บันได 7 ขั้นสู่การออกหมัด Sucker Punch ใส่ชีวิต [Spoil]
บทความนี้เป็นการตีความภาพยนตร์ Sucker Punch จากมุมมองอันว่าด้วยการกล้าที่จะใช้ชีวิต หากผิดพลาดประการใด โปรดติชม แนะนำ และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ >_<
นอกเหนือไปจากฉากบู๊ล้ำจินตนาการ ชุดคอสตูมสุดได้ใจ และอะไรต่อมิอะไรแล้ว เรายังสามารถแบ่งประเด็นของ Sucker Punch ออกเป็น 7 ส่วนเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจง่ายได้ - ดังนี้
บันไดขั้นที่ 1 ชีวิตสามารถเส็งเคร็งได้โดยไม่เกริ่นก่อน บอกล่วงหน้า หรือแจ้งเตือนใดๆ ความไม่แน่นอนของชีวิตคือสิ่งปรากฏในฉากแรกของ Sucker Punch อย่างกะทันหัน... จู่ๆ เด็กสาวคนนึง (เบบี้ดอล) ก็สูญเสียแม่กับน้องสาว ถูกพ่อเลี้ยงทำร้ายป้ายสี จับส่งโรงพยาบาลบ้า และสูญเสียอิสระภาพโดยไม่มีความผิด
ก่อนที่จะทำพูดถึงการดิ้นรนต่อสู้ของตัวละครทั้ง 5 ใน Sucker Punch นี่คือความจริงข้อแรกๆ ที่คนดูต้องคำนึงถึง เพราะในหนังตลอดทั้งเรื่อง สาวๆ ทั้ง 5 ต่างไม่ได้กำลังใช้ชีวิตในแบบที่ตนต้องการ ความสุขตกหล่นหาย และมองหาหนทางที่จะเปลี่ยนแปลงไม่เจอ ยิ่งเราเข้าใจความจริงข้อนี้ได้เร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งมองภาพรวมของตัวละครออกไวขึ้นเท่านั้น
นั่นอาจรวมถึงการมองชีวิตของตัวเราเองด้วยเช่นกัน
บันไดขั้นที่ 3 ฝันขั้นที่ 2 มายาภาพในสมองของคนบ้า ว่ากันว่า 8 ใน 10 ของคนบนถนนต่างมีปัญหาทางจิต
การที่ฉากหลังของ Sucker Punch เป็นโรงพยาบาลบ้านั้น มีนัยยะแฝงที่น่าสนใจ ภายใต้ชีวิตที่อาจเน่าได้โดยไม่ต้องการเหตุผลและสังคมที่บีบให้เราเดินตามบทพลเมืองดี มันบีบให้เราไม่ด้ใช้ชีวิตตามที่หวัง จนบ่อยครั้งคนเราจึงเริ่มเกิดภาพขึ้นในหัว เราจะมองเห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็น ถ้าเอาไปเล่าให้ใครฟัง เขาจะบอกว่ามันไร้สาระ เป็นไปไม่ได้หรอก คิดไปได้บ้าไปแล้ว!
ภาพในหัวที่ว่าคือความฝันที่จะมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ซึ่งหากการมองเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงคืออาการของคนบ้า อย่างนั้นคนที่มีความฝันก็เป็นคนบ้ากันทุกคน
ใน Sucker Punch สาวๆ ทั้ง 5 ติดอยู่ในฝันของบลู พวกเธอถูกบีบให้กลายเป็นนักเต้นอย่างไม่เต็มใจ ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ถูกบังคับให้ลงเรียนพิเศษ นักศึกษาที่ทนเรียนคณะที่ไม่ชอบ และพนักงานกินเงินเดือนที่ฝืนทำงานแบบซังกะตายไปวันๆ เพียงเพื่อให้อยู่รอด - ร็อคเก็ต , บลอนดี้ , แอมเบอร์ และสวีทพี ต่างยอมแพ้ให้กับความต้องการของสังคม
แม้จะคิดฝันถึงอิสระภาพในหัวอยู่บ้าง แต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดเพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็นคนบ้า
นั่นเป็นธรมชาติของความฝัน ตอนอยู่ในหัวมันจะทำให้เรากลายเป็นคนบ้า เพราะเรากำลังเห็นอะไรที่ไม่มีอยู่จริง พูดถึงเรื่องเพ้อเจ้อไปวันๆ แต่หากเราหยิบมันออกมาจากหัว ลงไม้ลงมือทำมัน จนกลายเป็นความจริงได้ จากคนบ้าก็อาจกลายเป็นคนที่มีความสุข ประสบความสำเร็จ หรือถึงขั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ ภายหลังที่เบบี้ดอลเข้ามาพร้อมแผนการที่จะสู้เพื่ออิสระภาพ ชีวิตของ 4 สาวจึงเปลี่ยนไป ว่ากันว่า มีเพียงเส้นบางๆ เท่านั้นที่แบ่งคนบ้ากับอัจฉริยะออกจากกัน และพวกเธอกำลังจะทำการพิสูจน์เรื่องนี้
บันไดขั้นที่ 5 ไอเทมที่เรามีอยู่แล้ว , ยังไม่มี และอันที่มีแล้วแต่ไม่รู้ตัวว่ามี ใน Sucker Punch แผนการหลบหนีของสาวๆ ประกอบไปด้วยการไล่ตามหาไอเทม 5 ชิ้น 4 ชิ้นแรกประกอบไปด้วย แผนที่ , ไฟแช็ก , มีด และกุญแจ ประเด็นนี้ของหนังสื่อถึง วิธีการทำตามความฝัน พวกเธอรู้ว่าพวกตนต้องมีอะไรบ้างเพื่อใช้ในการหลบหนี เหมือนๆ กับพวกเราส่วนใหญ่ที่ก็รู้วิธีการไล่ตามความฝันอยู่ในมือกันอยู่แล้ว อยากเป็นนักร้องไปสมัคร The Star ค้นฟ้าคว้าดาว อยากเป็นเจ้าของกิจการก็ตั้งใจเก็บออมและต้องกล้าลาออกมาตั้งตัว อยากมีความสุขกับงานก็ไปเลือกทำงานที่เรารัก แต่ การรู้วิธี กับ การทำให้มันเป็นจริง นั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน
นั่นเป็นที่มาของไอเทมชิ้นที่ 5 คือ การเสียสละตัวเราเอง นอกเหนือจากการรู้วิธีไล่ตามความฝันแล้ว เรายังต้องมี ความกล้า ที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงท้าชนกับความต้องการของสังคม ต้องกล้าออกจาก พื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง อย่ากลัวผิดหวัง อย่ากลัวล้มเหลว เอาชนะความกลัวในหัวของเราให้ได้ แล้วเราจะพบว่าการไล่ตามความฝันนั้นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด เพราะเรามีทั้งไอเทมชี้ทางว่าเราควรจะต้องทำอะไรบ้าง และมีความกล้าที่เราเคยคิดว่าเราไม่มีแล้ว
ในที่นี้หาก การล้มมังกร คือระดับความน่ากลัวของความฝันเวลาอยู่ในหัวเรา ทันทีเรากล้าที่จะก้ามข้ามมันไปได้ (แบบที่สาวๆ ในหนังทำได้) เราก็จะพบว่าตอนที่เราเอาความฝันไปปฏิบัติจริง ความน่ากลัวของมันจะแค่เสียวๆ ระดับ ขโมยไฟแช็ค จากคนที่ไม่ทันระวังตัวเท่านั้นเอง
บางอย่างเริ่มต้นที่ใจ...แต่สำหรับความฝัน บางครั้งมันจะเริ่มต้นและสำเร็จในตอนท้ายได้ โดยวัดกันที่ใจล้วนๆ
บันไดขึ้นที่ 7 เกริ่นแรกและส่งท้าย อันที่จริงแล้ว ประเด็นเรื่องความฝัน การเปรียบเทียบความน่ากลัวในหัวสมอง และความกล้าที่เราควรใส่ไปเต็มร้อย ของ Sucker Punch ได้ถูกบรรจุไว้ตั้งแต่ช่วงบทเกริ่นนำของหนัง ที่บอกว่า เราต่างมีเทพประจำตัวกันทุกคน เป็นเทพในหัวที่บันดาลความฝันมาให้ แต่บางครั้งเทพก็มาในหลายรูปแบบ เป็นคนแก่เจนโลกที่พูดให้ร้ายความฝันว่ามันน่ากลัวก็มี เป็นเด็กน้อยน่ารักที่สดพอจะกล้าท้าชนกับทุกสิ่งก็มี อยู่ที่เราต้องเลือกฟัง
รวมถึงบทบรรยายในตอนท้ายที่ถามว่า ใครเป็นผู้ที่ปล่อยสัตว์ร้ายมาโจมตีเราและยินดีเมื่อเรารอดชีวิต ตอนนี้เรามีอาวุธพร้อมแล้วเริ่มลุยได้เลย ซึ่งนั่นบอกกับคนดูว่า ความคิดของเราสามารถทำให้เราทั้งท้อถอยและฮึกเฮิมได้ และเราต้องก้าวข้ามเอาชนะความอ่อนแอของตัวเองให้จงได้ แน่นอนมันเป็นแค่คำพูดเก่าๆ เชยๆ และอาจเก่ามากจนใครบางคนลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ หวังว่าการตอกย้ำคำพูดนี้ผ่านฉากแอ๊คชั่นมันๆ ภาพฉากหลังตระการตา และสาวๆ ในชุดนักเรียนญี่ปุ่น มันจะมีส่วนช่วยให้ใครต่อใครจดจำมันได้แม่นขึ้น
จำให้แม่นพอ...ที่จะไม่ลืมหยิบไปใช้ในชีวิต
Create Date : 31 มีนาคม 2554 |
Last Update : 31 มีนาคม 2554 14:44:06 น. |
|
2 comments
|
Counter : 3348 Pageviews. |
|
|
|
โดย: pumpond วันที่: 3 เมษายน 2554 เวลา:13:47:55 น. |
|
|
|
โดย: BeCoffee วันที่: 3 พฤษภาคม 2554 เวลา:8:04:43 น. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ความคิดของเราสามารถทำให้เราทั้งท้อถอยและฮึกเฮิมได้ และเราต้องก้าวข้ามเอาชนะความอ่อนแอของตัวเองให้จงได้ อืมๆ
ยังทำไม่ได้อะ
ตอนนี้คิดจนภาพในหัวมันน่ากลัวกว่าความเป็นจริง คิดว่าจะเกิดภัยพิบัติต่างๆนานา
ดีนะที่มีน้องนทมาช่วยชีวิตไว้ ทำให้ละความคิดเรื่องภัยพิบัติ มาดูเดอะสตาร์แทน วันนี้หวังว่านทจะรอดนะ ชอบดูนทเพราะรู้สึกว่านทมีความคิดด้านบวกอยู่มาก มีความสุข โลกสดใสดี จะได้ดึงความคิดตัวเองจากด้านลบให้มาอยู่ด้านบวกได้มากขึ้น
ส่งยิ้มจ้า
ปล. เห็นด้วยกับข้อความนี้นะ "จากคนบ้าก็อาจกลายเป็นคนที่มีความสุข ประสบความสำเร็จ หรือถึงขั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะ"