บทที่ 6 สองหนุ่มแห่งนิลนาค
บทที่ 6 สองหนุ่มแห่งนิลนาค

“ชล...ตื่นครับ...” ศรัณย์เขย่าร่างบางที่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ครั้นเมื่อดวงเนตรได้เบิกมองแสงสว่างเบื้องหน้าสติก็กลับคืนสู่ร่างของชลธิชาอีกครั้ง รูปหน้าคร้ามคมที่อยู่เพียงเอื้อมมือทำให้หญิงสาวร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“ศรัณย์...เมื่อกี้ชลฝัน...” หญิงสาวโผเข้ากอดร่างหนาไว้ ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของเธอเบาๆ

“ฝันว่าอะไรครับ” ศรัณย์กระซิบถามเสียงค่อย กอดร่างแบบบางไว้ในอ้อมอกแน่น

“ฝันว่า...” ชลธิชาลากเสียงค้าง เหตุการณ์ในนั้นมันช่างน่ากลัวจนเธอแทบเสียสติ ราวกับว่ามันได้เกิดขึ้นจริงๆ ทั้งร่างเย็นเฉียบราวกับจับไข้ ใจยังหวิวเมื่อคิดถึงภาพที่ญาดาวีถูกงูยักษ์ไล่ตามไปเพื่อเอาชีวิต

“พาชลไปหาวีหน่อยสิ...” ชลธิชาผลักร่างคนรักออก ศรัณย์ก้มมองหญิงสาวด้วยความแปลกใจ

“ไปทำไมครับ มีเรื่องอะไรเหรอ”

“คือ...ชลอยากเจอวีน่ะ ชลไม่สบายใจเลยนะศรัณย์” มือเล็กที่สั่นเทาเขย่าแขนชายหนุ่มอย่างร้อนรน

“เอาไว้ให้เช้าก่อนดีมั้ยครับ นี่ก็ตีสี่แล้ว รออีกนึดนึง หรือไม่ก็โทร.หาวีก่อนก็ได้” ศรัณย์บอกเสียงนุ่ม คนที่กำลังรุ่มร้อนจึงก้มหน้าครุ่นคิด พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อตั้งสติ ใช่...มันก็แค่ความฝัน เอาไว้เช้าแล้วค่อยไปพบญาดาวี เพื่อนที่แสนดีของเธอคนนี้คงไม่เป็นไร มันเป็นแค่ความฝันชลธิชา... แค่ความฝัน


คฤหาสน์หลังงามเงียบสงบด้วยบรรยากาศที่รกครึ้มเพราะต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อม เสียงนกนานาชนิดกรีดร้องในยามเช้าทำให้คฤหาสน์แห่งรักตปักษ์ที่ไร้ผู้อาศัยดูสดใสขึ้นมาบ้าง หลายวันก่อนศราวินต้องเสียนกที่รักไป มาวันนี้เธอกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อเสาะหานกตัวใหม่

ความจริง...จะหานกตัวใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอเลย แต่ทว่าที่นี่กลับดึงดูดให้เธอมาแวะเวียนครั้งแล้วครั้งเล่า หัวใจถวิลหาแต่เจ้าปราสาทหลังใหญ่ที่ถูกปล่อยให้ทิ้งร้างแห่งนี้ เฝ้ารอวันที่เธอจะได้ครอบครอง

ร่างระหงในชุดกางเกงขายาวเข้ารูปและเสื้อเชิ้ตสีขาวเดินทอดน่องไปรอบคฤหาสน์แห่งรักตปักษ์ก่อนจะหลุดเข้าไปในกรงนกขนาดใหญ่ ภายในเป็นโดมตาข่ายสูงราวห้าเมตร ดอกกล้วยไม้หลากหลายชนิดแห้งเหี่ยวคากระเช้าที่ถูกแขวนไว้ ต้นไม้บางชนิดก็หงิกงอเพราะขาดการดูแลรักษา แต่ทว่า...สีสันอันสดสวยของนกตัวน้อยที่โผบินไปจับต้นไม้แห้งเหี่ยวต้นนั้นต้นนี้ได้เรียกความสนใจจากสองตาของศราวินได้เป็นอย่างดี

หญิงสาวคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว สายตาจับจ้องไปที่ปีกสีชมพูสดของนกน้อยไม่ทราบชนิด รูปร่างปราดเปรียวคล้ายนกกางเขนแต่ทว่าแพนหางกลับยาวและสวยงามกว่ามาก ที่สำคัญทั้งตัวเป็นสีชมพูสดงดงามยิ่งนัก... ใช่... เธอพบแล้ว เจ้านกตัวใหม่ของเธอ

หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้สกุณาตัวน้อยช้าๆ แต่ละก้าวที่ย่างไปนั้นมั่นคงและเบาหวิวกระทั่งหยุดอยู่ต่อหน้าปักษาสีชมพูสด ดวงตาสีน้ำตาลแดงใสแจ๋วหันมาสบสายตากับมนุษย์สาวที่ยืนประจันหน้าก่อนจะกระพือปีกและบินมาหาศราวิน

หญิงสาวยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณให้เจ้านกน้อยได้เกาะไว้ สายลมเย็นหวีดหวิวพัดลอดผ่านกรงนกขนาดใหญ่เข้ามาปะทะร่างบางที่ยืนนิ่ง ดวงตาใสแจ๋วของนกน้อยเพ่งมองสองเนตรสีน้ำตาลของศราวิน....


หญิงสาวทั้งสามคนต่างนั่งนิ่งอยู่ภายในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย ชลธิชานั่งข้างๆ ญาดาวีที่สีหน้าซีดเผือดไม่เปล่งปลั่งเหมือนเคย ฝั่งตรงข้ามคือเก็จลดาที่เพ่งมองภาพวาดของพญานาคสีดำที่ว่ายน้ำบนกระแสธารในคืนวันเพ็ญ...

มีบางอย่างผิดปกติ... ทั้งสามต่างรู้สึกเหมือนๆ กัน ไม่ใช่แค่ตัวเองแต่เพื่อนอีกสองคนก็ผิดปกติ เหตุการณ์ในความฝันเมื่อคืนมันช่างเหมือนจริงและน่ากลัวเสียจนชลธิชาไม่กล้าปริปากเล่า ญาดาวีอุตส่าห์พาเธอไปกราบพระศักดิ์สิทธิ์ แต่ทำไม...เธอถึงยังฝันถึงพญานาคอีกเล่า หรือว่าเรื่องมันจะมีอะไรมากกว่านั้น หรือภาพที่เธอเห็นในนิมิตจะเกิดจากอิทธิฤทธิ์ของเหล่านาคา พญานาคมีจริงงั้นหรือ... และพวกเขาก็กำลังคุกคามเธอ

“เมื่อคืนฉันฝัน...” ชลธิชาตัดสินใจเอ่ยปากบอก ญาดาวีสะดุ้งน้อยๆ เบิกตากว้างหันมาหาชลธิชาพร้อมกับเก็จลดาที่หรี่ตามองคนฝั่งตรงข้าม

“ฉันฝันว่าพวกเราสามคนถูกพญานาคไล่ตามเพื่อที่จะทำร้าย... มันเหมือนจริงมากเลย... ฉันยังจำภาพนั้นได้ติดตา...” ดวงหน้างอนงามเหม่อมองอากาศธาตุคล้ายคนเหม่อลอย แต่ทว่าทั้งเก็จลดาและญาดาวีต่างก็นิ่งค้างไปตามๆ กัน นี่แสดงว่าชลธิชาก็ฝันเหมือนกับที่เราฝันเหรอเนี่ย... ตกลงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ...

“มันคงบังเอิญ...” ญาดาวีก้มหน้างุดพร้อมกับบอกตัวเองเบาๆ มันก็แค่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น... เธอถูกพญานาคตนนึงตามมาทำร้ายก่อนจะมีชายหนุ่มรูปงามคนนึงมาช่วยไว้... ชายหนุ่มที่มีปีกสีแดง พาเธอบินขึ้นสู่ห้วงเวหาอันเบาหวิว...

“ฉันอยากรู้รายละเอียด...ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยชล” เก็จลดาเอ่ยถามช้าชัด ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายระยับขณะเพ่งมองดวงหน้าของชลธิชาตรงๆ

ญาดาวีเงยหน้าขึ้น มองเก็จลดาและชลธิชาสลับไปมาก่อนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ เธอเองก็อยากรู้เหมือนกัน...ว่าความฝันของชลธิชามันจะคล้ายคลึงกับความฝันของเธอมากแค่ไหน

หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อเรียกกำลังใจในขณะที่นักศึกษากลุ่มใหญ่กำลังทยอยกันเดินเข้าห้องสมุด ญาดาวีกระเถิบกายเข้าไปใกล้คนเป็นเพื่อนมากขึ้น ชลธิชาพริ้มตาหลับหวนนึกถึงภาพในความฝันอันน่ากลัว เมื่อพร้อมจึงเปิดเปลือกตาขึ้น

แต่ว่า...คนที่กำลังจะอ้าปากพูดต้องชะงักงันราวกับถูกไฟดูด... ร่างระหงที่ทรุดนั่งฝั่งตรงข้ามทำให้ชลธิชารู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ปลายเท้าจรดศีรษะ ดวงตาสีดำขลับของหญิงสาวที่ทรุดนั่งอยู่ด้านหลังเก็จลดาห่างออกไปอีกห้าช่วงโต๊ะดุดันน่ากลัว เหมือนกับที่เธอพบในความฝันไม่มีผิดเพี้ยน...

นิทราแสยะยิ้มเหยียดหยันก่อนกัดฟันแน่น ครั้งนี้เธอพลาดไป... แต่ว่าคอยดูเถอะ... มีโอกาสเมื่อไหร่มนุษย์สาวทั้งสามคนนี้คงได้ตายคามือเธอแน่...


มันคงเป็นแค่ความฝัน ความฝันที่น่ากลัวประหนึ่งได้เกิดขึ้นจริงๆ พญานาคสีดำรูปร่างน่ากลัว ชูเศียรขึ้นสูงเสียดฟ้า ดวงตาสีแดงดุดันราวเพชฌฆาต คมเคี้ยวประหนึ่งใบเลื่อยที่พร้อมจะบดขยี้ร่างเธอให้แหลกเละ...

ญาดาวีพริ้มตาหลับลงเบาๆ หลังจากเรียนวิชาสุดท้ายขณะยืนรอเก็จลดาและชลธิชา กลุ่มนักศึกษาต่างทยอยกันเดินลงจากตึก สภาพโดยรอบเซ็งแซ่ด้วยเสียงคุยกันจ้อแจ้ ญาดาวีต้องถอยหลังให้ชิดขอบตึกเพราะมีนักศึกษาเดินผ่านไปมามากขึ้น แต่ทว่าขณะนั้นเองร่างบางก็ต้องเซหลาไปอีกทาง สมุดหนังสือกระเด็นหลุดออกจากมือ หัวเข่ากระแทกกับพื้นซีเมนต์อย่างแรง

“โอ้ย...” ญาดาวีร้องครางอย่างเจ็บปวดอีกใจก็กำลังพุ่งพล่านด้วยโทสะ ดวงหน้านวลเนียนเงยขึ้นมองกลุ่มนักศึกษาที่เดินผ่านไปมาและมองเธอเป็นตาเดียว

หญิงสาวค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น นักศึกษาหญิงสองคนช่วยเดินไปเก็บสมุดหนังสือมาส่งให้ก่อนจะจากไป เมื่อร่างผู้ช่วยเหลือลาลับ ดวงตาสีน้ำตาลของญาดาวีก็ต้องเบิกโพลง...หญิงสาวผู้มีดวงตาสีดำสนิทเดินตรงเข้ามายังเธอ... หญิงสาวผู้ที่กลายร่างจากพญานาคเป็นมนุษย์

ญาดาวีขนลุกซู่... ร่างกายด้านชาคล้ายเป็นอัมพาตขณะที่นิทราก้าวย่างเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งคู่ยืนประจันหน้ากันในระยะประชิด

สองตาประสานกัน...ลมเย็นพัดกระหน่ำเข้ามาใส่สองร่างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นางนาคาในร่างมนุษย์หันซ้ายขวาอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ภายในสายลมที่พัดผ่านนั้นญาดาวีรู้สึกถึงความอบอุ่นบางอย่างที่ลอยมากระทบ...อบอุ่นเหมือนอ้อมกอดของชายหนุ่มที่มีปีกสีแดงคนนั้น คนที่อุ้มเธอบินหนีจากนาคาอันน่ากลัว...

ญาดาวีหันซ้ายขวาเพียงแวบเดียว พอหันกลับมาก็ไม่พบร่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าอีกแล้ว... ลมที่พัดแรงค่อยๆ กลายเป็นสายลมโอนอ่อน ใบไม้หน้าตึกคณะค่อยๆ ปลิดปลิวร่วงหล่นลงมาเกลื่อนพื้นพร้อมกับขนนกสีแดงสดที่ลอยล่องมาตกลงต่อหน้าหญิงสาว...


นิทราถูกมือหนากระชากแขนจนนาคสาวต้องครางออกมาอย่างเจ็บปวด เมื่อผินดวงหน้ามาก็ต้องพบกับดวงตาสีเขียวสดอันเกรี้ยวกราดของปริตร นาคหนุ่มบดกรามแน่น เหตุการณ์ที่นิทราทำไว้เมื่อคืนนี้เขามิอาจให้อภัยได้

“ฉันเคยเตือนเธอแล้วใช่มั้ย ถ้าฉันไม่สั่ง เธอก็ห้ามยุ่งกับพวกนั้น”

“ยุ่ง... ฉันไปยุ่งกับศรัณย์ตอนไหน” นิทราสะบัดมืออีกฝ่ายออก สูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

“ฉันไม่ได้หมายถึงศรัณย์” จบประโยค ภาพดวงหน้าอันเนียนละเอียดของชลธิชาก็ฉายวาบขึ้นมาในห้วงคำนึงของนาคสาว มนุษย์สาวผู้เลอโฉมคนนี้ได้ทำให้ปริตรแห่งตระกูลนิลนาคหัวใจหวั่นไหวแล้วงั้นหรือ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น เธออุตส่าห์ทำเพื่อเขาตั้งเท่าไหร่ แต่ก็ไม่เคยเห็นความดีกัน...

ปริตรสะบัดหน้าหนีเมื่อมิอาจทนมองดวงตาแดงก่ำที่กำลังเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตาของอีกฝ่ายไม่ได้ “คุณอาอรวินทร์รู้เรื่องนี้แล้ว ท่านคงตามมาเอาเรื่องพวกเราในอีกไม่ช้านี้แน่” ทันทีที่รู้ว่าคนรักจะมีอันตรายความขุ่นเคืองที่มีก็พลันเลือนหายไปเสียสิ้น

“แล้วเราจะทำยังไง...” นิทราโผเข้าหานาคหนุ่ม ปริตรแลอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนยักไหล่

“ก็ไม่ต้องทำอะไร ถึงยังไงฉันก็เป็นถึงลูกชายของแม่ปณาลี มีสายเลือดนิลนาคโดยสมบูรณ์ คุณอาไม่กล้าทำอะไรฉันแน่” ผายยิ้มอย่างลำพองใจก่อนหันมาหาสมุนสาว

“ฉันต้องไปแล้ว อ้อ...ถ้าเธอเหนื่อยก็กลับบาดาลไปพักผ่อนได้นะ เรื่องนี้ฉันจะจัดการต่อไปเอง” น้ำเสียงทุ้มกังวานที่เอื้อนเอ่ยราวกับคมมีดที่บาดลึกลงกลางใจกัณหาโคตมะสาวเสียอย่างนั้น ปริตรฉวยจับมือนุ่มนิ่มอันเย็นชืดขึ้นมากุมไว้ก่อนบีบเบาๆ

“ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างที่เธอทำเพื่อฉันนะ”


หลังจากแยกทางกับเพื่อนทั้งสอง ชลธิชาก็เหมือนรู้สึกหดหู่ใจยังไงพิกล ผู้คนมากมายที่เดินสวนกันบนพื้นถนนไม่ได้ทำให้โลกนี้ดูครึกครื้นขึ้นเลยแม้แต่น้อย ท้องฟ้าเมืองกรุงยามนี้ดูอึมครึมหน้ากลัว เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มราวกับระเบิดปรมาณู กว่าจะมาถึงป้ายรถเมล์ฟ้าก็มืดพอดี

วันนี้รถยนต์ที่บิดามอบให้ไว้เป็นพาหนะต้องนอนอยู่ที่อู่เพื่อรอซ่อมหลังจากที่วันก่อนเครื่องยนต์เกิดขัดข้องขึ้นมากลางทาง แต่ยังดีที่วันนั้นศรัณย์เป็นสารถีให้ แต่ทว่าวันนี้ชายหนุ่มกลับต้องอยู่ทำงานกับเพื่อนๆ จนถึงดึกหญิงสาวจึงไม่อยากรบกวน การเดินทางกลับคอนโดเพียงคนเดียวก็ใช่เรื่องยากอะไรนักหนา

ที่พักของหญิงสาวอยู่ห่างจากหน้าปากซอยราวสองกิโลเมตร รถเมล์จอดที่ป้ายตามปกติ ดวงตากลมใสเหม่อมองเส้นทางอันมืดมิดโดยมีแสงไฟให้ความสว่างเพียงแค่บางจุด นานๆ จะมีรถสวนทางผ่านมาสักคัน

แต่... คนแถวนี้ก็เดินผ่านไปมากันทุกวัน จะกลัวไปทำไมกันละชล...

มือขวาจับกระเป๋าถือไว้แน่นพร้อมกับก้าวขาออกเดิน ฝนที่ทำท่าจะตกก็พลันโปรยปรายลงมาในที่สุด แต่ยังดีที่แค่รินๆ ร่างบางจึงเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงคอนโด มือขวายกเอากระเป๋าขึ้นบังศีรษะไว้

“ไปกับพี่มั้ยน้อง...” เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงตะโกนเรียกทำให้หญิงสาวต้องหยุดกึกอยู่กลางทาง มอเตอร์ไซด์สองคันขับมาประชิดชลธิชาทั้งสองฝั่ง

มือดำคล้ำของชายที่ซ้อนท้ายรถด้านซ้ายกระชากเอากระเป๋าสะพายจนหลุดออกจากมือหญิงสาว “เดี๋ยวพี่ถือกระเป๋าให้นะจ้ะ” รอยยิ้มอันกลัดมันพร้อมกับสายตาวาววับทำให้หัวใจของชลธิชาสั่นระรัว มอเตอร์ไซด์ทั้งสองคนจอดขวางทางอยู่ข้างหน้า

เครื่องยนต์ทั้งสองดับลง ชายทั้งสามตรงเข้ามายังร่างระหงที่ถอยหลังหนีอย่างหวาดกลัว “ช่วยด้วย...” หญิงสาวกรีดร้องออกไปเต็มเสียงผสานกับเสียงอสุนีบาตที่ดังกระหึ่มกลบเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั้น... ทั้งสามยื้อยุดฉุดกระชากร่างที่ดิ้นรนสุดชีวิต ริมฝีปากถูกปิดไว้ไม่ให้ส่งเสียง น้ำตาไหลอาบเปื้อนแก้มทั้งสองข้างขณะถูกพาร่างไปยังรถมอเตอร์ไซด์

“หยุดเดี๋ยวนี้...” น้ำเสียงแหบห้าวฟังดูคุ้นหู คล้ายกับหยาดน้ำอุ่นๆ ที่รินไหลลงอาบร่างที่เย็นชืดของหญิงสาว ชายทั้งสามจับร่างชลธิชาหันมาบุรุษร่างสูงที่ยืนเชิดหน้ามองทั้งกลุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ดวงตาสีเขียวเข้มของปริตรเปล่งประกายน่ากลัว ชายสองคนปล่อยมือออกจากร่างของหญิงสาวพร้อมกับตรงเข้าหา กำมือที่หมายจะชกเข้ากลางแสกหน้ากลับถูกนาคหนุ่มจับไว้แน่นก่อนจะบดขยี้จนกระดูกแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี

เสียงร้องโหยหวนดังก้องถนนอันเงียบสงัด มนุษย์หนุ่มนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น ความเจ็บปวดแผ่ซึมจากปลายมือลุกลามเข้าไปสู่ทั่วร่าง ชายอีกคนถอยหนีในขณะที่ละอองพิษแผ่ซ่านออกมาจากสองตาเขียวคล้ำของวิรูปักษ์หนุ่ม พลันนั้นร่างกายก็พลันแข็งทื่อไร้ความรู้สึก ก่อนจะล้มฮวบลงไปนอนดิ้นทุรนทุรายบนพื้น

ร่างสูงสง่าตรงมาหาหญิงสาวที่ถูกกุมตัวไว้ ชายคนสุดท้ายปล่อยเธอออกจากการเกาะกุมก่อนจะวิ่งหนีไปยังพาหนะ ปริตรวิ่งไล่ตามมาอย่างรวดเร็วแต่เครื่องยนต์ก็พาอีกฝ่ายหนีไปได้เสียก่อน

ดวงตาเขียวคล้ำอันเกรี้ยวกราดจ้องมองอย่างเคืองแค้นก่อนจะพึมพำภาษาบางอย่างที่มนุษย์มิอาจเข้าใจ “จัดการมันที...เอาแค่ไม่ต้องเดินได้อีกชั่วชีวิต” แสยะยิ้มให้กับงูตัวยาวที่โผล่หัวออกมาจากพงหญ้าก่อนที่มันจะเลื้อยหนีหายไปในที่สุด


ชายหนุ่มเดินกลับมาหาร่างบางที่ยืนตัวสั่นระริก ร่างหนาก้มลงหยิบเอากระเป๋าสะพายที่เปื้อนดินอันชื้นแฉะขึ้นมาเช็ด “คุณไม่น่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย...” พูดพร้อมกับยื่นของส่วนตัวให้อีกฝ่าย

“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยฉัน...” หยาดน้ำตาเอ่อล้นจนชลธิชามิอาจบังคับมันได้ ดวงหน้าเนียนสวยบิดเบี้ยวไม่เป็นรูป ไม่อยากจะคิดถึงเหตุการณ์บ้าๆ ที่เกิดอาจเกิดขึ้นถ้าผู้ชายคนนี้มาช่วยเธอไว้ไม่ทัน

“ว่าแต่...คุณพักที่ไหนเหรอครับ?” คำถามจากอีกฝ่ายทำให้หญิงสาวต้องรีบเงยหน้าขึ้นมอง ยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาออกอย่างลวกๆ

“คอนโดข้างหน้านี่เองค่ะ เผอิญว่าวันนี้รถเสีย เลย...”

“เดี๋ยวผมเดินไปส่งนะ” ชายหนุ่มผายยิ้มอันอบอุ่น คล้ายกับรอยยิ้มของศรัณย์ยังไงยังงั้น... อีกทั้งรูปร่างสูงสง่า ใบหน้าอันคมคายและดวงตาสีเขียวคล้ำอันแปลกตาและน่าค้นหา...

หญิงสาวออกเดินนำหน้าโดยมีชายหนุ่มคอยรั้งท้าย ไม่นานนักทั้งคู่ก็มาถึงหน้าคอนโดที่ ปริตรตรงเข้าไปหา รปภ.พร้อมกับสีหน้าอันเคร่งขรึม อีกฝ่ายมองชายหนุ่มสลับกับหันมาชำเลืองมองร่างบางที่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู ก่อนจะพยักหน้าสามสี่ครั้งและคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

“ดูแลตัวเองด้วยนะครับ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเดินกลับคนเดียวแบบนี้อีก...”

“ค่ะ ขอบคุณจริงๆ นะคะที่อุตส่าห์ช่วย” ปริตรผายยิ้มรับคำขอบคุณก่อนโบกมือลา

“ไว้พบกันใหม่คราวหน้านะครับ...” ดวงตาอันแฝงด้วยเสน่ห์ลึกลับทำให้หัวใจของชลธิชาพองโตขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวทอดมองเขาเดินจากไปจนลับสายตา ใจนึงนั้นก็ห่วงว่าหากเดินย้อนกลับไปทางเดิมอีกฝ่ายจะถูกคนพวกนั้นย้อนมาทำร้ายรึเปล่า

ร่างบางถอนหายใจก่อนหันมายังประตูทางเข้า หยิบคีย์การ์ดขึ้นมาก่อนที่เสียงของ รปภ.วัยย่างห้าสิบจะร้องเรียก

“คุณครับ นี่ใช่กระเป๋าสตางค์ของผู้ชายคนเมื่อกี้รึเปล่าครับ คนที่เดินมาพร้อมกับคุณน่ะครับ” รปภ.ยื่นกระเป๋าเงินที่ทำจากหนังคุณภาพดีส่งให้ มือเรียวสวยเปิดออกดูก่อนพบกับบัตรประชาชนและรูปถ่ายของผู้เป็นเจ้าของ...

“ปริตร นิลนาค...” หญิงสาวรู้สึกชาวาบไปชั่วขณะ นิลนาค... ชายหนุ่มคนนั้นนามสกุลเหมือนกับศรัณย์งั้นหรือ?

“รบกวนคุณช่วยเอาไปให้เขาด้วยนะครับ ส่วนเรื่องคนร้ายเขากำชับว่าไม่ต้องเอาให้ถึงตำรวจเพราะไม่อยากให้คุณเสียหาย แต่ทางเราสัญญาว่าจะควานหาตัวมันให้ได้ครับ” ยามสูงวัยกำชับเสียงหนักก่อนวิ่งจากไป

หญิงสาวก้มลงมองรูปถ่ายในกระเป๋าเงินนั้นอีกครั้ง หัวใจรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเธอจะต้องได้พบกับเขาอีกครั้ง...


ศรัณย์รวบเอกสารที่จะต้องนำเสนอพรุ่งนี้ให้เข้าที่ก่อนเดินไปคว้าเอาเป้ตัวเก่งและบอกลาเพื่อนร่วมกลุ่มหลังจากที่นั่งเคลียร์งานกันตั้งแต่เย็น ชายหนุ่มก้มลงมองดูนาฬิกา สี่ทุ่มตรงพอดิบพอดี ป่านนี้ชลธิชาน่าจะเข้านอนแล้ว... วันนี้ทั้งวันก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลย... แต่ก็เอาเถอะ ไม่ไปรบกวนเธอดีกว่า

ชายหนุ่มสตาร์ทจักรยานยนต์คันโปรดที่บิดาซื้อให้ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย แต่ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องรีบเลียบจอดข้างทางเพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น

ศรัณย์กดรับพร้อมกับเอ่ยทัก “สวัสดีนายศรัณย์...” น้ำเสียงเย็นยะเยือกของอีกฝ่ายตอบกลับมา สุรเสียงอันแฝงไปด้วยพลังอำนาจจนชายหนุ่มขนลุกซู่ คล้ายว่าเคยยินเสียงนี้ที่ไหนสักแห่ง

“ใคร...” รูปหน้าคร้ามคมขมวดมุ่นในขณะที่ปลายเสียงส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันกลับมา

“ลืมฉันแล้วเหรอ?... ยังจำวันที่นายจมน้ำได้มั้ยปริตร...” พลันนั้นภาพวงหน้าที่คล้ายคลึงกันกับตนก็ฉายวาบขึ้นในห้วงคำนึง ดวงตาสีเขียวมรกตที่เหมือนกันแต่ทว่ากลับทรงพลังอำนาจลึกลับ... เขานั่นเอง...

“นายนี่ไม่สมควรเป็นคนรักของชลธิชาเอาเสียเลย...ปล่อยให้เธอต้อง...”

“ชล... นี่นายรู้จักชลด้วยเหรอ... ชลทำไม?” ศรัณย์กระชากเสียงถามอย่างร้อนรน

“กลับไปหาเธอสิ...ป่านนี้คงนอนร้องไห้รอนายอยู่ที่ห้องแล้วมั้ง...”

“นี่แก... แกทำอะไรชล... ฮัลโหล...” ปลายสายเงียบเสียงไปในที่สุด ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง ตรงดิ่งสู่ที่พักของคนรักให้เร็วที่สุด ภาพในความฝันขณะดวงหน้าหวานละมุนกำลังถูกชายอื่นโลมเลียโลดแล่นอยู่ในโสตประสาทของศรัณย์ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาได้เฝ้าภาวนาว่าขออย่าได้เกิดเรื่องร้ายแรงใดๆ แก่เธอเลย...


ญาดาวีเชื่อเรื่องพญานาค... หญิงสาวนั่งท่าเทพธิดา พนมมือ ยกขึ้นไหว้พระพุทธรูปสมาธินาคปรกในห้องพระที่ตั้งเด่นเป็นสง่า ดวงตากลมรีค่อยๆ พริ้มหลับลงทีละนิด พลันนั้น...เธอก็เริ่มเห็นภาพเหตุการณ์ขณะที่เธอเพิ่งย่างเก้าขวบขึ้นมาอย่างเลือนราง

วันนั้น...วันที่คุณอาพิมพ์ดาวพาไปนมัสการหลวงพ่อองค์หนึ่งที่วัดมณีนิล สงฆ์สูงวัยจ้องมองดวงตากลมใสของเด็กหญิงตรงหน้าก่อนระบายลมหายใจยาว

“สีกาพิมพ์ดาวมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไรให้อาตมาช่วยงั้นหรือ...”

“เจ้าค่ะ...คือหลานสาวของดิฉัน แม่หนูญาดาวีนี่สิ ชอบถูกพวกนกไล่จิกอยู่บ่อยๆ ทีแรก ดิฉันก็ไม่คิดอะไร แต่พอมันหลายครั้งเข้าเลยเริ่มใจไม่ค่อยดี จึงรีบรุดมาปรึกษาหลวงพ่อนี่แหละเจ้าค่ะ...” พิมพ์ดาวพร่ำบ่นสีหน้าคร่ำเคร่งในขณะที่เด็กหญิงค่อยๆ ชำเลืองมองไปรอบศาลาวัดหลังเก่าที่รกครึ้มด้วยแมกไม้รอบตัววัด

“เจ้ากรรมนายเวรเขาเยอะ... แต่ไม่ต้องกลัว บุญบารมีแต่ชาติปางก่อนคอยค้ำชูแม่หนูนี่อยู่...” พิมพ์ดาวพอจะรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง ดวงเนตรสีเทาหม่นแสงของสงฆ์ผู้มากด้วยฌานเบิกมองเด็กสาวคล้ายพยายามหยั่งถึงจิตวิญญาณภายในของเธอ

“ให้โยมพิมพ์ดาวบูชาพระพุทธรูปปางนาคปรกไว้ในบ้าน ให้แม่หนูนี้หมั่นกราบไหว้ และถ้าหากมีโอกาสก็ให้หมั่นทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร... และนี่...ให้แม่หนูนี้เก็บติดตัวไว้” ปลายนิ้วเหี่ยวย่นค่อยๆ วางสร้อยเงินที่ประดับด้วยจี้สีเหลืองสุกใสขนาดเท่าลูกปัดบนผ้าขาวตรงหน้าพิมพ์ดาว

หญิงวัยกลางคนยกมือไหว้ก่อนหยิบสร้อยเงินขึ้นมาพินิจ... รูปลักษณ์สวยงาม แวววาวดุจดั่งมณีสูงค่าหายาก... คล้ายบุษราคัมแต่ทว่างดงามกว่ามาก

“มณีชิ้นนี้เป็นของแม่หนู...เขาฝากอาตมาไว้นานแล้ว...” พิมพ์ดาวนิ่งอึ้งไปพักนึงก่อนผินหน้าไปหาหลานสาวพร้อมกับห้อยสร้อยเงินพร้อมจี้ศักดิ์สิทธิ์ให้กับญาดาวี... ขอให้มณีชิ้นนี้คอยปกป้องคุ้มครองเธอจากอันตรายใดๆ ทั้งปวงด้วยเถิด...


เสียงเคาะประตูทำให้ชลธิชาสะดุ้งเฮือก เสื้อนักศึกษาที่ยับย่นวางกองบนตะกร้า ภายหลังอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็ทิ้งกายลงยังที่นอนพร้อมกับหยาดน้ำตาที่รินไหลออกมาจากสองเนตรอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อน... เหตุการณ์อันแสนน่ากลัวทำให้หญิงสาวใจเสียอย่างมาก ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีพลเมืองดีคนนั้นมาช่วยจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง

“ศรัณย์...” เรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงค่อยก่อนที่เขาจะรวบร่างนั้นไว้ในอ้อมกอด

ความกลัวและความเสียใจทำให้หญิงสาวยกสองแขนขึ้นโอบรัดร่างหนาไว้ในทันที... เขาเป็นดังแสงไฟส่องสว่างนำทางเธอออกจากความมืดเสมอ...

“เกิดอะไรขึ้นกับชลรึเปล่า...” ศรัณย์ถอนอ้อมกอด ดวงตาเขียวคล้ำจ้องมองหญิงสาวแน่นิ่ง

“คือ...” ชลธิชาก้มหน้างุด “ไม่...ไม่มีอะไรนี่” หญิงสาวตอบอ้อมแอ้มก่อนหันหลังกลับและเดินไปยังมุมนั่งเล่น

“เดี๋ยวชลเอาน้ำมาให้นะ...งานเสร็จแล้วเหรอ?” เอ่ยถามขณะหายเข้าไปในครัว ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้าก่อนทรุดนั่งลงบนโซฟาตัวเขื่อง พลันนั้น...สายตาก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าเงินสีดำสนิทที่วางอยู่บนโต๊ะกลมกลางหมู่โซฟา

ชลธิชาสูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อเรียกกำลังใจก่อนปั้นยิ้มเดินถือแก้วน้ำตรงไปหาคนรัก “น้ำมาแล้วจ้ะ...” ไม่ทันจบประโยคปลายเท้าก็ต้องหยุดกึกลงเสียอย่างนั้น มือหนาหยิบบัตรประชาชนในกระเป๋าเงินของชายนิรนามที่ช่วยเธอไว้ขึ้นมาดู โครงหน้าคมเข้มถูกสูบฉีดด้วยโลหิตจนแดงซ่าน กรามหนาขบเข้าหากันจนเห็นเป็นสัน... ดวงตาสีเขียวมรกตแหงนมองชลธิชาแน่นิ่ง

“นี่มันอะไรชล... บอกผมมาหน่อยสิ” มือหนากระแทกวางกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะจนหญิงสาวสะดุ้งโหยง มือที่ถือแก้วน้ำพลันไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา

“คือ...คือว่าชลบังเอิญเก็บกระเป๋าเงินอันนี้ได้กลางทางน่ะ กะว่าจะเอาไปแจ้งความพรุ่งนี้”

“ทำไมต้องโกหกผมด้วย... บอกความจริงมาเดี๋ยวนี้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...” ตวาดใส่ร่างบางเสียงกร้าว สองมือกำแน่นเข้าหากัน เสียงลมหายใจที่ดังฟึดฟัดเริ่มทำให้ชลธิชาใจสั่นขึ้นมา... ไม่อยากให้เขารู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ

“คือ...มันไม่มีเรื่องอะไรหรอกนะศรัณย์... มันก็แค่กระเป๋าเงินของผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ก็อย่างที่ชลที่บอกน่ะแหละ ชลเก็บมัน...”

“ไม่จริง... ชลไม่เคยโกหกผม ผมอ่านสีหน้าชลออกนะ บอกมาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น...” ร่างหนาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่าย สองมือยึดไหล่เล็กๆ นั้นไว้ แก้วน้ำที่พยายามยึดไว้ก็พลันร่วงหล่นออกจากมือ

หญิงสาวถอยหลังเพื่อขยับตัวก่อนที่เศษแก้วจะทิ่มแทงเข้ากลางเท้า “โอ้ย...” มือเรียวแตะดูบาดแผลก่อนที่ศรัณย์จะย่อตัวลงต่ำเพื่อดูอาการอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วง แต่บาดแผลจากเศษแก้วก็ไม่ทำให้ชายหนุ่มตกใจเท่ารอยเขียวช้ำที่ข้อมือของหญิงสาวทั้งสองข้าง...

“ชล...ตกลงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...”



Create Date : 05 มิถุนายน 2554
Last Update : 5 มิถุนายน 2554 16:58:00 น.
Counter : 407 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
มิถุนายน 2554

 
 
 
1
2
3
4
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
20
21
22
23
24
26
27
28
29
30
 
 
MY VIP Friend