้สติ เมื่อสองตาของเธอได้ประสานเข้ากับดวงเนตรของญาดาวีสติที่หลุดหายไปก็กลับมาเข้าร่างอีกครั้ง ชลธิชาหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ค่อยๆ หันไปหาชายหนุ่มที่ยืนเกาะขอบเตียง ยังเป็นศรัณย์คนเก่าไม่เปลี่ยนแปลง... ร่างบางโผเข้าหาในขณะที่ศรัณย์รีบโน้มกายเข้าสวมกอดคนรักไว้ ผมอยู่นี่แล้วชล...ไม่เป็นอะไรนะครับ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหลังของหญิงสาวเบาๆ ในขณะที่หยดน้ำตาเย็นใสรินรดแผ่นหลังของชายหนุ่ม เมื่อกี้เป็นอะไรไปชล... ญาดาวีเอ่ยถามเสียงค่อย รอฟังคำตอบจากอีกฝ่าย ชลธิชาคลายอ้อมกอดออกจากชายหนุ่ม สองตาจ้องมองดวงตาเขียวคล้ำของศรัณย์แน่นิ่ง ฉัน...ฉัน...เห็น... เห็นอะไร เมื่อกี้เธอทำเหมือนกับว่ากลัวศรัณย์มาก ยังกับว่าเขาเป็นผีหรือปีศาจ ตกลงว่าเมื่อกี้เธอเห็นอะไรชล... ญาดาวีบีบมือเพื่อนสนิทเบาๆ ชลธิชาก้มหน้างุด พยายามระงับอาการสะอื้นไว้ คือ...ฉันเห็นหน้าศรัณย์กลายเป็นใบหน้าของงู... พญานาคน่ะวี... พูดจบก็ร้องไห้โฮออกมา ญาดาวีเบิกตากว้างหันมาประสานสายตากับศรัณย์ นิลนาค ที่ตัวแข็งทื่อ ฉันฝันด้วยนะ... ฝันเห็นภาพ... ทั้งญาดาวีและศรัณย์ต่างหันขวับไปที่หญิงสาวพร้อมกัน คือว่า...ตอนนี้ฉันไม่พร้อมที่จะเล่า ชลธิชาค่อยๆ ช้อนสายตาขึ้นจ้องมองคนรักทั้งน้ำตา ให้เวลาฉันได้มั้ย...ฉันขอพิสูจน์อะไรบางอย่างก่อน... ญาดาวีถอนหายใจยาว สีหน้าเคร่งเครียดไม่ต่างอะไรไปกับศรัณย์ ชลธิชาทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งในขณะที่ศรัณย์ยังคงเฝ้าดูเธออย่างเป็นห่วงเป็นใยเช่นเคย พอได้ครู่ใหญ่แขกสาวจึงขอตัวลงไปดูอาการเก็จลดาที่ชั้นล่าง ญาดาวีนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่พร้อมกับย้อนนึกถึงเรื่องที่ชลธิชาฝันเห็นพญานาคจนเธอต้องพาไปไหว้พระถึงมณีนิล... นี่แสดงว่ามันยังไม่จบอีกเหรอเนี่ย เธอเองก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีบางอย่างผิดปกติ ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนรอบกาย ทั้งศรัณย์ เก็จลดาและศราวิน... เดินมาได้ครึ่งทางเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นก็ทำให้หญิงสาวต้องหยุดยืนและก้มลงล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าถือใบเล็ก ระหว่างที่ยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูนั้นชายหนุ่มร่างสูงคนนึงก็เดินผ่านหน้าไป ภาพบัตรประชาชนที่ชลธิชายื่นให้ดูเมื่อวันนั้นฉายวาบขึ้นมาในห้วงคำนึง...ใช่แล้ว ผู้ชายคนเมื่อกี้... ต้องใช่ ปริตร นิลนาคแน่ ร่างอรชรหันขวับไปด้านหลังแต่ทว่าทางเดินตรงหน้ากลับว่างเปล่าไร้ผู้คนสัญจร... ฮัลโหล...หนูญาดาวีใช่มั้ยจ้ะ ฟังอยู่รึเปล่า...ฮัลโหล... เสียงเรียกจากปลายสายทำให้คนที่ยืนนิ่งค้างต้องละความแปลกใจไว้เพียงเท่านั้น ค่ะ ญาดาวีพูดค่ะ หญิงสาวหันกลับมาก่อนจะออกเดินแต่ก็ไม่วายต้องหันกลับไปมองข้างหลังอีกสองสามครั้ง คือน้าชื่อมะลินะจ้ะ หนูจำได้รึเปล่า ที่บ้านอยู่มณีนิลน่ะ ญาดาวีพยายามนึกภาพหน้าตาของหญิงปลายสายก่อนจะจำอีกฝ่ายได้ ค่ะ น้ามะลิ หนูจำได้ ว่าแต่มีอะไรเหรอคะ? คือว่าน้าจะโทร.มาบอกว่าคุณพี่พิมพ์ดาวเธอขาหักน่ะจ้ะ คุณป้าขาหัก !!! ญาดาวีอุทานเสียงหลง แต่ไม่ต้องห่วงนะ ตอนนี้คุณหมอกำลังเข้าเฝือกให้ คือแกหกล้มตอนขึ้นบันไดไปไหว้พระที่วัดป่ามณีนิลเมื่อตอนเย็นน่ะจ้ะ เหรอค่ะ งั้นวีฝากคุณป้ากับน้ามะลิก่อนนะคะ เดี๋ยววีจะรีบลงไปหาให้เร็วที่สุด จ้ะ...เดินทางระมัดระวังด้วยนะจ๊ะ หนุกมากคับ ติดตามอยู่นะคับ อยากให้อัพไวไว รอลุ้นว่าต่อไปจะเป็นยังไง
โดย: กระต่ายน้อย IP: 172.20.128.107, 203.144.130.176 วันที่: 27 มิถุนายน 2554 เวลา:14:39:32 น.
หนุกมากคับ ติดตามอยู่นะคับ อยากให้อัพไวไว รอลุ้นว่าต่อไปจะเป็นยังไง
โดย: กระต่ายน้อย IP: 172.20.128.107, 203.144.130.176 วันที่: 27 มิถุนายน 2554 เวลา:14:39:38 น.
"ข่าวลือเรื่องอุบัติเหตุของชลธิชา"
"ในมือถือตระกล้าเสื้อผ้าสำหรับศรัณย์และชลธิชา" ไม่ใช่กลิ่นจันทร์ โดย: mmm IP: 71.142.132.3 วันที่: 22 สิงหาคม 2554 เวลา:0:52:05 น.
|
ผีเสื้อสีดำ
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?] จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า... ทำไม่ได้ Group Blog All Blog
Friends Blog
Link MY VIP Friend |
||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |