someday we write , someday we wrong









4 in 1 ดูหนังในชุดนอน



• No Reservations
ชีวิตมักจะสะดุดเวลาที่ความเปลี่ยนแปลงแกล้งมาขัดขา

ในหนัง นางเอกเป็นเชฟรุ่นใหญ่ที่วันๆ มีเวลาให้แต่เรื่องอาหาร อาหาร และอาหาร
เธอทำอาหารโดยยึดถือกับสูตรทำอาหารของตัวเองอย่างชนิดกัดไม่ปล่อย ใครห้ามแตะ และต่อให้จ้างให้ก็ไม่วาง
บ่อยครั้งเราจะได้เห็นเธอออกไปโวยลูกค้าที่ไม่พอใจอาหารของเธอประมาณว่า
“อาหารจานนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด มันออกมาอย่างที่ควรจะเป็น
อบไฟ 140 องศา น้ำ 80 องศา นาน 25 นาที ไม่เร็วเกินไปไม่นานเกินไป จนออกมาเป็นสีชมพูระเรื่อ!”
และจบท้ายด้วยการที่ลูกค้าลุกหนีไปอย่างหงุดหงิด จนเจ้าของร้านต้องส่งเธอไปพบจิตแพทย์ให้รู้จักปล่อยวาง
(แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ยี่หร่า เพราะยังเอาแต่พูดถึงเรื่องอาหาร แถมทำอาหารไปฝากจิตแพทย์อีกต่างหาก)

แต่ต่อมาเธอต้องเผชิญหน้ากับเมนูใหม่ของชีวิตที่มีรสชาติกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
เมื่อพี่สาวของเธอจากไปโดยทิ้งลูกสาวไว้ให้เธอเลี้ยงดู อยู่ๆ มีคนโพล่มาแย่งงาน และเจอปัญหาหัวใจ
ในตอนที่ชีวิตอันสุขสงบของตัวเองปั่นป่วนจนทนไม่ไหว เธอระบายกับจิตแพทย์ว่า
“ชีวิตนี่น่าจะมีตำรานะ...แบบว่ามีสูตรสำเร็จที่บอกเราว่าต้องทำอะไรบ้าง”
ก่อนที่จิตแพทย์จะทันได้พูดอะไรเธอก็ชิงดักก่อนว่า “ชั้นรู้ๆ คุณก็คงจะเถียงว่าแล้ว ชีวิตจะมีเหลืออะไรให้ได้เรียนรู้”
จิตแพทย์ฟังแล้วตอบว่า “ผมไม่ได้กำลังจะพูดแบบนั้น...คุณอยากจะลองเดาอีกทีไหม?”
“ไม่ๆ คุณว่ามาเถอะ”
“ที่ผมจะพูดก็คือ” จิตแพทย์เฉลย “คุณรู้ดีกว่าใครๆ ว่าสูตรที่คุณเป็นคนสร้างสรรค์ขึ้นเองนั่นแหละ...เป็นสูตรที่ดีที่สุด”

ใครอยากดูคมคายก็สามารถพูดได้ว่าชีวิตไม่ต่างอะไรกับอาหาร...แต่จะมีสักกี่คนที่ปรุงรสชาติได้ถูกปากตัวเอง?




• I am Legend
โลกหลังจากเชื้อร้ายแพร่กระจายเปลี่ยนคนให้กลายเป็นซอมบี้(ที่วิ่งเร็ว แข็งแรง และหัวล้าน)
พระเอกของเรื่องรอดตายและอาศัยอยู่ในศูนย์กลางดงซอมบี้เพื่อพยายามพัฒนายาแก้เชื้อ

เขาอาศัยอยู่คนเดียวมาหลายต่อหลายปี เดินในเมืองที่รกร้างในเวลากลางวันและหลบซ่อนอยู่แต่ในบ้านในเวลากลางคืน
(พวกซอมบี้แพ้แสงแดดจึงจะไม่ออกมาในตอนกลางวัน)
ที่สะดุดความรู้สึกของผมคือ หนึ่งในกิจกรรมยามว่างของเขาคือ เดินไปเช่าหนัง (หรือนั่นคือการหยิบมาดูฟรี)
ระหว่างทางไปร้านวีดีโอ เขาจะเอาหุ่นโชว์เสื้อมาวางไว้ในบริเวณนั้น และพูดคุยกับหุ่นเหล่านั้นราวกับเป็นคนจริงๆ
หุ่นเหล่านี้มีชื่อและระดับความสนิทสนมแตกต่างกัน อย่างมีตัวนึงอยู่หน้าร้านวีดีโอชื่อ เฟรด ที่เขาสนิทมากหน่อย
อีกตัวเป็นเจ้าของเราวีดีโอที่นั่งอยู่ในเคาร์เตอร์ หรือบางตัวเป็นสาวเจ้าเสน่ห์ที่เขายังไม่เคยมีความกล้าจะเข้าไปพูดคุยด้วย

ที่น่าสนใจคือ อยู่มาวันหนึ่งหุ่นที่ชื่อเฟรดเกิดย้ายตำแหน่งจากตรงหน้าร้านดีวีโอไปอยู่ริมถนน... ... ...
พอพระเอกไปเจอเข้าจึงชักปืนออกมากระโกนว่า “เฮ้!! เฟรด!! ถ้านายเป็นคนจริงๆ นายควรที่จะรีบบอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลย!!!”

ด้วยความเหงา...เขาเชื่อว่าเฟรดเดินได้ด้วยตัวเอง (เขาเชื่อแบบนั้นแม้จะเชื่อได้นานเพียงเสิ้ยววินาทีเดียวก่อนที่เหตุผลจะมาพรากมันจากไป)
ด้วยความเหงา...เขาอยากจะเชื่อว่าหุ่นโชว์เสื้อที่เขาตั้งชื่อให้ว่า เฟรด ...เป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเหงาอีกต่อไป
ด้วยความเหงา...ทำให้แม้เขาจะไม่ติดเชื้อซอมบี้ แต่เขาก็เป็นคนป่วย...ด้วยโรคความเหงา...

ที่แย่ที่สุดก็คือ จะไม่มีใครมาเยี่ยมไข้เขา...
(คลิกไปอ่านรีวิว I am Legend ฉบับเจ้าของสำนวน “โรคเหงา” ที่ได้ใจชุดนอนได้ที่ Blog ของคุณ beerled พี่ชายร่วมสาบานของผมเอง)




• Cloverfield
เราอาจจะเคยเห็นสัตว์ประหลาดหลายตัวลองบุกเมืองมาแล้วนับล้านครั้ง...แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน

Cloverfield สร้างความน่าสนใจให้ตัวเองด้วยการมาแบบโครมครามแต่เก็บเงียบ
ก่อนเข้าโรงฯฉาย หนังถูกโปรโมตในทุกๆสื่อ แต่กลับเก็บเงียบเรื่องรายละเอียดของสัตว์ประหลาด
ไม่มีการให้หน้าค่าตา ไม่มีเหตุผลว่ามันจากไหนยังไง และไม่บอกอะไรที่จะช่วยให้คนดูหายสงสัยเลย

หนังเลยดูน่าตื่นตาตื่นใจก่อนที่มันจะเข้าฉาย
สำหรับผม...คนที่เอาแผ่นมานั่งดูที่บ้าน ผมรู้สึกว่าความตื่นตาที่ว่านั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย
เพราะในขณะที่หนังสัตว์ประหลาดเรื่องอื่นๆ
เราจะได้เอาใจช่วยตัวละครจะรับบทคนวงในที่รู้เรื่องทุกอย่าง คอยแก้สถานการณ์ และต้องล้มสัตว์ร้าย
แต่ในหนังเรื่องนี้ เราจะได้มองผ่านสายตาของตัวละครตาดำๆ ที่ไม่ได้มีส่วนในการปราบสัตว์ประหลาด
ไม่ได้รับรู้ข้อมูลอะไรเลยว่ามันมาจากไหน และได้แต่วิ่งเอาตัวรอดไปตลอดทั้งเรื่อง

นี่จึงเป็นหนังสัตว์ประหลาดบุกที่ผมว่า “เข้าถึงความรู้สึกของผู้คนส่วนใหญ่ที่สุดแล้ว”
เพราะคำถามคือ ถ้ามีสัตว์ประหลาดบุกเมืองจริงๆ...
จะมีโอกาสสักกี่ % ที่คุณจะเป็นคนที่รู้ต้นเหตุทุกอย่างและต้องรับผิดชอบในการปราบมัน
และจะมีความเป็นไปได้กี่ % ที่คุณจะเป็นแค่หนึ่งในคนหลายล้านคนที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วโฟกัสสมาธิไปที่แค่การวิ่งเอาตัวรอด...

ถ้าคุณไม่มีโอกาสเลือกว่าจะเป็นใคร
ผมว่าคุณควรดูหนังเรื่องนี้เพื่อศึกษาข้อมูล ดูทางหนีทีไล่ และจะได้วางแผนการล่วงหน้าเผื่อเอาไว้บ้าง ^^
( รีวิว Cloverfield ที่บ้านคุณ beerled ก็มีนะครับ)




• 27 Dresses
นอกเหนือไปจากการที่ผู้หญิงคนนึงมีโอกาสถึง 27 ครั้งในการรับบทเพื่อนเจ้าสาว
ผมล่ะทึ่งกับการที่เธอคนนั้นมีเพื่อนรักมากมายถึง 27 คนมากกว่า!

แต่ที่แน่ๆ เพื่อนแท้ที่ว่าหายากแล้ว ก็ยังไม่ยากเท่ากับการงมหาคู่แท้
เพราะในหนัง นางเอกของเราทำได้แต่รักเพื่อน ทำเพื่อคนอื่น
และเก็บงำความต้องการของตัวเองด้วยการแอบชอบใครสักคน แต่ไม่บอกเขาสักที

ในหนังมีคำถามนึงที่น่าสนใจ
คือคำถามที่ว่าถามว่า “เราชอบอะไรที่สุดในงานแต่งงาน”
คำตอบของตัวละครอยู่ในหนังครับ
ส่วนคำตอบของผม (คนที่ที่บ้านเป็นร้านอาหารจัดงานแต่งเดือนละหลายงาน) คือ...
ผมทึ่งในความสามารถในการตัดสินใจของผู้บ่าวสาว
บนโลกมีมนุษย์กว่า 6000 ล้านคน แค่การค้นเจอคนที่ใช่นั้นก็ถือว่ายากแล้ว
แต่พวกเขาทำยังไง ถึงได้กล้ายืนยัน(ด้วยการตัดสินใจแต่งงาน)ว่า ในจำนวนคนนับล้านบนโลก “คนที่ใช่คนนี้คือตัวจริง”
แค่คนนี้...ไม่ใช่อีก 5999 ล้านคนที่เหลือ

อย่าว่าแต่ 6000 ล้านคนเลยครับ
เรื่องแบบนี้ต่อให้ตัดเหลือแค่ 27 คน ผมว่ายังเลือกยากเลย...



Create Date : 08 มิถุนายน 2551
Last Update : 15 เมษายน 2553 15:26:10 น. 15 comments
Counter : 2911 Pageviews.

 
ดูแล้วทั้ง 4 เรื่อง มีอยู่เรื่องหนึ่ง ร้องไห้ด้วย
ให้ทายเรื่องไหนเอ่ย ?


โดย: Xenosaga วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:15:50:37 น.  

 
เรื่องแรกยังไม่ได้ดูค่ะ นอกนั้นดูหมดแล้ว ^_^

ชอบ I am Legend มากเลยค่ะ ชอบมากๆ

ต้องหา No Reservations มาดูเสียแล้ว ขอบคุณที่มารีวิวนะคะ


โดย: พรายน้ำฟ้า วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:17:15:29 น.  

 
ที่ว่ามายังไม่ได้ดู Cloverfield เรื่องเดียวค่ะ


โดย: ปลาทองแก้มยุ้ย IP: 124.121.167.228 วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:21:35:26 น.  

 
อยากดู No Reservations จังค่ะ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:23:01:34 น.  

 
ได้ดูเรื่องแรกเรื่องเดียว
บัตรฟรีจาก Bloggang นั่นแหละ ...


โดย: นัทธ์ วันที่: 8 มิถุนายน 2551 เวลา:23:25:15 น.  

 
ไม่ได้ดูเรื่องเดียวค่ะ Cloverfield
ทีเหลือชอบหมดเลยค่ะ...โดยเฉพาะเรื่องสุดท้าย
นางเอกน่ารักมากๆๆๆ


โดย: เนตรสีขาว วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:0:44:13 น.  

 
ในที่สุดก็กลับมาที่ที่เดิมที่เราได้รู้จักกัน นั่นคือวิจารณ์หนัง เวลาที่ผ่านไปช่วงนี้ข้าวหวานน้องชายร่วมสาบานของผมคงรู้สึกดีขึ้นน่ะกับอาการปวดใจ ไม่อยากจะบังคับเลย แต่คุณดู my blueberry night รึยัง ผมว่ามันตอบโจทย์อารมณ์คุณได้ดีเลยน่ะ (แฮะๆที่blogผมก็พร่ำเพ้อถึงเรื่องนี้ไปมิใช่น้อย) ไม่ว่ายังงัยก็ตาม หวังว่าคงสบายดีและแข็งแรงพอที่จะให้กำลังใจคนอื่นๆได้ เชื่อไหมว่า คุณมีเสน่ห์บางอย่างที่แค่เม้นต์อะไรบางอย่างในblog ชาวบ้าน เจ้าของเค้าก็รู้สึกได้ถึงความใส่ใจ และเป็นมิตร
ผมพูดจากความรู้สึกจริงๆ


โดย: beerled IP: 203.154.188.177 วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:17:16:20 น.  

 
เขียนในมุมมองที่น่าสนใจดีครับ เรื่องแรกผมไม่ได้ดูน่ะ ส่วนเรื่องที่สองผมก็ชอบน่ะ แต่รู้สึกเสียดายก็ตรงที่เค้าเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในตอนจบ (จากนวนิยาย) ซึ่งทำให้เนื้อหาสาระสำคัญของทั้งเรื่องนี้มันเสียไปเลย

Cloverfield กับการศึกษาทางหนีทีไล่ ดีครับ ผมว่ามันก็มีโอกาสน่ะที่อาจจะมีตัวอะไรก็ไม่รู้ โผล่มาจากแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่เหมือนกัน ^^

27 Dresses กับคำตอบในเรื่องสิ่งที่ชอบในงานแต่งงาน 55+ นั้นสิครับ คนตั้งเยอะแยะในโลก แต่ทำไมเราถึงสามารถหาคู่แท้ได้ แต่ก็อีกนั้นแหละ ก็ไม่ใช่ทุกคนจะได้แต่งกันคนที่ใช่ซักกะหน่อย ว่าไหมฮ่ะ


โดย: BloodyMonday วันที่: 9 มิถุนายน 2551 เวลา:19:17:35 น.  

 
ทั้งหมดที่รีวิว..อยากดูอยู่เรื่องเดียวค่ะ
และกำลังจะหามาดู คือ 27 Dresses
ชอบอะไรที่มันหวานๆน่ารักๆ ดูไปยิ้มไปค่ะ..ช่วงนี้

ไม่มีอะไรมารับประกันหรอกค่ะ
ว่าหนึ่งในคนหกพันล้านคน “คนที่ใช่คนนี้คือตัวจริง”
เรามองว่าการแต่งงาน..คือความเสี่ยง
แต่เราเสี่ยงกับคนที่เรามีความรู้สึกดีดีมากกว่าคนอื่น
คนที่มีแนวโน้ว..ว่าจะเป็นตัวจริง
แต่ไม่มีอะไรมารับประกัน...ว่าเค้าคนนั้นจะใช่ตัวจริงไหม



โดย: nikanda วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:5:58:55 น.  

 
หลายครั้ง..หลายคน..อยากเดินดูดอกไม้ไปเรื่อยๆ เพื่อเลือกดอกที่สวยที่สุด ใช่ที่สุด ก่อนที่จะเด็ดมันมาดม

แต่ในขณะที่เราเดินเลือกไปเรื่อยๆ นั้น เราอาจค้นพบว่าไม่มีดอกไม้ที่สวยถูกใจหรือดีพร้อมสำหรับเราที่สุด

ดอกไม้ทุกดอกย่อมมีตำหนิ เพราะโลกนี้ไม่เคยมีอะไรสมบูรณ์แบบ

เมื่อเลือกเดินต่อ อาจเจอดอกไม้ที่ใช่ที่สุดสำหรับเรา เราต้องการเด็ดมัน

แต่..เราอาจไม่ใช่ "คนที่ใช่ที่สุด" สำหรับดอกไม้ดอกนั้น และดอกไม้ดอกนั้นก็อาจไม่เลือกเรา

และเมื่อเราอยากเดินกลับมาหาดอกไม้ดอกเดิม เราอาจพบว่าดอกไม้ดอกนั้น
มีคนอื่นเด็ดไปเสียแล้ว ดอกไม้ดอกนั้นมันตระหนักดีว่ามันย่อมร่วงโรย มันรอเราเพียงคนเดียวไม่ได้เสียแล้ว

และระหว่างทางที่เราเดินเพื่อเลือกนั้น สิ่งที่เราสูญเสียไปคือ...เวลา...วัย...

ชีวิตของทุกคนจึงทำได้แค่ ตัดสินใจให้ดีก่อนจะเด็ดเมื่อคิดว่าใช่แล้ว ตัดสินใจจะเด็ดแล้ว
ก็มองดูดอกไม้รอบๆ บริเวณนั้นอีกครั้ง หรือก้าวไปข้างหน้าเพียง 2-3 ก้าว เผื่อมีดอกอื่นทีถูกใจเรามากกว่า
หากเด็ดแล้วพบว่าดอกไม้ที่เด็ดมานั้น ไม่ใช่ดอกที่เราจะพาเดินไปพร้อมกันจนถึงจุดหมายปลายทาง
เราอาจตัดสินใจผิดพลาด ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของคนทุกคน
เราก็เดินจากมาจากดอกไม้ดอกนั้น แล้วเลือกเด็ดดอกไม้ดอกใหม่ต่อไป


โดย: หมวยอินเตอร์ IP: 58.8.192.183 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:13:22:34 น.  

 
หรือถ้าเราเด็ดมาแล้ว แล้วไปเจอดอกไม้ที่น่าจะใช่มากกว่า หรือใช่ที่สุด

แต่ดอกไม้ดอกเดิมก็ยังคง "ใช่" อยู่ ยังทำหน้าที่ของดอกไม้ได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

ทุกคนจึงทำได้แค่..ยอมรับในสิ่งที่เขาเคยเลือกแล้ว.. ตัดสินใจลงไปแล้ว..และพอใจในสิ่งที่มีอยู่

(แหะๆ ขออภัย พิมพ์ไม่หมด ลืมค่ะ)





โดย: หมวยอินเตอร์ IP: 58.8.192.183 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:17:14:29 น.  

 

คุณXenosaga
No Reservations น่าจะมอบความเข้าใจในชีวิตให้มากกว่าจะเรียกร้องน้ำตา
Cloverfield น่าจะตื่นเต้นเกินที่ดวงตาจะเหงื่อแตก
ส่วน 27 Dresses น่าจะน่ารักเกินกว่าที่น้ำตาจะทำงาน
ขอเดาว่า I am Legend แล้วกันครับ ผิดถูกยังไงบอกด้วยนะครับ ^^



คุณพรายน้ำฟ้า
ทั้ง 4 เรื่องนี่ ผมเองก็ชอบ I am Legend ที่สุดเหมือนกันครับ
ผมนี่โรคจิตอยู่อย่าง(แต่ถ้าเราคุยกันไปเรื่อยๆ จะพบว่าผมนี่โรคจิตอยู่หลายต่อหลายอย่าง)
คือชอบจินตนาการถึงโลกที่ไม่มีผู้คน คิดแล้วก็คิดต่อไปว่า ตัวเองจะอยู่ยังไง
จะไปแอบค้างปักหลักที่ Big C สาขาไหนดี วันๆทำอะไรบ้าง และจะเหงาขนาดไหน... ...

เรื่องความเหงานี่ ผมว่าจินตนาการของผมคงไล่ตามความเป็นจริงไม่ทันแน่

หรือบางทีก็คิดว่ามีซอบบี้เกลื่อนเมืองไปเลย
ผมจะไปนอนที่ไหนก็เคยคิดไว้ จะไปแอบเอากล้องวงจรปิดจากร้านไหนมาติดตั้ง
จะเอาเสบียงจากไหน จะเอาเกมอะไรมาตุนไว้เล่นบ้าง ฯลฯ ผมโรคจิตพอที่จะคิดเอาไว้หมดแล้วครับ
เพียงแต่ยังไม่โรคจิตพอจะทำเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้เป็นตำรา 555+


ปลาทองแก้มยุ้ย
ลองไปหามาดูนะ แล้วจะได้เข้าใจหัวอกคนอื่นบ้าง
ว่าเวลาตัวเองไปเดินในเมืองมันเดือดร้อนคนอื่นเค้าขนาดไหน :D



คุณแพนด้ามหาภัย
ด้วยหน้าหนังและพลังของดาราแล้ว
หนังเรื่องนี้กลับเงียบกว่าที่คิด แต่ No Reservations ก็ถือเป็นความบันเทิงชั้นดีครับ
ความบันเทิงที่จะบอกเราว่า สิ่งที่เรามองว่าสำคัญในชีวิต สิ่งที่เราทำทุกวัน และสิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอด
แท้จริงแล้วเป็นเพียงส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของเราเท่านั้นเอง


คุณนัทธ์
บางครั้งความสนุกสนาน สาระดีๆ และโอกาสได้ชมภาพยนตร์
ก็มาให้สัมผัสกันฟรีๆแบบนี้แหละครับ...ชีวิต ^^



คุณเนตรสีขาว
27 Dresses นี่เป็นหนังที่ดูแล้วจะหลงรักนางเอกครับ
(สปอย)(สปอย)(สปอย)(คนที่ยังไม่ได้ดู)
ผมชอบตอนที่พระเอกกับนางเอกเถียงกันว่าเพลงที่เปิดอยู่ในบาร์ร้องว่ายังไงแน่
แล้วเลยสลับกันร้อง ไปๆมาๆ เลยร้องกันทั้งบาร์เลย 555+ ดูแล้วสนุกสนานมากมาย


คุณ beerled
my blueberry night นี่ยังไง๊ยังไงก็ต้องดูให้ได้ครับ
รวมไปถึงบทความถึงหนังเรื่องนี้ของคุณด้วย ยังไงก็ต้อง(ไปดูแล้วมา)อ่านให้จงได้
ล่าสุดไปเดินดูตามแผงแล้วยังไม่เห็นแผ่นมา(ขนาดแผ่นผียังไม่มีออกมาหลอกเลย)
ไปๆมาๆเลยได้ ONCE มาดูปลอบใจแทน...ดูไปดูมา...ว้าวววววววววววววววววว!!!

มัน - มิวสิควีดีโอดีๆนี่เอง ดูแล้วเพลินไปเลย
ONCE นี่ผมเช่าแผ่นมาดูรอบเดียวเลยยังไม่รู้จะเขียนอะไร
เด๋ววันหลังถ้าเจอแผ่นจะซื้อเก็บแล้วนำมาเขียนพูดคุยกันนะครับ

ช่วงนี้สุขภาพไม่ค่อยจะดีนักครับ (หมอบอกว่าน้ำในหูไม่เท่ากัน หูอื้อๆตลอดเวลา -*-)
พูดถึงเรื่องเสน่ห์ที่คุณพูดถึง...ผมว่าเราต่างก็มีเสน่ห์นั้นติดอยู่ที่ปลายนิ้วทุกคนครับ
แล้วเมื่อใดที่สายตากับสมองของเราช่วยกันอ่านตัวหนังสือในบล็อกของใครสักคน
พอตอนที่เราตัดสินใจพรมนิ้วลงบนคีย์บอร์ดตวัดเป็นออกมาคอมเม้นต์
เมื่อนั้นเสน่ห์ที่ว่าก็จะซึมออกมาจากนิ้วเปื้อนตัวหนังสือที่ถูกพิมพ์ออกมาเองครับ

พอเจ้าของบล็อกได้มาอ่านตัวหนังสือที่เป็นพาหะนำเชื้อเสน่ห์ที่ถูกพรมไว้
เสน่ห์นั้นก็จะป้ายไปเปื้อนต่อราวกับโรคติดต่อ
ส่งผลให้เจ้าของบล็อกหายใจถี่ตอนที่อ่านตัวหนังสือ มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
และหัวใจพองโตเป็น 2 เท่าครึ่งอย่างที่การแพทย์ไม่สามารถอธิบายได้

สำหรับผมที่รักการเขียนแล้ว...การที่ใครสักคนสละเวลาอ่านตัวหนังสือของผม
และทิ้งตัวหนังสือของเขาไว้เป็นหลักฐานนั้น ก็ถือเป็นความใส่ใจ เป็นมิตร
และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทรแก่คนอยากเขียนตัวเล็กๆคนนึงแล้วครับ

หลายๆคนที่พบเจอผมเลิกเขียนลงนิตยสารแล้วหันมาเขียนบล็อก
มีแต่จะบ่นว่า “เขามีแต่เขียนบล้อกแล้วไปเขียนนิตยสารกัน ไหงผมถึงสวนทาง”
แน่นอนว่าการเขียนบล็อกนั้นไม่ได้รับค่าจ้าง ไม่ได้เผยแพร่ความคิดอ่านไปไกลทั่วประเทศ
และไม่ได้รับการยอมรับใดๆ ตอบแทน

ตรงนี้ผมได้แต่ตอบพวกเขาไปว่า ผมก็คิดถึงการได้เขียนลงนิตยสารครับ
แต่การเขียนบล็อกที่มีบ่อยครั้งบางงานมีคนอ่านไม่ถึง 5 คนนั้น
กลับให้อะไรที่การเขียนงานลงนิตยสารที่คนอ่านทั่วประเทศให้ผมไม่ได้...

บล็อกให้คนอ่านแก่ผมครับ

บล็อกให้คนอ่านที่ผมสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
บล็อกให้เพื่อนคุยที่สามารถตอบโต้ประเด็นที่ผมเขียนได้ชนิดประโยคต่อประโยค
บล็อกให้ความรู้สึกว่าผมได้เขียนและมีคนอ่านมากกว่านิตยสาร... ... ...
จนถึงที่สุดบล็อกคือสถานที่ที่เปิดโอกาสให้ผมได้สัมผัสกับ “เสน่ห์” ที่คุณบอก
ผมหลงรักเสน่ห์นั้นจากปลายคีย์บอร์ดของทุกๆคน...และหนึ่งในทุกๆคนที่ว่าก็คือคุณนี่แหละครับ

อันนี้ผมเขียนจากความรู้สึกทุกครั้งที่อ่านคอมเม้นต์จริงๆครับ



คุณ BloodyMonday
อ่าน คิดตาม แล้วพาลสลด -*-
สลดตรงที่ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้แต่งสักหน่อย”
บางทีสำหรับคนที่เลือก 1 จาก 27 ยังไม่ได้ อาจจะไม่มีโอกาสได้แต่งจริงๆซะด้วย 555+

สำหรับ I am Legend นี่ผมไม่ได้อ่านเวอร์ชั่นนิยาย
แต่ก่อนดู ผมนึกว่าคำว่า ตำนาน จะหมายถึง ตำนานของมนุษย์คนสุดท้ายบนโลก
ที่ถูกกล่าวขวัญกันในหมู่ซอมบี้ เป็นตำนานที่ซอมบี้ไม่รู้ว่ามีจริงไหม
ใครเคยเจอบ้างอะไรแบบนั้น ตอนจบก็เลยถือว่าหักมุมพอแล้วสำหรับผมนะ
วันไหนว่างๆ เข้ามาเล่าตอนจบแบบนิยายให้ฟังบ้างนะครับ ผมอยากจะรู้ ^^


คุณ nikanda
ความรักเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงอย่างที่คุณแจงว่ามาจริงๆเสียดาย
(ล่าสุดนี่ผมเพิ่งลงทุนและลงแรงไป โดยที่ขาดทุยย่อยยับกลับมาสดๆร้อนๆ)
แต่ไม่ว่าจะเคยขาดทุนแค่ในระดับเสมอตัว เข้าเนื้อนิดๆ หรือจนแทบล้มละลาย
แต่ผมว่า ความรักก็ยังเป็นการลงทุนที่น่าสนใจอยู่เสมอ
เพียงแต่คราวหน้าควรผมจะหาข้อมูลก่อนการตัดสินใจให้ดีกว่านี้ ^^



คุณหมวยอินเตอร์
ที่คุณหมายอุปมาเปรียบเทียบมา พาลให้ผมคิดถึงนิทานในเว็บที่เคยอ่านเจอ
นิทานที่ว่าเกี่ยวกับการหาคู่แท้นี่แหละครับ เรื่องมีอยู่ว่า วันนึงลูกศิษย์ถามอาจารย์เกี่ยวกับการหาคู่แท้
อาจารย์เลยออกกุศโลบายว่า ให้ลูกศิษย์ลองไปเดินผ่านทุ่งดอกไม้แล้วเลือกดอกที่สวยที่สุดมาให้ 1 ดอก
โดยมีข้อแม้ว่าให้เดินตรงได้อย่างเดียวห้ามถอยหลังกลับ

ว่าแล้วลูกศิษย์ก็ไปเดิน ๆ ๆ ๆ แล้วก็เดินไปจนสุดทุ่งโดยไม่ได้ดอกไม้กลับติดมือมาเลย -*-
อาจารย์จึงถามว่า “ทำไมไม่ได้ดอกไม้มาเลยล่ะ”
ลูกศิษย์ตอบว่า “คือตอนที่เดินก็เจอสวยๆเยอะ แต่พอมองไปก็เห็นสวยกว่าข้างหน้า
เลยเดินต่อไป พอไปเจอเข้าก็กลับคิดว่า ข้างหลังสวยกว่า วนไปวนมาแบบนี้ไปจนสุดทุ่ง เลยไม่ได้มาเลยสักดอก”

ความกว้างของทุ่งดอกไม้คงเปรียบได้กับ เวลาและวัยที่คุณหมวยฯว่า
ที่พอเดินไปจนสุดทางแล้วไม่สามารถเลี้ยวกลับมาเลือกได้อีกต่อไป

คงอย่างที่คุณว่า เด็ดมาเลยแล้วยอมรับในการตัดสินใจนั้น
การยืนมองดอกไม้สวยๆนับร้อย
หรือจะสู้การได้สัมผัสกับดอกไม้ที่สวยในความรู้สึกของเราพียงดอกเดียว

แต่ถึงจะรู้อย่างนั้น...การยืนอยู่ท่ามกลางมวลดอกไม้รอบตัว
ก็ยังเป็นการยากที่จะเลือกขึ้นมาสักดอกอยู่ดีครับ (ขึ้นคานแน่ๆผม) 555+


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:18:30:12 น.  

 
once เป็นอะไรที่สุดยอดสำหรับผมครับ หนังง่ายๆที่ลึกซึ้ง ไม่มากมาย ไม่หรูหรา แต่รู้สึกได้ถึงบางสิ่งดีๆ ที่เอาเงินทุนเยอะแค่ไหนมาสร้างก็อาจยังทำไม่ได้อย่างที่ once เป็น นี่เป็นหนังที่มีเสน่ห์ (ตามความหมายของคำว่าเสน่ห์จริงๆ ประมาณว่าดูจบแล้วต้องรีบไปซื้อซาวแทรค หลายวันแล้วยังได้ยินเสียงในหนังลอยมาแว่วๆใกล้หู ออกอาการคล้ายคนตกหลุมรัก ) อยากให้ผมเขียนบทความเรื่องนี้ให้ไหม๊ล่ะ ถือเป็นของขวัญแด่วันเหงาๆ ถ้าโอเค ตอบรับมาน่ะ


โดย: beerled IP: 203.154.188.177 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:18:39:54 น.  

 
คือก็ต้องขอเกริ่นก่อนนะครับว่า นวนิยายเรื่อง I am Legend ของคุณ Richard Matheson นี้อาจจะเป็นนวนิยายวิทยศาสตร์ที่อ่านสนุกที่สุดเล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่เพียงการต่อสู้ของมนุษย์คนสุดท้ายในโลก กับเหล่าผู้กลายพันธ์อย่างเดียว มันยังแสดงให้เห็นถึงมุมมองของอีกเผ่าพันธ์หนึ่ง ที่กำลังสร้างสังคมใหม่ของตัวเองขึ้นมาอย่างมีระบบ

แน่นอนว่าสิ่งที่พูดมาข้างหลังนั้นมันถูกบิดเบือนไปจากหนังที่เราเห็นกันอยู่พอสมควร สิ่งที่เราเห็น ก็เพียงแค่มนุษย์กลายพันธ์ CGI โหดๆ ที่เพียงแต่มุ่งแต่ที่จะทำลายล้างพระเอกเพียงเท่านั้น

แล้วที่สำคัญไปกว่านั้น บทสรุปในนวนิยาย พระเอกก็ได้มาเข้าใจอย่างถ่องแท้ในภายหลังว่า ตัวเค้าเองนี่แหละ ที่เป็นสัตว์ประหลาดของเรื่องนี้เอง ที่เป็นคนที่คอยจับมนุษย์กลายพันธ์มาทดลองเพื่อหาทางรักษาโรคร้ายชนิดนี้ แล้วจุดประสงค์ของเหล่ามนุษย์กลายพันธ์ที่ตัดสินใจรวมพลังเพื่อบุกเข้ามาป้อมปราการของพระเอกในตอนสุดท้ายนั้น ก็เพียงเพื่อช่วยเพื่อนที่ถูกจับของพวกเขาเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าตอบจบดั้งเดิมข้างบนที่ผมเขียน คงจะเป็นไปได้ยากสำหรับหนังวิล สมิธเรื่องนี้ 555+ แต่ผมก็ยังชอบกับการสร้างสรรค์ภาพที่ผกก.เค้าพยายามสื่อสารให้เราได้รับชมน่ะ สำหรับเมือง New York ร้างนี้ ให้คะแนนเต็มสิบไปเลยครับ

อ๋อ สำหรับเรื่อง Almost Famous นี้ก็เป็นหนังในดวงใจผมเหมือนกันเลยครับ จำได้ว่าไปดูในโรงมาวันเว้นวันเลยละมั้ง 55+ Cameron Crowe อาจจะเป็นผกก.ที่ผมอยากนั่งจับเข่าคุยด้วยที่สุดแล้วกระมั้ง แฮ่ะๆๆ


โดย: BloodyMonday IP: 124.121.241.105 วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:21:33:16 น.  

 
ถูกต้องแล้วค่ะ ร้องไห้ให้กับความโดดเดี่ยว
ทั้งที่จริง ๆ เป็นคนชอบปลีกวิเวกอยู่กับตัวเองนะ
แต่ถ้าเป็นอย่างในหนัง คงจะตื่นเต้นแค่อาทิตย์แรก พอพ้นไป น้ำตาคงหยดแหมะแน่ ๆ เลย

No Reservations กับ 27 Dresses
ดูแล้ว ความรู้สึกแบบผู้หญิงเข้าครอบงำค่ะ
ดูไปก็แอบกระหยิ่มยิ้มย่อง อู๊ยย ฉันอยากเป็นแบบนี้
อยากได้แฟนแบบนี้จัง ประมาณว่าอิจฉาตารัอนนางเอกในเรื่องน่ะ

ส่วนเรื่องสุดท้าย Cloverfield ดูไปเวียนหัวไป
ต๊าย อิชั้นแก่แล้วหรือนี่
แต่ก็ดูได้จนจบ งั้นก็สรุปได้ว่ายังไม่แก่ แต่เกือบแก่ก็แล้วกัน 55555

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ แต่พอรู้จักคุณแล้ว รู้สึกละอายใจยังไงชอบกล คุณดูใส่ใจกับคนที่เข้ามาเม้นท์ในบ้านคุณจัง
รู้สึกผิดน่ะ เพราะดูเหมือนตัวเองจะละเลยคนมาเยี่ยมบ้านตัวเอง คงต้องปรับปรุงตัวใหม่แล้วล่ะ


โดย: Xenosaga วันที่: 10 มิถุนายน 2551 เวลา:23:42:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอรบกวนทั้งชุดนอน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




Group Blog
 
 
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
8 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ขอรบกวนทั้งชุดนอน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.