บทที่ 12 กองทัพของปริตร
บทที่ 12 กองทัพของปริตร

กลุ่มนาคสีเขียวร่างทะมึนค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ร่างใหญ่เดินขึ้นมาจากแม่น้ำสายยาวในยามดึกสงัดในคืนเดือนเพ็ญ ปริตร นิลนาค ยืนมองดูการรวมทัพขนาดย่อมของเอราปถที่อยู่ภายใต้อาณัติของเขาก่อนที่นาคร่วมยี่สิบตนพวกนี้จะตรงดิ่งไปหาศรัณย์เพื่อจัดการให้สิ้นซาก

ทว่าการรวมทัพย่อยๆ ครั้งนี้กลับไม่ได้มีเพียงแค่เอราปถแห่งนิลนาค แต่ยังมีใครบางคนที่แอบซุ่มดูพวกเขาอยู่อย่างเงียบๆ

เหนือขึ้นไปบนเวหาอันเบาหวิว เมฆหมอกสีดำหนาทึบก่อตัวขึ้นคล้ายพรมรองรับสามร่างที่ลอยล่องบนอากาศธาตุ ดวงตาสีดำขลับที่ประดับบนวงหน้าซูบผอมของวาสิตาเพ่งมองไปยังกลุ่มนาคาที่กำลังตั้งใจฟังคำสั่งจากผู้เป็นนาย

“ปริตรคงต้องการฆ่าลูกชายของภุชคินทร์แน่ อันที่จริงมันก็ไม่เกี่ยวกับเราซักเท่าไหร่” อสุนีเปรยขึ้น ก่อนที่อำภุชจะหันขวับมาหาพร้อมจุดยิ้ม

“เกี่ยวสิ... นิทราเป็นคู่รักของปริตร หากหล่อนสมคบคิดการณ์กับนาคสีเขียวตนนี้ก็จะเสื่อมเสียมาถึงนาคเสนของเราด้วย” ประโยคนั้นทำให้หญิงสาวผู้เป็นหัวหน้าโคลงศีรษะ ทอดมองนาคสีเขียวเหล่านั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ลูกน้องทั้งสองที่อยู่เบื้องหลังมิอาจเดาได้เลยว่าคนเป็นนายกำลังคิดอะไรอยู่

“ความจริงแล้ว คนที่สังหารพ่อกับแม่ของนาคหนุ่มตนนั้นก็คือพวกเรา...” คำพูดของวาสิตาทำให้อำภุชและอสุนีต้องหันมาสบสายตากันในฉับพลัน

“นิทราบอกความจริงเรื่องนี้ให้กับนาคหนุ่มตนนั้นแล้ว ไม่แน่ว่าหากเขาได้ครอบครองมณีนาคสวาทสีเขียวมรกตต่อจากอรวินทร์ก็อาจจะคิดย้อนมาทำร้ายพวกเราก็ได้...”

“แต่ถ้าเราขัดขวางไม่ให้นาคตนนี้ทำร้ายลูกชายของภุชคินทร์ แล้วทำให้มนุษย์ตนนั้นได้ครอบครองมณีนาคสวาทสีเขียวมรกตแทน...” ไม่ทันที่อสุนีจะพูดจบคนเป็นนายก็แทรกขึ้นเสียก่อน

“นั่นไม่ใช่หน้าที่เรา... มันไม่เกี่ยวกับกัณหาโคตมะ” อำภุชจุดยิ้มเมื่อนาคสาวพูดจบ

“หรือไม่... เราก็หาทางแย่งมณีนาคสวาทมาจากนิลนาค” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของผู้เป็นสหายทำให้อสุนีมอง อย่างไม่พอใจ นาคเสนเป็นตระกูลที่มีเกียรติ อีกอย่างพญาศรีโคตมะก็มีมณีนาคสวาทสีดำไว้ครอบครองแล้ว เหตุใดจะต้องโลภมากไปแย่งชิงเอามณีศักดิ์สิทธิ์ของพวกนาคสีเขียวมาด้วย

กองทัพด้านล่างได้ประชุมกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเริ่มเคลื่อนขบวนมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายอย่างรวดเร็ว อำภุชมองตามนาคพวกนั้นก่อนหันมาหาวาสิตาที่เพ่งมองกองทัพขนาดย่อมอยู่เนิ่นนาน...

“ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจแล้ว...” น้ำเสียงเบาหวิวของอำภุชค่อยๆ ลอยหายไปกับอากาศเย็นเฉียบเบื้องบนเมื่อถูกกระแสลมแรงพัดผ่าน อสุนีพริ้มตาหลับพร้อมกับถอนหายใจยาว วาสิตาเม้มปากแน่นด้วยความตึงเครียด...

“เอาไงดี...เอาไง...”


“เราต้องไปหาศรัณย์เดี๋ยวนี้นะจันทร์ ปริตรเริ่มเคลื่อนขบวนแล้ว” คำเตือนของอรวินทร์ทำให้กลิ่นจันทร์และภุชคินทร์ต้องใจสั่น ฝ่ายพ่อนั้นพร้อมจะปกป้องผู้เป็นลูกเสมอแต่ทว่ากลิ่นจันทร์ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ที่สามีจะเพลี่ยงพล้ำหากว่าฝ่ายนั้นมีจำนวนเยอะกว่า จะไปกันแค่สองคนแล้วจะต่อกรกับนาคตั้งมากมายได้งั้นเหรอ?

“งั้นก็พาเค้ามาที่นี่...” ดวงตาสีเขียวมรกตของอรวินทร์สบสายตากับสองเนตรของกลิ่นจันทร์ภายหลังอ่านความคิดภายในใจเธอจนหมด

“ไม่ได้ กว่าจะเดินทางมาถึง มันอันตรายเกินไป...” ภุชคินทร์แย้งเสียงแข็ง

“ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องไปรับเค้ากลับมา มาอยู่ที่นี่นาคที่อยู่ภายใต้อาณัติของชั้นจะปกป้องเค้าได้”

“แล้วในจำนวนนาคสาวกของนิลนาคมีจำนวนที่ไปอยู่กับปริตรเท่าไหร่?” คำถามของกลิ่นจันทร์ทำให้อรวินทร์ต้องกัดริมฝีปากตัวเอง

“เกินครึ่ง... พวกนั้นรู้ว่าปริตรคือทายาทคนต่อไปที่จะต้องครอบครองมณีนาคสวาท จึงหันไปอยู่ข้างเค้าเยอะกว่า อีกอย่าง ก็คงเป็นเพราะชั้นเองที่ไม่มีความสามารถในการปกครอง...”

“ช่างมันเถอะ !” ภุชคินทร์แทรกเสียงห้วน “ยังไงเค้าก็ต้องปลอดภัย...” จบคำอรวินทร์ก็ลุกพรวดจากเก้าอี้คล้ายนึกบางอย่างออก ดวงตาสีเขียวเปล่งประกายเจิดจรัสพร้อมกับจ้องหน้าภุชคินทร์และกลิ่นจันทร์

“นาคในสังกัดชั้นตนนึงมีญาณวิเศษและมีความสามารถในการพยากรณ์ เค้าบอกว่าอะไรรู้มั้ย...” นาคสาวลากเสียง กลิ่นจันทร์สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจ

“พิณภัทร์จะกลับมาหาพวกเราอีกครั้ง... เค้าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ นางนาคตนนั้นบอกว่าฤทธิ์ส่วนหนึ่งของเค้าจะยังคงอยู่ กระแสจิตที่มีพลังรุนแรงสามารถสังหารครุฑตนนึงได้ในเวลาไม่กี่นาที...”

“งั้นก็ดีนะสิ” ภุชคินทร์ผายยิ้มพร้อมกับกลิ่นจันทร์ “มีนาคสีทองคอยช่วย นาคตนไหนก็ไม่กล้าเข้าใกล้เราแน่...”

“แต่ว่าตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าเค้ามาเกิดเป็นใครในชาตินี้... เป็นหน้าที่ๆ จะต้องตามหา หากว่าสวรรค์เมตตาเราคงได้พบเค้าในเร็ววันนี้” น้ำเสียงของอรวินทร์ฟังดูหดหู่อย่างชัดเจน

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราคงต้องพึ่งตัวเองก่อน” ภุชคินทร์หยัดกายขึ้นยืนก่อนหันไปหาภรรยา “ชั้นจะไปตามลูกกลับมาที่นี่ เธออยู่กับอรวินทร์นะจันทร์...”

“ถ้าอย่างนั้นชั้นจะให้นาครับใช้ชั้นติดตามนายไปด้วยสองตน” อรวินทร์บอกเสียงขรึมก่อนที่ภุชคินทร์จะพยักหน้ารับ

“เดินทางดีๆ นะคะ” กลิ่นจันทร์จับมือสามีพร้อมกับบีบเบาๆ สองร่างสบสายตากันครั้งสุดท้ายก่อนที่ภุชคินทร์ นิลนาคจะลาจากไป


ศราวินเดินทางกลับมายังคฤหาสน์รักตปักษ์อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้หญิงสาวกลับไม่ได้มาเพียงคนเดียว หญิงสาวรูปร่างสันทัดที่นั่งอยู่เคียงข้างในยานพาหนะคันหรูอดทำให้เธอใจเต้นไม่ได้

ดวงหน้าได้รูปของศรุตาหันมายิ้มให้กับสารถีสาวเมื่อทั้งคู่มาถึงคฤหาสน์หลังงามในที่สุด แม่นกตัวน้อยของเธอที่กลายร่างเป็นมนุษย์สาวรูปงามค่อยๆ เปิดประตูก้าวลงจากรถ

“แล้วคุณตรีดาวล่ะคะ...” เอ่ยถามอีกฝ่ายเสียงเบา ดวงตาสีน้ำตาลแดงของศราวินส่องกระทบกับแสงแดดจ้าบนท้องฟ้าส่งประกายน่าเกรงขาม

“เธอมารอเรานานแล้วหละ คงกำลังนั่งชมวิวอยู่บนระเบียง อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่เลย รีบไปกันเถอะ” จบคำศรุตาก็ถลันกายเดินนำหน้ามนุษย์สาวเดินเข้าสู่คฤหาสน์หลังงามในที่สุด

บัดนี้...ศราวินรู้สึกอิ่มเอิบใจเป็นที่สุด สิ่งที่เธอคิด สิ่งที่เธอฝันไว้ในที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นความจริงขึ้นมา ไม่สิ ! มันเป็นความสัจจริงโดยแน่แท้เพียงแต่เธอเพิ่งจะค้นพบเพียงเท่านั้นเอง

ทุกฝีก้าวที่เดินตามศรุตาประหนึ่งว่าเธอกำลังได้ล่องลอยบนความฝันอันแสนหวาน กระทั่งมาถึงประตูบานเล็กที่เชื่อมขึ้นสู่ระเบียงกว้าง

ศรุตาค่อยๆ เปิดมันออกช้า แสงอาทิตย์แสบจ้าส่องกระทบสองตา มองเห็นเพียงแต่สีขาวสว่างจ้าก่อนที่มือเรียวสวยหากแต่ว่าแข็งแกร่งของนางครุฑสาวจะฉุดรั้งเธอให้เดินตามขึ้นมา

กระแสลมเย็นพัดกรูเข้าใส่ร่างบางจนเกือบเซล้ม “ตั้งสติศราวิน เธอต้องหยัดยืนด้วยสองขาของเธอเองให้ได้...” คำพูดของศรุตาทำให้หญิงสาวหยุดนิ่ง สองตาค่อยๆ เบิกมองท้องฟ้าอย่างเต็มตา ลมแรงยังคงโหมกระหน่ำพัดเข้าใส่ร่างอย่างไม่หยุดยั้ง

ศราวินกำหนดลมหายใจเข้าออกจนเกิดสมาธิ สายตาจับจ้องไปยังร่างระหงของตรีดาวผู้สวมชุดคลุมสีแดงฉานที่ยืนรออยู่ริมระเบียงกว้าง สองตาอันทรงอำนาจประสานกับดวงเนตรของมนุษย์สาว ศราวินค่อยๆ ก้าวขาเข้าไปหาประมุขแห่งรักตปักษ์อย่างมั่นคง...

“รู้สึกยังไงบ้าง...” คำถามของตรีดาวทำให้มนุษย์สาวคลายยิ้มกว้าง

“ดีค่ะ รู้สึกดี...” จบประโยคตรีดาวก็เบือนหน้าหนีไปมองท้องทุ่งเบื้องล่างก่อนจะแหงนมองผืนฟ้าเบื้องบน

“มันจะดีกว่านี้แน่หากว่าเธอได้มองโลกนี้อย่างเต็มตา ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้ชมบนระเบียงแบบนี้...” รูปหน้าที่ยังงดงามค่อยๆ หันมาหาหญิงสาวที่จ้องมองเธอด้วยความฉงน “ศรุตา...” เสียงเรียกของตรีดาวทำให้ศรุตาที่ยืนอยู่อีกฟากต้องเดินเข้ามาหาก่อนที่จะหันไปมองศราวินพร้อมรอยยิ้ม

นางครุฑสาวเดินไปยังริมระเบียงกว้างก่อนปีนขึ้นไปยืนบนขอบระเบียง ร่างบอบบางกางสองแขนออกกว้างในขณะที่ศราวินยืนมองอย่างใจเต้น
หญิงสาวประสานสายตากับศรุตาก่อนที่เธอจะกระโดดลงจากระเบียง มนุษย์สาวรีบชะโงกศีรษะลงไปดูด้วยความตกใจก่อนจะได้เห็นปีกสีชมพูขนาดใหญ่แผ่หลาออกไปไกลหลายสิบเมตร

ปักษาสาวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเร็วก่อนบินฉวัดเฉวียนโชว์ความสามารถต่อหน้าผู้เป็นนายในขณะที่ศราวินได้แต่ยืนมองอย่างตะลึงงัน...
“เธอเองก็บินได้เหมือนกันนะศราวิน...” ประโยคนั้นเสมือนได้จุดเชื้อไฟในดวงใจที่เร่าร้อนของศราวินให้ลุกโชนมากยิ่งขึ้น หญิงสาวหันมาจ้องมองใบหน้างดงามของตรีดาวที่วางสายตาอยู่กับทิวทัศน์เบื้องหน้า เธอเองก็บินได้งั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็ดีน่ะสิ ต่อให้เธอจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ขอให้ได้บินอยู่บนฟ้าสักครั้ง

“เมื่อไหร่คะ... เมื่อไหร่ชั้นถึงจะ...” น้ำเสียงที่ขาดห้วนไปทำให้คนที่อยู่ข้างกายต้องหันมามองด้วยรอยยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลแดงของนางครุฑผู้เป็นประมุขแห่งรักตปักษ์จ้องมองลึกลงไปยังสองตาของมนุษย์สาว

“เมื่อเธอพร้อม ! ศราวิน...”


“เธอเป็นอะไรไปดา...” คำถามของญาดาวีไม่ได้ฉุดความสนใจของเก็จลดาที่มีต่องูที่เลื้อยออกมาจากพงหญ้ารกทึบสู่ท้องถนนอย่างน่าประหลาด ราวกับว่ามันไม่กริ่งเกรงต่อมนุษย์ผู้เป็นศัตรูที่ร้ายกาจ

“น่าแปลก วันนี้ชั้นเห็นงูไม่ต่ำกว่าห้าตัวแล้วนะ” ญาดาวีเปรยขึ้นขณะหยุดยืนข้างกายเพื่อนสาวภายหลังเดินลงจากตึกคณะได้ไม่เท่าไหร่ งูเขียวตัวน้อยก็เลื้อยตัดหน้าเก็จลดาไปอย่างฉิวเฉียด...

เก็จลดาได้กลิ่นบางอย่าง... นับแต่วันที่สวมสร้อยเส้นนี้ประสาทสัมผัสเธอก็ดีจนน่าตกใจ หญิงสาวสามารถแยกออกได้ว่ากลิ่นไหนเป็นของนกกลิ่นไหนเป็นของงู

ตอนนี้เธอได้กลิ่นของงูแรงกว่า มันเหมือนกลิ่นที่เธอสัมผัสได้เมื่อครั้งที่ซุ่มดูการสนทนาระหว่างชายแปลกหน้ากับหญิงสาวผู้มีดวงตาสีดำขลับอันทรงอำนาจคนนั้น พวกนาคแน่นอน !

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะญาดาวี” หันมาบอกลาเพื่อนสาวก่อนก้าวฉับๆ จากไป ในตอนนี้เธออยากพบกับชายร่างสูงใหญ่ผู้ให้สร้อยเส้นนี้แก่เธอเหลือเกิน อยากรู้นักว่าสิ่งที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้มันคืออะไรกันแน่...

คิดพลางเดินไปข้างหน้าอย่างไม่ทันมองก่อนที่ทั้งร่างจะชนเข้ากับชายหนุ่มร่างสันทันคนหนึ่งอย่างแรง หญิงสาวเซล้มไปอีกทางในขณะที่อีกฝ่ายเพียงแค่ซวนเซไปเท่านั้น เก็จลดาดีดตัวขึ้นด้วยความขึงโกรธ สองตาดำขลับหันไปหาฝ่ายตรงข้ามที่ยืนมองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ไม่มีตารึไง !” ตวาดใส่หน้าก่อนที่จะปิดริมฝีปากเข้าหากันจนชิด สองตาสีเขียวคล้ำของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เก็จลดารู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมา ดวงตาที่เหมือนกับศรัณย์... แต่ดูเย็นชาและน่ากลัวกว่ามาก

อีกฝ่่ายเมื่อได้สบสายตากับหญิงสาวผู้มีบางอย่างที่เหมือนตนก็ย่นคิ้วอย่างสับสน แต่ด้วยภารกิจที่สำคัญจึงทำให้เขาต้องรีบมุ่งหน้าไปหาเป้าหมาย

เก็จลดาเอี้ยวตัวมองตามหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นที่เดินตรงดิ่งไปยังโรงยิมและสระว่ายน้ำ...


ชลธิชานั่งมองชายหนุ่มซ้อมว่ายน้ำกับเพื่อนๆ อยู่บนแสตนด์สลับกับอ่านหนังสือเล่มหนาที่บิดาเธอหามาให้ นับวันเรื่องราวของนาคามันก็ยิ่งซึบซับเข้าสู่สมองของหญิงสาวเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะเรื่องราวแปลกประหลาดมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตก็ได้มั้งจึงอยากทำให้เธอต้องหาคำอธิบายมาตอบกับหัวใจตัวเอง และบางที... เมื่อถึงวันนั้น วันที่สิ่งที่เธอสงสัยเป็นความจริงขึ้นมา เธอก็อาจจะได้ตั้งรับมันได้ถูก...

หญิงสาวละสายตาจากตัวหนังสือตรงหน้าก่อนมองเลยไปหาร่างคนรักที่ดำผุดดำว่าย ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร เธอก็จะรัก... จะรักเขาเรื่อยไปจนกว่าเราจะตายกันไปข้างนึง

“ชล...” เสียงกังวานใสทำให้ชลธิชาต้องหันขวับไปในทันใด ญาดาวีค่อยๆ ก้าวขึ้นแสตนด์มานั่งลงข้างกายเพื่อนรัก

“เป็นอะไรไปวี” เสียงทักจากชลธิชาทำให้คนที่นั่งนิ่งไปครู่นึงต้องหันขวับมา ญาดาวีปั้นยิ้มแต่ทว่าแววตายังคงดูเป็นกังวล หญิงสาวรู้สึกใจหวิวพิกล คล้ายกับว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น

“แล้ว...เมื่อไหร่จะกลับกันเหรอ?” หันไปทางสระว่ายน้ำ ร่างสูงใหญ่ของศรัณย์ก้าวขึ้นจากบันไดก่อนเดินเลียบมาตามขอบสระ วงหน้าคร้ามคมหันมาส่งยิ้มให้คนรักที่นั่งรออยู่

“พักนี้เค้ามีอาการแปลกๆ บ้างมั้ย?” คำถามของญาดาวีทำให้ชลธิชาต้องย่นคิ้ว

“ไม่นะ...ฉันเลิกคิดถึงเรื่องบ้าๆ พวกนั้นอีกแล้ว” ประโยคที่ได้ยินทำให้ญาดาวีต้องก้มหน้างุด “เธอเองก็เหมือนกันนะวี...”

“เธอกำลังหลอกตัวเองชล...” ญาดาวีเชิดหน้าขึ้น สองตาจ้องมองเพื่อนสาวตรงๆ “ไม่รู้สิ แค่ได้ฟังเรื่องที่คุณวายุเล่ามันก็ทำให้ชั้นปักใจเชื่ออย่างประหลาด และอีกอย่าง...สิ่งที่ชั้นได้พบและได้สัมผัสมันก็ยิ่งทำให้ชั้นเชื่อ" ญาดาวีถอนหายใจ “เธอควรจะรู้เรื่องราวของตระกูลนิลนาค เรื่องจริงของพวกเค้า... !”


“พ่อ !!!” ศรัณย์โพล่งปากร้องเสียงดังลั่นเมื่อเห็นร่างบิดายืนรออยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์ ชลธิชาหันไปสบตากับญาดาวีที่จ้องมองภุชคินทร์อย่างไม่วางตา

ภุชคินทร์รีบเดินเข้าไปหาลูกชายด้วยความเร่งรีบ “กลับบ้านกับพ่อเดี๋ยวนี้” สีหน้าเคร่งขรึมทำให้ศรัณย์ต้องย่นคิ้วก่อนเลยมองไปยังกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางกองอยู่บนพื้นด้านหลังผู้เป็นบิดา

“นี่มันอะไรกันพ่อ” ชายหนุ่มถามเสียงแข็งก่อนที่บิดาจะจับแขนและลากไปยังรถที่จอดรออยู่

“นั่นพ่อของศรัณย์กำลังจะพาเค้าไปไหนน่ะ” ญาดาวีแทรกขึ้นขณะที่ตามหลังเพื่อนสาวที่เดินดุ่มๆ ตามคนรักไปติดๆ กระทั่งถึงรถตู้คันใหญ่ภุชคินทร์จึงปล่อยมือออกจากแขนลูกชาย

“บอกผมมาครับพ่อ ทำไมต้องรีบกลับถึงขนาดนี้ด้วย” คำถามจากลูกชายทำให้ภุชคินทร์ต้องขบกรามแน่น นาคสูงวัยค่อยๆ ผ่อนลมหายใจยาวเพื่อขับไล่ความตึงเครียด

“แม่ของแก...แม่ของแกป่วยหนักมาก”

“แม่ แม่เป็นอะไรครับ” ศรัณย์เขย่าแขนผู้เป็นพ่อ อ้าปากค้างด้วยความตกใจ

“อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่เลย รีบไปกันเถอะ” ภุชคินทร์เอี้ยวตัวกลับเตรียมขึ้นรถก่อนจะชะงักงันเมื่อหญิงสาวด้านหลังเอ่ยปากขึ้น

“หนูขอไปด้วยคนค่ะ” ศรัณย์รีบหันขวับมาหาชลธิชาในทันใด

“งั้นเดี๋ยวชั้นไปเป็นเพื่อน” ญาดาวีรีแทรกขึ้น ศรัณย์หันไปสบสายตากับบิดาที่รออยู่ก่อนที่อีกฝ่ายจะสะบัดหน้าหนีและเดินขึ้นรถไป

“รีบขึ้นรถเร็วครับ” ศรัณย์ยื่นมือไปจับแขนคนรักไว้ก่อนนำเธอและญาดาวีขึ้นรถในที่สุด


รถตู้คันใหญ่มุ่งตรงออกจากเมืองหลวงด้วยความเร็ว ในหัวของศรัณย์ตอนนี้เต็มไปด้วยความห่วงหามารดาที่กำลังป่วยหนัก เฝ้าภาวนาว่าอย่าให้บุพการีเป็นอันใดไปเลย แต่ทว่าชลธิชาและญาดาวีกลับสงสัยในตัวของบิดาเขามากกว่า

ชายสูงวัยนั่งหน้าเคร่งอยู่ข้างๆ คนขับ แถมยังไม่ยอมบอกรายละเอียดนอกเหนือจากว่านางกลิ่นจันทร์เกิดป่วยหนักและเข้าโรงพยาบาลกระทันหันเท่านั้น แต่ทว่าในขณะที่รถตู้กำลังมุ่งหน้าไปด้วยความเร็วนั้นคนขับก็ต้องรีบเหยียบเบรกในทันใด

“มีอะไรเหรอคะ” ญาดาวีร้องถามในขณะที่ทุกสมาชิกต่างตื่นตระหนกไม่แพ้กัน

“นั่น...นั่นมัน” คนขับรถร้องขึ้นมาอย่างเสียสติพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปยังข้างทางที่มีต้นไม้ขึ้นรกชัฏ ภุชคินทร์ขบกรามแน่นอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนหันมาหาลูกชายที่นั่งมองอย่างตื่นตระหนกไม่แพ้กัน...

จู่ๆ บรรยากาศในรถกลับเย็นเฉียบในฉับพลัน ปลายหางสีเขียวขนาดใหญ่ที่เลื้อยหายเข้าไปข้างทางเมื่อครู่นี้ใหญ่กว่างูทั่วไปที่เคยเห็น...

ภาพนั้นทำให้ญาดาวีและชลธิชาขนลุกซู่แต่ทั้งคู่ก็ไม่ยอมปริปาก ศรัณย์เองก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างบอกไม่ถูก คล้ายว่ากำลังจะได้พบกับภัยร้ายแรง...

“รีบออกรถต่อเร็วเข้า...” ภุชคินทร์หันไปสั่งคนขับรถก่อนที่รถตู้คันใหญ่จะมุ่งหน้าไปตามเส้นทางอย่างรวดเร็ว “เห็นอะไรก็ไม่ต้องไปสนใจ ขับไปจนกว่าจะถึงที่หมาย...”


“พวกเขากำลังมา และนาคพวกนั้นก็ตามมาด้วย” สีหน้าของอรวินทร์ดูเคร่งขรึมกว่าทุกครั้งที่เธอเป็นกังวล ดวงตาสีเขียวมรกตเต็มไปด้วยความปวดร้าวและผิดหวังในตัวหลานชายของเธอ ลูกชายของปณาลีผู้ที่จะสืบทอดดูแลมณีนาคสวาทต่อไป

“กองทัพของปริตร...” กลิ่นจันทร์เอ่ยขึ้นน้ำเสียงเบาหวิว หญิงวัยสี่สิบได้แต่ยืนทอดมองหนทางเบื้องหน้าที่มุ่งตรงเข้าสู่บ้านของเธอ... หวังว่าจะได้เห็นพวกเค้าเดินตามเส้นทางนั้นมาหาเธออย่างปลอดภัย

“ถ้าพวกเขามาถึงที่นี่ นาคพวกนั้นคงไม่กล้าทำอะไรแน่” อรวินทร์บอกเสียงแข็ง

“แล้วถ้า...ปริตรไม่เกรงกลัวเธอล่ะอร ถ้านาคพวกนั้นกล้าทำล่ะ...” กลิ่นจันทร์แทรกขึ้นด้วยเสียงหดหู่ ดวงตากลมใสจ้องมองเพื่อนรักแน่นิ่ง

“ไม่ว่ายังไงชั้นก็จะไม่ยอมให้ปริตรทำอะไรศรัณย์เด็ดขาด อย่าลืมสิว่าศรัณย์ก็เป็นสมาชิกคนนึงของนิลนาค ถ้าจะพูดกันตามจริงเขามีสิทธิ์เป็นประมุขแห่งนิลนาคและดูแลมณีนาคสวาทต่อจากชั้น...มากกว่าปริตรซะด้วยซ้ำ...”

“ไม่อร...มันจะไม่มีวันนั้น” กลิ่นจันทร์บอกอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนที่อรวินทร์จะหันมายกยิ้มให้กับเธอ

“มันคือความจริงที่เธอต้องยอมรับกลิ่นจันทร์ ศรัณย์มีพลังอำนาจและบารมีมากพอที่จะคู่ควรกับตำแหน่งประมุขตระกูลนิลนาค เพราะเค้าคือลูกชายของภุชคินทร์ !!!”

กลิ่นจันทร์ผินหน้าไปยังลำน้ำโขงที่ทอดตัวยาวไปจนสุดสายตา ไอหมอกยามเย็นจับกลุ่มอยู่เหนือลำน้ำจนขาวโพลน เมฆสีดำทะมึนกลุ่มใหญ่ตั้งเค้ามาแต่ไกล อีกไม่นานสายฝนคงเทกระหน่ำลงมาแน่...

“ตอนนี้พลังในตัวของศรัณย์กำลังเพิ่มมากขึ้นทุกที ร่างกายเค้ากำลังเปลี่ยนแปลง ประสาทสัมผัสที่แม่นยำ ลางสังหรณ์ การรับรู้ที่รวดเร็ว พลังกำลังที่เพิ่มมากขึ้นและการเคลื่อนไหวที่ว่องไว... หรือไม่แน่ เค้าอาจจะซ่อนพิษร้ายไว้เฉกเช่นนาคทั่วไปก็ได้” จบประโยคกลิ่นจันทร์ก็หันมาจ้องหน้าอรวินทร์ทันที หญิงสาวมองอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนานก่อนกัดริมฝีปากตัวเอง น่าแปลก...ที่ตอนนี้อรวินทร์อ่านใจฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ อาจจะเพราะเธอสามารถควบคุมความคิดตัวเองได้และมีสติมากพอ รวมทั้งเพ่งกระแสจิตไปยังคนตรงหน้าอย่างแน่วนิ่ง

กลิ่นจันทร์ก้มหน้านิ่ง ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจอันร้อนรุ่มออกมา หากว่าเธอมีอิทธิฤทธิ์หรือสามารถสร้างปาฎิหารย์ ให้เกิดขึ้นได้ล่ะก็... เธอจะขอทำให้ลูกชายเธอเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ขอแค่ให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอ...


กลุ่มเมฆสีดำหนาทึบเหล่านั้นก่อตัวเป็นพายุขนาดใหญ่ภายในไม่กี่ชั่วโมง สายฝนเย็นเฉียบซัดสาดลงยังพื้นดินเบื้องล่างอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทว่ารอบเรือนหลังย่อมริมน้ำโขงของกลิ่นจันทร์ก็ยังมีนาคาอีกหลายตัวคอยวนเวียนคุ้มกันเธออยู่

เหนือขึ้นไปยังพายุบ้าคลั่งบนท้องฟ้าดำมืด องครักษ์ทั้งสามแห่งนาคเสนกำลังรอดูการประลองยุทธ์ระหว่างนาคสีเขียวตระกูลเดียวกันอย่างใจจดใจจ่อ

“อีกไม่นานภุชคินทร์คงพาลูกชายมาถึงบ้าน...” อสุนีเปรยเสียงเรียบก่อนใช้อำนาจบันดาลให้เกิดสายฟ้ารุนแรงผ่าลงกลางลำน้ำ ก่อนจะหัวเราะหึๆ เมื่อเห็นพวกนาคสีเขียวของอรวินทร์ตกใจรีบดำลงสายน้ำไป

“กองทัพนาคพวกนั้นก็คงตามมาถึงนี่แน่...ปริตร ก็นิสัยเหมือนพ่อกับแม่มันนั่นแหละ” อำภุชบอกพร้อมกับแสยะยิ้ม

“อาจจะไม่ได้มีแค่กองทัพนาคพวกนั้นที่ตามมาด้วย หญิงสาวที่นายให้สร้อยศักดิ์สิทธิ์ไปก็จะตามมาอีกคน...” คำพูดของอสุนีทำให้วาสิตาต้องหันขวับไปยังลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านซ้าย ดวงตาสีดำสนิทอันทรงอำนาจจ้องหน้าอำภุชเพื่อรอฟังคำตอบ

“นางเป็นมนุษย์ที่เคยเกิดเป็นกัณหาโคตมะเหมือนเรา และที่สำคัญอาจมีกำเนิดเหมือนกับพวกเราทั้งสาม...ชั้นสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ซ่อนอยู่ในตัวผู้หญิงคนนี้ เชื่อว่าในอนาคตนาคเสนเราอาจจะต้องให้นางรับใช้แน่”

“อย่างนั้นเหรออำภุช ถึงขนาดให้สร้อยของนาคเสนกับนางเชียวหรือ?” พลันนั้นอำภุชก็รู้สึกได้ถึงแรงบีบอัดที่ต้นคอ นาคหนุ่มเริ่มหายใจไม่ออก เส้นเลือดบนหน้าปูดโปนราวกับไส้เดือน

“ข้า...ข้ายังไม่ได้บอกท่านเลยว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นสหายกับ...ศรัณย์ ลูกชายของภุชคินทร์ นิลนาค” จบประโยคแรงบีบนั้นก็คลายลงในทันใด ดวงตาสีดำสนิทของวาสิตาเบิกค้างเมื่อในไปถึงแผนการในอนาคตที่ผุดขึ้นมาหลังจากได้ฟังคุณสมบัติอีกข้อของนางมนุษย์คนนั้นจากอำภุช

สตรีร่างซูบผอมในอาภรณ์สีดำสนิทหันไปยังเบื้องหน้าอีกครั้ง “หล่อนชื่ออะไร?” เอ่ยถามอย่างไม่หันมามอง ลมพายุยังคงพัดกระหน่ำสองฟากฝั่งของลำน้ำโขงอย่างไม่ลืมหูลืมตา

อำภุชค่อยๆสูดลมหายใจเข้าปอดช้าๆ ก่อนบอกผู้เป็นนาย “นางชื่อเก็จลดา... ถ้าท่านอยากพบข้าจะพานางมาหาเดี๋ยวนี้”

“คงไม่ต้องละมั้ง...” เบือนหน้าไปยังอสุนีก่อนคลายยิ้ม “อสุนีเพิ่งบอกไปเมื่อครู่ว่านางคงตามมนุษย์พวกนั้นมาแน่ เราก็แค่รอเท่านั้น...อีกไม่นานหรอก...”



Create Date : 01 สิงหาคม 2554
Last Update : 1 สิงหาคม 2554 18:49:39 น.
Counter : 447 Pageviews.

3 comments
  
เรื่องราวเริ่มให้ลุ้นมาก ขึ้น รออ่านต่อนะคะ สนุกมากค่ะ
โดย: เหมียว IP: 115.87.38.76 วันที่: 2 สิงหาคม 2554 เวลา:21:52:15 น.
  
สมกับการรอคอยคะ ไม่ผิดหวังที่ได้อ่านจริงๆ
โดย: แม่ต้นข้าว IP: 124.122.237.66 วันที่: 5 สิงหาคม 2554 เวลา:15:32:11 น.
  
พอดีช่วงนี้กำลังแก้ต้นฉบับเรื่องนาคสวาทกับทาง สนพ. อยู่นะครับ คงจะมาต่อเรื่้องนี้ช้านิดนึงส์...

โดย: ผีเสื้อสีดำ วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:12:34:27 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
สิงหาคม 2554

 
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
MY VIP Friend