สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่ 14 - สารพันคำถาม
เอ้ามาแล้วจ้า เร่กันเข้ามาเร้วววว .. รีบมาโพสต์ตามสัญญาอย่างเคร่งครัดเลยหล่ะ เดี๋ยวจะโดนค่อนแคะกันไม่ใช่น้อยถ้าผิดสัญญาน่ะสิ ใช่มั้ย?

ขอนอกเรื่อง เล่าเรื่องระหว่างแปลให้ฟังกันนิดนึงนะจ๊ะ คือว่าเนืื่องจากต้นฉบับ fanfic มันเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งการใช้คำก็ค่อนข้างจะเรียบง่ายไม่หวือหวา ดังนั้นช่วงระหว่างที่แปลไป ก็นึกอยู่เหมือนกันว่า มันมีคำว่า "ฉัน" กับ "เขา" มากเกินไปหน่อย เช่น ฉันอย่างโน้น ฉันอย่างนี้ เขาเหลือบตามอง เขายิ้ม เขาหัวเราะ ซึ่งเวลาแปลเป็นไทยแล้วมันจะห้วนๆ คล้ายๆ กับว่าจะเป็นการแปลแบบย่อๆ ไปซะงั้น (คนแปลเองยังหงุดหงิดเลยว่าทำไมมัน "ัฉัน" กับ "เขา" บ่อยเหลือเกิน)

บทที่ผ่านๆ มาก็พยายามขยายความไปค่อนข้างหลายจุดทีเดียว ทั้งๆ ที่ต้นฉบับภาษาอังกฤษไม่มี เพื่อให้อ่านแล้วมันดูไหลลื่นไปได้เรื่อยๆ ไม่สะดุด เนื่องจากว่า...ไม่เคยแปล fiction มาก่อน ก็เลยไม่แน่ใจว่าเราควรจะใส่อะไรลงไปเพิ่มเติมจากเนื้อเรื่องเดิมต้นฉบับของเขาหรือเปล่านะสิ ?? ดังนั้นเลยอยากขอบคุณทุกๆ comment ที่ช่วยกันแนะนำและcomment กันมามากๆ จะพยายามปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ จ้า

เอามาฝาก ต้นฉบับตอนที่ 14 มาให้อ่านประกอบด้วยจ้า //www.fanfiction.net/s/4476234/14/The_Healer


=====================================


“งั้นขอฉันถามตามตรงเลยนะ พี่ชายเธอ-เอ็ดเวิร์ด จริงๆ แล้วเป็นพ่อของเธอ ส่วนแม่ของเธอที่ฉันคิดว่าเป็นแค่แฟนของเขาแต่จริงๆ แล้วคือแม่แท้ๆ ของเธอ?” แอนาเบลยิงคำถามตรงๆ ที่ออกจะฟังดูงงๆ สักหน่อย

ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ

“แล้วครอบครัวเธอทั้งหมดก็เป็นพวกแวมไพร์?”

ฉันพยักหน้าอีกครั้ง

“แต่เธอเป็นลูกครึ่งมนุษย์กับแวมไพร์?”

“ใช่”

“แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไงล่ะเนี่ย?”

“แม่ตั้งท้องฉันตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์ธรรมดาน่ะ”

“แล้วพ่อเธอก็เปลี่ยนแม่เธอทีหลัง?”

“ใช่แล้ว เขาจำเป็นต้องทำ เพราะมันเป็นทางเดียวที่จะช่วยชีวิตเธอได้”

“ช่วยชีวิต?”

“ร่างกายเธอทนรับไม่ไหว…เธอจะตายจากการคลอดฉัน”

ความเงียบงันเข้ามาแทรกระหว่างเราทั้งคู่ ฉันรู้ดีว่ามันไม่ใช่ความผิดของฉันเลย แต่ฉันก็ไม่สามารถสลัดความรู้สึกผิดที่เป็นคนที่เกือบจะคร่าชีวิตแม่ของตัวเองออกไปจากใจได้ แม่เป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฉัน ท่านปกป้องและคุ้มครองฉันให้ได้มีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย ถึงแม้จะไม่มีใครรู้เลยว่าสิ่งที่อยู่ในครรภ์นั้นเป็นตัวอะไร และจะเกิดมากลายเป็นอะไร ฉันแค่หวังว่าสักวันฉันจะมีความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวอย่างนั้นบ้าง
(จ้ะ ... ป้าว่าหนูคงได้มีวันนั้นแน่ๆ ... เพราะถ้าเกิดมี fanfic เรื่องต่อไป ป้าคงได้ปวดหัวเดาว่าหลานลูกครึ่งแวมไพร์กับหมาป่าเจคอบจะออกมาเป็นอะไร(ฟระ?)) -_-“ )

ก่อนหน้าที่จะบอกความจริงเกี่ยวกับครอบครัวเรา ฉันย้ายมานั่งอีกฝั่งของโซฟาเพราะไม่แน่ใจว่าเธอจะทนรับเรื่องราวเกี่ยวกับพวกแวมไพร์ได้มากแค่ไหน ฉันจ้องมองเธอ รอดูปฏิกิริยาตอบรับ แต่เธอกลับดูสงบอย่างประหลาด

“เธอโอเคกับเรื่องพวกนี้หรือเปล่า?” ฉันเอ่ยถามเธอตรงๆ

“อื้ม ทำไมจะไม่ล่ะ? หรือว่าเธอวางแผนจะดูดเลือดฉัน?”

“เปล่านะ โอ..ไม่เอาน่า!”

เธอหัวเราะ

“ฉันโอเคกับทุกเรื่องแหล่ะ เชื่อฉันเถอะจ้ะ นี่คงอธิบายเรื่องที่พวกสัตว์ล้มตายในป่าได้แล้ว ฉันบังเอิญไปเจอพวกมันเข้า แล้วก็สงสัยเรื่องรอยกัดมาตลอดเลย”

ฉันทำหน้าเบ้

“เนสซี่ ฉันอยู่มานานพอดูแล้วนะ ฉันได้เห็นเรื่องแปลกๆ มานักต่อนักแล้วหล่ะ”

“จริงเหรอ? แล้วเธอไม่เคยนึกสงสัยบ้างเหรอ?”

“ไม่จ้ะ ฉันปฏิเสธที่จะก้าวออกมาจากเมฆหมอกแห่งความคลุมเครือของฉัน แบบนั้นมันปลอดภัยกว่าน่ะ”

ฉันยิ้ม

“งั้นฉันก็เป็นคนแรกที่ดึงเธอออกมาจากเมฆหมอกนั้นสินะ แอนาเบล”
เธอหยุดคิดนิดหนึ่งแล้วยักไหล่

“สงสัยจะเป็นอย่างนั้นแหล่ะ”

(คือแอนาเบลเธอพยายามจะบอกว่า เธอได้เห็นเรื่องแปลกประหลาดมามากมายและนึกสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดจะค้นหาคำตอบหรือคำอธิบายในเรื่องพวกนั้น และเก็บงำความสงสัยต่างๆ เอาไว้ เพราะการพยายามหาทางพิสูจน์ความจริงอะไรซักอย่างอาจจะนำอันตรายมาให้เธอก็ได้
เช่น.. ถ้าสงสัยว่าทำไมตัวเองต้องหนี ทำไมพ่อแม่ต้องให้พี่พาหนี แล้วพยายามสืบก็อาจจะทำให้ตัวเองเข้าใกล้อันตรายมากขึ้น หรือถ้าเกิดสงสัยว่าครอบครัวคัลเลนไ่ม่ใช่คนธรรมดา แล้วพยายามสืบ ก็อาจจะค้นพบว่าพวกนั้นเป็นแวมไพร์แล้วก็จบลงด้วยการถูกฆ่าเพื่อรักษาความลับก็ได้ เธอก็เลยช่างมันไปซะ ไม่รู้ไปซะเลยจะดีกว่า มันก็มีเลยแต่ความคลุมเครือไง แล้วเนสซี่ก็เป็นคนแรกที่ทำให้แอนาเบลถามในสิ่งที่เธอสงสัยเกี่ยวกับบ้านคัลเลนออกไปจนได้)


เธอสะบัดผ้าห่มให้แผ่คลุมโซฟาแล้วแทรกตัวเข้าไป อุณหภูมิในตอนกลางคืนเริ่มลดลงเรื่อยๆ

“แล้วเจคอบมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ?”

“เอ่อ... คือ..” ฉันเริ่ม แต่ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายยังไงต่อไปดี “เขาแปลงเป็นหมาป่าได้” นั่นเป็นคำอธิบายที่ง่ายที่สุดที่ฉันพอจะนึกได้

“ไหนว่าพวกมนุษย์หมาป่ากับแวมไพร์เป็นอริที่ไม่มีทางปรองดองกันได้ไงล่ะ?”

“ฉันก็เคยคิดแบบนั้น แต่กับเจคมันต่างออกไป เขาอยู่กับครอบครัวของเราเพราะฉัน”

“เพราะเธอเหรอ?”

“ฉันเดาว่าเธอคงรู้แล้วว่าเขาเป็นเนื้อคู่ของฉัน แต่เคยได้ยินอะไรที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่าคำว่าเนื้อคู่หรือเปล่าล่ะ?”

“ยิ่งกว่าเนื้อคู่อีกเหรอ?”

ฉันยักไหล่

“แต่พวกเธอเพิ่งจะเริ่มเดทกันไม่ใช่หรือไง?” เธอถาม

“ใช่แล้ว ฉันคิดว่านั่นคงเป็นอะไรที่ “คนที่เป็นยิ่งกว่าเนื้อคู่กัน” เค้าทำกันน่ะ

“รู้มั้ย.. ฉันไม่เคยแม้แต่จะคิดหาคำตอบเรื่องนั้นเลยนะ”

ฉันหัวเราะ

“แล้วเธอรักษาตัวเองได้เหมือนฉันหรือเปล่า?” เธอถาม

“ก็ไม่เชิงน่ะ ไม่มีอะไรเลยที่สามารถทำให้ผิวหนังของฉันระคายเคืองได้ ฉันก็ไม่เคยทดสอบขีดความสามารถของมันเหมือนกันน่ะ เธอล่ะเคยหรือเปล่า?”

“เคยอะไรเหรอ?”

“ก็เคยทดสอบความเป็นอมตะไง”

“เธอหมายความว่า ฉันเคยฆ่าตัวตายไหมน่ะเหรอ?”

ฉันพยักหน้ารับ

“สองครั้ง ครั้งแรกกระโดดจากตึก และอีกครั้งลองดื่มยาพิษ ฉันไม่ใช่พวกมาโซคิสท์ที่ชอบทรมานตัวเองเล่นเพื่อความสะใจหรืออะไรหรอกนะ ฉันยังรู้สึกเจ็บปวดเมื่อบาดเจ็บ ยาพิษเป็นความคิดที่แย่ที่สุด จำได้ว่าฉันท้องเสียอยู่เป็นอาทิตย์เลย!”

แอนาเบลเล่าพร้อมทำสีหน้าประกอบว่าเข็ดขยาดสุดๆ มันตลกจนฉันเริ่มหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเมื่อจินตนาการภาพตามไป

“แล้วเธอทำอะไรพิเศษๆ ได้ไหม? พวกแวมไพร์ต้องแข็งแรงมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ?” เธอถามต่อ

“ฉันแข็งแกร่งและว่องไวมาก แบบว่าหูไวตาไวน่ะ”

“ฉันก็อยากมีพลังความสามารถพิเศษบ้างเหมือนกัน เท่าที่ฉันรู้ ฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่ไม่รู้จักแก่กับแค่รักษาตัวได้ก็เท่านั้นเอง คงจะสะดวกกว่านี้เยอะเลยถ้าวิ่งเร็วๆ ได้หรือแข็งแรงเป็นพิเศษ เธอรู้มั้ยว่าฉันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะจัดเฟอร์นิเจอร์ในบ้านเสร็จน่ะ”

“ฉันว่าเธอน่ะห่างไกลคำว่าคนธรรมดามากเลยนะ”

“แล้วเธอทำอย่างอื่นได้อีกมั้ย?”

ฉันนิ่งนึกไปสักพัก ไม่รู้ว่าควรจะบอกหรือแสดงให้เธอดูดีไหม หรือว่าจะปิดปากเงียบไว้เสียเลยจะดีกว่า

“ให้ฉันแสดงให้ดูไหมล่ะ?” ฉันถาม

เธอพยักหน้า ฉันจึงขยับเข้าไปใกล้เธอแล้วจับมือข้างหนึ่งของเธอเอาไว้
“อาจจะรู้สึกแปลกๆ ทีแรกนะ แต่ฉันสัญญาว่ามันไม่เป็นอันตรายหรอก”

ฉันมองหน้าแอนาเบล บอกได้เลยว่าเธอมีอาการกลัวนิดๆ หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นนิดหน่อย

“พร้อมนะ?”

“จ้ะ”

ฉันฉายภาพในความคิดให้เธอเห็น เริ่มที่ภาพความอบอุ่นระหว่างเธอและคริสเตียน ส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ฉันเห็น เช่นงานวันคืนสู่เหย้า, สายตาที่เขามองเธอและจูบเธอในตอนที่เขาคิดว่าไม่มีใครมองอยู่ ฉันดึงมือออก

เธอมองมาที่ฉันพร้อมส่งยิ้มกว้าง

“เจ๋งที่สุดเลย!” เธอบอก “แล้วทำอย่างอื่นได้อีกมั้ย?”

“ฉันขอยืมพลังของคนอื่นมาใช้ได้เวลาที่ฉันแตะต้องพวกเขา เหมือนกับว่าฉันอยู่ในร่างของพวกเขาขณะที่ใช้พลังนั้นน่ะ”

“เธอใช้ของฉันได้หรือเปล่า”

“อืม.... ไม่รู้สิ”

"แล้วมีใครอีกบ้างที่มีพลังพิเศษ? แวมไพร์ทุกคนทำอย่างที่เธอทำได้หรือเปล่า?”

“ไม่จ้ะ พลังของฉันก็มีอยู่เฉพาะฉันคนเดียว พลังของแม่จะเหมือนกับเกราะป้องกันพลังอื่นๆ .. เอ่อ พลังทางจิตน่ะ พลังพวกนั้นจะใช้ไม่ได้ผลกับแม่ และแม่ก็สร้างเกราะป้องกันให้คนอื่นได้ด้วย ส่วนพ่อฉันก็อ่านใจคนได้ และขอบอกไว้เลยว่า มันน่าปวดหัวเป็นที่สุด”

แอนาเบลทำปากเป็นรูปตัว “O” ขณะที่รับรู้ถึงความสามารถของพลังนั้น

“งั้นพ่อเธอก็ได้ยินความคิดทุกคนที่โรงเรียนเลยน่ะสิ?”

“ถูกต้อง”

“รวมทั้งเธอด้วย?”

“ใช่”

“กระทั่งเจคอบ?”

“ถูก”

“อึ๋ย... คงพิลึกน่าดู”

ฉันพยักหน้ารับ “เธอคงนึกไม่ถึงเลยหล่ะ”

“แล้วใครอีก?”

“อลิซ เธอมองเห็นอนาคตได้ แต่มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะคนเราเปลี่ยนใจกันอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วนี่ อนาคตมันไม่ได้หยุดนิ่งเหมือนก้อนหินซะหน่อย แต่เธอไม่เห็นของฉันกับเจคอบนะ”

“เหรอ? ทำไมล่ะ?”

“พวกเราคิดว่า เพราะเราเป็นคนละสปีชี่กับเธอ เจคอบเป็นมนุษย์ที่แปลงร่างได้ ส่วนฉันก็เป็นลูกครึ่งแวมไพร์ เธอเห็นอนาคตของมนุษย์ก็เพราะครั้งหนึ่งเธอเคยเป็น และเห็นแวมไพร์เพราะเธอเป็นหนึ่งในนั้น แจสเปอร์เปลี่ยนแปลงหรือโน้มน้าวอารมณ์คนอื่นได้ เขาทำให้พวกที่ทะเลาะกันสงบลงได้ หรือทำอะไรที่ตรงข้ามก็ได้”

“แล้วพวกเธอได้พลังมาได้ยังไงกันล่ะ?”

“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน ทฤษฏีก็คือพลังของคนๆ นั้นอาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากลักษณะเด่นเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ พ่อของฉันไวต่อความรู้สึกนึกคิดของคนอื่นมากๆ เมื่อตอนที่ท่านยังเป็นมนุษย์ แม่เองก็อ่านความคิดได้ยากเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็กสาวธรรมดาๆ อลิซมีนิมิตร และแจสเปอร์ก็จูงใจคนเก่ง"

“แล้วเธอล่ะ?”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะ เดาว่าฉันคงเกิดมาพร้อมๆ กับมันเลยหล่ะมั้ง แต่ฉันก็ยังเรียนรู้มันอยู่นะ เพราะฉันก็เพิ่งมารู้เมื่อสองสามปีก่อนนี่เองว่าฉันยืมพลังคนอื่นมาใช้ได้”

“แล้วเธอรู้ได้ยังไงกัน?”

ฉันหัวเราะเบาๆ ขณะนึกย้อนไปถึงตอนนั้น

“ตอนนั้นฉันนั่งอยู่ข้างๆ แม่ และพ่อก็กำลังเทศนาฉันเรื่องอะไรสักอย่างที่น่าเบื่อมากๆ ฉันจับมือแม่เอาไว้ แล้วก็คิดเอ่อ.. เรื่องที่ไม่ค่อยดีกับพ่อนิดหน่อยน่ะ แต่ไม่อยากให้พ่อได้ยิน ฉันอยากเป็นเหมือนแม่บ้าง แล้วพ่อก็ไม่ได้ยินฉันจริงๆ พ่อหยุดบ่นแล้วก็หันมามองฉัน ฉันนึกว่าพ่อได้ยินทุกอย่างที่ฉันคิดแล้วเสียอีก แต่พ่อกลับบอกว่าพ่อไม่ได้ยินสิ่งที่ฉันคิดเลย เงียบกริบ.. แต่พอปล่อยมือแม่เท่านั้นแหล่ะ พ่อก็กลับมาได้ยินอีกครั้ง และ....โชคไม่ดีที่พ่อดันได้ยินไอ้ที่ฉันกำลังคิดถึงก่อนหน้านั้นเข้าพอดี”

เธอหัวเราะ

เรายังคงคุยกันต่อไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งคืน แบ่งปันเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของพวกเราให้กันฟัง ยิ่งเราคุยกันมากขึ้นๆ ฉันยิ่งสังเกตได้ว่าอันที่จริงแล้วเธอไม่ได้ทำตัวเหมือนคนที่อยู่มาเป็นร้อยๆ ปีเลย ยังคงมีความไร้เดียงสาและความเยาว์วัยอยู่ในตัวเธอ พอฉันถามว่าเธอทำได้ยังไง เธอก็ตอบว่า การทำตัวเป็นวัยรุ่นมันยิ่งง่ายขึ้นไปอีกเวลาที่คนรอบข้างปฏิบัติกับเธออย่างกับเธอเป็นวัยรุ่นจริงๆ ฉันพยักหน้ารับ นี่เป็นเทคนิคที่ฉันต้องจดจำเอาไว้ใช้ในภายหน้าด้วยเหมือนกัน

เธอเล่าถึงรูปภาพต่างๆ ที่ประดับประดาไว้ทั่วผนังบ้านและผู้คนที่เธอเคยพานพบมาตลอดเวลาหลายปีหรืออันที่จริงแล้วคือหลายร้อยปีต่างหาก ฉันนึกชมเชยที่เธอยังคงพยายามสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลใหม่ๆ อยู่เรื่อย เพราะครอบครัวของฉันมักจะอยู่กันอย่างสันโดษ ด้วยไม่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นโดยไม่จำเป็น(แต่ผลที่ได้รับออกมาตรงข้ามอยู่ดีอ่ะนะ ก็หล่อๆ สวยๆ กันทุกคนซะขนาดนั้น~) มันเสี่ยงเกินไปถ้าเกิดสูญเสียการควบคุมตัวเองหรือไม่ก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่งว่าความลับของเราจะไม่รั่วไหลออกไปสู่คนภายนอก

แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่อยากจะยึดติดกับใครมากเกินไป เพราะมันเป็นเรื่องเศร้าเมื่อต้องกล่าวคำอำลาไม่ว่าการอำลานั้นจะมาจากฝ่ายใดก็ตาม ถึงแม้มนุษย์จะถูกปิดกั้นจากครอบครัวของฉันโดยธรรมชาติ แต่ฉันก็รู้ดีว่าพวกเขาก็ยินดีที่จะอ้าแขนต้อนรับใครสักคนเมื่อพวกเขาต้องการ หรือเมื่อพวกเขาเป็นที่ต้องการจากใครสักคน ซึ่งในที่นี้บุคคลคนนั้นอาจหมายถึงแอนาเบล

ฉันถามเธอว่าเธอทำใจได้ยังไง ทำไมเธอจึงมีเพื่อนสนิทมากมายนัก ถึงแม้เธอจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าสักวันหนึ่งเธอก็ต้องลาจากพวกเขา? เธอยักไหล่ก่อนที่จะตอบคำถามของฉัน

“ก็คงเพราะฉันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่เพียงลำพังละมั้ง โลกนี้ช่างเปล่าเปลี่ยวและก็มีคนดีๆ ที่น่ารู้จักอีกมาก ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากแต่ละคน ฉันรู้ดีว่าสักวันก็ต้องเอ่ยคำลาแล้วมันก็ค่อนข้างง่ายสำหรับฉันที่จะแกล้งทำเป็นขาดการติดต่อหลังจากเรียนจบแล้วแยกย้ายกันไป มันยังคงเจ็บปวดอยู่ทุกครั้งนั่นหล่ะแต่ฉันก็มีความทรงจำดีๆ ที่ได้เก็บไว้นึกถึง”

“แล้วคริสเตียนล่ะ? เธอจะต้องเอ่ยคำอำลากับเขาด้วยหรือเปล่า?”

“ฉันเคยลองมาแล้วนะ ไม่ต้องห่วง”

มีอะไรบางอย่างเจืออยู่ในถ้อยคำเหล่านั้น บอกได้เลยว่าคริสเตียนแตกต่างไปจากคนอื่นและบอกได้เลยว่าเธออยากจะเก็บเขาเอาไว้ตลอดกาล

“ทำไมเธอถึงเก็บเป็นความลับล่ะ?” ฉันถาม

“มีเหตุผลมากมาย เหตุผลหลักๆ ก็คือฉันไม่อยากจะสูญเสียอิสรภาพ เธอนึกภาพออกไหมล่ะถ้าเกิดมีใครรู้เรื่องเข้า? พวกเขาคงจับฉันไป ทดลองกับฉัน พยายามหาคำตอบว่าฉันเป็นอะไรกันแน่ บางคนอาจจะอยากใช้ฉันเพื่อทำสิ่งชั่วร้าย หรือว่าถ้าเกิดมีคนหัวใสคิดว่าฉันชุบชีวิตคนตายได้ล่ะ? มันเป็นความรับผิดชอบที่หนักเกินไปสำหรับคนๆ นึงในการพยายามที่จะช่วยโลก ฉันกลัวความคาดหวังที่คนอื่นจะมีต่อฉันและผิดหวังเมื่อฉันไม่อาจช่วยพวกเขาได้ดังหวังนั้น ฉันอยู่ดูโลกมานานจนรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของคนไปเสียแล้ว ดังนั้นมันจึงปลอดภัยมากกว่าที่จะอยู่เงียบๆ แบบนี้"

ฉันพยักหน้าเห็นจริงตามที่เธอกล่าว

ช่วงเวลาค่ำคืนล่วงเลยไปจนดึกสงัด แอนาเบลผล็อยหลับไปบนโซฟาในห้องนั่งเล่น ก่อนที่เธอจะหลับไป เราได้กล่าวลากันเรียบร้อยแล้วและแทนที่ฉันจะโทรเรียกให้เจคอบขับรถมารับกลับบ้าน ฉันตัดสินใจที่จะวิ่งกลับบ้านเองดีกว่า

หมอกเย็นๆ ลอยเลื่อนผ่านใบหน้าของฉันขณะวิ่งผ่านป่า ฉันรู้สึกฮึกเหิมหรือจะเรียกว่าเป็นความรู้สึกอะไรสักกอย่างที่คล้ายกัน หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับแอนาเบลมากขึ้นและเธอก็รู้จักฉันมากขึ้น.. รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรามากขึ้น

เมื่อวิ่งมาถึงบ้านเสื้อผ้าและผมเผ้าของฉันก็เปียกชื้นจนแทบจะบิดเป็นหยดน้ำออกมาได้เลย ฉันไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใดๆ ในบ้าน มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นช้าๆ และคงที่ดังมาจากบ้านริมสระ

ครอบครัวของฉันคงจะพากันออกไปล่าตามปกติ ฉันอยากเจอหน้าเจคอบก่อนจะเข้านอนเหลือเกิน ดังนั้นฉันจึงเดินไปที่บ้านริมสระอย่างเงียบๆ ค่อยๆ เปิดประตูพยายามไม่ให้มีเสียงเล็ดรอดออกมา ทันทีที่ฉันเข้ามา ฉันสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ภายในตัวบ้านมีกลิ่นอายเดียวกับเขา และทันใดนั้นฉันก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้นในช่องท้อง
(เอ่อ...เนสซี่จ๊ะ แบบนี้เค้าเรียกว่าย่องเข้าหาผู้ชายกลางดึกนะจ๊ะเนี่ย.. หนูจะทำอะไรพี่เจคอ่ะคะ???)

ฉันเดินเข้าไปในห้องนอน เขากำลังหลับสนิทอยู่บนเตียงในท่านอนหงาย แขนข้างหนึ่งพาดอยู่เหนือศีรษะ ฉันยิ้มกริ่มเมื่อสังเกตเห็นว่าเขานอนกำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วย

เขาคงจะเผลอหลับไประหว่างที่นอนรอให้ฉันโทรมาเรียกให้มารับกลับบ้านเป็นแน่ ฉันถอนหายใจขณะที่สายตาจับจ้องไปที่อกเปลือยเปล่าของเจคอบซึ่งถูกคลุมไว้ด้วยผ้าห่มผืนบางอย่างหมิ่นเหม่ ฉันกัดริมฝีปากพยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างเอาไว้ ฉันไม่ควรมาที่นี่ แต่กลับมาหยุดยืนอยู่ที่ปลายเตียง ยืนดูเขาหลับเงียบๆ หยดน้ำที่กลั่นตัวจากความชื้นจากการวิ่งฝ่าหมอกมาเมื่อครู่หยดจากเรือนผมของฉันลงสู่พื้น ฉันได้ยินเสียงมันตกกระทบพื้นเป็นจังหวะช้าๆ แต่สม่ำเสมอ

ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเคยปีนลงจากเตียงกลางดึกและเดินไปที่ห้องของเจคอบ ฉันยังจำได้ดีตอนที่ฉันคว้าผ้าห่มผืนโปรดไปด้วยและเบียดตัวเองเข้าไปนอนแทรกบนเตียงเขา ฉันจำได้ถึงความรู้สึกตอนที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขา และฉันยังจำดีถึงครั้งหนึ่งเมื่อราวๆ 2-3 ปีก่อนที่ฉันตื่นขึ้นมาบนเตียงของเขาแต่เขากลับไปนอนอยู่บนพื้น ตอนนั้นมันยังดูเหมือนเต็มไปด้วยความไร้เดียงสา แต่ตอนนี้ขณะที่ฉันยืนอยู่มองเขาแบบนี้ มันรู้สึกแปลกไปอย่างประหลาด ราวกับว่าความยั่วยวนใจกำลังจ้องมองฉันอยู่... ทดสอบฉัน.. ฉันควรจะเดินกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง แต่ร่างกายฉันกลับไม่สามารถขยับไปในทิศทางนั้นได้ ฉันต้องการจูบจากเจคอบ

ฉันตัดสินใจเด็ดขาด ขอจูบเบาๆ ครั้งเดียวก็แล้วกันน่า.. แล้วฉันจะกลับไปที่ห้อง เขาคงไม่รู้หรอกว่าฉันแอบมาหาที่บ้านกลางดึก ฉันต่อรองกับตัวเอง

ฉันคลานขึ้นไปเหนือร่างเขา ระวังไม่ให้เขาตื่น ขอบคุณพระเจ้าที่เจคเป็นคนหลับลึก ฉันคร่อมอยู่บนตัวเขาและก้มดูใบหน้านั้น รู้สึกได้ถึงความร้อนจากใบหน้าของเขา หยดน้ำจากผมของฉันหล่นกระทบแก้มของเขา ฉันรักเขามากเสียจนไม่อาจสะกดรอยยิ้มไว้ได้ ดีใจที่เราได้เกิดมาเป็นของกันและกัน

ฉันค่อยๆ โน้มตัวลงและประทับริมฝีปากกับเขา เสียงถอนใจหลุดรอดออกมาจากริมฝีปากนั้นและพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเขา

ฉันกัดริมฝีปากล่าง โอเค ฉันรู้ว่าฉันตกลงไว้ว่าแค่จูบเดียวเท่านั้นแล้วจะกลับ แต่อยู่ๆ ฉันก็ต้องการจูบอีกครั้ง ฉันโน้มตัวลงไปอีกและจูบเขาอีกครั้ง คราวนี้ริมฝีปากเขาขยับตามและรู้สึกได้ว่ามือทั้งสองของเขากำลังประคองใบหน้าของฉันให้ใกล้เข้าไปอีก ฉันผละออกและก้มมอง เขายังคงหลับใหลอยู่

(อ่า... นี่จะเริ่มเข้าเรท ฉ. แล้วหรือเปล่า~~ เนสซี่หนูจะลักหลับเจ้าหมาน้อยจริงๆ เหรอ?!?! >w< )

(แปลมาเรื่อยๆ --- ตรงนี้ขอแนะนำจริงๆ ว่า.... ผู้ปกครองควรให้คำแนะนำ เพราะมัน..... )


ฉันก้มลงจูบเขาอีกครั้ง ห้ามใจตัวเองไม่อยู่เอาเสียจริงๆ คราวนี้เขาจูบตอบอย่างโหยหาเร่าร้อน มือเขาเลิกชายเสื้อเชิ้ตของฉันขึ้นเล็กน้อยเพราะรู้สึกถึงฝ่ามือของเขาวางทาบลงบนผิวเปลือยเปล่าของฉัน ฝ่ามืออุ่นจัดที่แผ่นหลังตรงเอวนั้นสร้างความรู้สึกวาบหวิวให้ฉันในขณะที่เขากดให้ร่างของฉันแนบเข้าไปใกล้อีก ฉันรู้สึกถึงหัวใจของเขาจากการทาบทับที่แนบสนิทเต้นรัวอยู่ระหว่างหน้าอกของเราทั้งสอง

ฉันเลื่อนจูบไปยังแก้มและเรื่อยลงมาที่คางแล้วฝังใบหน้าลงที่ซอกคอของเขา กลิ่นเขาหอมจัง ฉันอยากจะหยุดอยู่ตรงนี้ไปตลอดกาล สิ่งที่ฉันคิดอยู่ในหัวมีเพียงแค่เราจะใกล้ชิดกันยิ่งไปกว่านี้อีกได้อย่างไร ในเมื่อมันดูจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยเนื่องจากร่างของเราทั้งคู่แนบสนิทกันจนไม่มีที่ว่างใดๆ เหลืออยู่อีกแล้ว

ฉันรั้งตัวให้แนบแน่นกับเขามากยิ่งขึ้นราวกับต้องการจะหลอมรวมกันเป็นร่างเดียว รู้สึกถึงริมฝีปากของเขาที่ระเรื่อยอยู่ที่ไหล่และฉันผวาคราง ฉันรู้สึกในสมองเบาโหวงเหวงไม่แน่ใจว่าด้วยเพราะสัมผัสจากเขาหรือว่าด้วยความร้อนผะผ่าวจากร่างกายของเขากันแน่ มันอาจจะมาจากทั้งสองอย่าง ฉันไล้นิ้วเรียวผ่านหน้าอก เรื่อยต่ำลงไปอีกจนถึงหน้าท้องแบนเรียบทว่าเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา นิ้วมือซุกซนยังคงรุกล้ำไปเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่สะโพกและไล่นิ้วเรียวไปตามขอบกางเกง

ทันใดนั้นฉันก็รู้สึกว่าตัวลอยคว้างอยู่ในอากาศ แขนทั้งสองของเขาเหยียดยกเอวฉันขึ้น ฉันก้มมองลงมาที่เขา ผมตกลงมาและหยดน้ำเล็กๆ กระเด็นใส่ใบหน้าเขา เขาตื่นขึ้นในที่สุด

“เนสซี่” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เกือบจะเหมือนกับน้ำเสียงของพ่อที่เรียกชื่อฉันเวลาที่ฉันกำลังจะเจอปัญหาใหญ่

ฉันส่งยิ้มกว้างให้เขา หวังว่าเขาคงจะไม่โกรธนะ ที่ฉันแอบย่องเข้าหาเขาแบบนี้

“คุณไม่ควรอยู่ที่นี่ในเวลาดึกดื่นขนาดนี้” เขาบอก เท่าที่สังเกตจากสีหน้าของเขาแล้ว บอกได้เลยว่าเขากำลังสะกดตัวเองไม่ได้ยิ้มออกมา ขณะที่พยายามปั้นสีหน้าเรียบเฉยอย่างเต็มที่

ฉันนิ่วหน้า เขาไม่ชอบใจเหรอที่ฉันอยู่ที่นี่? เขาอยากจะอยู่คนเดียวใช่ไหมเนี่ย?

“นั่นเป็นเซอร์ไพรส์ที่วิเศษที่ผมเคยตื่นมาเจอ แต่ผมเกรงว่าพ่อแม่ของคุณคงจะผิดหวังแน่ๆ ถ้ามาเจอคุณอยู่ที่นี่.. บนเตียงของผม” เขาพูด อย่างกับอ่านใจฉันได้อย่างนั้นแหล่ะ

เขาวางฉันลงบนเตียงและดึงตัวขึ้นนั่งพิงหัวเตียง

“พวกเขาไม่อยู่บ้าน” ฉันบอก

“แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเขาจะกลับเมื่อไหร่?”

ฉันส่ายหน้า ฉันไม่ทันนึกว่าดึกป่านนี้แล้วพ่อกับแม่จะกลับบ้านมาเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อ เขากลอกตาไปมาเหมือนไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงกับฉันดี

“กลับไปห้องคุณกันเถอะ” เขาพูดพร้อมกับลุกออกจากผ้าห่มแล้วหยิบเชิ้ตมาสวม เขาหันหลังให้ฉันแล้วทำท่าชี้

“จะไปหรือเปล่า?” เขาถาม

ฉันหัวเราะคิก ดูเหมือนมันจะผ่านมานานราวกับชั่วนิรันดร์ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาให้ฉันขี่หลัง เมื่อตอนฉันยังเด็ก เจคอบเคยให้ฉันขี่หลังเล่นก่อนที่จะเข้านอนเสมอ ฉันไม่รอช้า กระโดดเข้าใส่หลังเขาทันที เกี่ยวขาทั้งสองไ้ว้รอบเอวและโอบแขนรอบคอเขาและจูบเขาที่แก้ม

“อี๋! คุณเปียกไปทั้งตัวแล้วยังมาทำผมเปียกไปด้วยอีก” เขาล้อ

“ขอโทษด้วยเจ้าค่ะ”

“ทำไมไม่โทรหาผมล่ะ? ผมจะได้ขับรถไปรับ อุตส่าห์รอโทรศัพท์ทั้งคืน”
เขาพาฉันเดินลัดสวนหลังบ้านเข้าสู่ตัวบ้านหลังใหญ่ซึ่งปิดไฟมืดสนิท ฉันระดมจูบไปที่ลำคอของเขาในตอนที่เขาพาขึ้นบันไดตรงไปยังห้องนอนของฉัน และวางฉันลงบนเตียง

“ผมว่าคุณคงอยากจะเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าแห้งๆ นะ?”

“ก็คงงั้น”

ฉันวิ่งไปที่ลิ้นชักเสื้อผ้าแล้วหยิบกางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสำหรับสวมนอน ตรงเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ เมื่อออกมาก็เห็นเขาเลิกผ้าคลุมเตียงลงเรียบร้อยแล้วและนั่งพิงหมอนอยู่ ฉันเดินเข้าไปหาเขาและทิ้งตัวนั่งลงบนตัก วางแขนทั้งคู่ลงบนไหล่ของเขาและนิ่งมองเข้าไปในดวงตาของเขา ฉันโน้มตัวเข้าไปจูบเขาทีหนึ่ง

“ผมว่าคุณคงทำให้ผมตบะแตกเข้าซักวันนึงแน่ๆ เนสซี่ ผมทนมากกว่านี้ไม่ไหวหรอกนะ”

ฉันโน้มตัวเข้าไปหาเขาอีก กระซิบเขาแผ่วเบาที่ข้างหู

“ถ้างั้นก็เลิกต่อต้านซะทีสิ” ฉันบอก

เขาอุ้มฉันขึ้นจากตักแล้วจัดแจงวางฉันบนเตียง ฉันเอียงตัวนอนลงบนตักเขา

“จำได้มั้ยที่เมื่อก่อนฉันชอบแอบไปนอนบนเตียงคุณตลอดเลย?” ฉันถาม

“จำได้สิ แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว เราทำแบบนั้นไม่ได้แล้วนะ”

เขาลูบผมฉันเบาๆ จับเกลียวผมเล็กๆ ที่ประหน้าทัดหูให้ฉัน ฉันถอนหายใจ

“เฮ้ แต่ก็เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีนะ ใช่มั้ยล่ะ?” เขาถาม

ฉันยิ้มตอบ

“ช่าย คุณพูดถูก”

ฉันได้มีใครคนหนึ่งที่สามารถจูบเขาเมื่อไหร่ก็ได้ที่ฉันต้องการ ผู้ซึ่งรักฉันเช่นเดียวกับที่ฉันรักเขา ฉันมีเนื้อคู่ของฉัน.. คู่ผูกวิญญาณของฉัน.. ทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน

ฉันเริ่มหาว รู้สึกเปลือกตาหนักอึ้ง

“อยู่ก่อนจนกว่าฉันจะหลับนะ?” ฉันร้องขอ

“ตกลง”

*****************************************

ฉันตื่นขึ้นมาในตอนสายๆ และได้ยินเสียงคุยกันเบาๆ อยู่ที่ชั้นล่าง ครอบครัวทั้งหมดของฉันนั่นเอง ฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนจะเป็นการปรึกษาในเรื่องที่เคร่งเครียดพอควร ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ทันรู้ตัวว่าฉันตื่นนอนแล้ว พ่อกำลังพูดอยู่ เขาจึงไม่ทันได้สังเกตเสียงความคิดของฉัน น้ำเสียงของพ่อฟังดูหวั่นวิตก

“อลิซ เธอเห็นอะไรอีก?” พ่อถาม

“เอ็ดเวิร์ด ฉันให้พี่ดูทุกอย่างที่ฉันเห็นแล้ว จะเอาอะไรกับฉันอีก” น้าอลิซตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ

“ขอโทษที ฉันแค่พยายามจะหาสาเหตุเท่านั้นน่ะ” พ่อตอบ

“พวกเขาไม่พอใจ เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นถูกเล่ากันไปปากต่อปาก ชื่อเสียงของพวกนั้นเริ่มสั่นคลอน” ลุงแจสเปอร์เป็นคนอธิบาย

พวกเขานี่ใครกัน?? ฉันคิด

“ทำไมพวกนั้นไม่ไปเข้าโรงพยาบาลจิตเวชซะเลยล่ะ?!” ฉันได้ยินเสียงแม่เอ่ยถาม น้ำเสียงเคืองโกรธระคนประชดประชัน

“ไม่ใช่ว่าคนบ้าจะบ้าเหมือนกันหมดทุกคนหรอกนะ บางคนก็ยังพูดกันรู้เรื่องบ้าง” เสียงคาร์ไลส์ตอบ

แล้วความเงียบก็เข้ามาแทนที่แวบหนึ่ง

“ไว้ค่อยปรึกษากันทีหลังเถอะ” เสียงพ่อบอก ท่านคงจะรู้แล้วหล่ะว่าฉันตื่นแล้ว


PS : ชักจะได้กลิ่นอะไรทะแม่งๆ ซะแล้วสิ เดี๋ยวก็เรื่องอิตาลี เดี๋ยวก็เรื่องชายผิวขาวซีดตาดำสนิท เดี๋ยวก็เรื่องการประชุมเครียดของบ้านคัลเลน มิหนำซ้ำแอนาเบลยังมาเป็น "The Healer" ไปเสียอีก เรื่องราวมันชักจะกลับตาลปัตรจากเรื่องรักวุ่นของเนสซี่-เจคอบ กลายเป็นอะไรไปแล้วเนี่ย???




Create Date : 24 สิงหาคม 2552
Last Update : 25 สิงหาคม 2552 11:12:01 น.
Counter : 4116 Pageviews.

36 comments
  
ขอบคุณคะ สนุกม๊ากๆๆ รบกวนช่วยแปลต่อให้ได้อ่านจนจบเลยนะคะ
โดย: บุ๋มบิ๋ม IP: 10.1.8.193, 203.185.69.14 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:8:29:31 น.
  
comment ไม่เป็นง่ะ รู้แต่ว่าแปลดี ลื่นไหล อ่านง่าย ใช้คำเหมาะสม เข้าใจง่าย ตัวหนังสือเล็กไปหน่อย สำหรับคนแก่อย่างอิฉาน ฮ่า ฮ่า ยังไงตามต่อค่ะ ขอบคุณที่อัพเร็วมั่ก มั่ก
โดย: jee IP: 125.25.63.228 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:10:08:04 น.
  
มารอค่า

อยากอ่านต่อมากๆๆ เลย ขอบคุณมากค่ะ
สำหรับ comment ยังไม่มี เพราะอ่านแล้วรู้ว่าแปลได้ดี สนุกมากๆๆ เลย

อย่าให้รอนานเลยนะคะ เด๋วจะลงแดงเสียก่อน...อิอิ
โดย: mayree IP: 203.121.162.74 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:10:23:36 น.
  
ใช้คำเข้าใจง่ายดีแล้วค่ะ ไม่ต้องวิจิตรพิสดารแต่เข้าใจยากให้เหนื่อย และที่สำคัญมั่ก ๆ อัพได้เร็วมาก ๆ ๆ ๆ ๆ ขอบคุณในความพยายามเอื้อเฟื้อแก่คนไม่เก่ง E นะค้า
โดย: J.J. IP: 222.123.48.199 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:14:22:43 น.
  
จะสนุกกว่าที่สเตฟานี่ แต่งอีกนะเนี่ย ^^

แปลเป็นภาษาธรรมชาติมากค่ะ
โดย: ann IP: 58.137.171.33 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:15:17:55 น.
  
รออยู่นะคะ

อ่านแล้วสนุก มาก ๆ
เป็นกำลังใจให้คะ
โดย: NP IP: 58.181.175.18 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:15:27:36 น.
  
ขอรอด้วยคนคะ
โดย: ลรรณฬา IP: 60.250.251.164 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:15:51:54 น.
  
ตอบแบบจริงใจเลยนะ แปลได้ใกล้เคียงมืออาชีพเลยนะ
จะขาดอยู่ 25% คือการบรรยายแบบลึกซึ้ง บางคนอาจจะรำคาญเหมือนกัน แต่ถ้าใครได้อ่านแฮรี่ ฯ และ แรกรัตติกาล ฯ จะจินตนาการตามไปกับเนื้อเรื่องแล้วรู้สึกเข้าไปในเนื้อเรื่องพร้อมผู้แปล ไม่ได้ตำหนินะ เพราะโดยส่วนตัวแล้วชอบมากๆ ให้คะแนน 80 จาก 100
ขอบคุณมากที่มีความตั้งใจจริงๆ สุ้ๆ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.186.90 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:16:18:50 น.
  


อ่าน comment แล้วดีใจมากๆ เลย แต่รู้สึกเหมือนกันว่าตัวเองแปลบทซึ้งๆ ไม่ได้ คือใช้คำไม่เก่ง คงต้องไปปรับปรุงตรงนี้เพิ่มขึ้นอีกจริงๆ แหล่ะ (รู้ตัวเลย)

ขอบคุณกำลังใจจากหลายๆ คนน๊า ค่ำๆ นี้ลงบทนี้ให้อ่านกันแน่นอน
โดย: amuro4ever วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:16:22:01 น.
  
ช่วยขยายสำนวนอีกหน่อย จะได้ไม่รู้สึกเหมือนรีบให้อ่านแบบย่อให้จบเร็วๆ comment มาแล้วห้ามโกรธด้วย
thank you
ปล.ติดตามตอนต่อไปอยู่
โดย: harry IP: 222.123.186.90 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:16:29:05 น.
  
ตามมาอ่านอย่างไง แต่ปรากฎว่า ...... +555
พี่อุ๋มกั๊กเหรอ หน้าแตกเรยเรา เด๋วกลับไปรออ่านที่บ้านนะคะ ^^
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:17:32:10 น.
  
ค่ำแย้ว ค่ำแย้ว หายไปหนายอ้า
โดย: jee IP: 118.172.193.11 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:20:25:28 น.
  
อ่า
การแปลก็โอเคนะคะ
จะมีก็แบบว่าบางตอนที่ออกจะงง ๆ หน่อย

เอาเป็นว่า ลื่นไหลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้อยากอ่านต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ

รออ่านต่ออยู่นะคะ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.97 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:20:32:00 น.
  

มาตอนแรกแค่กะว่าผ่านมาดูซักนิดดดดดดด.......
แต่ตอนนี้ดูซิ...ต้องปักหลักรอเลยยยยยยย
ฝึกอีกนิด.....บรรยายเพิ่มเติมอีกหน่อย.....
มืออาชีพ....มีหนาวววววววววว
โดย: ผ่านมาดู IP: 124.121.89.160 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:20:54:36 น.
  
เข้ามารออ่าน...สงสารกันหน่อยได้ไหม
เป็นแรงใจให้
โดย: apenya IP: 117.47.31.211 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:20:56:28 น.
  
ใจร้ายๆ เข้าคิวรออ่านนานแล้ว
ส่งใจมาให้ด้วยนะ รับหน่อยสิ
เดี๋ยวจะดึก ได้เวลาเข้านอนก่อน
โดย: thara-999 IP: 117.47.31.211 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:21:04:58 น.
  
อ๊ะ จบเร็วจังเลยอ่ะ อยากอ่านต่อเร็วๆๆ จัง

ว่าแต่นู๋ได้อ่านคนแรกเลยรึนี่ ดีใจจัง
โดย: kookkaid IP: 110.169.23.86 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:22:19:49 น.
  
พี่อุ๋ม ช่วยให้ความหมายด้วยสิคะ สงสัยอ่ะ

"มิหนำซ้ำแอนาเบลยังมาเป็น "The Healer" ไปเสียอีก"

หมายความว่าอะไรอ่ะ

ถ้าไม่ได้ อย่างน้อย the healer คือ?? ก็ยังดีนะคะ

โดย: kookkaid IP: 110.169.23.86 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:22:21:55 น.
  
Heal - รักษา(อาการหรือบาดแผล)
็The Healer - ผู้ที่สามารถรักษาได้ , ผู้ที่ปกปักษ์รักษา, ผู้พิทักษ์รักษา

ตอนแรกที่อ่านเรื่องนี้ ก็ตะหงิดๆ กับชื่อเรื่องว่ามันจะหมายถึงอะไร หรือจะแปลว่าอะไรกันแน่ และเดาว่ามันจะคืออำนาจพิเศษของเนสซี่หรือเปล่านะ ซึ่งจนกว่าจะมารู้ก็ตอน 12 นี่แหล่ะ แล้วทุกอย่างก็เปิดเผยในตอน 14 นี่เอง ว่า The Healer นั้นแปลว่า ผู้ปกปักษ์รักษา(ที่รักษาตัวเองและคนอื่นได้)

ทีนี้รู้ยังว่า... ใครเป็นปมหลักของเรื่องนี้??
โดย: amuro4ever วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:22:37:24 น.
  
อ๊ะ แปลได้ดีกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
ไม่ผิดหวังเลยจริง ๆ

เอ่อ ตอนที่อ่านฉากติดเรทของเนสซี่อะ
บรรยายซะ.....นะ มองเห็นภาพเลย

เก่งมากเลยคะ

รออ่านบทต่อไปอยู่นะคะ

คืนนี้ หลับฝันดีกันทุกคนเลยนะคะ สาว ๆ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.167 วันที่: 24 สิงหาคม 2552 เวลา:23:35:29 น.
  
ดีขึ้นมาอีก 5 คะแนนต้องจินตนาการว่าเราเป็นเนสซี่ ถึงจะให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งอยากได้ความรักที่โรแมนติก และก็ให้ความรักเจคแบบตายแทนได้ เป็นเรื่องละเอียดทางความรู้สึก
เวลาอ่านแล้วมันอิ่มอยากเป็นตัวที่กำลังเดินเรื่องอยู่ต้องบรรยายให้ถึงที่สุด เหนื่อยจังให้ comment อ่านแล้วยิ้มตาม แปลให้คนอ่านเอาไปฝันให้ได้นะ เป็นกำลังใจให้ สู้ๆ
โดย: pa-to31 IP: 222.123.192.163 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:0:26:02 น.
  
ขอบคุณมากที่ตั้งใจแปลให้อ่าน พัฒนาขึ้นจริงๆ อย่าได้ใจเกินไป ยังรู้สึกว่ากระชับไปหน่อยขออีกนิดเดียวเท่านั้นยังรู้สึกว่าเดินเรื่องเร็วไป ให้คนอ่านได้รับรสการบรรยายหน่อยนะ เก่งขอบอก ส่งใจไปถึงช่วยรับที
โดย: apenya IP: 222.123.192.163 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:0:37:23 น.
  
แวะมาเก็บ comment ไปฝันถึงตอนนอนจ้า (เผื่อจะช่วยพัฒนาการตัวเองได้บ้าง) ขอบคุณทุกๆ คนเลยน๊า
ขอบคุณคุณ pa-to31 และคุณ apenya ด้วยจ้า

ตอนแรกที่มาแปลเพราะจะเอาให้เพื่อนๆ อ่านเฉยๆ (ติดหนี้โืทษฐานซื้อเสียงโหวตซะงั้น) ตอนนี้ชักจะเิริ่มกลายเป็นจริงจังไปแล้วสิ
โดย: amuro4ever วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:0:47:51 น.
  
ขอบคุณนะคร่ะที่แปลต่อ...
ชอบตอนที่เนซซี่จะแอบลักหลับเจคแหละ...555

อย่าลืมต่อไวๆนะค่ะ...
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:8:03:34 น.
  
พี่อุ๋ม ประโยคนี้ "ฉันปฏิเสธที่จะก้าวออกมาจากเมฆหมอกแห่งการละเลยของฉัน" เมฆหมอกแห่งการละเลยของฉันหมายความว่าไงอ่ะคะ นู๋ไม่เกทอ่ะ มันน่าจะมีคำที่ดีกว่านี้ไหมคะ

สำนวนแปลโอเคแล้วค่ะพี่อุ๋ม เพราะต้นฉบับเค้าก็ไม่ได้อธิบายละเอียดเท่าไหร่เหมือนเขียนให้รู้เรื่องราวมากกว่าที่จะเน้นบรรยายอารมณ์ความรู้สึกชิมิคะ

รอตามอ่านต่อนะคะ
โดย: นู๋มาย_madman IP: 124.120.46.14 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:10:14:13 น.
  
อธิบายและแก้ไขคำเพิ่มลงไปให้แล้วนะมาย น่าจะเข้าใจมากขึ้น

ต้องพยายามนึกว่าตัวเองเป็นแอนาเบลหน่อยอ่ะ
โดย: amuro4ever วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:11:15:39 น.
  
ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะที่ช่วยแปลให้หายอยาก จารอนะค่ะ
โดย: น้ำปั่น IP: 112.142.125.82 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:12:59:31 น.
  
เจ๋งมากเลยค่ะ
สนุกสุดๆๆ แปลได้ดีมาก

ขอบคุณที่ให้ความสุขกับคนที่ชอบอ่านทุกคน

โดย: papa IP: 124.120.179.242 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:14:32:46 น.
  
เมื่อความจริงเปิดเผย ก็มีปมอื่นมาทำให้สงสัยกันต่อไป
คราวนี้เก็ตแล้วที่พี่อุ๋มบอกว่าชื่อเรื่องนั่นไปสื่อถึงคนอื่นแทนที่จะเป็นเนสซี่กะเจค

ว่าแล้วก็สงสัยว่าพี่สาวของคริสเตียนไปอิตาลีทำไม มีอารายกับพวกโวลตูรีหรือเปล่านิ รอลุ้นต่อนะคะพี่อุ๋ม

ปล. การแปลของพี่อ่ะมดว่าดีแล้วนะ อ่านเข้าใจ ไม่ขัดๆ เหมือน BD 4.2 เหอๆๆ สู้ๆ ต่อไปนามิเอะอุ่มอุ๋ม ^^
โดย: Eric Mun IP: 203.121.175.102 วันที่: 25 สิงหาคม 2552 เวลา:17:27:03 น.
  
กระจ่างแล้วค่ะพี่อุ๋ม

แอนนาเบลนี่นิสัยตรงกันข้ามกับมาริสาเลยนะคะ (อยากรู้ว่ามาริสาเป็นใครต้องไปถามมด อิอิ)

รอ 15 อยู่นะคะ สู้ๆค่ะพี่
โดย: madman IP: 124.120.46.14 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:10:03:10 น.
  
มาต่อเถอะค้า

อยากอ่านใจจะขาดแล้ว
โดย: biiggii IP: 202.176.71.182 วันที่: 26 สิงหาคม 2552 เวลา:21:57:58 น.
  
มาแจ้งให้ทราบกันนิดนึงว่า... ติดภารกิจงานราษฏร์ (งานประจำ) รอกันนิดนึงน๊า
โดย: amuro4ever วันที่: 27 สิงหาคม 2552 เวลา:7:05:30 น.
  
ให้กำลังใจด้วยคนค่ะ
โดย: ปาน IP: 124.120.249.59 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:37:18 น.
  
อ่านฉากเจคกับเนสซี่แล้วสยิวตามอ่ะ 555
โดย: น้ำ IP: 125.27.66.178 วันที่: 4 กรกฎาคม 2553 เวลา:5:51:25 น.
  
^__^
โดย: แอมแปร์ IP: 210.148.57.5 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2555 เวลา:15:26:56 น.
  
โคตรฟินเลย อ้ากกกก😍😍😍
โดย: พรีมมม💕 IP: 114.109.97.14 วันที่: 18 มกราคม 2558 เวลา:13:10:26 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]