กันยายน 2552

 
 
1
2
4
7
8
9
10
11
12
13
15
16
17
18
19
20
21
23
24
25
26
28
29
30
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 18 - วิถีแห่งคาร์ไลส์ (complete!)
“พวกเขาเรียกมันว่าวิถีของคาร์ไลส์” แม่กล่าว ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างมีประกายขณะที่เล่าให้ฟัง

ฉันเขี่ยเนื้อปลาในจานเล่นไปมาขณะที่นั่งฟังแม่เล่า (เนสซี่ อย่าเล่นกับอาหารสิ! – เลียนแบบโรลองต์ อิอิ) ฉันไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ ว่าคุณปู่คาร์ไลส์ผู้ยังหนุ่มแน่นของฉันจะซื้อปลาแช่แข็งกลับมาเป็นของฝาก แต่ก็นั่นแหล่ะนะยังไงซะฉันก็หนีไม่พ้น โชคร้ายที่ต้องมานั่งกินหรือ “แกล้ง” ทำเป็นกินเสียหน่อย ฉันมั่นใจว่าเอสเม่ต้องปรุงได้อร่อยอย่างแน่นอนเพราะดูได้จากเจคอบ, เซ็ธและลีอาที่กำลังนั่งสวาปามอาหารทุกอย่างตรงหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่อาหารของมนุษย์ไม่เคยน่าดึงดูดสำหรับฉันเลย.. โดยเฉพาะปลา

“วิถีของคาร์ไลส์เหรอคะ?” ฉันถาม

“มีแวมไพร์ที่ดำเนินรอยตามวิถีชีวิตแบบมังสวิรัตอย่างเราเพิ่มขึ้นมาก พวกเขาต้องการสงวนรักษาชีวิตมนุษย์เอาไว้และอยากก้าวเข้ามาสู่ความศิวิไลซ์ แทบไม่อยากจะเชื่อเลยตอนที่ได้ยิน เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้ข่าวคราวแพร่สะพัดไปทั่วอเมริกาเหนืออย่างรวดเร็ว”

ฉันมองไปรอบๆ ห้อง สังเกตได้เลยว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตื่นเต้นไปกับแม่ด้วย โดยเฉพาะพ่อกับอาแจสเปอร์

“เหรอคะ?”

“ใช่ แล้วก็มีพวกที่หันไปอยู่ร่วมกับมนุษย์ธรรมดามากขึ้นด้วย” พ่อเล่าเสริมเบาๆ เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารฝั่งตรงข้ามฉันแต่สายตากลับมองเลยออกนอกหน้าต่างไปไกล สีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างวิตกกังวล ฉันเหลือบมองไปทางอาแจสเปอร์ซึ่งมีสีหน้าแบบเดียวกัน

“ครอบครัวเราเป็นหนึ่งเดียวในเผ่าพันธุ์ของเรา” พ่ออธิบายต่อ “กระทั่งพวกเดนาลีเองก็ยังไม่สามารถอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้อย่างพวกเรา ยิ่งมีแวมไพร์พยายามลองมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่จะยิ่งมากขึ้นที่จะเกิด... อุบัติเหตุ”

เซ็ธเงยหน้าขึ้นจากจานอาหารตรงหน้าทันที สีหน้าบ่งบอกถึงความเป็นห่วงในเรื่องที่พ่อพูด ส่วนลีอายังคงก้มหน้าก้มตาจ้องมองบนโต๊ะอาหารเหมือนเดิมตั้งแต่มาถึง บอกได้เลยว่าเธอคงรู้สึกผิดที่ผิดทางที่จะต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะที่เซ็ธกลับตรงกันข้าม เขาทำตัวกลมกลืนไปกับทุกเรื่องได้ดีจนเหมือนเป็นคนในครอบครัวไปเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เปลี่ยนล่ะคะ? ทำไมทุกคนถึงอยากจะเดินตามวิถีชีวิตแบบนี้ขึ้นมาเอาตอนนี้ล่ะ?” ฉันถาม

“คำเล่าลือเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างพวกเรากับพวกโวลตูรีแพร่ออกไป พวกนั้นพากันพูดถึงสายสัมพันธ์ในครอบครัวของเราและอำนาจที่พวกเรามี ฉันเชื่อว่าทุกตนล้วนทำไปเพื่อแสวงหาความแข็งแกร่งของสายสัมพันธ์นั้นหรือไม่ก็เพียงแค่อยากเข้าใกล้ความเจริญสมัยใหม่เท่านั้น น้อยตนนักที่จะทำไปเพราะต้องการรักษาชีวิตมนุษย์เอาไว้จริงๆ” แจสเปอร์กล่าว

“แล้วไม่น่าดีใจเหรอ? เพราะยังไงคนก็ตายน้อยลง” เจคอบพูดขึ้นหลังจากกลืนเนื้อปลาชิ้นสุดท้ายลงคอไปแล้ว

“ฉันก็อยากจะดีใจนะ” คาร์ไลส์บอกขณะย่อตัวลงนั่งร่วมโต๊ะอาหาร “แต่มันกลับดูเหมือนว่านี่จะเป็นตัวเร่งให้เกิดปัญญาเร็วขึ้นน่ะสิ อลิซ, เห็นอะไรเพิ่มบ้างหรือเปล่า?”

“ไม่มีค่ะ” น้าอลิซเอ่ยตอบออกมาจากครัว

“เท่าที่เห็นก็คือพวกเขาเพิ่มการค้นหาอย่างหนักเพื่อที่จะเฟ้นหาคนที่มีพลังพอจะเอาชนะเบลล่าได้ พวกเขาส่งหน่วยค้นหาออกไปทั่วทุกมุมโลก เขาไม่ชอบวิถีชีวิตแบบใหม่ที่ทำให้แวมไพร์หลายตนเลือกที่จะเดินตาม มันทำให้พวกเขากลัว ฉันคิดว่าพวกเขาคงอยากกวาดล้างพวกเราให้สิ้นซากไปเลยมากกว่า.. เพียงแต่ยังไม่รู้วิธี”

ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วทั้งห้องอาหาร ทุกคนไม่มีใครพูดอะไรกันนอกจากเหม่อมองโต๊ะอาหารหรือไม่ก็มองไปที่คู่รักของตนเอง

เอสเม่เดินออกมาจากครัวพร้อมกับอลิซ ในมือถือนิตยสารและหนังสือแบบบ้านตั้งใหญ่ โดยสีหน้าท่าทางของเธอแล้วฉันเดาได้เลยว่าเธอคงคิดโปรเจ็คใหม่ที่จะต่อเติมหรือปรับปรุงบ้านอยู่แน่ๆ เป็นการดีอยู่ไม่น้อยที่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ถือเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนบรรยากาศตึงเครียดของห้องได้โดยไม่คาดคิด ฉันเห็นคาร์ไลส์พยายามที่จะยิ้มและไม่ช้าคนอื่นๆ ก็ทำตาม

“เซ็ธและลีอาจ๊ะ ในเมื่อพวกเธอจะมาอยู่ที่นี่เกือบจะเป็นการถาวรดังนั้นอลิซกับฉันเลยอยากจะจัดแจงเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเธอให้สุขสบายหน่อยน่ะจ้ะ” เอสเม่บอกพร้อมกับวางตั้งหนังสือและนิตยสารในมือทั้งหมดลงบนโต๊ะอาหาร เซ็ธหยิบขึ้นมาเล่มหนึ่งและเปิดดูข้างในอย่างผ่านๆ

“ไม่เป็นไรหรอกเอสเม่ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เราหรอก เราไม่ต้องการการดูแลอะไรเป็นพิเศษ” ลีอากล่าว

“เถอะจ้ะ ฉันอยากให้พวกเธอรู้สึกเหมือนอยู่บ้านน่ะ”

ลีอาสะดุ้งไปเล็กน้อย ฉันรู้ว่าบ้านเราคงจะห่างไกลบัญชีรายชื่อของสถานที่ที่เธอจะเรียกว่าบ้านได้

“ลีอา นึกว่าเห็นแก่เอสเม่เถอะนะ เธอกระวนกระวายใจอยากหาโปรเจ็คต่อเติมบ้านเพิ่มมานานแล้ว” แม่กล่าว

“ฉันมีไอเดียสุดแสนจะเพอร์เฟ็คต์สำหรับ walk-in closet ใหม่ในห้องของเธอด้วยนะ” น้าอลิซบอกพร้อมกับคว้าหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาพลิกไปยังหน้าที่เธอต้องการอย่างว่องไวซึ่งเป็นรูป walk-in closet ขนาดใหญ่ แล้วยื่นมาให้ลีอาดู “มีพื้นที่เพียบเลย เห็นทีคงต้องไปช้อปปิ้งใส่ตู้ให้เต็มซะแล้วสิ!”

คิ้วทั้งคู่ของลีอาเลิกขึ้นทันทีอย่างสนใจ ฉันรู้ว่าเธอคงอดใจลิงโลดไปกับไอเดียเรื่องช้อปปิ้งหาซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ มาใส่ตู้เสื้อผ้าใหม่ไม่ได้เหมือนกันแม้จะปากแข็งแค่ไหนก็ตาม เธอพยักหน้าและหยิบหนังสือเล่มที่อลิซยื่นให้มาดูบ้าง

“พวกเดนาลีน่าจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ ส่วนคนอื่นๆ จะตามมาในอาทิตย์ถัดไป มีหลายเรื่องที่ต้องทำและปรึกษากัน” คาร์ไลส์บอกกล่าวกับทุกคน

“ทำไมพวกเขาถึงไม่กลับมาพร้อมคุณล่ะ?” เจคอบเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไหนๆ พวกเขาก็อุตส่าห์เดินทางไปหาแล้วทั้งที

“เพราะเราไม่สามารถติดต่อทุกตนทางโทรศัพท์ได้น่ะสิ พวกเขาก็เลยต้องเดินทางไปเยี่ยมคนอื่นๆ เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการรวมตัวของพวกเราก่อนที่จะมาที่นี่ ประมาณว่าเป็นการชวนกันแบบปากต่อปากน่ะ”

ฉันกลอกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ จริงอ่ะ? การพกมือถือมันยากขนาดนั้นเลย?

ฉันได้ยินเสียงพ่อถอนหายใจดัง เขาคงจะได้ยินความคิดของฉันเมื่อกี้แน่ๆ
“เห็นทีว่าเราคงจะต้องลงทุนซื้อโทรศัพท์มือถือแจกแล้วหล่ะ พวกเขาคงต้องเรียนรู้ที่จะอ้าแขนรับเทคโนโลยีใหม่ๆ บ้างแล้ว” พ่อกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ที่มุมห้อง

ช่วงเวลายามเย็นที่เหลือถูกใช้ไปกับการพูดคุยแบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เจคอบเล่าเรื่องปัญหาประชากรในเผ่าควิลยูตอย่างละเอียดรวมทั้งทฤษฏีของเขาด้วย ส่วนฉันก็เล่าเรื่องชาร์ลีเสียเป็นส่วนใหญ่ แม่ดูจะดีใจมากที่ได้รับรู้ความเป็นไปของชาร์ลี ฉันนั่งลงข้างๆ แม่และวางมือข้างหนึ่งลงบนแขนของเธอ หลับตาแล้วพยายามนึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์เพื่อแสดงให้แม่ดู ฉันยังหยิบภาพบางส่วนจากปาร์ตี้ริมชายหาดมาให้ดูด้วย โดยพยายามหลีกเลี่ยงช่วงเวลาส่วนตัวกับเจคอบ พ่อทำเสียงฟึดฟัดเมื่อฉันแสดงภาพไมค์ นิวตั้นให้แม่ดู ส่วนแม่ได้แต่หัวเราะแล้วส่ายหัว

~*~*~*~

เช้าวันต่อมา ฉันกลับมาใช้ชีวิตในโรงเรียนตามปกติ วิชาเรียนคาบต่างๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกเพราะสมองของฉันเอาแต่จดจ่ออยู่กับข่าวคราวล่าสุดที่เพิ่งได้รับรู้จากการบอกเล่าของแม่เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันนั่งมองเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังใช้เวลาว่างระหว่างคาบเรียนพักผ่อนอิริยาบถกันอย่างอิสระโดยไม่ได้รู้เลยว่าอะไรคือความจริงอะไรคือสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้เชื่อว่าจริง

ฉันน่าจะดีใจไม่ใช่หรือกับการที่เหล่าแวมไพร์เริ่มมองหาวิถีทางอื่นๆ เพื่อหล่อเลี้ยงชีพแทนที่จะคร่าชีวิตมนุษย์ มันคงเป็นความฝันอันแสนหวานทีเดียวหากว่าวันหนึ่งพวกมนุษย์จะได้รับรู้ว่าในโลกนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับซับซ้อนอื่นๆ อยู่อีก และได้ดำรงอยู่ท่ามกลางพวกเขามาช้านานแล้ว บางทีเมื่อนั้นทุกคนอาจจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสันติก็เป็นได้ หากแต่ดูเหมือนว่ามันจะยังคงเป็นไปไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพฝันพวกนั้นในเวลานี้ ฉันนึกไม่ออกเลยเหมือนกันว่ามนุษย์ธรรมดาๆ จะต้องจ่ายราคาค่างวดที่แพงขนาดไหนกับการที่แวมไพร์เริ่มหันมาสนใจการใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขาอย่างคนธรรมดาบ้าง ถ้าหากลูกสาวของใครซักคนจะต้องมาตายไปเพราะแวมไพร์ที่ตัดสินใจมาเข้าเรียนมัธยมตนนั้นเกิดอดใจไม่ไหวขึ้นมา? แล้วใครอีกล่ะที่พวกเขาจะต้องสูญเสีย? พ่อแม่เหรอ? เพื่อนเหรอ?

“ทำไมคิ้วผูกโบอย่างนั้นล่ะจ๊ะ?” แอนาเบลเอ่ยถามฉันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวขณะที่เธอนั่งลงข้างๆ ฉัน ฉันไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังนั่งอยู่ในชั่วโมงเรียนวิชาคหกรรมและยิ่งหนักเข้าไปอีกเพราะฉันจำไม่ได้เหมือนกันว่าฉันเดินมามาที่นี่และนั่งลงตรงนี้ได้ยังไง เจคอบคงจะคิดว่าวันนี้ฉันกลายเป็นซอมบี้เดินได้ไปเสียแล้วหล่ะมั้ง

“หา? อ้อ” ฉันตอบพลางสะบัดหน้าไปมาเพื่อเรียกสติคืน “ก็แบบว่า.. นั่งคิดอะไรเพลินๆ น่ะจ้ะ”

“มีอะไรน่าคิดถึงหรือไง?” เธอถาม

“ก็ไม่มีอะไรหรอก” ฉันจำเป็นต้องโกหกออกไปทั้งๆ ที่ก็ไม่อยาก

“งั้นเล่าเรื่องตอนสุดสัปดาห์ให้ฉันฟังหน่อยซี่ ไปเจอครอบครัวเจคอบเขามาแล้วเป็นไง? ดีมั้ย?”

“ก็สนุกมากๆ เลยหล่ะ มากจนกระทั่งเราได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาฝากที่บ้านนี้ด้วย”

“จริงอ้ะ?” เธอถามพร้อมกับเอียงหัวด้วยท่าทีอยากรู้ระคนแปลกใจ

“ใช่แล้ว เซ็ธกับลีอาสมาชิกในเผ่าของเจคอบที่ลาพุชย้ายมาอยู่กับพวกเราชั่วคราว พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านริมสระกับเจคอบน่ะ”

“ว้าว.. ฟังดูเหมือนจะมีปาร์ตี้กันงั้นแหล่ะ”

ฉันหัวเราะ ก็จำนวนคนที่อาศัยอยู่ในบ้านฉันมันดูน่าตกใจอยู่เหมือนกันนี่นา คิดๆ ดูแล้วก็เหมือนจะเทียบกับหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนึงได้เลยทีเดียว

“อันที่จริง ถ้าเธอได้เจอเซ็ธนะ เธอต้องชอบเขาแน่เลย เขาเป็นคนตลกนะ”

“แล้วลีอาล่ะ? เธอเป็นคนยังไงเหรอ?”

“อืม.. ค่อนข้างจะเก็บตัวนะ ฉันว่า” ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะนิยามตัวตนของลีอายังไงดี

“แล้วฉันจะได้เจอพวกเขาเมื่อไหร่ล่ะ?” แอนาเบลถาม

“คงอาทิตย์นี้แหล่ะจ้ะ ฉันต้องขออนุญาติพ่อกับแม่ก่อนน่ะ ขอฉันถามพวกท่านให้แน่ใจก่อนนะว่าจะโอเคมั้ย”

ฉันไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพ่อกับแม่ หรือสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ จะว่ายังไงบ้าง ถ้าแอนาเบลจะแวะมาเที่ยวเล่นที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่บ้านเรากำลังจะมีแขกเหรื่อมากหน้าหลายตามาเยี่ยมในเร็วๆ นี้

“แจ๋ว! ฉันละตื่นเต้นจริงๆ ที่จะได้พบผู้คนจากเผ่าของเจคอบ”

แล้วเราสองคนก็เริ่มลงมือทำคุ้กกี้ช็อคโกแลตชิพกัน ฉันยืนพิงเค้าเตอร์มองดูแอนาเบลที่กำลังคนส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เธอดูเหมือนกำลังจมอยู่กับความคิดอะไรบางอย่างในตอนที่รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้า แอนาเบลสะบัดหน้าไปมาราวกับต้องการจะสลัดความคิดนั้นออกไปแล้วกลับมาตั้งใจกับคุ้กกี้ในชามผสมตรงหน้า แต่แล้วไม่นานรอยยิ้มแบบเมื่อกี้ก็ปรากฏขึ้นมาอีก

“ยิ้มอะไรนักหนาเหรอ?” ฉันอดที่จะถามไม่ได้

“อ๋อ ฉันกำลังคิดถึงเรื่องของคริสเตียนน่ะจ้ะ” เธอตอบพร้อมกับใบหน้าสีแดงระเรื่อ

“จริงอ้ะ? งั้นทุกอย่างก็ลงเอยด้วยดีแล้วสิ?”

“เขาโทรมาหาเมื่อคืนวันเสาร์น่ะ แล้วก็ขอมาหาที่บ้าน”

“เขามาหาเธอเหรอ?” ฉันถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย

“จ้ะ เขามาขอโทษน่ะที่สติแตกเกินไปหน่อย คือ..ฉันคิดว่าถ้าฉันอยู่ในฐานะแบบเดียวกับเขาละก็ ฉันก็คงจะสติแตกไปเหมือนกัน เขาบอกว่าเขาทนไม่ได้ที่จะสูญเสียฉันไปและเขาก็ยังอยากให้เราคบกันเหมือนเดิมด้วย”


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

ฉันยิ้มให้แอนาเบล หวังว่าจะได้รับปฏิกิริยาอะไรสักอย่างตอบกลับมาบ้างแต่ดูเหมือนว่าห้วงความคิดคำนึงของเธอได้เปลี่ยนไปสู่เรื่องอื่นเสียแล้วและเธอก็ดูเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย

“เธอมีความสุขไหม?” ฉันถามเธอตรงๆ

“จ้ะ แน่นอน ในที่สุดฉันก็ตามหาใครคนหนึ่งที่รู้จักตัวตนของฉันอย่างแท้จริงเจอแล้วเสียที”

“นั่นเป็นสิ่งที่เธอต้องการมาตลอดใช่มั้ยล่ะ?”

แอนาเบลยังคงเหม่อมองผ่านฉันออกไปไกล เธอจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองอีกครั้ง แต่แล้วสายตาของเธอก็ค่อยๆ เลื่อนมาพบกับฉันและพยักหน้าให้เป็นคำตอบอย่างช้าๆ

ชั่วโมงเรียนคาบที่เหลือยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ฉันเล่าเรื่องปาร์ตี้ที่ลาพุชและสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาให้แอนาเบลฟัง ฉันรู้สึกตื่นเต้นจนเกือบเก็บอาการไว้ไม่อยู่เสียแล้วที่จะได้แนะนำแอนาเบลให้ได้รู้จักกับเซ็ธและลีอา ฉันรู้สึกได้เลยหล่ะว่าพวกเขาจะต้องชอบเธอในทันทีที่ได้พบอย่างแน่นอน ก็ใครๆ ที่ได้เจอเธอต่างก็ชอบเธอตั้งแต่แรกพบแทบทั้งนั้นนี่นา ฉันไม่เคยได้ยินใครในโรงเรียนพูดถึงเธอในแง่ร้ายสักคน ไม่เคยเห็นใครที่จะคิดไม่ดีกับเธอ เธอเข้าได้กับทุกคน ในขณะที่รอบๆ ตัวของฉันมีเพียงแค่คนในครอบครัว, แอนาเบลและบางครั้งบางคราวก็จะมีกลุ่มเพื่อนๆ ของแอนาเบลบ้าง

ฉันละชื่นชมความเรียบง่ายเป็นกันเองและความที่เข้ากับกลุ่มเพื่อนๆ ที่แตกต่างกันได้อย่างง่ายดายของเธอเสียจริงๆ พูดได้ว่าเธอเป็นเพื่อนกับทุกๆ คนในโรงเรียนได้เลยทีเดียวเชียวหล่ะ และฉันก็ค่อนข้างที่จะกระหยิ่มใจนิดหน่อยที่ความเป็นเพือนของเรานั้นใกล้ชิดกว่าเพื่อนคนอื่นๆ ของเธอ

เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้นหลังจากที่แอนาเบลและฉันล้างถ้วยชามที่ใช้ทำคุ้กกี้เสร็จพอดี ฉันหันมาจัดการเตรียมจะหยิบคุกกี้ในจานมาใส่ถุงเพื่อห่อกลับบ้านในขณะที่รู้สึกว่ามีมืออุ่นๆ คู่หนึ่งมาปิดตาของฉันเอาไว้เสียจนมืดสนิท

“ทายซิใครเอ่ย?” (อะโห.. คิกขุตายหล่ะ) เสียงนั้นแผ่วเบาขณะที่เจ้าของเสียงนั้นโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของฉัน ฉันรู้แน่หล่ะว่าเป็นเจคอบ ฉันได้ยินเสียงเดินของเขาดังมาตั้งแต่เดินผ่านโถงห้องเรียนเมื่อครู่นี้เอง (จ้ะ.. เนสซี่ ป้ารู้ว่าหนูหูไวมากกกกกกกกก ได้ยินขนาดนั้นเลย)

“ฮืม... ฉันกำลังภาวนาว่าขอให้เป็นไมค์ นิวตั้นนะ” ฉันพูดหยอกเจคอบเล่นๆ

เจคอบรีบชักมือกลับไปทันใด ฉันหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าและทันได้เห็นเขากลอกตาไปมาด้วยสีหน้าบอกไม่ถูก สงสัยคงเอียนกับชื่อนี้อย่างที่ฉันคาดไว้แน่ๆ ฉันยิ้มกว้างที่แกล้งหยอกเขาได้สำเร็จ

“ขำกลิ้งเลยนะเนสซี่”

เขาคว้าตัวฉันเข้าไปหาอย่างรวดเร็วและหอมแก้มเบาๆ หนึ่งที

“คิดถึงคุณจัง” เขาบอก (ย่ะ.. แกสวีทเป็นกะเค้าด้วยเหรอเนี่ย??)

“นี่เราเพิ่งห่างกันแค่ 2-3 ชั่วโมงเองนะ” ฉันหัวเราะแต่ก็อดดีใจไม่ได้เหมือนกัน

“จริงเหรอ? ผมรู้สึกว่ามันนานเป็นชาติเลยแฮะ”

และแล้วสายตาของเขาก็พลันเหลือบมาเห็นจานคุกกี้ในมือของฉัน ฉันถอนหายใจและยื่นมันออกไปให้ พ่อตัวโตคนนี้เห็นของกินเป็นไม่ได้เลยเชียว

“ขอบใจจ้ะ” เขาตอบพร้อมกับคว้าจานคุกกี้ไปแล้วจัดการกับเจ้าขนมกลิ่นหอมหวานพวกนั้นโดยไม่รีรอ

“ไฮ แอนาเบล วันนี้เป็นไงบ้าง?” เจคอบถามเสียงอู้อี้ขณะที่ยังคงเคี้ยวขนมอยู่เต็มปาก

“ก็ดีจ้ะ ขอบใจที่ถามนะ ได้ยินว่าพวกเธอก็สนุกกับช่วงวันหยุดน่าดูเลยนี่”

“อื้ม วิเศษเลยหล่ะที่ได้กลับไปเยี่ยมบ้าน เนสซี่เล่าให้ฟังหรือยังเรื่องที่เซ็ธกับลีอาย้ายมาอยู่ที่บ้านคัลเลนด้วยน่ะ?”

“อื้อบอกแล้ว อดใจรอเจอพวกเขาไม่ไหวแล้วนะนี่”

“แล้วเธอจะมาทานมื้อเที่ยงกับพวกเราไหม?” ฉันเอ่ยชวนเธอ

“จ้ะ.. ไปสิ”

“แจ๋ว!” ฉันตอบอย่างดีใจลิงโลดแล้วเดินไปเก็บจานคุกกี้เมื่อสักครู่แต่กลับพบว่ามันสะอาดเกลี้ยงเกลาราวกับว่ามันเป็นจานใบใหม่ที่เพิ่งจะล้างมา

“เจค! นี่คุณกวาดคุกกี้เกลี้ยงจานเลยอย่างงั้นเหรอ?!” ฉันถามเขาด้วยน้ำเสียงอย่างไม่อยากจะเชื่อ ฉันไม่ทันได้สังเกตเลยว่าเขากินไวขนาดนั้น

“แหะๆ” เขาหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับยักไหล่และยิ้มกว้างแทนคำตอบ

~*~*~*~

ตลอดช่วงเวลาระหว่างมื้อเที่ยง ครอบครัวของฉันชวนแอนาเบลคุยนั่นคุยนี่ไปตามเรื่องแต่ทุกคนคงสังเกตเห็นได้ว่าความคิดของเธอลอยละล่องไปอยู่ที่อื่น และหลังจากความพยายามในการชวนเธอคุยอีก 2-3 ครั้งล้มเหลวลง ทุกคนก็ตัดสินใจว่าจะปล่อยให้เธอนั่งใช้ความคิดไปเงียบๆ โดยไม่รบกวน ฉันเห็นสีหน้าเป็นห่วงของพ่อเวลาที่มองไปทางแอนาเบลจึงเอื้อมมือไปแตะแขนพ่อใต้โต๊ะ พ่อหันมาหาฉันแล้วถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง ก็ช่วยไม่ได้นี่นาที่ฉันจะอยากรู้ความเป็นไปของเพื่อนสนิทคนเดียวของฉัน ฉันพยายามตั้งสมาธิเพื่อตรวจดูความคิดของแอนาเบลและพบว่า เธอกำลังนึกถึงความทรงจำในคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา

………………………..
……………………………….

“ผมขอโทษแอนาเบล ผมไม่ควรแสดงท่าทางอย่างนั้นออกไป” คริสเตียนพูดในขณะที่ก้มหน้ามองพื้นเหมือนกับคนที่กำลังรู้สึกและสำนึกผิด พวกเขากำลังยืนคุยกันอยู่ในห้องครัวที่บ้านของเธอขณะที่คริสเตียนกำลังยืนพิงเค้าเตอร์ทำอาหารอยู่

“ไม่เป็นไรค่ะ.. คือ.. ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันคงยากที่จะยอมรับได้ ฉันแค่ดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้ง”

เขาเงยหน้าขึ้นมองแอนาเบลขณะที่กัดริมฝีปากล่างไว้แน่น ดูเหมือนเขามีอะไรบางอย่างที่ต้องการจะพูดทว่าไม่แน่ใจว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ หรือไม่ก็ไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการสนทนานี้ต่อไปอย่างไรดี แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจระบายสิ่งที่กำลังคิดออกมา

“คือว่าเรื่อง..เอ่อ.. เรื่องความเป็นอมตะนั่น.. มัน.. รบกวนจิตใจผมน่ะ” เขาบอกออกมาตรงๆ อย่างที่ใจคิด

“รบกวนจิตใจคุณงั้นเหรอ?”

ฉันเกือบจะรู้สึกไปกับแอนาเบลได้เลยว่าหัวใจเธอกระตุกวูบ ความหวาดกลัวอย่างที่สุดสำหรับเธอก็คือการที่เขาไม่สามารถยอมรับความจริงข้อนี้ในตัวเธอได้ เธอไม่เคยปล่อยให้ตัวเองมีความสัมพันธ์หรือใกล้ชิดกับใครซักคนมากขนาดนี้มาก่อนเพราะเธอเองก็คงหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ ว่าจะถูกปฏิเสธเมื่อชายคนนั้นได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความลับของเธอ

“ผมหมายความว่า..การที่คุณเป็นอมตะ.. แล้วมันจะมีความหมายต่อพวกเราอย่างไรกันล่ะ? คุณจะยังโอเคกับผมอยู่ไหมถ้าผมแก่ลงเรื่อยๆ ทุกปีๆ คุณจะยังคงอยากอยู่กับผมต่อไปหรือเปล่าถ้าตอนนั้นผมกลายเป็นตาแก่คนนึงไปแล้ว?” เขาถามอย่างเจ็บปวดและหวั่นใจ

“แน่นอนค่ะคริสเตียน ฉันไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก! ฉันรักคุณ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้อีกแล้วที่ฉันต้องการนอกจากการได้อยู่กับคุณ” แอนาเบลตอบเป็นเชิงขอร้องด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เธอดูค่อนข้างตกใจกับน้ำเสียงที่พูดออกไปและพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้เพื่อไม่ให้มันดูน่าสิ้นหวังไปมากกว่านั้น

คริสเตียนสูดหายใจลึกเหมือนกับกำลังรวบรวมความกล้าหาญที่จะพูดสิ่งที่ต้องการออกมา

“แล้วเมื่อผมตายจากไป..คุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไป?”

“ถ้าฉันสามารถตายได้ฉันก็คงอยากตายตามคุณไปด้วย แต่ฉันทำไม่ได้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตายได้ยังไง ฉันก็อยากรู้จริงๆ นะคะ ถ้าฉันรู้วิธีละก็.. ฉันคงตายไปนานแล้ว”

“แล้วคุณจะรักใครอีกครั้งหรือเปล่า?”

“ฉันรู้แค่ว่าฉันรู้สึกยังไงกับคุณ; ฉันรู้แค่ว่าตอนนี้ฉันคงไม่มีทางรู้สึกอย่างนั้นกับใครได้อีก”

แอนาเบลเหลือบมองกลับไปยังคริสเตียนอีกครั้งเพื่อสังเกตอากับกิริยาของเขาที่มีต่อคำพูดของเธอหากแต่ได้พบเพียงอาการนิ่วหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าเท่านั้น คิ้วทั้งสองของเขาขมวดเข้าหากันจนเกือบชิด

“ฉันกำลังพยายามซื่อสัตย์ต่อตัวเองมากที่สุดแล้วนะคะคริสเตียน” เธอพูดต่อ “คุณก็รู้ดีว่าคุณเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวในชีวิตฉันที่ฉันยอมเอ่ยปากบอกความลับของฉันออกไป และฉันก็ไม่เคยรักใครมากเท่ากับที่ฉันรักคุณ”

แอนาเบลตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขาและทาบมือลงบนแก้มของเขาอย่างแผ่วเบาและเขาก็ยื่นมือขึ้นมาโอบประคองใบหน้าของเธอเช่นกัน

“ฉันรักคุณนะคะคริสเตียน ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตนิรันดร์ร่วมกัน แต่เรามีเวลานี้ เดี๋ยวนี้ ฉันอยู่อย่างโดดเดี่ยวมานานโดยไม่เคยยอมให้ใครได้เข้ามาสัมผัสหัวใจของฉันเลยแม้แต่คนเดียว แต่คุณก็ก้าวเข้ามาอยู่ในหัวใจของฉันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ฉันอยากจะรักคุณให้นานที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้”

แอนาเบลเอนร่างเข้าหาเขา เธอแหงนมองขึ้นไปเพื่อจะสบตากับเขาพร้อมๆ กับที่เขาก็หน้าลงมาจนหน้าผากทั้งสองอิงแนบกัน เธอหลับตาลงเพื่อซึมซับความสุขในช่วงเวลานี้เอาไว้

“เท่าที่ผมรู้ก็คือ..ผมทนสูญเสียคุณไปไม่ได้” เขากระซิบบอกเธอแผ่วเบาออกมาจากส่วนลึกในจิตใจ

“คุณจะไม่ต้องสูญเสียฉันไปไหนหรอกค่ะ ฉันสัญญา ตราบเท่าที่คุณยังมีชีวิตอยู่ คุณจะได้ครอบครองหัวใจของฉันเพียงคนเดียวเท่านั้น”

(แม่เจ้า.. แปลได้... อินเลิฟเว่อร์ๆ ฮะๆ.. หวังว่าทุกคนจะอินไปด้วยนะ)

“และคุณก็จะได้หัวใจของผมไปเช่นกันแม้กระทั่งเวลาที่ผมตายจากไปแล้วก็ตาม”

คริสเตียนให้คำมั่นสัญญาพร้อมกับโน้มตัวลงมามอบจุมพิตอันแสนหวานแก่เธอ

ความคิดเกือบทั้งหมดของแอนาเบลยังคงวนเวียนอยู่กับคริสเตียน เหมือนว่าเธอกำลังพยายามหาทางออกให้กับความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างคนหนึ่งที่มีชีวิตเป็นอมตะและอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนธรรมดา เจ็บและตายได้เมื่อเวลาหนึ่งมาถึง

หากว่าเธอสามารถพรากชีวิตตัวเองได้ เธอจะทำมันไหมนะ? เธอจะปลิดชีวิตตัวเองได้ยังไงกัน? หรือว่าจะมีทางอื่นที่จะทำให้เขากลายเป็นอมตะเหมือนเธอ? เธอเหลือบมองมาทางแม่และลุงเอ็มเม็ตต์ เธอรู้ว่าพ่อและโรซาลี่ได้เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นแวมไพร์เพื่อที่จะได้อยู่กับพวกเขาไปตลอดกาล เธอกำลังคิดว่าจะขอร้องครอบครัวของฉันให้เปลี่ยนคริสเตียน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เธอสลัดความคิดนั้นออกไปจากหัวในวินาทีต่อมา เธอไม่สามารถขอร้องใครให้ทำอย่างนั้นกับเขาได้ สำหรับเธอแล้ว...การมีชีวิตอยู่เป็นอมตะก็ไม่ต่างกับการมีชีวิตที่ต้องคำสาป

สายตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่ที่พื้นโต๊ะอาหารขณะที่เธอกำลังจัดการกับแซนวิชมื้อกลางวันอย่างใจลอย ฉันหันไปหาพ่อและเอ่ยถามในความคิดว่าฉันจะชวนแอนาเบลไปร่วมทานมื้อค่ำที่บ้านเราพร้อมกับแนะนำให้รู้จักกับเซ็ธและลีอาได้ไหม ฉันอยากให้เธอมีอะไรอย่างอื่นทำและร่าเริงขึ้นบ้างแทนที่จะจมอยู่กับความคิดของตัวเอง

“แอนาเบล ทำไมคืนนี้เธอไม่ไปทานมื้อค่ำกับพวกเราล่ะ?” พ่อเอ่ยปากชวนเธอแทนฉัน

แอนาเบลเงยหน้าขึ้นจากการกินแซนวิชและมองมาทางฉันเหมือนจะขอความเห็น ฉันพยักหน้าหงึกๆ ทำตาใสเป็นประกายอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอเห็นว่าฉันอยากให้เธอแวะมามากแค่ไหน เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงยิ้มตอบกลับมาให้ฉัน

“ได้สิคะ ว่าแต่เอสเม่จะทำอาหารอิตาเลี่ยนหรือเปล่าคะ?” เธอตอบตกลงและเอ่ยถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างสนใจ ฉันรู้ดีว่าฝีมือทำอาหารอิตาเลี่ยนของเอสเม่เป็นที่โปรดปรานของแอนาเบล

“ฉันมั่นใจว่าเอสเม่ต้องทำแน่ๆ จ้ะ” คราวนี้แม่เป็นฝ่ายตอบแทนทุกคน

~*~*~*~*~*~*~

หลังเลิกเรียนวันนั้นแอนาเบลก็ตัดสินใจแวะมาที่บ้านฉันทันที เธอติดรถกลับมาที่บ้านเราพร้อมกับฉันเพื่อที่คริสเตียนจะได้ขับรถมารับเธอหลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ เขาอยากใช้เวลาอยู่กับเธออีกนิดหน่อยก่อนที่เธอจะเข้านอน เมื่อเราทั้งหมดเดินผ่านประตูบ้านเข้ามาฉันก็ถามหาเซ็ธและลีอากับเอสเม่ เธอบอกว่าทั้งคู่พากันไปเดินเล่นในป่า เจคอบจึงอาสาเป็นคนไปตามทั้งคู่กลับบ้าน

พ่อเดินไปยังแกรนด์เปียโนตัวโปรดที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องโถงและลงมือเล่นเพลงแคลร์เดอลูนของเดอบุสซี่ ขณะที่แม่เดินไปนั่งอ่านหนังสือบนโซฟาเลาจ์ข้างๆ แกรนด์เปียโนนั่นเอง (นึกเอาเองนะว่าเฮียเอ็ดเวิร์ดคงจะยังโปรดปรานแคลร์เดอลูนอยู่-คนเขียนเค้าไม่ได้บอกอ่ะว่าเล่นเพลงอะไร นึกเอาเองซะเลย แฮ่ๆ.. แล้วก็เอารูป โซฟาเลาจ์มาให้ดูเดี๋ยวนึกภาำพไม่ออก กะว่าแบบนี้แหล่ะเหมาะกับบ้านคัลเลนสุดๆ ละ จริงๆ มันก็คือเก้าอี้โซฟายาวๆ ที่เอาเท้าวางได้อ่ะแหล่ะ)


น้าอลิซเดินเข้าครัวเพื่อไปช่วยเป็นลูกมือปรุงอาหารให้กับเอสเม่โดยมีอาแจสเปอร์คอยป้วนเปี้ยนชวนคุยเล่นอยู่ในครัว ฉันได้ยินเสียงลุงเอ็มเม็ตต์กับป้าโรซาลี่พากันเดินตรงไปยังโรงรถ สงสัยป้าโรสคงจะมีโปรเจ็คปรับแต่งเครื่องยนต์ใหม่อีกแล้วกระมัง

ส่วนคาร์ไลส์ ยังไม่กลับมาจากงานที่โรงพยาบาลแต่ก็น่าจะกลับมาทันร่วมนมื้อค่ำในคืนนี้ แน่นอนว่าคงมีเพียงแอนาเบล, เจคอบ, เซ็ธและลีอาเท่านั้นที่จะได้ชิมอาหารฝรั่งเศสฝีมือเอสเม่ อีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหารค่ำดังนั้นฉันกับแอนาเบลเลยขอตัวขึ้นไปทำการบ้านกันบนห้องของฉันก่อน เธอจับจองพื้นที่บนเตียงของฉัน ส่วนฉันลงมานอนทำการบ้านที่พื้น

“นี่เนสซี่?”

ฉันเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกของแอนาเบล เธอกำลังกัดปากกาเล่นเหมือนกำลังใช้ความคิดอะไรสักอย่างอยู่

“อะไรเหรอ?” ฉันถามเห็นเธอไม่พูดอะไรต่อ

“ฉันกำลังสงสัยว่า..คนๆ นึงจะกลายเป็นแวมไพร์ได้ยังไงน่ะ?”

เสียงเปียโนที่ดังมาจากโถงชั้นล่างหยุดลงทันที พ่อคงได้ยินคำถามของแอนาเบลแล้วสินะ และทุกๆ คนก็คงได้ยินด้วยเหมือนกัน ฉันหยุดคิดครู่หนึ่ง ลังเลว่าจะบอกเธอดีหรือเปล่าแต่ก็นึกขึ้นมาได้ถ้าหากเธอยังพิจารณาถึงวิถีทางนั้นสำหรับคริสเตียนอยู่ละก็ ฉันก็ควรจะบอกความจริงให้เธอได้รู้เอาไว้.. ความจริงทั้งด้านดีและไม่ดี

“คือ..น้ำลายของแวมไพร์น่ะมีพิษอยู่ และถ้าหากพิษนั้นเข้าไปสู่ร่างกายของคนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แต่มันเป็นการยากมากๆ ที่แวมไพร์จะเปลี่ยนมนุษย์สักคนหนึ่ง”

“ทำไมล่ะ?”

“เอ่อ..เมื่อไหร่ก็ตามที่แวมไพร์ได้ลิ้มรสชาติของเลือด ความบ้าคลั่งก็จะเริ่มขึ้นและมันยากมากที่จะหยุดตัวเองได้ก่อนที่…”

“มนุษย์คนนั้นจะตาย?”

“ใช่จ้ะ”

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วหันกลับไปที่หนังสือทำท่าเหมือนจะอ่านต่อ
“ทำไมถึงถามขึ้นมาล่ะ?” ฉันเป็นฝ่ายถามเธอบ้าง

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันกำลังพยายามคิดถึงเรื่องคริสเตียนอยู่น่ะจ้ะ บางทีเขาอาจจะอยากเป็นอมตะก็ได้.. เพื่อที่พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันไปตลอดกาลน่ะ”

ได้ยินดังนั้นฉันก็อยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป ฉันลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินตรงไปนั่งลงบนเตียงข้างๆ แอนาเบล

“แอนาเบล นั่นเป็นการตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยนะ ฉันหมายความว่า เขาจะต้องอยากกลายเป็นแวมไพร์เสียก่อน เราถึงจะสามารถเปลี่ยนเขาได้ และเขาควรจะได้รับรู้เรื่องราวทุกแง่ทุกมุมเสียก่อนว่าเขาจะต้องสูญเสียอะไรไปบ้างอย่างเช่นครอบครัวของเขาหรือเพื่อนๆ ของเขา”

เธอไม่ตอบอะไรเว้นแต่พยักหน้า “ฉันรู้จ้ะ ก็แค่คิดดูน่ะ”

“เธอควรจะรู้เอาไว้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นน่ะเจ็บปวดทรมานมาก มากเสียจนกระทั่งกลายเป็นความทรงจำที่แจ่มชัดที่สุดที่หลงเหลือมาจากการเป็นมนุษย์ซึ่งครอบครัวทุกคนของฉันจดจำมันได้ไม่เคยลืมเลยแม้จะเปลี่ยนมาเป็นแวมไพร์แล้วก็ตาม และกระบวนการนั้นใช้เวลาถึง 3 วันเต็มๆ ”

“ทรมานงั้นเหรอ?”

“ใช่แล้ว ฉันได้ยินมาว่ามันเทียบได้กับการที่เราถูกเผาทั้งเป็นนั่นแหล่ะ”
แอนาเบลแทบกลืนน้ำลายลงคอ ฉันคาดว่าเธอคงคิดไม่ถึงว่าการเปลี่ยนเป็นแวมไพร์จะเป็นเรื่องราวใหญ่โตขนาดนั้น

“โอ้”

“และเมื่อเขาเปลี่ยนเป็นแวมไพร์แล้ว เขาก็จะไม่สามารถอยู่ใกล้ๆ เธอได้ในช่วงแรกๆ ซึ่งมันอาจจะกินเวลาหลายปีเลยทีเดียวกว่าเขาจะเริ่มปรับตัวได้ และอีกอย่างเขาก็อาจจะไม่อยากใช้ชีวิตแวมไพร์มังสวิรัติอย่างพวกเราด้วยน่ะสิ”

“ทำไมกันล่ะ?”

“ความกระหายเลือดของแวมไพร์เกิดใหม่นั้นรุนแรงมาก เขาอาจไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย เขาอาจจะอยาก..ฆ่าเธอ ดื่มเลือดของเธอ แวมไพร์ทุกตนแตกต่างกันออกไป อย่างแม่ของฉันน่ะ ท่านมีความสามารถที่จะควบคุมตัวเองได้ในทันทีภายหลังการเปลี่ยนแปลง แต่พวกเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าความสามารถแบบนั้นเป็นพรสวรรค์หรือว่ามาจากการที่เธอได้รับการแนะนำมาอย่างดีว่าจะต้องกลายเป็นอะไร เธอรับรู้ถึงความรู้สึก-ความกระหายของตัวเองได้และสามารถควบคุมแรงกระตุ้นจากสัญชาติญาณก่อนที่มันจะครอบงำเธอได้ ฉันว่ามันเสี่ยงเกินไปน่ะ.. ถึงแม้ว่าเธอจะรักษาตัวเองให้หายดีได้ก็ตาม แต่เขาก็อาจจะดูดเลือดเธอจนหมดตัวไปเสียก่อนก็ได้”

จากนั้นเราทั้งคู่ต่างก็นิ่งเงียบกันไปสักพัก ฉันจึงเลื่อนตัวลงมานั่งข้างล่างที่พื้นตามเดิมปล่อยให้แอนาเบลค่อยๆ เรียบเรียงความคิดจากเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันได้เล่าให้ฟังเมื่อครู่

“ฉันถามอะไรเธออย่างได้มั้ย?” ฉันเอ่ยถามขึ้น

“ได้สิจ๊ะ”

“มันรู้สึกยังไงเหรอที่..รักษาตัวเองได้น่ะ?”

และแล้วก็ปรากฏรอยยิ้มสว่างไสวบนใบหน้าของเธอ รอยยิ้มที่ฉันไม่ได้เห็นมาสักระยะหลังจากที่เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้นกับเธอและคริสเตียนระหว่างที่ฉันกลับไปเยือนฟอร์คส์

“มันรู้สึกวิเศษมากๆ เลยหล่ะ ฉันรู้สึกได้ถึงแสงสว่าง.. ที่อาจจะเป็นดวงวิญญาณของคนๆ นั้นละมั้งหรืออาจจะเรียกว่าออร่าของแต่ละคนก็ได้นะ ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน แต่คนบางคนก็มีพลังของจิตวิญญาณที่เจิดจ้ากว่าคนอื่นๆ ขณะที่บางคนก็ค่อนข้างริบหรี่มืดมน เธอกับครอบครัวของเธอน่ะมีแสงสว่างสดใสมากที่สุดครอบครัวนึงเลยหล่ะ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ฉันเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆ เธอในวันที่สองที่เราเรียนวิชาคหกรรมศาสตร์ด้วยกันไงล่ะ ฉันรู้แค่ว่าฉันต้องทำความรู้จักกับเธอให้ได้เลย”

“จริงเหรอ?”

“จ้ะ แล้วเมื่อฉันรักษาตัว มันก็เหมือนกับว่าฉันสามารถเคลื่อนย้ายแสงสว่างนั้นไปรวมยังจุดที่บาดเจ็บได้ ถ้าใครสักคนกำลังใกล้ตายแสงนั้นจะสลัวลง แต่ด้วยฝ่ามือของฉัน-ร่างกายของฉัน ฉันสามารถดึงเอาแสงสว่างนั้นกลับคืนมาได้”

ฉันตาลุกเป็นประกายขณะที่ฟังแอนาเบลเล่าเรื่องไป

“ฉันก็อยากจะรักษาได้อย่างเธอบ้างจัง” ฉันบอกออกไปตามที่ใจคิด คราวนี้แอนาเบลเป็นฝ่ายกระโดดลงจากเตียงลงมานั่งข้างๆ ฉันที่พื้นบ้าง

“เธอเคยบอกว่าเธอยืมพลังของคนอื่นได้นี่ใช่มั้ย?”

“จ้ะ”

“งั้นลองดูสิว่าใช้กับฉันได้ด้วยหรือเปล่า”

ฉันกลืนน้ำลายลงคอเฮือกแล้วมองแอนาเบลด้วยสายตาบ่งบอกว่าไม่ค่อยแน่ใจนัก

“เอางั้นเหรอ?” ฉันถามอีกครั้ง

แอนาเบลยื่นฝ่ามือทั้งสองข้างออกมาหาฉันแล้วพยักหน้า

“ลองดูสิ”

ฉันค่อยๆ เอื้อมมือทั้งสองข้างของตัวเองออกไปช้าๆ แล้ววางประกบลงบนฝ่ามือของเธอ หลับตาลงเพื่อพยายามตั้งสมาธิ ทันใดนั้นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกก็ไหล่บ่ามาที่ฉันในรูปลักษณ์ของคลื่นแสงที่อบอุ่นเรืองรองอยู่บนฝ่ามือของฉัน มันให้ความรู้สึกเหมือนว่าฉันกำลังสัมผัสแสงสว่างโดยไม่จำเป็นต้องมีหลอดไฟให้แสงสว่างหรือแสงจากดวงอาทิตย์เลย มันเป็นเพียงแค่แสง.. แสงสว่างอันอบอุ่นเท่านั้น ฉันลืมตาขึ้นและพบว่าแอนาเบลกำลังจ้องมองฉันอยู่ด้วยสีหน้าแห่งความสงสัยใคร่รู้

“รู้สึกได้หรือเปล่า?” เธอถามฉันทันที แม้ว่าฉันจะยังอึ้งๆ กับสัมผัสจากพลังงานเมื่อครู่นี้อยู่ก็ตาม

“ว้าว!”

“ฉันรู้จ้ะ”

เธอดึงฝ่ามือกลับไปส่วนฉันนิ่วหน้าเล็กน้อยด้วยความทึ่ง แอนาเบลถึงกับหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉัน พร้อมกับที่พวกเราได้กลิ่นเครื่องเทศลอยเข้ามาในห้อง

“มาเถอะ ไปช่วยเอสเม่กับอลิซในครัวข้างล่างกัน”

~*~*~*~

อลิซกับแอนาเบลพูดคุยกันอยู่ในห้องครัวขณะที่ฉันกำลังจัดวางจานชามบนโต๊ะในห้องอาหาร โชคดีที่บ้านเรามีโต๊ะอาหารขนาดใหญ่พอที่จะรองรับคนถึง 13 คนได้พอดีถึงแม้ว่าจะมีแค่ 4 คนครึ่งที่ใช้งานมันเพื่อนั่งทานอาหารในคืนนี้ก็ตาม แน่นอนว่าฉันนับตัวเองเป็นครึ่งคนเพราะพอถึงเวลาอาหารค่ำจริงๆ ฉันก็คงจะแค่เขี่ยมันเล่นไปมาในจาน ตักทานสักคำสองคำเป็นเพื่อนแอนาเบลเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเก้อเขินนักและอย่างน้อยก็จะได้เอาใจเอสเม่ด้วย หวังว่าหลังเสร็จมื้อค่ำนี้แล้ว เจคอบคงจะใจดีพาฉันออกไปล่าสัตว์ทีหลังนะ ตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงเดินย่ำใบไม้กรอบแกรบดังมาจากราวป่า เจคอบ, เซ็ธและลีอาคงจะใกล้ถึงบ้านเต็มทีแล้ว

หลังจัดเตรียมโต๊ะอาหารเสร็จฉันจึงแวะไปดักรอพบพวกเขาที่บ้านริมสระก่อน ฉันกระโดดขึ้นนั่งบนเค้าเตอร์ครัวรอให้ทั้งสามเดินผ่านประตูเข้ามา

“เฮ้ เนสซี่” เซ็ธเอ่ยทักเมื่อเห็นฉันนั่งรออยู่ เขาเดินเข้ามาในบ้านก่อนเป็นคนแรกและสวมกางเกงวอร์มเพียงตัวเดียวเท่านั้น ส่วนเจคอบที่เดินตามเข้ามาทีหลังก็สวมกางเกงวอร์มเพียงตัวเดียวเหมือนกัน ลีอาเดินเข้าบ้านมาเป็นคนสุดท้ายในสภาพเสื้อเกาะอกสีดำและกางเกงขาสั้น ดูจากเสื้อผ้าของทุกคนแล้วคงจะพากันไปวิ่งเล่นในป่ามาแน่ๆ

(หรือว่าไปล่ากันมาแล้วหว่า แล้วจะพาหนูเนสซี่ไปล่ามั้ยอ่ะ??)

“ไงเซ็ธ พร้อมสำหรับมื้อค่ำหรือยัง?” ฉันทักตอบด้วยคำถาม

“พร้อมแล้วๆ ได้กลิ่นไปไกลเป็นกิโลเลย หิวจะแย่!”

ลีอาไม่พูดพล่ามทำเพลง รีบเดินตรงไปยังห้องของเธอแล้วฉันก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำจากฝักบัวดังออกมาจากห้องน้ำในห้องของเธอ บ้านริมสระค่อนข้างกว้างขวางและสะดวกสบาย ทุกคนมีห้องส่วนตัวเป็นของตัวเองพร้อมกับห้องน้ำในตัว โดยเฉพาะห้องของลีอาที่ใหญ่กว่าห้องอื่นๆ เพราะมี walk-in closet ที่อลิซและเอสเม่ช่วยกันทำให้อยู่ด้วย

เจคอบเดินตรงมาหาฉันพร้อมกับหอมเข้าที่แก้มหนึ่งฟอด

“เดี๋ยวผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ” เขาบอกแล้วเดินเข้าห้องไป

ฉันเลยนั่งเล่นรอเวลาบนเค้าเตอร์ครัวต่อไป แต่แล้วก็หันไปเจอเซ็ธที่ยังยืนแกร่วรออยู่แถวๆ เค้าเตอร์ครัวเช่นกัน

“นี่ไม่คิดจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยหรือไง?” ฉันอดถามไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีทำเป็นทองไม่รู้ร้อนของเซ็ธ

“หมายความว่าจะไม่ให้ฉันไปทั้งอย่างนี้ใช่มั้ยอ่ะ?”

“อืม ไม่ให้ เดี๋ยวจะทำให้แอนาเบลไม่สะดวกใจ”

“ไม่สะดวกใจในทางที่ดีป่ะ?” เขาถามพร้อมกับยิ้มยิงฟันอย่างกวนๆ

“เธอมีแฟนแล้วน่าเซ็ธ” ฉันบอกพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างอ่อนใจเพราะความขี้เล่นอารมณ์ดีเกินเหตุของเขา เขาหัวเราะกับท่าทีของฉันแล้วหันหลังเดินกลับเข้าห้องของตัวเองไป

5 นาทีต่อมา เซ็ธและเจคอบก็ออกมาในเสื้อผ้าชุดใหม่และพร้อมสำหรับมื้อค่ำแล้ว แต่ฉันยังคงได้ยินเสียงฝักบัวอาบน้ำจากห้องของลีอาดังอยู่ เจคอบเดินเข้ามาหาฉันและจับมือข้างหนึ่งของฉันประคองแนบแก้มของเขา ฉันรู้สึกว่าที่ว่างภายในช่องอกของตัวเองหดเกร็งแน่นขณะที่มองเข้าไปในดวงตามาดมั่นของเขา ฉันรักชั่วขณะเวลาแบบนี้เหลือเกิน มันเหมือนว่าเราสามารถสื่อถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องกล่าวคำใดๆ ออกมา

“เฮ้อ.. ฉันไปรอพวกนายที่บ้านใหญ่ละกันนะ” เซ็ธเอ่ยบอกขณะที่เดินออกจากประตูบ้านและเดินอ้อมสระน้ำไปยังบ้านหลังใหญ่

เจคอบหัวเราะหึๆ แล้วโน้มตัวเข้ามาจูบฉันที่ริมฝีปากเร็วๆ หนึ่งที

“คุณจะพาฉันไปล่าทีหลังใช่มั้ย?” ฉันถาม

“นี่คุณตัดสินใจว่าจะไม่กินมื้อค่ำจริงๆ ใช่มั้ย?”

“ก็คงกินนิดหน่อย”

“ไว้รอดูกัน”

ฉันถอนใจพร้อมกับกระโดดลงจากเค้าเตอร์ครัว

“ต้องรอลีอาหรือเปล่า?” ฉันถาม

“ไม่อ่ะ เธออาบน้ำนานเป็นบ้าเลย”

เจคอบกับฉันพากันเดินลัดสระน้ำและสวนหลังบ้านเพื่อมายังบ้านใหญ่ เมื่อฉันผลักประตูกระจกหลังบ้านเข้าไปก็เห็นเซ็ธกำลังยืนขวางประตูห้องครัวอยู่ เขายืนนิ่งๆ มองกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในห้องครัวอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ฉันว่านายก็ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในห้องครัวได้อยู่นะเซ็ธ”

เจคอบเอ่ยบอกเมื่อเราเดินตามมาสมทบกับเขาที่ด้านหลัง ฉันเดินขึ้นไปยืนอยู่ข้างๆ เซ็ธและเงยหน้ามองใบหน้าของเขาเพื่อสังเกตอาการผิดปกตินั้น เขามีสีหน้ากึ่งงงๆ กึ่งประหลาดใจ กึ่งไม่เชื่อและนั่นเป็นสีหน้าที่แปลกประหลาดที่สุดของเซ็ธเท่าที่ฉันเคยเห็นมา มันเหมือนกับว่าเขากำลังจ้องอะไรบางอย่างที่น่าอัศจรรย์ที่สุด.. อะไรบางอย่างที่เขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้ละสายตาออกไปจากสิ่งนั้นได้

ฉันค่อยๆ มองตามสายตาของเซ็ธไป ในขณะที่สายตาของฉันหยุดลงที่แอนาเบล ฉันก็รู้สึกถึงแรงบีบจากมือของ

เจคอบที่กุมมือของฉันอยู่ เธอไม่ทันสังเกตว่าเซ็ธยืนอยู่ตรงนั้นและไม่รู้สึกตัวเช่นกันว่าถูกเขาจ้องมองอยู่

เธอกำลังนั่งคลุกเคล้าสลัดให้เข้ากันอยู่บนเก้าอี้ที่โต๊ะกลางครัวพลางฮัมเพลงเบาๆ กับตัวเอง

ฉันรีบหันกลับมามองที่เซ็ธอีกครั้ง “โอ้!!” เป็นเสียงเดียวที่ฉันนึกขึ้นได้ในใจ

“นั่นแอนาเบลเหรอ?” เซ็ธเอ่ยถามอย่างไม่เฉพาะเจาะจงกับใครด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่สุดจนฉันมั่นใจว่าคงไม่มีมนุษย์ธรรมดาๆ คนใดได้ยินแน่ๆ รวมทั้งแอนาเบลเอง

“ใช่”

“ฉันรักเธอ” เซ็ธบอกออกมาราวกับว่ากำลังพูดเรื่องธรรมดาสามัญทั่วๆ ไปอย่างนั้นแหล่ะ

“ฉันรู้” เจคถอนหายใจพร้อมกับยกมือข้างหนึ่งวางทับบนไหล่ของเซ็ธ

และในตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงลีอาเดินตามมา เธอเห็นพวกเรายืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องครัวและส่งสายตาแห่งคำถามมายังพวกเราทุกคน แต่เมื่อสายตาของเธอกวาดไปพบกับปฏิกิริยาของเซ็ธ.. จะด้วยวิธีอะไรก็ตาม เธอรู้คำตอบนั้นแล้ว ฉันเห็นแววของความเจ็บปวดแว่บหนึ่งปรากฏอยู่ในดวงตาทั้งคู่ของลีอา แต่แล้วมันก็ถูกเคลือบทับไว้ด้วยน้ำตาอย่างรวดเร็ว เจคอบเดินเข้าไปหาเธอ

“ลีอา..” เขาเอ่ยเรียกชื่อเธอแต่กลับรีรอเพราะไม่แน่ใจว่าจะปลอบโยนเธอได้อย่างไร

ลีอาส่ายหน้าเร็วๆ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่เอ่อออกมากลับเข้าไป

“ฉันไม่เป็นไร” เธอพยายามข่มเสียงพูดให้ปกติที่สุดไม่ยอมให้ตัวเองแสดงความอ่อนแอออกมา “จริงๆ นะ ฉันดีใจกับเขาจริงๆ ”

เจคอบก้าวเข้าไปหาลีอาอีก 2-3 ก้าวก่อนที่เธอจะยกมือห้าม

“ได้โปรด.. ฉันแค่ต้องการเวลาอยู่คนเดียวสักหน่อย”


PS : ในที่สุดก็จบบทที่ 18 ที่ยาวนานเสียทีนะ เฮ้อ.. บทนี้เหนื่อยและลุ้นไปกับแอนาเบลจริงๆ แถมยังมีเซ็ธมาเป็นตัวแปรเพิ่มเข้าไปอีก...

ีมีใครรู้บ้างว่ามันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้น??? แล้วลีอาจะทำใจได้มั้ยเนี่ย? น่าสงสารเจ้าหล่อนเหมือนกันเนอะ (ชักอยากเห็นดาราที่จะมาแสดงเป็นลีอาเสียแล้วสิ)

ดังนั้น.... ก็ขอให้เพื่อนๆ ช่วยรอติดตามตอนต่อไปก็แล้วกันน๊า~~~~ ขอกำลังใจเยอะๆ หน่อย~~

เห็น pageview เพียบเลย แต่ไหงไม่ค่อยเห็น comment แปลไปนี่.. อ่านกันกี่คนง่า








Create Date : 22 กันยายน 2552
Last Update : 26 กันยายน 2552 18:18:29 น.
Counter : 4427 Pageviews.

37 comments
  
เข้ามาแบบงงๆ ไม่ทันตั้งตัว ของเก่ายังอ่านไม่จบเลย
อย่ารีบร้อนนักนะไม่อยากติดลบคะแนน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาเข้าใจว่าป่วยและงานเยอะมาก คุณภาพในการใช้คำยังไม่เต็มที่ อย่าท้อนะ ส่งใจมาแทน สู้ ๆ เดี๋ยวทุกอย่างก็จะผ่านไป อะไรใหม่ๆจะเข้ามา
โดย: pa-to31 IP: 222.123.184.186 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:10:36:46 น.
  
Thanks ka
โดย: apple IP: 203.146.0.227 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:10:43:55 น.
  
วันนี้มาอัพให้แต่เช้าเลย ขอบคุณนะคะ เอแล้วแบบนี้จะหายไปนานกว่าจะมาต่ออีกรึเปล่านะ ????
โดย: mam IP: 210.246.148.28 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:13:23:56 น.
  
แว่บมาดู พี่อุ๋มอัพเช้านี้เอง ครึครึ
สงสัยครอบครัวคัลเลนคงต้องเรียมรับศึกใหญ่ที่จะมีขึ้นแล้วสินะ
อยากรู้จักว่าจะมีใครมีพลังแข็งแกร่งแบบเบลอีกหรือเปล่า ~

สู้ๆ นะคะพี่อุ๋ม เป็นกำลังใจกันต่อไปค่ะ ^_^
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:13:53:43 น.
  
เย้ เย้ เย้ ไม่เปนไร ยังไงก็แปลดี ให้อภัยได้ทุกอย่างยังไงก็รอแปลอยู่
โดย: ying IP: 202.176.133.219 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:14:35:18 น.
  
พี่อุ๋มสู้ๆๆ เป็นกำลังใจให้ทั้งเรื่องแปล เรื่องงาน และเรื่องสอบใบขับขี่นะคะ

เหอเหอ
โดย: kookkaid IP: 210.4.138.41 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:15:42:07 น.
  
ขอบคุณค่ะที่อัพได้รวดเร็วดีจังค่ะ....
อยากให้แอนนาเบลเป็นแฟนกับเซ็ธจังเลยค่ะ...อิอิ

สู้ๆ นะคุณอุ๋ม @________@
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:20:51:18 น.
  
แปล OK ค่ะ เป็นกำลังใจให้ทั้งเรื่องการแปลและเรืองการงานค่ะ
โดย: Aor@Aor IP: 110.49.85.211 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:23:53:27 น.
  
ขอบคุณค่ะ

ที่ช่วยต่อลมหายใจให้

ดีใจ.........จัง
โดย: น้ำปั่น IP: 112.142.114.251 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:9:48:25 น.
  
ดูจากสำนวนแล้วรู้สึกว่าอารมณ์คนแปลเริ่มจะอยู่ในช่วงขาขึ้นแล้วนะค๊ะ 555++ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ทั้งเรื่องแปล เรื่องงาน เรื่องอารมณ์ และที่สำคัญเรื่องลดน้ำหนัก ลดได้ตั้งสองโลแล้ว อย่างงี้ต้องฉลองงงงงง อิ ๆ ๆ ๆ (วางแผนชวนให้อวบคืน 555++ )
โดย: J.J. IP: 222.123.50.84 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:10:07:25 น.
  
ขอบคุณกำลังใจจากทุกๆ คนน๊า ...

ยอมรับเลยว่า ตอนที่แปลนี่รีบมาก (เพราะกลัวว่าจะไม่ได้แปลอีกนานแล้วทุกคนจะรอ เลยออกมาแบบนี้)

คราวหลังจะตั้งใจแปลให้ดีกว่านี้ ถึงช้าก็รอกันได้ใช่ไหมอ่ะ รู้สึกแย่เหมือนกันที่ไม่ได้ QC งานแปล (ด้วยเพราะเร่งรีบ)

ตอนนี้ดีขึ้นแย้ววววว เพราะเตรียมตัวจะไปเที่ยวเดือนหน้า
โดย: amuro4ever วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:15:50:41 น.
  
ขอบคุณที่มาอัพนะค่ะ สนุกมากๆๆๆ
โดย: NUch IP: 58.11.72.207 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:16:01:57 น.
  
อ้าว...
ถ้าคุณอุ๋มไปเที่ยว แล้วเมื่อไหร่จะกลับหละคะ
แล้วจะได้อ่านต่อมั๊ยอะ ตอนที่คุณอุ๋มไปเที่ยวอะ

มะเปนไรค้า ให้คุณอุ๋มพักผ่อนมั่งเนอะ

สู้ ๆ น๊า
โดย: biiggii IP: 202.176.71.168 วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:22:40 น.
  
อ่า... ยังไม่ได้ไปตอนนี้จ้า ไปเดือนหน้า ปลายๆ เดือนน่ะ แต่ว่าก็อาจจะต้องมีเตรียมแผนเที่ยวอะไรด้วย เพราะไปกันเอง ไม่ได้ไปกับทัวร์ อาจจะแปลช้าลงนิดหน่อย
โดย: amuro4ever วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:7:24:34 น.
  
รีบมาต่อไวๆนะเป็นกำลังใจให้ค่ะ
โดย: หมิว IP: 118.175.182.119 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:9:10:01 น.
  
แวะมาส่องต่อ ครึครึ
พี่อุ๋มไปปลายเดือนหน้าเหรอคะ มดไปต้นเดือนถัดไปง่ะ
ไปเที่ยงแต่ัถึงแตกแระ สงสัยต้องพึ่งคุณแม่เจ้าขา แห่ๆๆ

เที่ยวให้สนุกนะพี่ ถ้าเจอหนุ่มเกาหลีหน้าตาดีอย่าลืมหนีบกลับมาสักคน ครึครึ
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 24 กันยายน 2552 เวลา:13:48:52 น.
  
Thanks. เก่งค่ะ จะแวะมาดูเรื่อยๆนะ
แต่อยากให้แปลให้ลื่นกว่านี้หน่อย อ่านแล้วอารมณ์มันไม่ค่อยบิ้วตาม แต่ยังไงก็ถือว่าแปลเก่งนะ เป็นกำลังใจให้ ..สู้สู้..
โดย: G IP: 203.156.93.188 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:17:00:35 น.
  
ก่อนไปเที่ยว อย่าปล่อยให้แห้งเหี่ยว เข้ามาแปลต่อ...
จะได้หายคิดถึงคนแปล.....รู้นะว่าจะหายไปหลายวัน
ช่วยชดเชยด้วย แล้วรีบกลับมารายงานตัวด่วน
มีนักอ่านคอยอยู่เยอะ
สู้ ๆ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.195.78 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:14:36:57 น.
  
ให้เดา เซ็ธผูกวิญญาณกับแอนาเบลไปแล้วสินะ ชะรอยว่าจะเกิดกรณีประมาณของแซมกับลีอาห์ขึ้นมาเลยแฮะ

คราวนี้แอนาเบลแย่แน่ๆ เธอจะอยู่กับคนที่เป็นแฟนมาก่อนแล้วรักมากขนาดที่จะอยู่ด้วยกันตลอดอายุขัยของเขา หรือจะอยู่กับเซ็ธที่เป็นอมตะเหมือนกันแล้วสามารถอยู่ด้วยกันไปตลอดกันแน่ (แต่ที่แน่ๆคือตอนนี้ยังไงแอนาเบลก็ต้องเลือกคริสเตียนก่อนล่ะ ก็รักกันมานี่นา)

ฝั่งเซ็ธ...คงต้องเริ่มทำคะแนนแล้วสินะ

อ่านไปนิดเดียวคิดไปขนาดนี้ซะแล้วเรา ฮาา รออ่านตอนต่อไปนะคะ ^^
โดย: Sarren IP: 61.90.106.7 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:18:57:17 น.
  
ตอนที่อ่านตอนแรกก่อนจะแปล... ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพ แต่มันอธิบายความรู้สึกตอนท้ายๆ ของตอนนี้ได้ว่า "เวรแล้วไง"


คือ.. เพิ่งจะเคลียร์กับคริสเตียนไปหมาดๆ เองง่ะ เฮ้อ...

ใครจะเชียร์เซ็ธ หรือ เชียร์คริสเตียน อันนี้ตอนหน้าหนุกแน่ๆ ต้องมีการช่วงชิงกันหน่อยแล้ววววว
โดย: amuro4ever วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:19:24:11 น.
  
55..สมใจหมายผูกวิญญาณกันจริงๆอบคุณคุณอุ๋มค่ะ
มาต่อให้จบแล้ว...ว่าแต่จามาต่ออีกครั้ง...เมื่อไหร่นะ?
อย่างไรก็ขอให้คุณอุ๋มเที่ยวให้สนุกนะค๊ะ ^______^
โดย: sasi IP: 203.170.182.102 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:20:15:11 น.
  
เราเชียร์เซ็ธในที่สุดต้องได้คู่แอนาเบลแน่นอน
ลุ้นน้า
โดย: หมิว IP: 118.172.135.215 วันที่: 26 กันยายน 2552 เวลา:21:51:08 น.
  
ขอบคุณนะคะ
รอลุ้นต่อค่ะ ว่าจะลงเอยกันยังงัย

ก่อนไปเที่ยว ขออีกซักบทได้ม๊า คริ ๆ (แอบโลภ)

คืนนี้ ฝันดีนะคะทุกคน
โดย: biiggii IP: 202.176.70.146 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:0:17:22 น.
  
ขอบคุณมากในความกรุณา...เข้ามาแปลให้อ่านต่อ
แต่...ยังไม่ได้อ่านเลย ของดออกความเห็น ให้รอบ้างนะ
อ่านจบก่อน
สู้ ๆ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.119.27 วันที่: 27 กันยายน 2552 เวลา:20:04:32 น.
  
แปลเร็วดีจัง พี่สาว เป็นกำลังใจให้ค่ะ
โดย: Aor@Aor IP: 119.31.126.141 วันที่: 28 กันยายน 2552 เวลา:23:48:05 น.
  
นู๋อ่านจบแบบ ล่าเลย ล่าสุด(ท้าย) เหอเหอ

ไปอ่านตอนต่อไป

พี่อุ๋ม สู้ๆๆ
โดย: kookkaid IP: 210.4.138.41 วันที่: 1 ตุลาคม 2552 เวลา:15:07:39 น.
  
thank
โดย: seabreeze IP: 192.168.111.109, 222.123.40.138 วันที่: 3 ตุลาคม 2552 เวลา:20:14:30 น.
  
"เวรแล้วไง" ขอยืมคำพูดพี่อุ๋มมาใช้ละกัน
อ่านไปก็ลุ้นไป คราวนี้แอนนาเบลลำบากแน่ๆ จะเลือกใครดีล่ะทีนี้
ถ้าให้เดาคิดว่าน่าจะคู่กับเซธนะ เพราะถ้าหมาป๋าผูกวิญญาณแล้วก็ไม่น่าจะแคล้วคลาดกันอ่ะนะ
ใจมดก็เชียร์เซธด้วย เพราะเซธน่ารัก ขี้เล่น อยู่ด้วยแล้วสนุกเป็นบ้า ครึครึ
แต่อีกใจก็สงสารคริสเตียนนะเนี่ยะ เอาเป็นว่าเรื่องต่อไปจะเป็นไงก็รอลุ้นดีกว่า~

ขอบคุณพี่อุ๋มมากมายจ๊ะ จุ๊บุๆ
โดย: Eriv Mun IP: 115.67.4.250 วันที่: 11 ตุลาคม 2552 เวลา:19:29:58 น.
  
บทนี่งงๆ ลีอาเป็นอะไรหรอ ที่เซ็ธไปชอบแอนนาเบล ก็เป็นพี่น้องกันไม่ใช่หรอ
โดย: อิ๋ม (aimaimaim ) วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:20:17:48 น.
  
สนุกมากๆ เลยค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ แปลให้อ่านอีกต่อไป
นะคะ
โดย: pummy IP: 124.120.52.160 วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:0:34:22 น.
  
อย่าน้อนใจไปนะคะ เปนกำลังใจ สู้ๆ
ชอบมากจิงๆ

อยากให้ทำเปนหนังอะ แต่มันจะหลายภาคเกินไปมั้ยเนี่ย 55
โดย: น้ำ IP: 125.27.24.198 วันที่: 4 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:53:45 น.
  
สนุกมากค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ
โดย: จอย IP: 118.173.108.195 วันที่: 5 กันยายน 2553 เวลา:21:31:11 น.
  
ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวจะอ่านตอนต่อไปเรื่อยๆค่ะ
โดย: 123 IP: 182.52.137.48 วันที่: 2 ตุลาคม 2553 เวลา:18:07:11 น.
  
หนุก
โดย: A IP: 171.7.117.250 วันที่: 24 สิงหาคม 2555 เวลา:19:09:02 น.
  
สนุกมากค่ะ อ่าน2 รอบและ --" ชอบจริงๆ
โดย: Ompamp IP: 27.55.3.161 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:27:19 น.
  
^_____^
โดย: แอมแปร์ IP: 210.148.57.5 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:16:21:46 น.
  
ฟินน ขอบคุณมาก ๆ น๊าา
เพิ่มมาพิมพ์คอมเม้น แอบอ่านนานมว๊ากก
#ปกติไม่ชอบที่จะ FIC หรือ นิยาย เลยยกเว้นฟิกนี้ อารมณ์มันค้างจากดู ทไวไลย์ 4.2 มา -v- เลยมาหาในเน็ตอยากดูคู่ของเจคอมกับลูกเบลล่า :D ติดงอมแง้มเลยทีนี้
#ขอบคุณมากกกกกกกกกกกกกกกกก
โดย: แอบอ่าน IP: 61.90.19.52 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2555 เวลา:21:03:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]