someday we write , someday we wrong









The Holiday : เมื่อความรักค้นเจอคนที่เลิกค้นหา





คุณคิดว่ามนุษย์เราจะตบตาความรักได้ไหมครับ?
งานนี้ผมไม่รู้คำตอบจริงๆครับ...เลยกะไว้ว่าจะมาหลอกถามทุกคนแทน

ที่มาของคำถามปฏิบัติการณ์แอบหลอกลวงความรักครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นตอนที่ผมตัดสินใจจะไปเที่ยวทะเลเพียงลำพัง ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าหากใครที่เผลอพลาดท่าไปทะเลคนเดียวแล้วล่ะก็...จะต้องไม่พ้นได้เจอความเดียวดายขโมยชิงกำลังใจ โดนความอ้างว้างรุมกระทืบทุบตี และถูกความเหงาฆ่าปาดคออย่างเลือดเย็น

แต่ที่ตลกก็คือ เจ้าไอเดียทริปลุยเดี่ยวไปท้าชนกับความเหงาครั้งนี้...เกิดขึ้นเพราะความเหงา(?)







ด้วยตัวผมทำงานอยู่แต่บ้านทุกวี่วัน แม้งานร้านอาหารและอพารต์เมนต์จะเป็นงานที่มีผู้คนมากหน้าหลายตาผ่านไปผ่านมาอยู่ตลอดเวลา แต่ด้วยจรรยาบรรณแล้วผมไม่ควรที่จะไปจีบปากจีบคอทั้งกับลูกค้าที่มารับประทานอาหารและลูกค้าที่มาใช้บริการอพารต์เมนต์ ส่งผลให้ผมเลยมีแต่ความเหงายืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆเสมอมา

ในทีแรกตามประสาคนอะไรก็ได้ง่ายๆสบายๆ ผมคิดว่าลองอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็คงจะชินไปเอง หากแต่มาทราบภายหลังว่า จิตใจของมนุษย์นั้นไม่ได้ถูกสร้างมาให้แข็งแกร่งพอที่จะย่อยความเดี่ยวดายให้กลายเป็นภูมิต้านทานความเหงาได้ เพราะต่อให้เราเผชิญหน้ากับความเหงาไปนานเพียงไรร่างกายก็ไม่ยักจะเคยชินกับมันสักกะที

ว่าแล้วผมเลยคิดแผนว่าจะลองออกเดินทางดู โดยจุดประสงค์ของแผนนี้วางอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า หากเราไม่สามารถเคยชินกับความเหงาได้ บางทีเราอาจจะต้องลองพาตัวเองขึ้นไปสู่อีกระดับของความเหงา ในที่นี้ผมหมายถึงถ้าเราเปรียบว่าความเหงาของการอยู่แต่บ้านเป็นการถูกมีดปอกผลไม้บาดนิ้ว แล้วให้ความเหงาของการไปทะเลคนเดียวเป็นการถูกดาบซามูไรแทงทะลุพุง ก็จะสรุปได้ว่าตอนเราอยู่แต่บ้านแล้วเจอมีดบาดอาจจะถือว่าเจ็บแล้ว แต่หากเราได้ลองออกไปหาประสบการณ์โดนดาบแทงทะลุลำไส้คาทะเลมาบ้าง...การกลับมาบ้านแล้วโดนแค่มีดบาดนิ้วอีกครั้ง มันคงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอีกต่อไป...

สมมุติฐานของการทดลองเดินทางไปทะเลในคราวนี้จึงอยู่ตรงที่...
“ถ้าเราเคยเจอความเหงาที่รุนแรงกว่ามาแล้ว...บางทีเราอาจจะรับมือกับความเหงาแบบบ้านๆได้ดีขึ้น”

ดังนั้นการออกไปทะเลเพียงลำพังของผมจึงไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อตามหาความรักมาคลายความเหงา
หากแต่เป็นการออกไปลองรับรู้ความเหงาในระดับที่รุนแรงขึ้น เพื่อยกระดับความสามารถในการรับมือกับมันแทน

ถึงตรงนี้หลายคนอาจจะคิดว่าผมกำลังหนีปัญหามากกว่าจะแก้ไขมัน แล้วแนะนำว่า “ทำไมไม่ตามหาความรักแถวบ้านล่ะ ดีกว่าการไปเจอความเหงาที่สาหัสกว่าตั้งเยอะ” เกี่ยวกับเรื่องการค้นหาความรักนี่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยลองนะครับ แต่การค้นหาความรักมักจะมีบรรยากาศเหมือนตอนรอคอยรถเมล์ ที่พอตั้งใจ(หา)รอทีไรมันจะไม่มา...แต่พอไม่ได้(หา)รอมันดันมาจอดถึงป้ายหน้าตาเฉย...







ในกรณีนี้ ผมมีตัวอย่างของคนที่พอจะหลบหนีความรักแต่กลับถูกความรักล้อมจับมาเล่าให้ฟังครับ เรื่องราวที่ว่าคือหนังปี 2006 เรื่อง The Holiday ซึ่งทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นที่ความเหงา ความผิดหวัง และความหมดศรัทราในความรักของ 2 สาวที่อยู่ห่างกันคนละทวีปได้แก่ ไอริส (เคต วินสเลต) และ อาแมนด้า (คาเมรอน ดาอาซ) ทั้งคู่เพิ่งจะถูกความรัก(รวมถึงคนรัก)นอกใจในเวลาไล่เลี่ยกัน เมื่อต้องกำลังตกอยู่ช่วงเวลาที่เบื่อหน่ายความรัก ทั้งคู่เลยเลือกที่จะหนีปัญหาด้วยการเปิดคอมพิวเตอร์แล้วคลิกเข้าไปในเว็บไซส์ที่ให้บริการคนที่อยากจะแลกบ้านกับคนแปลกหน้า! …ตอนนั้นเองที่ไอริสได้พบเจอกับอาแมนด้า แล้วบทสนทนาของคนที่ไม่อยากตามหาความรักอีกต่อไป...ก็เริ่มต้นขึ้น

“ที่เมืองของคุณมีผู้ชายไหม?” อาแมนด้าพิมพ์ถามไอริสเพื่อหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนจะขอแลกบ้าน
“ขอโทษที่ต้องตอบตามความจริง” ไอริสเพ้อกับตัวเองตามประสาคนกำลังอกหัก ก่อนที่จะพิมพ์ตอบไปว่า
“ไม่มีเลยสักคน!” ประชดไงอันนี้...แต่มันกลายเป็นแผนการตลาดที่ได้ผล
เพราะอาแมนด้ายิ้มแป้นและตกลงขอแลกบ้านในทันที!

ว่าแล้วทั้งคู่เลยเก็บกระเป๋าและออกเดินทาง 6000 ไมล์ข้ามทวีปไปอยู่บ้านของอีกฝ่ายเป็นเวลา 2 สัปดาห์
อ่านถึงตรงนี้คงจะต้องบอกว่านี่เป็นวิธีหนีปัญหา...ที่ไกลเอามากๆ...







“ฉันต้องการความเงียบ ความสงบ …หรืออะไรก็ได้ที่ผู้คนเขาเดินทางออกไปค้นหา”
อาแมนด้าบ่นถึงประโยคนี้ตอนที่เก็บกระเป๋าโดยไม่ได้คาดคิดว่า “เจ้าอะไรก็ได้” ที่ว่าบางทีอาจจะเป็นความรักที่ตนเพิ่งวิ่งหนีมา เพราะสิ่งที่รอเธออยู่ที่ปลายทาง 6000 ไมล์นั้นคือ แกรห์ม (จู๊ด ลอว์) พี่ชายสุดหล่อของไอริสที่บังเอิญแวะผ่านมาเยี่ยมน้องสาวในจังหวะที่น่ารักเกินกว่าจะพูดว่าเป็นแค่เหตุบังเอิญ ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งไอริสเองก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับ ไมลส์ (แจ็ค แบล็ค) เพื่อนร่วมงานหนุ่มของอาแมนด้าที่หล่อน้อยไปหน่อย มีพุงอยู่บ้าง แต่ก็บานเบอะไปด้วยอารมณ์ขัน

“ตำนานเล่าว่า เมื่อลมซานตาแอนนาพัดผ่านมา ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้”
ไมลส์เล่าประโยคนี้ให้ไอริสฟังคลอไปกับสายลมชื่อเดียวกันที่กำลังพัดผ่านพวกเขา บางที “ทุกอย่าง” ที่ไมลส์ว่าอาจจะรวมไปถึงความสามารถในการค้นหาของความรัก ที่ไม่ว่าเราจะแอบซ่อนได้เก่ง หลบหลีกได้ไว และวิ่งหนีได้ไปไกลสักเพียงใด…ในท้ายที่สุดความรักก็จะตามหาเราจนเจออยู่ดี…

กลับมาที่เรื่องการเดินทางของผม...
คุณว่าผมจะตบตาความรักให้หลงเชื่อได้ไหมว่า การที่ผมตั้งใจจะเดินทางไปทะเลคนเดียวนั้น
มีจุดประสงค์เพียงเพื่อที่จะสร้างภูมิต้านทานความเหงา(อย่างที่ผมได้อธิบายไว้)…

ที่ผมพูดว่า “ตบตา” ก็เพราะแท้จริงแล้วผมไม่ได้คิดจะออกไปตามหาความเหงาอย่างที่อธิบายไว้หรอกครับ

แต่ด้วยบ่อยครั้งพอเราพยายามวิ่งตามหาความรักอย่างเต็มกำลัง เรากลับจะพบเจอเพียงแต่ความว่างเปล่า ในขณะที่พอเราหยุดค้นหามัน (เหมือนอย่างทั้ง 2 สาวในเรื่อง) เราจะพบว่าความรักกลับหันมาเป็นฝ่ายที่ค้นหาจนเจอเราแทน ดังนั้นในท้ายที่สุดแล้วการไปทะเลเพียงลำพังของผมจึงมีจุดประสงค์ที่หวังจะตบตาความรัก ด้วยการทำเป็น(แกล้ง)หยุดค้นหามัน(ทำทีว่าจะไปมอบหาความเหงา)...เพื่อหลอกให้ความรักหันมาค้นเจอผมแทน...

มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า “การเดินทางที่ดีที่สุดคือการเดินทางที่คุณทิ้งภาระทุกอย่างเอาไว้เบื้องหลัง”
คำว่า “ภาระทุกอย่าง” ที่ว่า บางทีอาจจะรวมไปถึงความรักครั้งเก่าและความเหงาประจำวันด้วยก็ได้...

คุณคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลไหมครับ...ในท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เราจะตบตาความรักได้ไหม?
ถ้าคุณเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันล่ะก็...ไม่เป็นไรครับ ไว้กลับจากทะเลเมื่อไหร่ผมจะมาเฉลยให้ฟังนะครับ



Create Date : 19 ธันวาคม 2551
Last Update : 15 เมษายน 2553 15:24:18 น. 28 comments
Counter : 862 Pageviews.

 
ด้วยความที่เอนทรี่ที่แล้ว(คลิก)
โดนคุณอปอช กับพี่ BloodyMonday แซวว่าผมกำลังมีความรัก
มาเอนทรี่นี้ผมเลยจะขอยืนยันว่า “ยังครับ” 555+ ยังเหงาอยู่ทุกวี่วันไปตามประสา...อย่าเพิ่งรีบยุผมสิครับ


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:2:01:47 น.  

 
Wadee ka.


โดย: CrackyDong วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:3:31:50 น.  

 
อ่านจบแล้ว..ยังไม่ออกความเห็น
แค่อยากบอกว่า..อ่านภาษาของคุณชุดนอนฯแล้ว
ให้ความรู้สึกเหมือนถูกหลอกล่อให้เดินไปในเขาวงกต
เพื่อหาทางออก ยังไงไม่รู้
..เดินไปจนแล้วแล้วรอบเล่า..จนในที่สุด สุดท้าย..ทางออก..มันอยู่ข้างหน้านี้เอง


โดย: nikanda วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:4:16:06 น.  

 


ตามมายุต่อค่ะ อิๆ อ้อ ก่อนออกเดินทางอย่าลืมอ่าน The Alchemist ของ Paulo Coelho ด้วยน้า

หนังเรื่องนี้น่ารักมากเลย อปอช.ชอบคู่ของแจ็ค แบล็ค(ชอบแจ๊ค แบล็ค เป็นผู้ชายที่อบอุ่น ชอบกว่าสุดหล่อจู๊ด ลอว์อีกนะ)

จะตบตาความรักสำเร็จรึเปล่า จะตามมาอ่านตอนต่อไปนะคะ


โดย: อปอช (apple_cinnamon ) วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:9:03:36 น.  

 
^
^
ชอบแบล็คเหมือนกัน น่ารักอะ


โดย: แพนด้ามหาภัย วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:12:18:44 น.  

 
เรื่องนี้ชอบขนานหนักครับ เข้าข่ายชอบอย่างแรง อารมณ์อบอุ่น น่ารักได้บรรยากาศดีจริงๆ


โดย: หมื่นทิพ (เทพบุตรตบะแตก!! ) วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:14:24:53 น.  

 
ยังไม่มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้เลยค่ะ
ต้องไปหาดูมาบ้างค่ะ

เคยกลัวกับการไปดูหนังคนเดียวค่ะ
แต่วันนี้ตัดสินใจไปดูคนเดียวค่ะ
คำตอบที่ได้

ไม่เห็นมันแย่อย่างที่คิดเลยค่ะ


โดย: บางส้มเปรี้ยว วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:15:11:02 น.  

 
หนังไม่ได้ดู
แต่เรื่อง "ตบตา เนี่ย ....คงไม่สำเร็จหรอก
เหมือนเราตบตาตัวเอง หนีงานไปเที่ยว
บอกกับตัวเองว่า ฉันจะไม่สนใจงานการใดๆ ทั้ืงสิ้น
เพราะสิ่งที่เกี่ยวกับเรานั้น เราจัดการหมดแล้ว
พ้นจากนี้ ...ถึงรับรู้ ก็คงช่วยแก้ไขไม่ได้
คนที่อยู่ในหน้าที่ ก็ทำกันไปซิ
ว่าแล้ว ก็ป่าวประกาศบอกใครต่อใครว่า
อย่าโทรมานะ ....แม้จะเปิดโรมมิ่ง ก็ไม่รับหรอก
เพราะรับสายเสียตังส์ตั้ง 30 บาทเชียวนะ จะเรียกเก็บจากบริษัทด้วยล่ะ

ขู่ไปงั้นแหละ
ก่อนจะออกพ้นกทม. เราก็โทรกลับมาเช็คงาน ...เพราะเป็นคืนจัดพื้นที่
และทุกคืนก่อนนอน เราก็เปิดเครื่อง เพื่อเช็คดู miss call ...

แล้วแบบนี้ จะ"ตบตา" ตัวเองไปทำไมกัน

******
คุณขุดนอน ทิ้ง comment ไว้ทุก blog ขอไล่ตอบตามลำดับนะคะ

เห็นด้วยว่า ทุกวันนี้ปั๊มน้ำมันเป็นแหล่งเสบียงชั้นดี ....แวะเมื่อไหร่ ก็อิ่ม
ส่วนป้ายติดรถตู้่นั่น แค่ตัวอย่างค่ะ ....เราเดินดูแต่ละคันตอนรอข้ามแดน ...หลากหลายมา เลือกมา 2 ภาพนี้เพราะถ่ายออกมาได้ชัดสุด แล้วงก็ฮาดี

ประเด็นยางแ่ตกนี้ น่าคิด ...การได้พักระหว่างทางทำให้เราได้ผ่อนคลายจริงๆ ซะด้วย
รถตู้ที่ตามๆ กันมา ส่วนใหญ่เค้าก็พักนอนที่วังเวียง 1 คืน กันลูกทัวร์เมา ....แล้วไปเมากันขากลับ เพราะยิงยาวนั่นแหละ

เรื่องปาท่องโก๋ นั่นก็แปลกดี ตอนพวกเราไปถึงร้าน บนโต๊ะกลางจะมี ตะกร้าปาท่องโก๋ อีกตะกร้าใส่เนยกับแยมกล่องเล็กๆ
ก็แสดงว่า เค้าให้กินคู่กันอ่ะดิ เราก็เลยคีบปาท่องโก๋ 2 ตัวกับเนยและแยมมาอย่างละ 1
ข้าวต้มนั่นแหละ ....ตักใส่ถ้วยมาให้ทีหลัง ....
น้ำก็ไม่เดือดซะที ...เราก็เลยชงกาแฟ..แบบครีมไม่ละลายไป 2 ถ้วย
แกลลอรี่แสดงภาพนั่น เป็นอาคารหนึ่งในเขตพระราชวังเดิม (ที่หอพิพิธภัณฑ์ค่ะ)

หลวงพระบางเป็นเมืองมรดกโลกค่ะ ....มีข้อกำหนดในการสร้างตึกสูง
เพราะฉะนั้นริมฝั่งแม่น้ำโซนนี้ คงไม่เหมือนริมฝั่งเจ้าพระยาแน่ๆ
เมืองสงบ วัดเยอะๆ แบบนี้ เราชอบนะ
ส่วนภาพขาว-ดำ เราก็ชอบนะ ...กล้องทำได้ ก็ปรับถ่ายจากกล้องไปเลย
แต่เพื่อนเราบอกว่า ถ่ายภาพสีดีกว่า อยากได้ขาวดำ ค่อยใช้ PS ปรับที่หลัง
เราว่า อารมณ์ตอนถ่ายภาพ โดยเฉพาะภาพคนเนี่ย ...อยากได้ขาว-ดำ ก็น่าจะทั้งเป็นขาว-ดำซะเลย ....
ภาพดูเหงาๆ เศร้าๆ ดีออกนะ

ดีใจที่มีคนชอบค่ะ ...คราวหน้านะ ...จะจัดให้ตามที่ขอ

ปล.พระพุทธรูป..ชำรุดเหมือนบ้านเราเลยเนอะ ..

******
ยาวอีกแล้ว ...



โดย: นัทธ์ วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:17:34:59 น.  

 
ปกติแล้วผมชอบดูหนังรักๆใคร่ๆด้วยทัศนคติแบบ มีน้ำเหลือตั้งครึ่งแก้ว น่ะ คือไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรขวางกั้นในเรื่อง สุดท้ายแล้วผมก็อยากให้มันลงเอยแบบแฮ๊ปปี้เอนดิ้งจริงๆ (แฮ้ปปี้เอนดิ้งในความหมายของผม ก็รวมไปถึงโศกนาฎกรรมด้วยน่ะ ถ้าเรื่องมันนำพาไปสู่จุดนั้น) แต่เรื่องที่คุณชุดนอนนำมาพูดถึง มันช่างชักจูงผมให้เข้าไปสู่ทัศนคติแบบ เหลือน้ำแค่ครึ่งแก้วเอง จริงๆ...

ผมชอบนักแสดงหลักทั้งสี่คนน่ะ คือทั้งบุคลิกและฝีมือการแสดงที่ผ่านมา (ซึ่งก็รวมถึงเรื่องนี้ด้วย) แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจผมเป็นที่สุด ก็คือการวางคาแร็คเตอร์ของแต่ละคน โดยเฉพาะฝ่ายชายที่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายประโลมโลกของ แดเนียลเล่ สตีล ยังไงยังงั้น คือผมก็เข้าใจว่าผู้หญิงที่ดูผู้ชายสองหน่อในเรื่องนี้แล้วคงจะคิดว่า "ชั้นอยากได้แฟนแบบนั้นจังง" แต่ในฐานะที่ตัวเองเป็นเพศตรงข้าม เมื่อเห็นชายทั้งคู่แสดงจนจบเรื่องแล้ว ก็ทำให้คิดไปซะว่า "เฮ้ย ผู้ชายแบบนี้มันจะมีจริงมั้ยเนี่ยย (หรือถ้ามีเราก็คงไม่อยากรู้จัก 555+)"

ประเด็นคือ (อ้าว ยังไม่เข้าประเด็นอีกเหรอ ฮ่าๆ) สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแอนตี้หนังเรื่องนี้ก็คือ ความนิ้งหน่องของทุกคาแร็คเตอร์ (ยกเว้น เคท) และการกระทำที่ too good to be true ของพวกเขา คือมันอาจจะดูมีมนต์ขลังค์ขึ้นมา (เพราะอย่างน้อยมันก็เป็นหนังในเทศกาลคริสมาตหล่ะเนอะ) ถ้ามันทำอะไรต่อมิอะไรให้ดู subtle กว่านี้ มากกว่าจะถ่ายทอดทุกวินาทีที่เกิดขึ้นทั้งนอกและในสมองของทุกคน ลงบนแผ่นฟิล์มดังเช่นที่เป็นอยู่นี้...

นอกเรื่องนานล่ะ ขอเข้าเรื่องเลยล่ะกัน 55+ ผมว่าเรื่องรักๆใคร่ๆเนี่ย ยิ่งเราเสาะหามันก็ยิ่งหนีหายไปจากเราน่ะครับ และที่สำคัญ ก็อย่างที่คุณชุดนอนพูดแหละครับว่า มันกลับทำให้เรารู้สึกเหงามากกว่าเดิมซะอีก (เมื่อการตามหารักกลายเป็นการวิ่งไล่จับอากาศธาตุ) ผมเชื่อว่าความสัมพันธ์ลึกซึ้งนั้น เกิดขึ้นได้จากการมีความสัมพันธ์แบบผิวเผินก่อน เรารู้จักใครก็ทำความรู้จักกันไปเรื่อยๆ เข้าเกียร์หนึ่ง แล้วไปเกียร์สอง แล้วเกียร์สามต่อไปเรื่อยๆ อย่าเชนจากเกียร์หนึ่งแล้วไปห้าเลยครับ เดี๋ยวรถมันจะพังซะปล่าวๆ ถ้าเป็นแบบนั้น สงสัยคุณชุดนอนต้องนั่งรถเมล์ไปอีกนานเลยน่ะ (พูดแบบนี้ผมไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงเปรียบเสมือนรถน่ะ 55+ คือมันเป็นแค่คำเปรียบเปรยเฉยๆ)

แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ในเคสของผมนั้นคือสมองกับหัวใจมันมักจะไม่ลงรอยกัน (และจากที่อ่านก็คงเดาว่าเป็นของคุณชุดนอนด้วย) คือสมองก็คอยบอกว่า "เฮ้ย ทำอย่างอื่นที่ productive ก่อนดีกว่ามั้ยย อันนั้นไว้ค่อยว่ากันเมื่อพร้อม" แต่หัวใจกลับแย้งว่า "เฮ้ย เหงาโว้ยยย เมื่อไหร่จะออกไปหาใครมาทำให้อบอุ่นซะที" (555+) ผมก็ได้แต่หวังว่า ในอนาคตมันคงจะซิงค์กันได้ในที่สุด...

ปอลอแรก. เรื่องในบล็อคผม เรื่องนี้เฮียแกเค้าเล่นดีนะครับ ดีแบบไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะขนาดนี้
ปอลอสอง. อย่าเรียกพี่เลยครับ ผมเองก็รุ่นๆเดียวกับคุณชุดนอนนั้นแหละ ^^


โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:17:58:45 น.  

 
มาอีกรอบ..ที่ไม่มีความเห็นเรื่องหนังเรื่องนี้..เพราะยังไม่ได้ดูค่ะ
..
..
เอาเรื่องเม้นท์แรกก่อน..คุณชุดนอนขา
เข้าใจผิดอีกแล้ว..คราวก่อนบอกไปแล้วนะคะ
ว่าที่เขียนรีวิวอยู่..ดีแล้วค่ะ..เราชอบอ่านอยู่แล้ว
ไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขหรอกค่ะ..ที่เม้นท์นั้น
ไม่ได้อ่านแล้วงงหรอกค่ะ...อ่านแล้วเข้าใจดี
แค่บอกว่า..งานเขียนของคุณมันให้ความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
มันเก๋และมีแนวคิดแปลกๆดี อย่างเริ่มต้นก่อนเข้าสิ่งที่อยากนำเสนอ
คุณก็เกริ่นด้วยคำถาม."คุณคิดว่ามนุษย์เราจะตบตาความรักได้ไหมครับ?"คือมันแปลกและก็ชวนติดตามดี
แล้วคุณก็นำคนอ่านไปยังจุดนั้นจุดนี้ด้วยคำถาม คำตอบ สมมติฐาน ฯลฯ(ของคุณเอง)
คืออ่านแล้ว..มันชวนคิด.ว่าคนเขียนจะพาเราไปยังจุดไหน
แล้วก็มาที่สุดท้าย..คำถามที่อ่านมาทั้งหมด...คำตอบมันอยู่ปลายตานี่เอง..ทำนองนั้นน่ะค่ะ

ภาษาของคุณ..เรียบเรียงไม่เหมือนใครดี ไม่ใช่แค่การเขียนรีวิวด้วยการบอกเล่าอย่างธรรมดา
สรุปว่า..มันมีเสน่ห์และเป็นตัวของตัวเองดีค่ะ..(พูดถึงเฉยๆก็หาว่าเราติซะแล้ว คนอะไร คริ คริ)
เชื่อไหม..เวลาที่เราเลื่อนลงมาอ่านเม้นท์ตัวเอง..ไม่ต้องเห็นชื่อคุณ เราก็จำได้ค่ะ..ว่าเป็นเม้นท์ของคุณชุดนอนแน่ ภาษาและแนวคิดมันบ่งบอก


...


มาเรื่องหนังเรื่องนี้ซักนิด..กำลังจะดูค่ะ(ดูในยูทูป หามาเมื่อกี้)
ไม่ได้แกล้งบอกว่าจะดูแล้วผ่านไปนะคะ..แต่กำลังจะดูเพราะรีวิวคุณจริงๆค่ะ
ส่วนหนึ่ง..เพราะเป็นหนังแนวที่ชอบอยู่แล้ว...นักแสดงก็โอเค
อ่านเม้นท์คุณ BdMd..ข้างบน..ชักชอบคุณคนนี้ซะแล้ว..ชอบเพราะความคิดเห็น..จะผิดไหมนี่..คริ คริ

ส่วนเรื่อง 27 dresses ที่คุณเคยรีวิวแนะนำ..ดูแล้วนะคะ..ชอบมากค่ะ
แล้วเรื่องอะไรน้า..Maybeๆ อะไรนั่นน่ะ..ที่พระเอกมีลุกสาว..ก็ดีแล้วค่ะ..น่ารักดี แต่ชอบเรื่อง27 dresses มากกว่า

ดูนางเอกเรื่อง27 dresses แล้ว..นึกถึงจูเลีย จากเรื่องmy best friend's wedding เลย
บทอาจไม่เมือนกันซะทีเดียว..แต่อารมณ์ความรู้สึกภายใน..คล้ายกันมากๆ(หรือเราคิดไปเองคนเดียว???)






โดย: nikanda วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:18:31:12 น.  

 
ขออภัยที่ทำให้งงครับ 55+ คือผมดัดแปลงมาจากคำพูดภาษาอังกฤษ ระหว่างคำว่า half-full กับ helf-empty (นั้นก็คือการมองโลกในแง่ดีกับแง่ร้ายนั้นแหละ จะเขียนให้ยุ่งยากไปทำไม 55+) คือยิ่งเรื่องนี้ทำให้ตัวละครในเรื่องดูลัลล้ามากเท่าไร มันก็ยิ่งเปลี่ยนทัศนคติของผมจากดีเป็นร้ายเร็วขึ้นเท่านั้น... แค่นี้แหละครับ ผมเขียนให้ดูสับสนเล่นๆเท่านั้นเอง แหะๆๆ

ปอลอ. ขออภัยที่ทำให้คุณ nikanda ชอบครับ (พูดกับตัวเอง: อ้าว จะขออภัยทำไม เค้าชมว้อยยย)


โดย: BdMd IP: 58.137.81.98 วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:19:09:18 น.  

 


โดย: นัทธ์ วันที่: 25 ธันวาคม 2551 เวลา:15:12:55 น.  

 


"ตบตา" ความรักได้ไหม???

มันอยู่ที่ "ใจ" ลึกๆ ของเรามากกว่านะคะ
เหมือนการเล่นละครทุกอย่าง ไม่ว่าจะแสดงอะไรออกไป
ถ้าคนเสพต้องการเพียงแค่ความบันเทิงเปลือกนอก ก็ถือว่าการแสดงนั้น "สำเร็จ"

แต่ถ้าคนเสพไม่ได้ต้องการเปลือกนอก ต้องการดูของจริง "การแสดง" จะมีความหมายอะไรคะ

ไม่รู้สินะ ในความคิดของฉัตร
ฉัตรว่า เราไม่สามารถ "ตบตา" ความรักได้
เพราะความรักคือโชคชะตา...และพรหมลิขิต
ตราบใดที่เรายังไม่สามารถเอาชนะโชคชะตาได้
และยังไม่สามารถหลีกหนีพรหมลิขิตที่ขีดเส้นให้เราเหงาจากกรรมเก่าได้ เราคงทำได้อย่างเดียว
คือ"ทำใจ" ยอมรับและอยู่กับมันให้ได้ค่ะ
(ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของฉัตรนะคะคุณชุดนอนฯ)

แต่การที่คุณชุดนอนจะออกไปหาความเหงา (ที่มากกว่า) เพื่อนำมันมารับมือกับความเหงาที่เป็นอยู่ มันก็อาจเป็นทางเลือกที่ต่างออกไปค่ะ

บางที...อาจเป็นโชคชะตาหรือพรหมลิขิตที่ขีดไว้ ให้คุณเดินทางออกไปจากความเหงาร้าวลึก เพื่อเจอกับ"คู่แท้"
ที่รออยู่ก็เป็นได้ค่ะ อิอิ

แล้วจะรออ่านผลของการ"ตบตา" ครั้งนี้ค่ะ


โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:10:13:14 น.  

 

ยืนส่งบนฝั่งโบกมือหยอยๆ กลับถึงฝั่งอย่าง.. อย่างอะไรดี
จะออกไปผจญภัยทั้งที อาจมีบาดแผลถลอกปอกเปิก
คนเราก็ต้องมีบาดแผลหนักบ้างเบาบ้าง


โดย: อั๊งอังอา วันที่: 26 ธันวาคม 2551 เวลา:15:22:47 น.  

 


โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 27 ธันวาคม 2551 เวลา:14:32:58 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ครับ (ใกล้แล้ว หยวนๆน่า...) เผื่อว่าวันจริงแล้วอาจจะไม่มาแวะเข้ามาทักทายกัน (ถึงแม้วมีความเป็นไปได้ว่า จะนอนอืดอยู่ที่บ้าน 555+)



โดย: BdMd IP: 124.122.165.7 วันที่: 28 ธันวาคม 2551 เวลา:18:32:19 น.  

 
ตั้งแต่อ่านบทความนี้ของคุณ ก็อดเอากลับไปคิดต่อไม่ได้
(เท่ากับว่า เอากลับไปคิดต่อนั่นเองล่ะค่ะ) แถมยังคิดตลอดเวลา
กับคำถามที่คุณตั้งว่า "เราจะหลอกลวงความรักได้หรือไม่"

คุณชอบมีคำถามยาก ๆ (ลึก+ซับซ้อน)มาให้คิดและหาคำตอบเรื่อยเลยนะคะ
เรื่องรถเมล์ เรื่องหนีความรัก เรื่องตามหาความรักนี่ ก็รู้กันมานาน ได้ยินกันมาโข
แต่ไอ้ที่ว่า จะตบตาความรัก ทำเป็นว่าหนีไปเนี่ย คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ นะคะ

กับทฤษฏีความเหงาของคุณอีก เหมือนที่เคยได้ยินว่า "เราจะไม่รู้เลยว่าความสุขเป็นยังไง
หากไม่ได้เจอกับความทุกข์หนักมาก่อน" ยังไงก็เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้อย่างจริงจังเลยนะคะ
(แม้มันจะซับซ้อนสุด ๆ ก็ตาม)
ฉันไม่คิดว่าคุณหนีปัญหานะคะ แต่กลับกัน กลับเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุดต่างหาก!!
เหมือนไปยกระดับความสามารถในการรับมือกับความเหงาอย่างที่ว่า
แต่ต้องมีข้อแม้ว่า ถ้ารอดตายกลับมาได้น่ะนะ

คิดไปคิดมาแล้ว...ไม่รู้หรอกนะคะ ว่าคุณจะตบตาความรักอย่างที่ตั้งใจไว้ได้หรือไม่
เพราะฉันก็ไม่ใช่ "ความรัก" ก็เลยตอบแทนให้เขาไม่ได้ รู้แต่ว่าตอนนี้
ฉันเชื่อไปแล้วหมดใจ ว่าคุณกำลังจะไปรับมือกับความเหงาระดับที่รุนแรงขั้นสุด
เพื่อกลับมาทนเหงาที่บ้านอย่างสบาย ๆ...ไม่รู้ล่ะ ฉันเชื่อคุณ
ไม่แน่นะ...ความรักก็อาจจะเชื่ออย่างที่คุณว่าก็ได้ เพราะผู้หญิงกับความรักมีธาตุคล้าย ๆ กัน
(แน่นอน อันนี้ตู่เอาเอง--แต่จะเถียงหรือ ว่าไม่จริง!)

ลองมาดูกันดีกว่า...ฉันว่า คุณต้องได้อะไรดี ๆ กลับมาจากทะเลครั้งนี้แน่ ๆ
อาจจะไม่ใช่ความรักในแบบผู้หญิงผู้ชายในแง่หวาน ๆ แบบนั้น
แต่เชื่อเถอะค่ะว่า...ความรักจะมอบอะไรให้คุณสักอย่าง เป็นต้นว่า คุณอาจจะหลงรักการเดินทางไปเลย
นั่นมันก็เป็นความรักอย่างนึงนิ...ใช่ไหมคะ?


โดย: ดุ่บ ๆ ดั่บ ๆ IP: 78.89.44.34 วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:2:56:01 น.  

 
เรื่องก่อนยังหาดูไม่เจอเลย จะได้หนังเรื่องใหม่มาให้หาอีกแล้ว ชอบๆ หนังแนวนี้ เอามาโปรโมตบ่อยๆ นะ
ว่าแต่ เรื่องก่อนเรื่องอะไรนะ ลืม เอิ้กๆ ที่ว่าดีมากๆนะ


โดย: pumpond วันที่: 29 ธันวาคม 2551 เวลา:13:28:47 น.  

 


สวัสดีค่ะคุณชุดนอน....

^_____^



โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 30 ธันวาคม 2551 เวลา:16:18:08 น.  

 


โดย: นัทธ์ วันที่: 31 ธันวาคม 2551 เวลา:23:49:09 น.  

 
สวัสดีหลังปีใหม่ค่ะคุณชุดนอน
กลับมาจากผจญภัยตบตาหารักแท้หรือยังคะ

^ ^


โดย: ณ ปลายฉัตร วันที่: 2 มกราคม 2552 เวลา:20:41:16 น.  

 
ตบตาความรักงั้นเหรอ

แล้วหนูจะรอดู ฮิฮิ


โดย: ปลาทองแก้มยุ้ย วันที่: 3 มกราคม 2552 เวลา:23:10:55 น.  

 
มาหวัดดีปีใหม่เน้อ

หยุด 5 วันดูหนังไป 5 เรื่องแหนะ


โดย: เด็กม.ปลาย (Onlineza ) วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:2:31:41 น.  

 
แวะมาสวัสดีปีใหม่ครับ


โดย: beerled IP: 58.9.131.200 วันที่: 4 มกราคม 2552 เวลา:20:10:02 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ย้อนหลังค่ะ

ยังไม่กลับจาก the holiday แน่เลย



โดย: อปอช (apple_cinnamon ) วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:17:06:52 น.  

 
เวลาว่างที่ผมอ้างมาตลอดว่าไม่มีคงเป็นรูปแบบหนึ่งของการตบตาหรือหลอกตัวเอง ตอนนี้กำลังลุยอยู่กับทุกปัญหาที่มีเจ้าเวลานี่แหละเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งเรื่องเวลานอน เวลาตื่น และการเพิ่มกิจกรรมมีประโยชน์ระหว่างช่วงเวลาขยะ ก่อนหน้านี้มักจะอ้างกับตนเองว่าเครียดจนเกินความจำเป็น ทั้งที่ชีวิตยังไม่ถึงจุดอย่างที่ควรจะเครียดจริงๆ (งงไหม๊)
ว่าแต่ช่วงนี้ร้างรักหรือครับคุณน้องชาย อ่านดูข้างบนแล้วท่าจะจริงเพราะคั้นอารมณ์ออกมาซะสดไม่ต่างจากน้ำส้มคั้น อารมณ์แบบนี้ดีออกครับ ผมชอบ (ออกจะซาคิสต์นิดๆ) สัมผัสและซึมซับมันให้เต็มที่ เข้าใจมัน รวมถึงวิจัยถึงธรรมชาติของมันให้ได้ เผลอแป็บเดียวคุณอาจจะไม่รู้สึกว่าไอ้เจ้าอารมณ์ประมาณนั้นมันกำลังเล่นตลกหรือบัญชาเราอยู่ เราซิเป็นเจ้าของอารมณ์ที่จะปิด จะเปิด จะเสพ หรือจะเลิก ให้มันรู้ซะมั้งว่าใครเป็นนาย
เข้าใจนะครับว่าที่ผมพูดมันอาจฟังจะดูง่าย แต่ต้องลองฝึกดู เวลาชีวิตมีกิจกรรมอะไรเล็กๆที่เราคนเดียวเท่านั้นมองเห็นจุดประสงค์ มันก็สนุกดีนะครับ (ผมเองก็กำลังฝึกอยู่หลายเรื่อง เหมือนเป็นเรื่องลับบางอย่างซึ่งเราคนเดียวเท่านั้นที่รู้)
เพ้อเจ้อมาซะยาว แค่อยากจะบอกว่า ช่วงนี้คิดว่าจะกลับมาเขียน Blog อีกครั้ง (แต่งบ้านใหม่ด้วยนะ ว่างๆ เชิญแวะจิบน้ำชาหรือจะรับเบียร์ซักเหยือกก็ไม่ว่ากัน) ผมลืมไปชั่วขณะครับว่าการเขียนคือการบำบัดตัวเองกลายๆที่ผมใช้ได้ผลมาตลอด ว่าจะกลับมาหาวิธีนี้อีกครั้ง
ไม่ทราบคุณกลับมาจาก Holiday รึยัง แวะมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ


โดย: beerled IP: 203.154.188.177 วันที่: 5 มกราคม 2552 เวลา:17:41:23 น.  

 
อัพบลอคได้แล้วค่า เพื่อน ๆ รอ


โดย: นางสาวดุ่บดั่บ วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:15:02:44 น.  

 
เขียนได้น่าคิดตามมากเลยค่ะ อ่านแล้วโดนใจจริงๆ 5555


โดย: เนตรสีขาว วันที่: 14 สิงหาคม 2556 เวลา:15:00:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ขอรบกวนทั้งชุดนอน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 25 คน [?]




Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
19 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add ขอรบกวนทั้งชุดนอน's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.