สิงหาคม 2552

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
6
7
9
11
14
16
17
18
20
21
23
25
26
28
29
31
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) /บทที่ 5 - เพื่อนใหม่
ฉันดีใจเหลือเกินที่วันนี้จบลง การไปโรงเรียนวันแรกไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฉันคาดฝันไว้เลย ฉันยังไม่มีเพื่อนใหม่และด้วยอัตราเร็วแบบนี้ ฉันคงเรียนจบม.ปลายโดยมีจำนวนเพื่อนเป็นศูนย์แน่ๆ พวกเรากลับมาจากออกล่าได้ราวๆ ชั่วโมงนึงแล้ว เรากลับมานั่งเล่นกันที่บ้านของเจคอบ

ฉันนั่งบนโซฟาฝั่งตรงข้ามกับเจคอบ เหลือบตามองขึ้นมาจากหนังสือและมองเขาซักพัก เขากำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมสร้อยข้อมือที่เขาให้ฉันไว้ตอนคริสต์มาสครั้งแรกของฉัน เขาต้องคอยขยายมันให้ราวๆ สองถึงสามครั้งต่อปีเพราะฉันโตไวมาก ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วละมังที่จะต้องขยายมัน ความทรงจำตอนที่เขาให้มันกับฉันในครั้งแรกผุดขึ้นมาในใจฉันอีกครั้ง

มันเป็นเช้าตรู่ของวันคริสต์มาส พระอาทิตย์เพิ่งจะเริ่มทอแสง ฉันจำได้ลางๆ ถึงพลังงานของความเครียดและความกระอักกระอ่วนที่เกิดขึ้นในเดือนนั้นซึ่งแผ่คลุมครอบครัวของฉันอยู่

ตอนนั้นฉันนั่งอยู่บนตักของเขา มองดวงอาทิตย์กำลังขึ้นตอนที่เขาถามฉันว่า ฉันอยากได้ของขวัญคริสต์มาสหรือยัง ฉันพยักหน้าด้วยสีหน้ากังวลแต่ก็ยื่นมือออกไปทันควัน เขาหัวเราะหึแล้ววางสร้อยข้อมือที่มีหมาป่าไม้แกะสลักบนฝ่ามือของฉัน ฉันยกมันขึ้นมาดูใกล้ๆ

“เป็นสร้อยข้อมือแห่งคำมั่นสัญญา” เขาว่า

“สร้อยแห่งคำมั่นสัญญา?” ฉันถาม

เขาจับข้อมือฉันไว้แล้วบรรจงสวมสร้อยข้อมือให้อย่างอ่อนโยน

“บางครั้งบางคราวจะมีปรากฏการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับบางคนในเผ่าควิลยูต มันเรียกว่า “การผูกวิญญาณ” ใครก็ตามที่เจอประสบการณ์นั้นเป็นครั้งแรกจะสะดุดใจ และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็จะเกิดขึ้น”

ฉันจำได้ว่าฉันเงยหน้าขึ้นมองเขา อยากรู้เรื่องราวต่อไปมากกว่านั้น

“เมื่อเขาเห็นคนที่เขาจะถูกผูกวิญญาณด้วยมันเหมือนเป็นประสบการณ์ชีวิตที่พลิกผัน” เขาเล่าต่อ “มันเหมือนเขาจะกลายเป็นคนตาบอดที่เห็นดวงอาทิตย์เป็นสิ่งแรก พวกเขาจะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันและจะไม่มีอะไรในโลกที่สำคัญต่อเขายิ่งไปกว่าคนๆ นั้น”

ฉันแตะหน้าของเขาและแสดงให้เขาเห็นภาพของฉันกับดวงอาทิตย์ ฉันอยากรู้ว่าเขาผูกวิญญาณกับฉันหรือเปล่า

เขายิ้มพลางปัดผมที่ปลกหน้าฉันออกไปแล้วตอบว่า “ใช่”

ฉันเริ่มแสดงภาพของเขากับดวงอาทิตย์ให้เขาดูแล้วต่อด้วยภาพต่างๆ ในช่วงเวลาที่ฉันชื่นชอบ ฉันอยากให้เขารู้ว่าเขามีความหมายต่อฉันมากเพียงไหน ว่าเขาก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ของฉันเช่นกัน

เขาจับข้อมือที่ผูกสร้อยข้อมือของฉันเอาไว้ในมือ

“พี่สัญญาว่าพี่จะอยู่เคียงข้างหนูเสมอ” เขากลาวพร้อมๆ กับโน้มตัวลงมากระซิบข้างๆ หูของฉัน “และพี่จะเป็นของเธอตลอดไป”

มันเป็นความทรงจำที่สุดโปรดปรานของฉันทีเดียว ฉันมักจะคิดถึงห้วงเวลานั้นบ่อยๆ ฉันรู้สึกได้ถึงสายสัมพันธ์เส้นนั้นแต่เริ่มหวาดผวาต่อความรู้สึกใหม่ๆ ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ฉันไม่รู้ว่ามันผิดไหมที่รู้สึกไปในทางนี้และฉันก็กลัวเกินไปที่จะถาม ความคิดที่ว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกแบบเดียวกันกับที่ฉันรู้สึกมันเจ็บปวดเกินกว่าจะคิดถึงมัน เพราะฉันรู้ดีว่าเราจะถูกเชื่อมโยงไว้ด้วยกันเสมอ แต่เขาจะถูกผูกติดอยู่กับฉันแล้วไปมีรักโรแมนติกกับคนอื่นได้ด้วยหรือเปล่าล่ะ?

“เรียบร้อยแล้ว” เขาบอกพร้อมเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉัน

ฉันลุกเดินข้ามไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขา จนสัมผัสได้ถึงความร้อนจากผิวกายของเขา เขาจัดแจงผูกสร้อยข้อมือเข้าที่ข้อมือของฉัน

เจคอบโน้มตัวลงมาแล้วกระซิบที่ข้างหูของฉัน “ของเธอตลอดไป”

ฉันรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านกระดูกสันหลังโดยฉับพลัน ลมหายใจสะดุด ตอนนี้แหล่ะ ถามเขาเสียเลยสิ ฉันคิด นี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นที่สุด

ทันใดนั้นอยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนที่ฉันจะได้ทันเอ่ยปากถามอะไรเสียอีก

“มีอะไรเหรอ?” ฉันถาม

“ไม่มีอะไรหรอก” แต่เขายังคงจ้องออกไปที่หน้าต่าง “เธอน่าจะกลับไปนอนได้แล้ว อย่าลืมสิว่าพรุ่งนี้เรามีเรียน”

ฉันครางอือแล้วลุกขึ้นยืน

“ก็ได้ เจอกันที่รถพรุ่งนี้เช้านะ” ฉันบอก

“แน่นอน ฝันดีนะ”

“ฝันดีค่ะ” ฉันตอบในตอนนี้ก้าวพ้นประตูบ้านเขา


ฉันเดินลัดสวนด้านหลังจนมาถึงประตูหลังบ้าน ได้ยินเสียงเปียโนที่ห้องใหญ่แว่วดังครอบคลุมพื้นที่ในตัวบ้าน ฉันเผ่นโผขึ้นบันไดแล้วแทบจะวิ่งกลับเข้าห้อง ทันทีที่เข้ามาฉันรีบปิดประตูแล้วเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนและเดินไปยังที่นั่งริมหน้าต่าง นั่งลงแล้วชะโงกตัวลงไปมองที่บ้านริมสระว่ายน้ำ มันทำให้ฉันได้เห็นว่าเจคอบเดินไปเดินมาในห้อง ฉันพิงศีรษะเข้ากับผนังห้อง ทำไมหนังตามันหนักๆ อย่างนี้นะ ฉันมองเขาเดินออกจากบ้านแล้วมุ่งหน้าออกไปยังราวป่า สงสัยจังว่าเขาออกไปไหน ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงเปียโนก็หยุดลง พ่อปรากฏตัวขึ้นที่ลานหลังบ้านในพริบตานั้นเอง เขามองขึ้นมาและเห็นฉันนั่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง ดูท่าทางครุ่นคิด แล้วก็หันหลังวิ่งเข้าไปในป่าอีกคน ฉันตัดสินใจที่จะอยู่รอจนกว่าพวกเขาจะกลับมา แต่ทว่าเปลือกตาของฉันกลับชนะในการต่อสู้ครั้งนี้


ฉันนึกอยากจะถามเจคอบเรื่องเมื่อคืน แต่ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะเริ่มคุยเขามักจะตอบด้วยคำตอบสั้นๆ ห้วนๆ เขาดูห่างเหินเหมือนกับว่าจิตใจเขาจดจ่ออยู่กับที่อื่นงั้นแหล่ะ ฉันเลยตัดสินใจว่าจะไม่พูดอะไรกับเขาอีกจนกว่าเขาจะเป็นฝ่ายปริปากออกมาก่อน ตอนที่เขาเดินมาส่งฉันที่ห้องเรียนวิชาคหเศรษฐศาสตร์นั้น เขาก็พูดกับฉันแค่ว่า “ฉันจะจองโต๊ะไว้ให้ตอนกลางวันนะ”

เกิดอะไรขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนงั้นเหรอ? สองสามวันที่แล้วฉันยังไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจในความสัมพันธ์ของเราอย่างนี้เลย ทุกอย่างเมื่อสามวันที่แล้ววิเศษมาก มันเหมือนทุกสิ่งใสกระจ่าง อะไรที่เปลี่ยนไปงั้นหรือ? สองสามวันก่อนฉันยังถามเขาได้ทุกอย่าง แล้วทำไมเดี๋ยวนี้ฉันถึงไม่กล้าล่ะ?

ฉันก้าวเข้าห้องเรียนแล้วนั่งลงที่เดิมกับเมื่อวาน ฉันเปิดสมุดขึ้นมาแล้วเริ่มวาดเส้นขยุกขยิกอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแอนนาเบลกำลังเดินเข้าประตูมา ฉันรู้สึกประหลาดใจที่ไม่เห็นเธอมากับเพื่อนๆ ของเธอ เราสบตากันและเธอยิ้มให้ เธอเดินตรงมายังที่ๆ ฉันนั่งและนั่งลงข้างฉันนั่นเอง

“หวัดดี ฉันแอนนาเบล เนสซี่ใช่มั้ย?” เธอถาม

“ใช่จ้ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

“เธอว่าที่ไหนเป็นไงบ้าง?”

“ก็ดีนะ” ฉันนึกคำตอบอื่นไม่ออก

เธอหัวเราะ “ใช่ มันค่อนข้างหลังเขานิดหน่อยแต่ก็มีอะไรดีๆ อยู่นะ”
“ครอบครัวของเธอเพิ่งจะย้ายมาที่นี่ใช่มั้ยล่ะ?”

“จ้ะ”

“คงดีมากเลยนะที่มีครอบครัวใหญ่ๆ แบบนั้น บ้านฉันน่ะมีฉันเป็นลูกคนเดียว แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันรู้จักการแบ่งปันดีทีเดียวหล่ะ”

ฉันหัวเราะ ฉันมองใบหน้าเธอและเพิ่งสังเกตเห็นว่าเธอมีเค้าหน้าแปลกๆ ฉันสงสัย

“เธอเป็นคนชาติไหนเหรอ?” ฉันอดถามไม่ได้

“อ๋อ ใครๆ ก็ถามฉันเหมือนกัน” เธอตอบแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง “ลูกครึ่งน่ะ”

“ฉันก็เหมือนกัน!”

“จริงเหรอ? พ่อฉันเป็นชนผิวขาว ส่วนแม่เป็นชาวเวียดนาม แล้วเธอล่ะ?”

แย่แล้วไง ฉันดันไม่ใช่ลูกครึ่งแบบที่เธอนึกถึงน่ะสิ ฉันรู้ว่าท่าทางฉันไม่ได้ดูหลากหลายเชื้อชาติขนาดนั้น แล้วผิวก็ขาวมาตั้งแต่เกิดเสียด้วย

“ลูกครึ่งแคนาเดียน ครึ่งอังกฤษน่ะจ้ะ” ฉันตอบไปอย่างรวดเร็ว

เธอหัวเราะ

อาจารย์เดินเข้าห้องมาแล้วสั่งให้นักเรียนจับคู่กัน

“คู่กันนะ?” เธอว่า

“ได้เลย”




Create Date : 08 สิงหาคม 2552
Last Update : 15 สิงหาคม 2552 2:44:02 น.
Counter : 3314 Pageviews.

2 comments
  
เราทำโปรเจ็คทำอาหารร่วมกัน ดีจังที่ฉันค้นพบว่าฉันทำตัวสบายๆ กับเธอได้ ฉันไม่ค่อยได้มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่นๆ นอกเหนือจากคนในครอบครัวฉันนัก เธอเล่าเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของเธอให้ฟังและฉันก็ค่อนข้างดีใจที่เธอก็เป็นเด็กใหม่ในเมืองนี้ด้วยเหมือนกัน เธอเพิ่งย้ายมาได้ราวๆ ปีนึง เธอเล่าเรื่องคนอื่นๆ ในโรงเรียนให้ฉันฟังและใครที่ควรหลบเลี่ยง ฉันตั้งอกตั้งใจฟังที่เธอเล่าเพราะเธอผ่านเหตุการณ์เจ๋งๆ ที่โรงเรียนตลอดปีที่ผ่านมามาแล้ว ฉันหูผึ่งเมื่อเธอพูดถึงงานคืนสู่เหย้า ฉันอยากจะไปมากๆ ต่างกับแม่ ฉันชอบเต้นรำและชอบดูการเต้นรำงานคืนสู่เหย้าในทีวีบ่อยๆ ฉันอยากจะลองไปจริงๆ ดูสักครั้ง

“เธอเคยคิดไหมว่าอยากไปงานเต้นรำกับใคร?” เธอถาม

“ไม่จ้ะ ยังไม่เคย” ฉันตอบ ฉันไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าฉันจะไปออกงานกับใคร ก็แค่อยากไปงานเท่านั้นเอง แลแล้วฉันก็เริ่มเป็นกังวล

“แล้วเธอล่ะ?” ฉันถามกลับ

“ผู้ชายที่ว่างสิ ฉันอยากเต้นรำกับทุกๆ คนเลย”

“เป็นแผนการที่ดี”

“ถูกแล้ว ไปกับเพื่อนๆ น่ะดีออก ไม่ต้องคาดหวังความโรแมนติกหวือหวาในคืนนั้น แค่ไปสนุกเต็มที่ก็เท่านั้นเอง”

ฉันพยักหน้าตอบ ฟังดูดีเหมือนกัน

“ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหมถ้าเธอไม่รังเกียจ ทุกทนในครอบครัวเธอเกี่ยวข้องกันยังไงเหรอ? มันดูงงๆ น่ะ”

“อื้มใช่ อ่า... อลิซ, เอ็มเม็ตและเบลล่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน พวกเขาถูกรับมาเลี้ยงก่อน แล้วแจสเปอร์กับโรซารี่ที่เป็นแฝดกันก็ถูกรับเลี้ยงเป็นรายต่อมา แล้วสุดท้ายก็เป็นเอ็ดเวิร์ดพี่ชายฉันกับฉัน ปีก่อนพ่อแม่เรารับเจคอบเข้ามา เขาเป็นประมาณชนกลุ่มน้อยที่ไม่มีผู้ปกครองน่ะแต่ก็พักอยู่กับเราที่บ้านริมสระ”

“อย่างกับเป็นไรอัน แอทวู้ดในเรื่อง O.C เลย”

ฉันยักไหล่ “ก็คงงั้น”

“แล้วใครเดทกับใครอยู่บ้าง? ขอโทษนะที่สอดรู้สอดเห็น ฉันแค่อยากรู้น่ะ”

“ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันก็คิดว่าคนข้างนอกที่มองมาคงรู้สึกประหลาดๆ อยู่ อลิซกับแจสเปอร์รักกัน แล้วก็เอ็มเม็ตกับโรซาลี่แล้วก็พี่ชายฉันเดทกับเบลล่า”

“แล้วเธอก็เดทกับเจคอบ?”

ฉันหน้าแดง “โอ๊ยเปล่า! ไม่มีอะไรโรแมนซ์กันหรอกน่า เขาก็แค่เพื่อนที่สนิทที่สุดของฉันน่ะ”

เธอเลิกคิ้วขึ้น “แต่เธอก็อยากมี?”

“อยากมีอะไรเหรอ?”

“ก็อยากมีอะไรที่แบบว่า... โรแมนซ์ๆ ไง”

ฉันอับจนคำแก้ตัว เธอไล่ต้อนเอาจนฉันจนมุม ฉันรู้สึกอับขายหน้าที่ถูกเธอจับได้

“ไม่เป็นไรน่า” เธอพูดเร็วๆ แล้วกระซิบ “มันจะเป็นความลับเล็กๆ ของเรา”

ฉันเงียบงันไปสักพัก สรรหาคำพูดไม่ออก ฉันพยายามคิดถึงอะไรซักอย่าง หรืออะไรก็ได้เพื่อจะเปลื่ยนประเด็น ในที่สุดเธอก็คิดอะไรออกมาอย่างหนึ่ง

“แล้วพ่อกับแม่เลี้ยงของพวกเธอล่ะ? พวกเขากำลังพยายามทำตัวเป็นแบรงเจลิน่า*หรือว่าจับคู่ให้เด็กกำพร้าอยู่หรือเปล่า?”

ฉันหัวเราะ “เปล่า ไม่ใช่อะไรอย่างนั้นหรอก พวกพี่น้องของฉัน เราโชคดีมากกว่าที่พวกเขานำเรามาเจอกันน่ะ”

“ไม่รู้สินะ ฉันอาจจะขอให้เขารับเลี้ยงฉันบ้าง ฉันอาจจะอยากมีคู่เดทไปงานพรอมก็ได้”

เราหัวเราะกัน ฉันคงจะได้เพื่อนเป็นมนุษย์กับเค้าแล้วสินะ ฉันคิดกับตัวเอง

- แบรงเจลิน่า = แบรต พิท+แองเจลิน่า โจลี่ ที่รับเลี้ยงเด็กๆ จากประเทศโลกที่3 อย่างแมดดอกจากกัมพูชาอ่ะ พวกสื่อก็เลยตั้งฉายาน่ารักๆ ให้
โดย: amuro4ever วันที่: 8 สิงหาคม 2552 เวลา:15:59:00 น.
  
เธอคิดกันได้อย่างไร 555++++
โดย: who are you IP: 125.26.95.160 วันที่: 4 ตุลาคม 2552 เวลา:15:32:47 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]