บทที่ 5 การเผชิญหน้าในความฝัน

ศราวินเดินผ่านซุ้มประตูบ้านที่ทำจากเสาหินอ่อนราคาสูงเข้ามาด้วยท่วงท่าเครียดขรึม ชุดเดรสสีชมพูสดพลิ้วไหวตามสายลมเย็นยามค่ำ สองมือรีบผลักประตูกระจกบานหนาเข้าบ้านไป

“น้ำส้มเย็นๆ ค่ะคุณวิน” แม่บ้านวัยสาวยกแก้วน้ำส้มคั้นสดๆ มาวางบนโต๊ะกลมข้างโซฟาที่ผู้เป็นนายทิ้งตัวลงนั่งก่อนลาจากไป

มือเรียวคว้าเอาแก้วน้ำส้มคั้นขึ้นมาจิบเพื่อให้หายร้อนแต่ถึงกระนั้นความเย็นฉ่ำจากน้ำผลไม้ก็มิอาจทำให้หัวใจหยุดรุ่มร้อนลงได้

“มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าวิน” ปฐพี พี่ชายวัยยี่สิบเก้าปีเดินดุ่มๆ ออกมาจากครัวพร้อมกับถ้วยสลัดผักใบใหญ่ เมื่อมาถึงจึงหย่อนตัวลงนั่งและยื่นของว่างส่งให้น้องสาว

“อ้าว...แล้วนี่นกแสนรู้ตัวนั้นไปไหนซะหละ ปกติเห็นติดเจ้านายแจ...” คนสูงวัยกว่าเอ่ยถามถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักของน้องสาวก่อนที่ดวงหน้าเครียดเกร็งจะหันขวับมา ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยประกายแห่งความเคียดแค้น...

“ตายไปแล้ว...” จบคำก็สะบัดหน้าหนีไปอย่างฉุนเฉียว สองมือกำแน่นเข้าหากันอย่างไม่รู้ตัว

“ตาย ตายได้ยังไงวิน” พี่ชายซักไซ้เสียงเข้ม ยิ่งเห็นทีท่านิ่งเฉยของน้องสาวก็อยากรู้ความจริงที่เกิดขึ้น

“ถูกงูกัด...” สามคำที่หลุดออกมาจากปากของศราวินทำให้ปฐพีต้องนิ่งเงียบไป... น้องสาวเธอเกลียดงูเป็นไหนๆ แต่ใช่ว่าจะกลัวเพราะเมื่อพบกับอสรพิษทีไรศราวินจะกำจัดมันให้ตายคามือ แต่ว่ามาคราวนี้นกแสนรักกลับต้องมาถูกงูกัดตาย... หรือว่ามันจะเป็นเพราะเวรกรรม

“ขอตัวก่อนนะพี่พี” หยัดกายลุกขึ้นก่อนเดินดุ่มๆ ขึ้นห้องไปในที่สุด ปฐพีได้แต่มองตามร่างระหงก่อนถอนใจยาว แม่บ้านสองสามคนที่หลบอยู่มุมห้องค่อยๆ เดินเข้ามาหาผู้เป็นนายพร้อมกับเก็บอาหารบนโต๊ะ


“สบายใจขึ้นมากมั้ยชล...” ญาดาวีเอ่ยถามเสียงหวานขณะเลียบรถเข้าจอดที่หน้าอพาร์ตเม้นท์เพื่อนสาวคนสนิทภายหลังจากไปส่งเก็จลดายังที่พัก

“จ้ะ...ขอบใจวีมากนะ” ชลธิชาคลี่ยิ้มเรียบ

“เออ...ฉันมีเรื่องข้องใจอย่างนึงน่ะชล อันที่จริง...ก็ข้องใจหลายเรื่องเลยนะ” คนพูดหยีตา จ้องมองคนตรงหน้าอย่างกล้าๆ กลัว “ก็...ทั้งไอ้เรื่องที่เธอรู้ทางไปวัดมณีนิลน่ะแหละ และก็เรื่องที่เธอตกใจกลัวฉันกลับยัยดาตอนที่เราสามคนกำลังจะกราบหลวงพ่อมณีนิลน่ะ...เธอคงจำได้นะ” คำถามของญาดาวีทำให้ดวงเนตรของชลธิชาต้องเบิกค้าง ภาพที่ได้เห็นในครานั้นเธอยังจำแม่นไม่มีลืม แต่ถ้าบอกไป...ญาดาวีอาจหาว่าเธอบ้าไปก็ได้

ชลธิชาสูดหายใจพร้อมกับเบิกตาจ้องมองญาดาวีตรงๆ “ตอนที่เธอขับรถเข้าไปในวัดมณีนิล ช่วงที่ฉันเป็นลมไปน่ะ จู่ๆ มันก็เห็นภาพวัดป่ามณีนิล เห็นเส้นทางที่จะไปยังวัดแห่งนั้น... ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามีใครหรืออะไรมาดลใจให้ฉันต้องเห็นภาพนั้นนะวี...ฉันเองก็ไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันกันแน่” คนพูดค่อยๆ ก้มหน้าลงต่ำ สีหน้าแดงเรื่อดูซูบซีดลงไปอย่างถนัดตาแต่ทว่าญาดาวียังคงตั้งใจฟังเพื่อนสนิทบอกความในใจอย่างจริงจัง

“ส่วนตอนที่อยู่ในวัดป่ามณีนิลน่ะ คือว่าตอนนั้น...” ชลธิชาช้อนสายตาสั่นไหวขึ้นจ้องมองญาดาวีช้าๆ รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นจรดศีรษะ “ตอนนั้น...ฉันเห็นพญานาคสองตนกำลังขนดกายอยู่หน้าองค์พระ ที่ๆ เก็จลดานั่งเป็นพญานาคสีดำน่ากลัว ส่วนที่ๆ เธอนั่งเป็นพญานาคสีทองเหลืองอร่าม...” จบประโยค ทั้งคนพูดและคนฟังก็ได้แต่จ้องหน้ากันแน่นิ่ง แววตาของชลธิชาบ่งบอกว่าเธอเกรงกลัวกับภาพที่ได้เห็นสักแค่ไหนแต่คนที่นั่งตรงข้ามก็ใจสั่นไม่แพ้กันเลย... เคยมีพระสงฆ์องค์หนึ่งทักทายเธอว่าในอดีตเคยเกิดเป็นนาคาแห่งตระกูลวิรูปักษ์ผู้มากฤทธิ์...

“เอ่อ...ฉันว่า...เธออาจจะแค่ตาฝาดไปก็ได้นะชล” ญาดาวีร้องบอกเสียงดังเพื่อทำลายบรรยกาศก่อนเสปั้นยิ้มกว้างและจับมือเย็นเฉียบของชลธิชาไว้ “อย่าคิดมากเลยนะ เราไปไหว้พระศักดิ์มาแล้ว เดี๋ยวก็คงดีขึ้นเอง ขึ้นห้องไปนี่ก็รีบไปสวดมนตร์ไหว้พระแล้วก็เข้านอนนะจ้ะ” ชลธิชารู้สึกใจชื้นขึ้นบ้างหลังจากเพื่อนสนิทให้กำลังใจ แต่ถ้าจะให้เธอลืมภาพเหตุการณ์ปริศนามากมายที่ได้พบก็คงต้องใช้เวลาอีกนานโข... หญิงสาวมิอาจคลายความสงสัยเกี่ยวกับมารดาของศรัณย์ได้จนกว่าจะได้รู้ความจริงที่ยังคลางแคลงใจ

“ขอบคุณนะวิน เอ่อ...ว่าแต่เรื่องแผลของเธอน่ะ เป็นไงบ้าง” คนที่กำลังจะผลักประตูรถหันมาถามสีหน้าเป็นกังวล ญาดาวีก้มลงมองที่ข้อเท้า ผ้าพันแผลสีขาวยังคงติดแน่นแต่ทว่าเธอกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่นิด

“สงสัยคงได้นำมนตร์ดีของคุณป้าพิมพ์ดาวแผลเลยหายเร็ว...” เอ่ยบอกเสียงใสทั้งที่ในใจก็ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมแผลงูกัดเมื่อวานนี้จึงหายเร็วจนผิดปกติ

“ถ้างั้นฉันไปก่อนนะวี ขับรถกลับบ้านดีๆ ล่ะ” ชลธิชาบอกลาก่อนสาวเท้าลงจากรถ ได้แต่ทอดมองรถยนต์สีดำคันสวยหายลับไปกับท้องถนนยามค่ำคืน

พอก้าวขาจนถึงหน้าห้องหญิงสาวก็ต้องตกใจที่ประตูห้องไม่ได้ล็อกกุญแจไว้ ร่างบางกระชับกระเป๋าถือใบเล็กไว้เป็นมั่นเหมาะ ค่อยๆ สาวเท้าเข้าห้องที่เปิดไฟโร่ไว้ก่อนจะได้พบกับร่างสูงใหญ่นั่งนิ่งอยู่ที่โซฟาตัวนุ่ม

“ศรัณย์...” ร้องเรียกคนรักเสียงค่อย ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นพร้อมกับหันขวับมา รูปหน้าคร้ามคมขมวดมุ่นคล้ายกังวลใจก่อนจะโถมเข้าหาหญิงสาวพร้อมกับอ้าแขนกอดเธอไว้แน่น

“ศรัณย์...เป็นอะไรรึเปล่า” ชายหนุ่มวางหน้าลงบนบ่าเล็กก่อนสูดเอากลิ่นหอมจากซอกคอของหญิงสาวราวกับว่าไม่ได้พบกันมานานแสนนาน

ไออุ่นที่ได้รับทำให้ชลธิชารู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ยังแปลกใจกับท่าทีที่ดูแปลกไปของชายหนุ่ม “ผมคิดถึงชลมากนะ...รู้รึเปล่า” ศรัณย์กระซิบบอกที่ข้างหู ทันทีที่หลับตาลงภาพหญิงสาวร่างเปลือยเปล่ากำลังบดเบียดกับร่างกายแข็งแกร่งของชายหนุ่มคนนั้นก็ฉายวาบขึ้นมา

มือหนาผลักร่างบางออกอย่างรวดเร็ว ชลธิชาเบิกตาค้างอย่างตกใจในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มได้สติ “ขอโทษ...ผม...เอ่อ...” ศรัณย์ก้มหน้างุด ขบกรามแน่นจนเห็นเป็นสัน

“บอกชลมาซิว่ามีเรื่องอะไร” ชลธิชาวางมือบนแขนล่ำสัน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ปั้นแต่ง

“ไม่มีอะไรหรอกครับ...ชลพักผ่อนเถอะนะ ผมต้องกลับแล้ว” เขาบอกลาแต่สีหน้ายังดูเป็นกังวล ชลธิชาค่อยๆ ปล่อยมือลงจากแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่ม ได้แต่ทอดมองร่างคนรักเดินออกจากห้องไป


“คุณศราวินคงจะชอบนกมากๆ เลยนะป้า ข้างนอกก็เลี้ยงนกไว้หลายกรง ในห้องก็มีแต่ของตกแต่งที่เกี่ยวกับนก” สำลี แม่บ้านสาวคนใหม่ที่เพิ่งเข้าทำงานที่บ้านพักตากอากาศของมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศหันไปหานางละมัยแม่บ้านวัยห้าสิบที่นำเธอเข้ามาเก็บตะกร้าเสื้อผ้าของคุณหนูของบ้าน

“สมัยเด็กๆ นะ คุณวินเธอชอบบอกว่าเธอเป็นนก วันหยุดเมื่อไหร่ก็จะอ้อนให้คุณพ่อซื้อปีกนกสีขาวมาให้ แล้วตัวเองก็ใส่บินรอบบ้านน่ะ...และก็เที่ยวบอกใครต่อใครว่าเธอเป็นนก สักวันจะบินขึ้นไปบนฟ้าแข่งกับพวกนกให้ได้ ขนนกเนี่ยนะ หล่นเต็มบ้านเลยหละ...” นางละมัยหัวเราะเสียงพลิ้วอย่างชอบใจ ย้อนนึกถึงคุณหนูตัวน้อยในวัยห้าขวบที่ยังไร้เดียงสา

“มิน่าล่ะ...” สำลีเอียงคอ “แต่เอ...แล้วนกหงส์หยกตัวนั้นล่ะป้า มันหายไปไหน” คำถามที่ได้ยินทำให้รอยยิ้มของนางละมัยหายไป

“เห็นคุณวินเธอบอกว่าถูกงูกัดน่ะ” จบคำก็นำหน้าสำลีออกจากห้องไป “คุณศราวินเธอไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของในห้องสักเท่าไหร่ หน้าที่ของเธอก็คือจัดที่นอน ทำความสะอาดและก็เอาเสื้อผ้าเธอไปซักและจัดให้เข้าที่ ส่วนของใช้ส่วนตัวก็อย่าไปหยิบจับหรือย้ายที่ ถ้าเธอหาไม่พบแล้วจะเคืองเอา”

“ค่ะ คุณละมัย...” สำลีพยักหน้าหงึกหงัก


เก็จลดานั่งชะโงกหน้าหันซ้ายขวาจนญาดาวีเริ่มรำคาญใจ กลุ่มนักศึกษาที่มารอดูการซ้อมใหญ่ของเหล่านักกีฬาว่ายน้ำต่างหันไปทางด้านซ้ายพร้อมๆ กัน กลุ่มนักกีฬาชายกำลังเดินออกมาจากห้องแต่งอีกมุมหนึ่ง ศรัณย์หันมายิ้มให้กับคนรักที่กำลังเดินตรงมายังญาดาวี

เก็จลดาคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายสูงใหญ่บึกบึนสมชายเดินไปยังขอบสระก่อนย่อตัวลงนั่งและกวักน้ำใส่ตัวเหมือนที่เขาเคยทำ ใบหน้าคมเข้มทำให้เป็นชายหนุ่มที่น่าหลงใหล... ความหล่อเหลาและนิสัยที่แสนดีทำให้เธอมิอาจตัดใจจากเขาได้... แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนรักของเพื่อนสนิทก็ตามที

ชลธิชาหันไปยิ้มให้กับญาดาวีก่อนทรุดนั่งลงเคียงข้างเมื่อหันมาที่สระน้ำก็เห็นศรัณย์กระโจนลงน้ำไปแล้ว พรายน้ำสีขาวแตกฟองฟูฟ่อง ร่างสูงใหญ่ตีน้ำพาร่างแหวกว่ายไปอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมใสของหญิงสาวจับจ้องคนรักอย่างไม่วางตาก่อนที่สองตาจะนิ่งค้าง...เมื่อเหลือบไปเห็นสตรีที่ยืนนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ความฝันเมื่อหลายวันก่อน ขณะที่เธอกำลังพายเรืออยู่ในหนองน้ำอันดำมืดก่อนจะร่วงหล่นลงไปยังผืนน้ำเย็นยะเยือก สองตาที่เบิกกว้างใต้หนองน้ำทำให้เธอเห็นร่างหญิงสาวกำลังว่ายน้ำตรงมายังเธอ...

นิทรา นาคาแห่งสายกัณหาโคตมะแสยะยิ้มเมื่อเห็นทีท่าหวาดกลัวของชลธิชา ดวงตาดำขลับอันแฝงไปด้วยพลังอำนาจลึกลับไล่มองหญิงสาวไปทีละคน

ภาพที่ปริตร นาคหนุ่มที่เธอมอบกายและใจให้กำลังนอนทาบทับเรือนกายขาวนวลเนียนของชลธิชาไว้ทำให้นาคสาวต้องกำมือแน่น... ก่อนเบือนหน้ามายังเก็จลดาและญาดาวี ผู้หญิงสองคนที่มีส่วนทำให้ปริตรต้องบาดเจ็บ... คืนนี้เธอจะเล่นงานมนุษย์สาวทั้งสามคนนี้ในความฝัน

“ศรัณย์...” เก็จลดาตะโกนสุดเสียงเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มร่างหนาที่กำลังว่ายน้ำอยู่กลางสระดิ่งฮวบลงยังผืนน้ำไปอย่างกะทันหัน

ศรัณย์พยายามตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำแต่เหมือนว่าสองขาถูกบางอย่างดึงรั้งลงสู่พื้นสระ ข้อเท้าสองข้างเย็นเฉียบคล้ายกับกำลังมีบางอย่างจับไว้แน่น สองแขนได้แต่ตีน้ำอย่างทุรนทุราย

เสียงร้องของเก็จลดาและเหล่าผู้ชมริมขอบสระทำให้ชลธิชาต้องหันขวับมาหาคนรัก ร่างบางดีดตัวลุกจากเก้าอี้วิ่งตามเก็จลดาไปอย่างกระหืดกระหอบ

“ศรัณย์...” หญิงสาวเอาสองมือจับขอบสระว่ายน้ำไว้ สองตาจับจ้องไปยังร่างหนาซึ่งเหล่านักกีฬาคนอื่นๆ ช่วยประคองตัวชายหนุ่มที่หมดสติขึ้นจากสระน้ำ

“สงสัยคงเป็นตะคริว...แต่ทำไมถึง...” เพื่อนหนุ่มที่ว่ายน้ำเคียงข้างกันว่าเสียงขรึมขณะที่ชายหนุ่มบนพื้นค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

“ไม่เป็นไรใช่มั้ยเพื่อน” หลายๆ คนซักถามในขณะที่ชลธิชาและเก็จลดารีบแหวกม่านเหล่าไทยมุงเข้ามาจนถึงตัวชายหนุ่ม หญิงสาวผู้เป็นคนรักทรุดตัวลงนั่ง สองมือจับที่รูปหน้าคร้ามคมไว้

“ศรัณย์...” ชลธิชาน้ำตาคลอเบ้าก่อนที่อีกฝ่ายจะคลายยิ้มเบาๆ

“ผมไม่เป็นไรแล้ว”

“แต่ทำไมเมื่อกี้ถึงได้...” คำถามของเธอทำให้ชายหนุ่มต้องพริ้มตาหลับลงอีกครั้ง ความรู้สึกเย็นยะเยือกที่ผิวกายได้สัมผัสมันทำให้เขาหนาวสั่นไปทั้งตัวอย่างบอกไม่ถูก ภาพเกล็ดสีเขียววาววับของบางสิ่งที่แหวกว่ายผ่านดวงเนตรไปเมื่อคราก่อนทำให้ชายหนุ่มเริ่มใจไม่ดี

“ช่างมันเถอะ...” ศรัณย์บอกปัดก่อนค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นนั่ง เก็จลดารีบเข้าไปช่วยพยุงอีกแรง

“ฉันว่าไปพักก่อนดีกว่ามั้ย” จบคำร่างหนาก็หันมาหาชลธิชาอีกครั้ง ความกังวลที่ปรากฎบนใบหน้าทำให้หญิงสาวพลอยไม่สบายใจไปด้วย หรือว่ามันจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอได้เห็นในนิมิต...

เหล่าเพื่อนสนิทต่างช่วยประคองชายหนุ่มไปยังห้องพยาบาลในขณะที่ชลธิชารีบตามไปติดๆ เก็จลดารีบกลับมาที่เก้าอี้ก่อนคว้าเอากระเป๋าส่วนตัวเพื่อจะรีบตามทั้งกลุ่มไปแต่ก็ถูกญาดาวีคว้าแขนไว้เสียก่อน

ร่างสมส่วนหันขวับมาตาขวาง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองญาดาวีด้วยความขุ่นเคือง “แกอยู่นี่กับฉันดา ไม่ต้องตามยัยชลไปหรอก” คำสั่งของอีกฝ่ายทำให้เก็จลดาต้องเลิกคิ้วสูง

“ปล่อยให้คนรักเขาดูแลกันเอง เรามันคนนอก...จะไปยุ่งวุ่นวายกับเขามันก็กะไรอยู่ใช่มั้ย?” ดวงหน้าวงรีได้รูปรับกับผมสั้นซอยของญาดาวีอิ่มเอิบด้วยรัศมีบางอย่าง ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นฉายประกายแวววับยามต้องแสงอาทิตย์สีเหลืองทองยามเย็นที่เล็ดลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา

“ฉันก็เป็นเพื่อนศรัณย์คนนึง...เธอพูดแบบนี้มันก็ไม่ถูก ปล่อยฉัน...” เก็จลดาสะบัดมือออกจากการเกาะกุม ริมฝีปากได้รูปเชิดรั้นใส่เพื่อนสนิทที่ยืนจ้องเธอนิ่ง

“เธอไม่มีสิทธิ์มาบงการชีวิตฉันหรอกนะญาดาวี” จบประโยคร่างเพรียวลมก็หันหลังขวับและเดินดุ่มๆ ไปต่อหน้าต่อตา ญาดาวีได้แต่ทอดมองเพื่อนสาวที่รีบกระหืดกระหอบวิ่งตามกลุ่มนักกีฬาว่ายน้ำไปอย่างหนักใจ... ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ความลับที่เก็จลดาปิดบังไว้จะเปิดเผยออกมา และถ้ามันถึงวันนั้นมิตรภาพของพวกเธอทั้งสามคนจะยังคงอยู่เหมือนเดิมรึเปล่า...


ร่างหนาหย่อนตัวลงนอนบนที่นอนสีขาวนุ่มนิ่มในห้องพักอย่างเหนื่อยอ่อน ชลธิชารีบยกแก้วน้ำพร้อมกับยาลดไข้สองเม็ดตรงมายังเขา ร่างบางทรุดนั่งลงข้างเตียงก่อนยื่นยาและแก้วน้ำส่งให้ชายหนุ่ม

“ป้อนหน่อยสิครับคนสวย...” สีแดงระเรื่อบนรูปหน้าคมเข้มทำให้ชลธิชาจุดยิ้ม มือน้อยๆ ค่อยๆ หย่อนเม็ดยาลงยังปากของคนรักในขณะที่อีกมือยังคงถือแก้วน้ำค้างไว้

คนที่เริ่มทำหน้าเหยเกจ้องเธอเขม็ง “อ้าว...จะแกล้งกันเหรอเนี่ย...มันขมนะครับชล...” สีหน้าของชายหนุ่มทำให้ชลธิชาหลุดหัวเราะเสียงพลิ้วก่อนรีบป้อนน้ำเขาจนศรัณย์กลืนเม็ดยาลงคอเรียบร้อย

“บางที...ชลก็ไม่อยากให้ศรัณย์ต้องเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ไม่อยากให้...” ดวงหน้านวลเนียนดูซูบซีดหดหู่ขึ้นมาทันทีที่นึกถึงเรื่องเมื่อตอนหัวค่ำ ศรัณย์ยกมือขึ้นจับเรียวมือนุ่มนิ่มของหญิงสาวไว้

“มันก็เป็นแค่อุบัติเหตุ อย่าคิดมากนะครับ”

“แต่ทุกครั้งชลก็ไม่เคยเห็นศรัณย์เป็นแบบนี้เลยนะ แต่นี่จู่ๆ ก็ดิ่งฮวบลงไปขอบสระ ทำท่าเหมือนตะเกียกตะกายทุรนทุราย”

“ชลเห็นด้วยเหรอ...” คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง

“ไม่...เพื่อนๆ เล่าให้ฟังอีกที” หญิงสาวมองค้อนเขาทีนึง “แล้วตกลงว่าตอนนั้นศรัณย์เป็นอะไร...เป็นตะคริว เจ็บขาหรือว่า...”

“ผมเป็นตะคริวครับ” ชายหนุ่มชิงตอบท่าทางร้อนรน ดวงตากลมใสจ้องหน้าเขาแน่นิ่ง

“จริงๆ ครับชล...” มือเล็กเอื้อมไปหยิกแขนแข็งแกร่งพร้อมกับเพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นทีละนิด

“โอ้ย...จริงๆ คร้าบ...” ชายหนุ่มร้องลั่นห้องก่อนที่ชลธิชาจะปล่อยมือ หญิงสาวถอนหายใจยาวทีนึง มองร่างสูงที่นอนก้มหน้าก่อนจะยันกายลุกจากเก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียง

“จะกลับแล้วเหรอครับ...” เจ้าของห้องร้องถามเสียงหลงเมื่อร่างบางเดินดุ่มๆ จากไป

“ไม่...จะไปอาบน้ำ” คำตอบที่ได้ยินทำให้เขาผายยิ้มกว้างแต่เมื่อคนตรงหน้าหันขวับมาก็ต้องรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“ที่จริงชลมาค้างอยู่กับผมก็ได้นี่ครับ...” ร้องถามทั้งที่นอนอยู่บนเตียง ชลธิชาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าก่อนคว้าเอาผ้าขนหนูสีขาวมาพาดบ่าไว้

“ศรัณย์ก็รู้นิสัยพ่อชลว่าเป็นยังไง...อีกอย่างชลก็เป็นผู้หญิงนะ...ผู้หญิงก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน” ร่างบอบบางหันมาหาชายหนุ่มอีกครั้ง ดวงตากลมใสคู่นั้นประสานกับดวงเนตรสีเขียวคล้ำของชายหนุ่ม

“เป็นแบบนี้นี่แหละดีแล้ว ถ้าศรัณย์อดทนจนกว่าจะเรียนจบไม่ได้ก็ไปหาสาวๆ คนอื่นแล้วกัน”

“โถๆๆๆ....ใครบอกล่ะครับ ชลธิชาของผมคนนี้แสนดีที่สุดในโลกเลย... จะหาใดไม่มีอีกแล้ว” ชายหนุ่มยกยิ้มกวนส่งให้ มือคว้าได้ไม้แขนเสื้อจึงโยนใส่ร่างหนาที่นอนหลาบนเตียงเพื่อแก้เขินก่อนเดินกระทุ้งส้นเท้าเข้าห้องน้ำไป


ญาดาวีในคราบชุดนอนสีโอรสทรุดนั่งลงบนเตียงนอนขนาดใหญ่ สายตาเพ่งมองไปยังรอยเขี้ยวงูที่ข้อเท้าซ้าย ไม่คาดคิดว่าน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ของนางพิมพ์ดาวผู้เป็นป้าจะอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ เพียงแค่รู้สึกปวดเมื่อตอนแรกแต่เมื่อได้กินยาสมุนไพรของคนเป็นป้าและพรมน้ำมนตร์เท่านั้น ความเจ็บปวดก็จางหายไป

“พลังอำนาจจากอดีตชาติยังคงแฝงอยู่ในวิญญาณของหนู...” คำพูดของพระสงฆ์สูงวัยรูปนึงดังก้องขึ้นมาในโสตประสาทของญาดาวี ภาพที่เธอเดินตามผู้เป็นป้าไปนมัสการพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งฉายวาบขึ้นมาในห้วงคำนึง

หญิงสาวหันไปปิดสวิตซ์ไฟก่อนล้มตัวลงนอน ถอนหายใจยาวเพื่อขับไล่ความเหนื่อยล้าให้ออกจากร่างกาย เบื้องหน้าคือความดำมืดแสนน่ากลัว...


เก็จลดาพยายามใช้ประสาทสัมผัสเพื่อจับการเคลื่อนไหวรอบกาย พงหญ้ารกทึบถึงระดับอกที่หญิงสาวกำลังมุ่งหน้าเดินผ่านไปนี้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรงกว่าปกติ พื้นดินเบื้องล่างชุ่มน้ำ เปรอะเปื้อนไปด้วยโคลนตม สายลมเย็นพัดหวีดหวิวทำให้กอหญ้าเสียดสีกันจนเกิดเสียงอันวังเวงก่อนที่สองหูจะได้ยินเสียงฝีเท้าของใครบางที่กำลังดังใกล้เข้ามา

เก็จลดาย่อตัวลงต่ำ พยายามเพ่งมองผ่านกอหญ้ารกทึบ ร่างบอบบางของชลธิชากำลังเดินปัดป่ายพงหญ้าไปอย่างไม่มีจุดหมาย

“ชล...หนีเร็ว...” เสียงของใครอีกคนดังก้องมาแต่ไกล ญาดาวีวิ่งกระหืดกระหอบมาอีกทาง เมื่อถึงตัวเพื่อนสาวจึงคว้าแขนวิ่งมาทางเก็จลดา

“เกิดอะไรขึ้น” คนที่ซ่อนตัวอยู่ลุกขึ้นยืน ประสานสายตากับเพื่อนอีกสองคนที่หน้าตาตื่น

ชลธิชาหันไปหาญาดาวีที่ดูตื่นตระหนก “มันกำลังตามมา งูตัวใหญ่กำลังเลื้อยมาทางนี้” น้ำเสียงขาดห้วงไม่เป็นจังหวะขณะที่ดวงหน้าคมคายของเก็จลดาสะบัดไปทางซ้าย การเคลื่อนไหวอันรวดเร็วและกลิ่นสาปของอสรพิษทำให้เธอขนลุกซู่

“มาแล้ว...” สองคำที่หลุดออกมาจากปากฉุดให้ญาดาวีต้องดึงแขนชลธิชาออกวิ่งอีกครั้ง

ลมหายใจของทั้งสองสั่นระรัว หัวใจเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก ไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใดแต่ก็ขอให้รอดพ้นจากอันตรายในครั้งนี้...

เก็จลดายืนนิ่งเพื่อรวบรวมสมาธิ หญิงสาวสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดขณะที่เสียงกอหญ้าดังเสียดสีรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาสีดำสนิทค่อยๆ เบิกมองภาพเบื้องหน้าที่เธอชื่นชมยามเดินทางไปยังศาสนถาน

แต่ทว่ามาบัดนี้ร่างเจ้าแห่งอสรพิษขนาดใหญ่ที่ชูหงอนสีดำอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้ร่างบางสั่นเทิ้ม ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นแดงก่ำน่ากลัว คมเขี้ยวลดหลั่นกันลงมาคล้ายใบเลื่อย ไม่ผิดแผกจากพญานาคที่หญิงสาวเคยเห็นในภาพเขียนอันวิจิตรเลยแม้แต่น้อย...

นิทราในร่างนาคาอันน่ากลัวกำลังจะฝังคมเขี้ยวลงไปยังร่างนางมนุษย์สาวในความฝันแต่ทว่าพลันนั้นเอง...ประกายรัศมีสีเทาก็แผ่ออกมาจากร่างของเก็จลดา ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นประสานกับดวงเนตรของนางนาคาสาว... คำพูดของวาสิตาดังแว่วมาตามสายลมยามดึกริมฝั่งหนองมณีนิล

“กัณหาโคตมะจะไม่ทำร้ายกัน... หากนาคาตนใดผิดกฎข้อนี้ ก็จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

เก็จลดาได้แต่ยืนนิ่งไม่ไหวติง สองตาดำขลับได้แต่จ้องมองพญานาคสีดำตัวใหญ่สะบัดกายหนีรีบเลื้อยตามเพื่อนสนิทอีกสองคนไป


“เธอซ่อนตัวอยู่ตรงนี้นะชล ถ้ามันมาถึงฉันจะล่อมันไปอีกทางแล้วเธอก็รีบวิ่งหนีไป” ญาดาวีบอกเพื่อนสนิทอย่างกระหืดกระหอบเมื่อทั้งคู่มาถึงริมฝั่งหนองน้ำใหญ่

“ไม่...เราต้องไปด้วยกัน” ชลธิชาส่ายหน้าในขณะที่เสียงเสียดสีของพงหญ้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ญาดาวีจ้องดวงหน้าสั่นระริกเช่นตนตรงหน้าก่อนหันไปทางซ้าย ดวงตาแดงก่ำตรงดิ่งจวนจะถึง หญิงสาวตัดสินใจผลักกายชลธิชาออกห่างจนอีกฝ่ายกระเด็นล้มลงไปยังกอหญ้าที่ขึ้นสูงส่วนตัวเองก็วิ่งออกมายังที่โล่ง

“ไม่นะ...ญาดาวี...” ชลธิชากัดฟันร้องครางอย่างเจ็บปวด สองตาได้แต่จ้องมองเพื่อนสาวที่วิ่งสุดชีวิตโดยมีงูยักษ์สีดำตัวใหญ่ไล่ตามอยู่เบื้องหลัง

จนสุดท้าย...ญาดาวีก็จนมุม...

ร่างบางล้มฮวบลงบนดินโคลนริมฝั่งหนองน้ำใหญ่ หอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน นาคตัวใหญ่ชูหงอนสูงเสียดฟ้าอยู่เบื้องหน้า ภาพที่ปริตรถูกทำร้ายจนบาดเจ็บทำให้นิทราอยากจะฆ่านางมนุษย์ตรงหน้านี้ให้สิ้นใจตายไปซะ ถ้าวิญญาณถูกกระชากออกจากร่างแม้อยู่ในความฝัน...ญาดาวีก็จะสิ้นลมไปจากโลกนี้

เศียรอันงดงามก้มต่ำลงมายังร่างที่สั่นระริก คมเขี้ยวอันน่ากลัวทำให้หยดน้ำตาของหญิงสาวรินไหลออกมา ดวงตาแดงก่ำคู่นั้นประสานเข้ากับสองเนตรสีน้ำตาลอ่อนที่เครือด้วยหยาดน้ำใส

แต่ทว่าพลันนั้นเอง...หญิงสาวผู้จนมุมกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจสุดขีด กระแสลมอันเย็นเยียบผิดปกติจากทางด้านหลังของนางนาคาสาวทำให้ญาดาวีอยากจะกรีดร้องออกมาสุดเสียง ปีกสีแดงขนาดใหญ่แผ่หลาออกไปไกลหลายร้อยเมตร

นางนาคาสาวแห่งกัณหาโคตมะบิดกายหันมาด้วยความตื่นตระหนกก่อนที่จะถูกจะงอยปากอันแหลมคมจิกลงไปยังเนื้อหนัง กรงเล็บคมกริบทั้งสองข้างเหวี่ยงร่างนางนาคสาวให้ลอยคว้างไปอีกทาง

ดวงตาอันแดงก่ำกลับกลายเป็นสีดำยามประสานกับดวงเนตรสีแดงอัมพันของครุฑหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านางมนุษย์สาว ปีกสีแดงหนาเข้มค่อยๆ หดหายเข้าสู่ร่างของมนุษย์หนุ่มรูปงามผู้สวมชุดขาวสะอาดตา

ญาดาวีรู้สึกหายใจติดขัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ใบหน้าได้รูปหันขวับมาหาเธอพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่น

“มากับผม...” เขาบอกเพียงเท่าก่อนเอาสองแขนโอบเอวเธอไว้ ญาดาวีรู้สึกเย็นวาบที่ปลายเท้าคล้ายกับร่างกายกำลังลอยขึ้นจากพื้นดิน ปีกสีแดงขนาดใหญ่แผ่ออกจากแผ่นหลังของชายหนุ่มที่เธอเอาหน้าแนบชิดกับเขา “ไม่ต้องกลัวนะครับ...ไม่เป็นไรแล้ว” เขากระซิบบอกที่ข้างหูเธอยกสองแขนขึ้นกอดเขาไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว มันคล้ายกับเธอได้รับน้ำอุ่นๆ รินรดทั่วร่างที่เย็นเฉียบ สองตาที่มีหยดน้ำตาได้แต่เบิกมองภาพหนองมณีนิลเบื้องล่าง... ใช่... ชลธิชา กำลังตกอยู่ในอันตราย


แผลแค่นี้ไม่ทำให้นางนาคาสาวสิ้นฤทธิ์ไปง่ายๆ แน่ ทันทีที่ครุฑหนุ่มบินจากไปนิทราก็หันขวับมายังหนทางที่จากมา ยังเหลือนังมนุษย์อีกคนนึงอยู่นี่... นางมนุษย์ที่ปริตรใช้ให้เธอนิมิตภาพที่ตอนเขามีอะไรกันกับ...

ชลธิชาออกวิ่งอีกครั้ง พยายามร้องเรียกหาเก็จลดาแต่ก็ไม่พบตัว หญิงสาวล้มตัวลงอย่างหมดแรง... สายลมเย็นเฉียบยามค่ำคืนพัดเอากลิ่นสาปบางอย่างที่อยู่ไม่ไกลจากเธอ

หญิงสาวพยายามยันกายลุกขึ้น รับรู้ได้ถึงอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ “จะหนีไปไหนอีกล่ะ...” น้ำเสียงแข็งกร้าวฉุดให้ร่างบางต้องนิ่งค้าง ก่อนจะค่อยๆ หันขวับมาประจันหน้ากับอีกฝ่าย

หญิงสาวตรงหน้านี้คือคนๆ เดียวกับที่เธอเห็นในความฝันและได้พบตอนที่ไปดูศรัณย์ซ้อมว่ายน้ำในวันนี้... หรือว่า...

นิทราแสยะยิ้ม ค่อยๆ ก้าวขาเข้าไปหาร่างบางที่ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาสีดำอันน่ากลัวที่แฝงไปด้วยกระแสพิษรุนแรงจ้องตรงไปยังดวงเนตรกลมใสของชลธิชา

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ...” น้ำเสียงก้องกังวานดังแว่วมาจากกอหญ้าอันรกทึบ นิทราผงะออกไปด้วยความตื่นกลัว สตรีรูปร่างปราดเปรียวยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังชลธิชา

มืออ่อนนุ่มนิ่มจับแขนเย็นเฉียบของมนุษย์สาวไว้ ดวงตาสีเขียวคล้ำคล้ายกับศรัณย์ผู้เป็นคนรักทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว หญิงคราวแม่ผู้อยู่ในชุดสีเขียวสดปล่อยมือจากเธอก่อนก้าวขาออกไปประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้าม

“ฉันทนดูมานานแล้วนะ...แทนที่เธอจะคอยห้ามปรามหลานฉัน แต่กลับคอยยุยงส่งเสริมให้ปริตรทำในสิ่งที่ไม่ดีแถมตัวเธอเองก็ยัง...”

“คุณอรวินทร์...คือว่าฉัน...” นิทรากระอึกกระอัก ไม่กล้าสู้หน้าผู้เป็นประมุขแห่งตระกูลนิลนาคนาคาแห่งเอราปถผู้ครอบครองมณีนาคสวาทสีเขียวมรกต

“ในเมื่อเธอกล้าทำเรื่องรุนแรงแบบนี้ ฉันก็จะตอบกลับไปเหมือนกัน”

“คุณจะทำอะไร” น้ำเสียงนิทราสั่นเครือด้วยความตื่นกลัว

“ถ้าฉันปรามเธอไม่ได้ฉันก็จะให้คนที่มีอำนาจมากกว่าฉันจัดการแทน... คนที่บงการชีวิตเธอ... วาสิตา องครักษ์อันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์นาคเสนจะต้องรู้เรื่องนี้” ชื่อที่ได้ยินแทบจะทำให้นางนาคสีดำหยุดหายใจไปชั่วขณะ ไม่มีนาคสีดำตนไหนไม่กริ่งเกรงต่อผู้เป็นใหญ่แห่งกัณหาโคตมะ นาคาที่ประพฤติตัวนอกกรอบที่วางไว้ย่อมจะถูกกำจัดเพื่อไม่ให้เป็นขยะแห่งกัณหาโคตมะ

อรวินทร์เดินกลับมาหามนุษย์สาวที่ยืนนิ่ง “ฉันจะพาเธอกลับไปหาหลานชายฉันเอง...” จบคำก็ยื่นมือออกไปข้างหน้าก่อนที่ชลธิชาจะวางมือลงบนเรียวมือสีชมพู พลันนั้น...แสงสว่างสีขาวจ้าก็พุ่งเข้าใส่สองตาของหญิงสาว นำพาเธอกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริงในที่สุด



Create Date : 08 พฤษภาคม 2554
Last Update : 8 พฤษภาคม 2554 21:04:59 น.
Counter : 680 Pageviews.

1 comments
  
ทักทายนะจ่ะ คุณทำอะไรอยู๋ อิอิ เราหาอิอิ ถ้านอนแล้วฝันดีนะจ่ะ อิอิ
โดย: ตะวันเจ้าเอย วันที่: 8 พฤษภาคม 2554 เวลา:22:13:20 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ผีเสื้อสีดำ
Location :
ศรีสะเกษ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



จงทำในสิ่งที่คุณคิดว่า...

ทำไม่ได้
พฤษภาคม 2554

1
2
3
4
5
6
7
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
MY VIP Friend