พฤศจิกายน 2552

1
2
3
4
6
7
9
10
11
12
13
14
15
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
 
 
All Blog
The Healer (Twilight Fanfic) บทที่21 - การเผชิญหน้าที่กำลังใกล้เข้ามา
เมื่อได้ยินดังนั้นฉันก็เผ่นแผลวออกจากห้องเรียนอย่างไม่รอช้าได้ยินแค่เสียงอาจารย์เรียกชื่อฉันแว่วๆ ดังตามมา ขณะที่เดินอย่างเร่งรีบมาตามโถงทางเดินฉันก็พยายามจับกลิ่นอายของแอนาเบลที่อาจจะเจืออยู่ในอากาศเวลาที่เธอเดินผ่านแต่ก็ไม่มีเลย ขอบคุณเหลือเกินที่ตอนนี้เป็นเวลาเรียนแล้วดังนั้นทั้งครูและนักเรียนต่างก็อยู่ในห้องเรียนกันหมด ฉันจึงสามารถวิ่งด้วยความเร็วตามที่ใจต้องการได้จนมาถึงลานจอดรถซึ่งที่นี่มีเพียงกลิ่นอายของเธอที่หลงเหลืออยู่อย่างเจือจางเท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เดินเข้าไปในเขตตัวอาคารด้วยซ้ำ เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายแน่ๆ ฉันรู้สึกได้! ดังนั้นฉันจึงมุ่งหน้าย้อนกลับเข้าไปยังอาคารเรียนเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้จนกระทั่งมาถึงห้องเรียนของเจคอบ

“เจคอบกับหนูต้องขอตัวกลับบ้านก่อนค่ะ ครอบครัวเรามีเรื่องด่วน” ฉันละล่ำละลักบอกกับอาจารย์ของเขา สายตาและสีหน้าของฉันหมายความตามนั้นจริงๆ และเธอก็ถึงกับอึ้งในสุ้มเสียงอันเร่งร้อนของฉัน

เจคอบลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกมาจากห้องเรียนโดยไม่หยุดรอการตอบสนองจากเธอ พวกเราเดินกลับมาที่ลานจอดรถอีกครั้งและขับรถกลับบ้านกันอย่างเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไรต่อกัน เขาไม่จำเป็นต้องถามฉันเลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น.. เพราะเขาคงรู้อยู่แล้วจากเหตุการณ์เมื่อเช้า และในขณะที่เหลือระยะทางอีกไม่กี่ไมล์ก่อนจะถึงบ้านเราก็ได้ยินเสียงตะโกนของใครสักคนดังออกมา และเมื่อเจคอบจอดรถที่หน้าบ้าน ฉันก็กระโจนพรวดออกจากรถและวิ่งขึ้นบันไดที่ระเบียงหน้าบ้านทันทีโดยมีเจคอบตามมาติดๆ และเมื่อเปิดประตู้บ้านฉันก็ถึงกับประหลาดใจในการวิวาทที่ได้เห็น

“เธอปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้ยังไงกัน?! ฉันนึกว่าเธอจะคอยดูเธอไว้ซะอีก!”

เซ็ธตะคอกใส่น้าอลิซ อาแจสเปอร์ยืนบังเธอเอาไว้เพื่อให้การปกป้องขณะที่เซ็ธยังคงระบายโทสะด้วยการตะโกนว่ากล่าวเธอไม่หยุด สีหน้าของอลิซดูทุกข์ร้อนและทรมานใจอย่างแสนสาหัส

เซ็ธยืนตัวสั่นเทาด้วยอารมณ์โทสะ มือทั้งสองของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนออกมา พ่อ, ลีอาและลุงเอ็มเม็ตต์ยืนประจันหน้ากับเขาคอยรั้งตัวเขาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้าใกล้น้าอลิซ ส่วนคนอื่นๆ ยืนดูเหตุการณ์อย่างตกตะลึงพรึงเพริดอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของห้องโถง แม่เดินมายืนขวางตัวฉันเอาไว้อย่างเตรียมพร้อมปกป้อง ส่วนเจคอบตรงเข้าไปแทนที่ตำแหน่งที่พ่อยืนอยู่เมื่อครู่เพื่อควบคุมเซ็ธไว้แทนแล้วพ่อก็เดินมาสมทบกับเราแม่ลูก

“เซ็ธ นายระงับอารมณ์หน่อยเถอะ” เจคอบเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจของจ่าฝูง

ดวงตาของเซ็ธแทบจะกลายลุกโชนเป็นไฟด้วยแรงโทสะและความเสียใจอย่างสุดกำลัง ฉันถึงกับผงะต่อสายตาโกรธขึ้งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อที่เขามองมาที่ครอบครัวของฉัน โดยเฉพาะอลิซ

“ฉันทำไม่ได้!” เขาร้องตะโกนออกมา ร่างกายของเขาสั่นระริกอีกครั้งและพร้อมกันนั้นเสื้อผ้าของเขาก็เริ่มฉีกขาด และเพื่อเป็นการระบายอารมณ์เขาคว้าเก้าอี้นั่งทานข้าวแล้วเหวี่ยงมันทะลุหน้าต่างออกไป เสียงกระจกแตกทำฉันสะดุ้งสุดตัว

“พาเขาออกไปข้างนอก!” พ่อตะโกนสั่งลีอาและเจคอบ

“ฉันต้องพาเธอกลับมา ฉัน..ฉัน..ต้องทำ” เซ็ธร้องโหยหวน และในขณะที่ความโศกสลดมีอำนาจเหนือความโกรธแค้นอาฆาต ลีอาและเจคอบก็ถือโอกาสทองนั้นลากเขาออกไปทางประตูหลัง และในทันทีที่ก้าวพ้นจากประตูบ้าน ฉันก็เห็นเซ็ธแปลงร่างเป็นหมาป่าและออกวิ่งเตลิดไปโดยมีลีอาและเจคอบตามติดไปอย่างกระชั้นชิด

บ้านทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบงันไปครู่หนึ่ง แวมไพร์ตนอื่นๆ อาจจะกำลังตกอยู่ในภวังค์หลังจากได้เห็นการแปลงร่างเป็นหมาป่าต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก

“อลิซ มองผมสิ” แจสเปอร์กล่าวขณะที่หันมาประจันหน้ากับเธอพร้อมกับยกมือทั้งสองประคองดวงหน้าเล็กๆ นั้นเอาไว้ “มันไม่ใช่ความผิดคุณ คุณไม่จำเป็นต้องรู้เห็นทุกอย่าง”

“ฉันควรจะเห็นมันสิ ฉันควรจะคอยดูแลเธอให้ดีกว่านี้” อลิซกระซิบตอบด้วยดวงตาเหม่อลอย

“เธอเห็นอะไรคะ? เกิดอะไรขึ้นกับแอนาเบล??” ฉันหันไปถามพ่อด้วยดวงตาที่น้ำตารื้นขึ้นมาจนเกือบจะไหลออกมาในไม่ช้านี้แล้ว

“แอนาเบลอยู่บนเครื่องบินไปอิตาลี..ไปหาโวลเตอรา” พ่อตอบ

“อะไรนะ?! ได้ยังไง? พวกนั้นรู้เรื่องเธอได้ยังไง??”

“พวกนั้นไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดเดียว แต่กลายเป็นคริสเตียนนั่นแหล่ะที่เอาตัวเธอไป” แม่ขยายความเพิ่มเติม

“คริสเตียนเหรอคะ?” ฉันถึงกับช็อค เป็นไปได้ยังไงกัน?! ฉันไม่เอะใจเลย

“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคริสเตียนรู้เรื่องพวกโวลตูรีหรือรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับแวมพ์ไพร์” โรซาลีเอ่ย

“แล้วทำไมพวกเราถึงยังยืนอยู่เฉยๆ ล่ะ? รีบตามไปพาเธอกลับมากันเถอะค่ะ” ฉันบอกความต้องการกับทุกคนในครอบครัว

“สายเกินไปแล้วที่จะชิงตัวเธอคืนมาได้ก่อนที่เธอจะไปถึงโวลเตอราแล้วพวกเราก็ไปที่นั่นไม่ได้ รังแต่จะเป็นการฆ่าตัวตายซะเปล่า” แจสเปอร์ตอบ

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีล่ะคะ? ปล่อยให้พวกมันได้ตัวเธอไปเฉยๆ งั้นเหรอ?” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองไม่เคยคิดว่าเราจะยืนนิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรอย่างที่อาแจสเปอร์บอก

“เธอก็เป็นสมาชิกครอบครัวเราคนนึงเหมือนกันเนสซี่ หลานก็รู้ดีว่าเราไม่มีทางปล่อยให้พวกนั้นได้ตัวเธอไปแน่ๆ แต่เราไปโดยไม่มีแผนไม่ได้” คาร์ไลส์กล่าว

“พวกมันจะทำอะไรเธอคะ?” ฉันกระซิบถามด้วยน้ำเสียงแหบปร่าเมื่อตระหนักถึงความลับของแอนาเบล

ความเงียบเข้าครอบงำไปทั่วทั้งห้อง สายตาของทุกคนหลุบต่ำลงไปอยู่ที่พื้น ไม่มีใครสบตาฉันเลยแม้กระทั่งพ่อและแม่

“พวกมันจะทดสอบเธอ” น้าอลิซตอบเบาๆ

“ทดสอบ?”

“พวกมันจะทดลองเปลี่ยนเธอให้เป็นแวมพ์ไพร์”

“แล้วมันจะสำเร็จเหรอ?!” ฉันละล่ำละลักถามออกมาโดยไม่ต้องคิด

“ไม่”

ใจฉันหายวาบ รู้สึกเหมือนช่วงท้องที่กลางลำตัวกลวงโบ๋เมื่อตระหนักได้ว่าพวกมันจะทดสอบการเปลี่ยนแปลงแอนาเบลให้กลายเป็นแวมพ์ไพร์อย่างไร ฉันกวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ยังคงว่างเปล่า ไม่มีใครยอมสบตากับฉัน

“เธอจะทรมานหรือเปล่า?” ฉันระล่ำระลักออกมาจนเกือบจะไม่เป็นคำพูด

“แน่นอน อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เลยหล่ะ”

ฉันผวาหันไปคว้าแขนพ่อพร้อมกับเขย่าเพื่อให้ท่านหันมาสบตากับฉัน

“เราต้องไปเดี๋ยวนี้นะคะ! หนูไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเรายังจะมัวยืนเฉยกันอยู่อีก” ฉันขอร้องท่าน อย่างน้อยพ่อก็ควรจะเห็นด้วยกับฉันสิ

“ขอร้องหล่ะเนสซี่ พ่อรู้ว่าเธอมีความหมายต่อลูกมาก แต่เราต้องสุขุมให้มากพอกับแผนการครั้งนี้ พวกนั้นอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนเธอได้แต่ถึงยังไงอาโรก็ต้องการจะเก็บเธอเอาไว้ เขาจะสู้กลับแน่เพื่อรักษาสิ่งที่เขาปรารถนาและเราก็ต้องเตรียมตัวตอบโต้ เขาอาจใช้โอกาสทองครั้งนี้เป็นข้ออ้างในการกวาดล้างพวกเราให้สิ้นซากไปเลยก็ได้”

ฉันกวาดสายตามองไปรอบๆ ทุกดวงหน้าที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ดวงตาที่ไม่ได้หลบลี้หนีการจ้องมองของฉันมีเพียงแค่สมาชิกในครอบครัวของฉันเท่านั้น นั่นทำให้ฉันตระหนักได้ว่าคงไม่มีแวมไพร์หน้าไหนอยากจะไปอิตาลีเพื่อสู้กับเราหรอก ความโกรธเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเพราะฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ถ้าหากพวกเขาอุตส่าห์ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อปรึกษาหารือกันเรื่องความเป็นไปได้ที่จะเกิดสงคราม แล้วทำไมมันถึงยากนักหนาถ้าจะสู้กันซะตอนนี้เลย

“เนสซี่ นี่ไม่ใช่การต่อสู้ของพวกเขานะลูก” พ่อกล่าวเบาๆ กับฉัน ท่านคงจะได้ยินสิ่งที่ฉันคิดเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจนแล้ว

“จำนวนของเราก็เพียงแค่เศษผงเท่านั้นเมื่อเทียบกัน โอกาสที่จะชนะมีน้อยมาก” แจสเปอร์เสริม

ใบหน้าซีดขาวของสมาชิกในครอบครัวของฉันต่างก็มองกันด้วยสีหน้าแห่งความโทมนัส ความหวาดกลัวปรากฏเด่นชัดอยู่ในนั้น พ่อมองไปที่แม่ด้วยสายตาปรารถนารักใคร่เจือด้วยความเศร้าโศก ฉันจำสีหน้าเหล่านี้ได้..เมื่อนานมาแล้ว.. ย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่เราคิดว่าไม่มีความหวังใดหลงเหลืออยู่อีกต่อไป แต่แล้วปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น! แล้วทำไมมันจะเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้ล่ะ? ถ้าทุกๆ คนไปด้วยกัน สู้ด้วยกัน โอกาสของเราก็จะมีมากขึ้น

ฉันมองจ้องไปที่เจ้าของใบหน้าทุกดวงที่พยายามหลบสายตาของฉันอย่างเกรี้ยวกราด

“ถ้าพวกคุณไม่ช่วย ก็เท่ากับว่าพวกคุณผลักไสให้ครอบครัวของฉันไปตาย” ฉันตะโกน “พวกคุณจะร่วมสู้กับเราหรือเปล่า?”

ความเงียบสงัดดังก้องอยู่ในหูทั้งสองข้างของฉัน เมื่อความโกรธเข้าครอบครองจิตใจฉันโดยสิ้นเชิงฉันก็ตระหนักได้ว่าฉันไม่สามารถทนยืนเฉยอยู่ตรงนี้ได้อีกต่อไปดังนั้นฉันจึงพุ่งตัวออกจากบ้านด้วยความเร็วราวกับพายุพร้อมกับกระแทกบานประตูปิดดังปัง

“ปล่อยลูกไปเถอะเบลล่า ลูกคงต้องการสงบจิตใจ” เสียงพ่อเอ่ยปลอบแม่อย่างเข้าใจ

ฉันวิ่งผ่านป่าไปอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหนขอเพียงให้ได้ออกมาจากตรงนั้นก็พอ ฉันรู้สึกได้ถึงน้ำตาจากความโมโหโกรธาที่ไหลออกมาอาบแก้มจากลมเย็นที่ปะทะหน้า เมื่อความโกรธขึ้งประดังขึ้นมาอีกฉันก็พุ่งมันไปที่คริสเตียนเท่านั้น ฉันเริ่มเกลียดเขาเข้าไปทุกทีๆ จากความสังเวชสงสารแต่ตอนนี้กลับถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชังและความเดือดดาลจนไม่สนใจเหตุผลใดๆ ทั้งนั้น เมื่อไหร่ที่ได้ตัวเขามาละก็ฉันจะฉีกทึ้งเขาเป็นชิ้นๆ จะขย้ำให้แหลกคามือเลยคอยดู! เขาทำแบบนั้นกับคนที่เขาบอกว่ารักนักรักหนาได้ยังไงกัน! เขารู้เรื่องโวลเตอราได้ยังไง? แล้วเขารู้เรื่องแวมไพร์ด้วยหรือเปล่า? เขารู้หรือเปล่าว่าพวกที่เขาพาแอนาเบลไปหา แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่?

มารู้สึกตัวอีกทีฉันก็กำลังมุ่งหน้าไปที่บ้านของคริสเตียนแล้ว ฉันเหลือบมองนาฬิกานิดหน่อย ยังไม่ถึงเวลาเลิกเรียน พ่อแม่ของเขาก็คงจะไม่อยู่บ้านในเวลานี้แน่ๆ และอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายหายไปและกำลังมุ่งตรงไปที่อิตาลี

เขาอาศัยอยู่ในบ้านแบบตะวันตกทั่วๆ ไปในย่านชานเมืองที่ค่อนข้างเงียบสงบและเรียบง่าย เนื่องจากมันยังเป็นเวลากลางวันอยู่แล้วฉันก็ไม่อยากจะถูกจับข้อหาบุกรุกเข้าบ้านคนอื่น ฉันจึงหยุดฝีเท้าและนิ่งฟังเสียงต่างๆ รอบตัวอยู่สักพัก เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ดูเหมือนจะออกไปทำงานหรือไม่ก็ทำอะไรจุกจิกอยู่ในบ้านของแต่ละคน ฉันมองซ้ายมองขวาแล้วค่อยๆ ยอ่งเข้าไปทางหลังบ้านเพื่อลอบมองหาทางเข้า ดูเหมือนจะไม่มีที่ไหนให้ฉันเข้าไปได้โดยไม่ต้องทำอะไรแตกหักเลย ฉันลองบิดลูกบิดประตูหลังเบาๆ บิงโก! โชคเข้าข้างฉันหล่ะคราวนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะลืมล็อคประตูหลังบ้านเอาไว้

ฉันปิดประตูตามหลังอย่างเบาที่สุดขณะที่สอดส่ายสายตาสำรวจในตัวบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จริงๆ และสายตาของฉันก็พลันเหลือบไปเห็นบันไดขึ้นชั้นสองอย่างรวดเร็วขณะที่เดินเข้ามาในตัวบ้าน โดยไม่รีรอ ฉันวิ่งขึ้นตามทางบันไดนั้นไปทันทีแต่กลับมาหยุดตรงรูปภาพครอบครัวที่ถูกแขวนเรียงรายเอาไว้ตามผนังทางขึ้น มีรูปภาพของคริสเตียนตอนเด็กๆ ถ่ายกับเด็กผู้หญิงที่โตกว่า ฉันไม่เคยเห็นรูปพี่สาวของเขามาก่อนเลย เธอดูสวยน่ารัก ผิวขาวๆ ของเธอช่วยขับให้ดวงตาสีเขียวมรกตดูโดดเด่นยิ่งขึ้น

ฉันหาห้องของคริสเตียนเจอได้อย่างรวดเร็วจากกลิ่นอายที่ยังหลงเหลืออยู่ มันอยู่สุดปลายทางเดินชั้นสอง ประตูห้องเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย ห้องก็เหมือนๆ ห้องของวัยรุ่นผู้ชายทั่วๆ ไป ผนังทั้งสี่ด้านทาสีน้ำเงิน-ฟ้าแต่งให้เข้ากับเตียงนอนและชุดผ้าปูที่นอนสีพื้น ที่พื้นห้องมีเสื้อผ้าและกล่องซีดีวางระเกะระกะปนกับของอย่างอื่น ฉันเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของเขาระหว่างนั้นก็สังเกตเห็นว่ามีกรอบรูป 2-3 รูปของแอนาเบลตั้งอยู่ที่โต๊ะข้างเตียง

แล้วก็เริ่มลงมือรื้อค้นสิ่งของต่างๆ ในตู้เสื้อผ้าของคริสเตียนโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังจะหาอะไร มีกล่องเล็กๆ ซ่อนอยู่ในลิ้นชักถุงเท้าแต่พอเปิดดูก็พบว่ามันเป็นแค่กล่องเปล่า ฉันลองคุกเข่าแล้วมุดลงไปดูที่ใต้เตียง มีกองหนังสือและแม๊กกาซีนตั้งเล็กๆ กองอยู่พอกวาดมือไปโดนเข้ามันก็พากันร่วงล้มลงมาแล้วก็เป็นอีกครั้งที่ไม่เจออะไรเลย ฉันส่ายหน้าไปมากับตัวเอง ฉันจะมาหาอะไรที่นี่กันแน่นะ? ใช่แล้ว..ฉันหวังว่าจะเจอเบาะแสอะไรสักอย่างที่บอกฉันได้ว่าทำไมเขาต้องบังคับพาตัวแอนาเบลไปและทำไมต้องเป็นที่อิตาลีไม่ใช่ประเทศอื่น?

ฉันรื้อค้นแทบจะทุกตารางนิ้วภายในห้องจนเกือบจะถอดใจอยู่แล้วในตอนที่สายตาพลันเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่ดูสะดุดตา ช่องระบายอากาศที่พื้นห้องของเขาปิดไม่สนิท มุมด้านหนึ่งของมันเผยอขึ้นมาเล็กน้อยและไม่ได้ขันน๊อตปิดเอาไว้

ฉันเดินตรงไปที่นั่นและก้มลงดึงฝาปิดนั้นขึ้นมา เอื้อมมือลงไปควานหาอะไรก็ตามที่น่าจะอยู่ข้างล่างนั่นและแล้วปลายนิ้วก็สัมผัสกับของบางอย่างรูปร่างสี่เหลี่ยม มันน่าจะเป็นกล่องเล็กๆ ใส่อะไรไว้สักอย่าง ฉันรีบหยิบขึ้นมาเปิดดูอย่างระมัดระวัง

ข้างในมีจดหมายหลายฉบับจ่าหน้าซองถึงคริสเตียนและส่งมาจากอิตาลีแต่ไม่ระบุชื่อคนส่งเอาไว้ จดหมายถูกมัดรวมกันไว้ด้วยเชือกผูกรองเท้าเก่าๆ ฉันตัดสินใจแก้มัดเชือกออกและเปิดอ่านทีละฉบับอย่างรวดเร็วและมาหยุดอยู่ที่ข้อความที่สะดุดใจในจดหมายฉบับหนึ่ง

คริสเตียนน้องรัก,

หวังว่าทุกคนคงสบายดีนะ? อิตาลีช่างสวยงามเสียจริงๆ! วันหนึ่งเมื่อเธอโตแล้วเธอต้องมาเยี่ยมพี่ให้ได้นะ พี่จะพาเธอเที่ยวให้ทั่วประเทศที่สวยงามแห่งนี้เลย ตอนนี้พี่อยู่ที่เมืองที่ชื่อว่าโวลเตอรา อาหารอร่อย ผู้คนก็เป็นมิตร

พี่ได้เจอใครคนนึงที่พิเศษด้วยหล่ะ อยากให้เธอมาหาพี่เดี๋ยวนี้เลย ตอนนี้พี่เหมือนคนคลั่งรักไปแล้ว เดินฉีกยิ้มคนเดียวไปทั่วเมืองได้ทั้งวัน พี่แทบรอให้เธอได้เจอเขาไม่ไหวแล้วสิ เขาช่างเหมือนเทพบุตรแล้วก็หล่อกระชากใจเหลือเกิน เขาชื่อเฟลิกซ์จ้ะ

พี่รู้ว่าเธอคงจะเอียนที่ต้องมานั่งอ่านชีวิตรักของพี่สาวแต่พี่อยากอวดเธอนี่นา อยากอวดทุกคนเลยด้วย! พี่คิดว่าเขาคือคนที่ใช่คนนั้นแล้วหล่ะ ใช่แล้ว..หนึ่งเดียวคนนั้น!

เฟลิกซ์ช่วยเหลือพี่เรื่องมาตั้งรกรากที่นี่ แถมยังช่วยหางานให้พี่อีกต่างหาก ตอนนี้พี่เป็นแผนกต้อนรับในบริษัทที่เขาทำงานอยู่ พี่คิดว่าพี่คงจะอยู่ที่นี่ตลอดไป พี่รู้จ้ะว่าเธอคงจะแปลกใจที่ได้ยินอย่างนั้น เพราะพี่ดูเหมือนคนที่ไม่เคยอยู่ที่ไหนได้นานๆ เลยใช่มั้ยล่ะ พี่รู้สึกจริงๆ ว่าพี่ได้ค้นพบสิ่งที่พี่ตามหามาตลอดที่เมืองอันแสนสวยงามแห่งนี้แล้วหล่ะ
รักเธอนะ,
กิอันน่า


ฉันเปิดอ่านจดหมายฉบับต่อๆ มา แสกนอ่านผ่านๆ อย่างรวดเร็วจนพบประเด็นที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ในจดหมายจะพรรณาถึงความงามของอิตาลีและคนรักใหม่ของเธอ-เฟลิกซ์ แต่แล้วไม่นานก็มาถึงจุดหักมุม ชื่อบริษัทที่เธอทำงานด้วยคือ เดอะโวลตูรี มิหนำซ้ำเธอยังเริ่มๆ เกริ่นเรื่องความปรารถนาที่อยากจะเป็นเหมือนกลุ่มคนที่เธอทำงานให้..กลุ่มที่งดงามไร้ที่ติ สำหรับฉันเนื้อความในจดหมายที่เธอส่งมาให้คริสเตียนนั้นบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยทีเดียวว่าเธอรู้ดีว่าแท้จริงแล้ว “กลุ่มคน” ที่เธอหมายถึงนั้นเป็นอะไรเพียงแต่เธอไม่สามารถเอ่ยปากบอกน้องชายตัวน้อยได้ ฉันสแกนอ่านจดหมายฉบับอื่นๆ ต่อไปและฉบับนี้ดูน่าสนใจไม่น้อย
------

คริสเตียนน้องรัก,
นี่อาจจะเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายหรือเปล่าพี่ก็ไม่แน่ใจนะ มันเป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อคนที่พี่ทำงานด้วยน่ะเพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องเก็บไว้เป็นความลับ พวกเขาเป็นคนที่สุดยอดมากๆ เลย..เทพยดา, ผู้สร้างปาฏิหารย์หรือไม่ก็คงจะเป็นพระเจ้าในโลกแห่งความจริงที่เราสัมผัสได้

พี่รู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ เธอคงคิดว่าพี่คงเป็นบ้าไปแล้วแต่พี่สัญญาว่าทุกสิ่งที่พี่พูดเป็นความจริง พวกเขามีความสามารถที่จะทำให้คนธรรมดาเป็นอมตะและงดงามเฉกเช่นพวกเขาได้ เฟลิกซ์เป็นหนึ่งในนั้น

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะถูกเลือกเพื่อได้รับของขวัญชิ้นพิเศษนี้ เฉพาะคนที่เชื่อว่าตัวเองมีความพิเศษเท่านั้น เฉพาะคนที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้น พี่ได้เจอผู้คนที่พวกเขาเลือกมา คนพวกนี้บ้างก็อ้างว่าเห็นอนาคตได้, สื่อสารกับวิญญาณได้ หรือไม่ก็มีพลังที่เหนือกว่าคนอื่นๆ พี่เชื่อว่าพี่อาจจะเป็นคนต่อไป พี่ภาวนาทุกคืนว่าพวกเขาจะเลือกพี่ ถึงแม้พวกเขาจะเห็นว่าพี่ไม่มีอะไรจะไปเสนอให้เขาก็ตาม เฟลิกซ์กับพี่แนบแน่นกันยิ่งขึ้น พี่หวังว่าความตั้งใจที่จะให้พี่ได้อยู่เคียงข้างเขาไปจนชั่วนิรันดร์จะสามารถเปลี่ยนใจพวกเขาได้ พวกเราจะอยู่ด้วยกันไปตราบนิรันดร์ พี่อยากจะเป็นอย่างเขา.. อยากเป็นอย่างพวกเขา.. สมบูรณ์แบบ

พี่สัญญานะจ๊ะว่าภายในหนึ่งปีพี่จะกลับมาเยี่ยมเธอและมอบของขวัญชิ้นนี้ให้กับเธอเช่นกัน ถ้าเธอไม่ได้ข่าวจากพี่อีกก็แค่รู้เอาไว้นะจ๊ะว่าพี่รักเธอ

กิอันน่า


ฉันรีบคว้าจดหมายทั้งหมดแล้วรีบหลบออกจากบ้านของคริสเตียนเพื่อมุ่งหน้ากลับบ้านทันทีและมาถึงก่อนตะวันตกดิน ครอบครัวของฉันและกลุ่มเดนาลียังคงอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ในบ้าน ทั้งหมดต่างก็กำลังปรึกษาหารือและโต้แย้งกันเรื่องการวางแผนตอบโต้ ดูเหมือนว่าตนอื่นๆ จะกลับกันไปหมดแล้ว ฉันไม่ใส่ใจจะถามถึงด้วยซ้ำว่าทำไม ฉันเห็นพ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะกลางที่ประชุม เขากำลังสเก็ตรูปวาดอะไรสักอย่างที่ดูเหมือนน่าจะเป็นพิมพ์เขียว ฉันตรงดิ่งเข้าไปหาพ่อที่โต๊ะพร้อมกับวางกองจดหมายลงตรงหน้า

“หนูรู้แล้วค่ะว่าทำไมคริสเตียนถึงได้พาเธอไปอิตาลี” ฉันกล่าว

พ่อเงยหน้าขึ้นมองฉันขณะที่แวมไพร์ตนอื่นๆ ที่เหลือต่างก็พากันล้อมวงเข้ามายืนอยู่รอบๆ โต๊ะมองดูจดหมายที่ฉันหยิบมา ทั้งหมดตั้งใจฟังฉันอย่างใจจดใจจ่อ

“พี่สาวของเขาทำงานให้พวกโวลตูรีตอนที่เธอยังเป็นคนธรรมดา คริสเตียนอาจจะไม่รู้แน่ชัดว่าพวกนั้นเป็นใครหรือเป็นอะไรแต่ที่แน่ๆ เขารู้ว่าพวกนั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง หนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอแน่..เดาว่าพวกนั้นคงฆ่าเธอ”

พ่อหยิบจดหมายตรงหน้าขึ้นมาอ่านและส่งต่อให้ตนอื่นๆ ได้อ่านกันอย่างถ้วนทั่ว

“กิอันน่าเหรอ? ทำไมชื่อของเธอถึงได้ฟังคุ้นหูนักนะ?” แม่เอ่ยถาม

“คุณเคยเจอเธอมาแล้วที่รัก ตอนที่คุณไปช่วยผมเอาไว้” พ่อเอ่ยตอบอย่างไม่เต็มน้ำเสียงนัก ดวงตาบ่งบอกถึงความเสียใจเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นอีกครั้ง

“ฮืม..ความทรงจำมันเลือนลางเหลือเกิน” แม่เอ่ยพร้อมกับส่ายหัวไปมาเหมือนจะพยายามเค้นความทรงจำเก่าๆ เมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ให้กลับมาอีกครั้ง

และแล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงประตูหลังบ้านเปิดออก เจคอบเดินเข้ามาเพียงลำพัง ตามเนื้อตัวและใบหน้ามีรอยฟกช้ำเปื้อนฝุ่นโคลนมอมแมม มีรอยบาดแผลจางๆ ที่เพิ่งสมานตัวทั่วทั้งแขนและบาดแผลที่ยังสดใหม่ที่แก้มที่กำลังเริ่มสมานตัวเอง ฉันรีบเดินตรงเข้าไปหาเขาด้วยความเป็นห่วงและสำรวจดูบาดแผลแต่ละรอย

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?” ฉันถามแต่ตายังคงจับจ้องอยู่ที่แขนของเขา

“อืม..ก็ใช้กำลังนิดหน่อยกว่าจะทำให้เซ็ธเย็นลงได้” เขายักไหล่ตอบอย่างไม่ยี่หระกับบาดแผลและความเจ็บปวดเท่าไหร่นัก

“เนี่ยนะนิดหน่อย?”

“เซ็ธเป็นยังไงบ้างล่ะ?” คาร์ไลส์เอ่ยถาม

“ก็ไม่ดีนักหรอกครับ ตอนนี้ลีอาอยู่กับเขา คอยดูไม่ให้หมอนั่นทำอะไรงี่เง่าๆ ผมเลยกลับมาดูว่าเราวางแผนจะทำยังไงกันต่อไป”

“เราจะไปกันตอนเที่ยงพรุ่งนี้” พ่อตอบ

“พรุ่งนี้เหรอคะ?” ฉันถามด้วยความสงสัย พรุ่งนี้จะช้าไปแล้วหรือเปล่า??

“ถูกต้อง ขณะที่พวกลูกไปโรงเรียน”

“เดี๋ยวก่อน..อะไรนะคะ? จะไปโดยไม่มีหนูงั้นเหรอ?!”

“ถูกแล้วเนสซี่”

“นี่มันอะไรกันคะ? หนูอยากไป พ่อกับแม่ก็ควรให้หนูไป หนูใช้พลัง-”

“ไม่ได้ เนสซี่ พวกเราจะจัดการกันเองโดยไม่มีลูก” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แต่แม่สร้างเกราะป้องกันหนูได้แล้วหนูก็ยืมพลัง- ”

“ไม่ได้”

“แต่-”

“ไม่ได้!” พ่อตะคอกใส่ฉันเสียงดัง สายตาโกรธเกรี้ยวหรี่เล็กลงในขณะที่สบเข้ากับสายตาของฉันที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว น้ำตาของฉันเริ่มไหลลงมาเป็นทาง ฉันไม่เคยถูกพ่อตะคอกใส่มาก่อน หัวใจฉันเริ่มเต้นแรง

โดยไม่ต้องการจะมีส่วนรู้เห็นกับการโต้เถียงกันภายในครอบครัว คนอื่นๆ ต่างพากันแยกย้ายออกไปจากห้องโถงกลางอย่างเงียบๆ เหลือเพียงพ่อกับแม่ ฉันและเจคอบ

“เนสซี่ แม่กับพ่อทนเห็นลูกตกอยู่ในอันตรายไม่ได้ ลูกคงไม่เข้าใจหรอกว่าพ่อกับแม่จะเป็นยังไงถ้าเกิดอะไรขึ้น?”

แม่อธิบายพร้อมกับเอื้อมแขนมาเพื่อจะโอบปลอบโยนฉัน แต่ด้วยอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในตอนนั้นทำให้ฉันปัดแขนนั้นออกไป

“หนูก็ทนไม่ได้เหมือนกันค่ะ ที่ทุกคนจะไปโดยไม่มีหนู” ฉันตะโกนตอบออกไปด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวสุดฤทธิ์

“เจคอบ, เซ็ธ และลีอาก็จะอยู่ที่นี่เหมือนกัน ลูกก็รู้ว่าฝูงหมาป่าไปด้วยไม่ได้ พวกโวลตูรีคงไม่แยแสข้อเสนอของพวกเราหรอกถ้าเราพาพวกเขาไปด้วย”

“ยังไงหนูก็ไม่เข้าใจอยู่ดีที่จะไปกันโดยไม่มีหนู หนูช่วยได้”

ฉันรู้สึกว่าตัวเองต้องการที่จะไปด้วยให้ได้อย่างแรงกล้า แอนาเบลเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน..เป็นเหมือนพี่สาวของฉัน จะให้ทนนั่งรอฟังข่าวอยู่เฉยๆ ที่นี่ได้ยังไงกัน ฉันควรจะต้องเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางครั้งนี้สิ ฉันควรจะต้องได้มีส่วนร่วม

“ยังไงหนูก็จะไป” ฉันประกาศกร้าวอีกครั้งแต่ด้วยน้ำเสียงที่ดูสงบนิ่งที่สุด
“พ่อกับแม่ก็ทิ้งหนูไว้ที่นี่แล้วจะหวังให้หนูนั่งรอดูว่าผลจะออกมาเป็นยังไงไม่ได้เหมือนกัน”

“ห้ามไปเด็ดขาด” เจคอบกล่าว ฉันหันหน้าไปทางเขาทันที และได้พบกับสายตาของเขาที่กำลังจ้องมองมาที่ฉันอย่างโศกเศร้า “ผมไม่ยอมปล่อยให้คุณไปไหนโดยไม่มีผมเด็ดขาด”

“งั้นก็แย่หน่อยเพราะฉันจะไปโดยไม่มีคุณ” ฉันตอกกลับใส่หน้าเขา “ถึงฉันจะเหมือนเป็นสิ่งของต้องห้ามที่ไม่ได้รับอนุญาติให้พกพาไปไหนอยู่แล้ว พวกท่านต้องมีฉัน”

“แต่ผมต้องการคุณ!” น้ำเสียงของเจคอบเริ่มแข็งกร้าวขึ้นด้วยความโกรธ

“แค่นี้ไม่ถึงกับตายหรอกน่ะ!” ฉันตะคอกใส่เจคอบเสียงดัง

“ตาย ตายสิ!”

“ยังไงฉันก็ต้องไปให้ได้! ไม่ยุติธรรมเลยนะถ้าจะห้ามไม่ให้ฉันไปน่ะ! เธอมีความหมายต่อฉันมากกว่าคนอื่นๆ ที่จะได้ไปซะอีก!” ฉันกรีดร้องตะโกนใส่เขาด้วยอารมณ์ที่ระเบิดออกมาอย่างพลั่งพรู เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถที่จะควบคุมตัวเองได้แล้ว

“คุณ..ต้อง..ไม่ไป” สายตาของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวและโกรธขึ้งในขณะที่เขาพูดย้ำกับฉันทีละคำอย่างช้าๆ เหมือนเป็นสัญญาณที่จะบอกฉันกลายๆ ว่า เขาหมายความตามนั้นจริงๆ มือทั้งสองข้างที่ตกอยู่ข้างลำตัวมีอาการสั่นสะท้าน เจคอบสูดลมหายใจลึกเพื่อพยายามระงับอารมณ์ลง

และด้วยปฏิกิริยารวมไปถึงคำพูดต่างๆ ของเจคอบก็ยิ่งเร่งเชื้อไฟแห่งความโกรธของฉันเข้าไปอีก ทำไมเขาถึงเข้าข้างพ่อกับแม่ในครั้งนี้ล่ะ?!

“ถ้าอย่างนั้นบอกมาสิว่าฉันไม่มีประโยชน์ต่อการเดินทางคราวนี้ พูดสิว่าโอกาสที่จะรอดกลับมาของพวกที่จะเดินทางไปทั้งหมดไม่ได้เพิ่มขึ้นถ้าฉันไปด้วย” ฉันยังเถียงกลับอย่างดื้อรั้นหากแต่คราวนี้ฉันหยิบยกเอาความจริงขึ้นมาอ้างอย่างที่ทุกคนคงไม่สามารถปฏิเสธได้แน่ๆ

“ให้ตายสิเนสซี่! คุณยังเป็นแค่เด็กคนนึงเองนะ!”

คำพูดประโยคนั้นของเจคอบกรีดแทงทะลุหัวใจฉัน อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าน้ำตาของตัวเองไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างฉุดรั้งไว้ไม่อยู่ เด็กเหรอ? เขายังเห็นฉันเป็นแค่เด็กคนนึงอยุ่เหรอ?... เด็กเล็กๆ คนนึงแค่นั้นน่ะเหรอ? และในตอนนั้นเองเจคอบขยับเข้ามาใกล้ฉันและเอื้อมแขนมาหาฉัน
“ผมไม่.. เนสซี่ คือว่ามันไม่ใช่..” เขาพยายามจะอธิบาย
“อย่ามาแตะต้องฉัน”
ฉันเดินออกจากห้องนั้นและมุ่งหน้ากลับขึ้นห้องนอนตัวเองที่อยู่ชั้นบน กระแทกประตูห้องปิดไล่หลัง ฉันโกรธ.. ไม่สิ โกรธเป็นบ้า! ฉันคว้า I-Pod ที่โชคร้ายดันอยู่ใกล้มือที่สุดเขวี้ยงใส่ผนังห้องด้วยแรงทั้งหมดที่มีทั้งๆ ที่หูฟังยังติดอยู่กับตัวเครื่องนั่นแหล่ะ แรงที่ขว้างทำให้มันฝังติดอยู่กับผนังห้อง ฉันทิ้งตัวลงบนเตียงนอนแล้วฝังหน้าลงกับหมอน

ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งเย็นค่ำ หลายคนแวะเวียนมาดูฉันที่ห้อง เจคอบแวะมาเคาะประตูเรียกฉันให้ออกมาคุยบ่อยที่สุด แต่ฉันก็ยังคงเก็บตัวเงียบ ถึงแม้กระทั่งความหิวเริ่มจะเรียกร้องและอาหารเย็นของมนุษย์ที่เอสเม่ทำเริ่มจะดึงดูดความสนใจของฉันได้ก็ตาม กระนั้นฉันก็ยังไม่ทิ้งทิฐิที่จะเปิดประตูออกมาพบหน้าใคร

ฉันรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีในตอนเช้า นาฬิกาปลุกส่งเสียงกรีดร้องตามหน้าที่ของมันอย่างแข็งขัน ฉันลุกขึ้นมานั่งบนเตียงพรางสำรวจตัวเองและพบว่าฉันยังคงอยู่ในชุดเสื้อผ้าเมื่อวาน เมื่อรวบรวมสติและความคิดสักพักก็เริ่มจำได้ว่าเมื่อวานนี้ฉันโกรธมาก และก็ยังอยู่ในอารมณ์นั้นอยู่ มันค่อนข้างจะผิดปกติสำหรับฉันเพราะธรรมดาแล้วฉันเป็นคนที่เรียกได้ว่าโกรธง่ายหายเร็ว พอตื่นขึ้นมาก็ลืมไปหมดแล้ว แต่ไม่ใช่คราวนี้แน่ ไม่ใช่กับเรื่องใหญ่ขนาดนี้

ฉันลุกจากเตียงไปค้นตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบเสื้อยืดธรรมดาๆ และนึกถึงยีนส์ตัวโปรดที่ไม่ได้ใส่มานานแล้ว มันอยู่ที่มุมลึกสุดภายในตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ของฉัน ตอนที่หยิบมันออกมา มือของฉันก็ไปสะดุดเข้ากับกระเป๋าเป้หลังที่แม่เคยเตรียมไว้ให้ฉันเมื่อหลายปีก่อนในตอนที่พวกเราเผชิญหน้ากับพวกโวลตูรีเป็นครั้งแรก

ฉันอดที่จะหยิบมันขึ้นมาดูไม่ได้ ทำเอาฉันค่อนข้างตกใจทีเดียวเพราะข้างในนั้นเต็มไปด้วยธนบัตรที่มัดเป็นปึกๆ จำนวนมากและพาสปอร์ตหลายเล่มที่เป็นชื่อฉัน สำหรับช่วงอายุต่างๆ เดาว่าแม่คงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้าเผื่อเกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านจริงๆ

ความคิดบางอย่างแว่บเข้ามาในสมอง ฉันรีบกลบเกลื่อนมันไว้ด้วยการเรียกเอาความโกรธเคืองกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว หวังว่าพ่อคงจะยังไม่ทันจับกระแสความคิดนั้นนะ ฉันรีบจัดแจงแต่งตัวแล้วย่ำเท้าหนักๆ เดินลงบันไดมายังชั้นล่าง แสดงให้ทุกคนเห็นชัดๆ ไปเลยว่าฉันยังคงอยู่ในอารมณ์ขุ่นมัว

เมื่อเดินมาถึงห้องครัว ทุกคนในครอบครัวของฉันรวมทั้งสมาชิกกลุ่มเดนาลีก็กำลังยืนล้อมเค้าเตอร์ทำอาหารกลางห้องอยู่ เจคอบก็อยู่ตรงนั้นด้วย เขาแต่งตัวเตรียมไปโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าลูกไม่อยากไปโรงเรียนวันนี้ก็ไม่ต้องไปนะจ๊ะ เอสเม่จะโทรไปลาป่วยให้” แม่เอ่ยบอกกับฉัน

“หนูไม่นั่งอยู่บ้านให้ฟุ้งซ่านหรอกค่ะ” ฉันตอบ

แม่คว้าตัวฉันเข้าไปกอดแน่นแล้วจูบฉันที่แก้ม

“เราจะรีบกลับบ้านนะจ๊ะ เราทุกคน แม่สัญญา แม่รักลูกจ้ะ”

“หนูก็รักแม่ค่ะ”

ระดับความโกรธของฉันตกลงไปเล็กน้อย เมื่อความรู้สึกเสียใจอย่างที่สุดเริ่มคืบคลานเข้ามา ฉันถูกทุกคนสลับเข้ามาสวมกอดเพื่อกล่าวคำอำลา และพ่อก็เป็นคนสุดท้าย

“พ่อไม่อยากก้าวออกจากบ้านไปทั้งๆ ที่ลูกยังโกรธพ่ออยู่อย่างนี้ ลูกต้องรู้นะว่าพ่อรักลูกมากจนยอมไม่ได้ที่จะให้ลูกไปในที่ๆ ไม่ปลอดภัยแบบนั้น”

พ่อบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“หนูรู้ค่ะ”

พ่อดึงตัวฉันเข้าไปกอดไว้แน่นพร้อมกับประทับจูบที่หน้าผากของฉันอย่างรักใคร่ ฉันเริ่มรู้สึกตัวเบาโหวงเหวง

“พ่อรักลูกเหลือเกิน เนสซี่” พ่อกระซิบบอกฉัน

“หนูก็รักพ่อค่ะ” ฉันสวนตอบออกไปทันควัน น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมา พ่อผละออกไปแล้วเดินไปที่ประตูเพื่อเดินมาส่งฉัน ฉันลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะหันกลับมามองยังทุกคน

“มีแต่พวกพ่อเท่านั้นเหรอคะที่ไปกัน?” ฉันถามด้วยความสงสัย
ไม่มีใครเอ่ยตอบใดๆ กับฉัน มีเพียงคาร์ไลส์เท่านั้นที่พยักหน้าแทนคำตอบ ฉับพลันทันใดนั้นความโกรธก็ประทุขึ้นมาอีกรอบ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่มีใครยอมสู้กับพวกเรา! แล้วโอกาสที่พวกเขาจะได้กลับมาก็คงจะยิ่งเบาบางลงไปอีก ฉันถอนหายใจหนักก่อนที่จะหันหลังเดินออกจากประตูบ้าน

“ผมขับนะ?” ฉันได้ยินเสียงเจคอบพูดมาจากเบื้องหลัง แต่ยังคงเดินต่อไปที่รถโดยไม่ยอมหันกลับมามอง

“ฉันอยากขับไปคนเดียว!” ฉันกระแทกน้ำเสียงตอบ

เสียงเจคอบหยุดชะงัก ความเจ็บปวดกลุ้มรุมอยู่ที่หน้าอกฉันเมื่อเริ่มรู้สึกผิดที่ทำร้ายความรู้สึกของเขามากมายขนาดนี้แต่กระนั้นฉันก็ยังเดินต่อไปขึ้นรถและรีบบึ่งออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่ถนนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันเหลือบมองกระจกมองหลังแว่บหนึ่ง เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมเมื่อครู่และมองตามรถฉันด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความปวดร้าวอย่างแสนสาหัส ฉันรีบดึงสายตากลับมาตั้งสมาธิกับถนนตรงหน้าแทนเมื่อไม่อาจทนมองเจคอบอีกต่อไปได้

ฉันขับรถออกมาตามทางที่ดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนเพื่อไม่ให้ใครสงสัย แต่พอพ้นระยะการรับรู้ของพ่อและระยะการได้ยินของใครก็ตาม ฉันก็เหยียบคันเร่งแล้วเปลี่ยนเส้นทางมุ่งหน้าไปที่สนามบินทันที


xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx




[[[[ตอบคำถามที่ค้างคาใจ ]]]]

คุณ biiggii

โวลตูรี - คือพวกแวมไพร์วัยดึก ที่เป็นเหมือนพวกผู้คุมกฏอะไรพวกนั้นแหล่ะ

โวลเตอรา - เป็นชื่อเมืองในอิตาลี ที่ๆ พวกโวลตูรีอยู่น่ะ

จบซะที เฮ่อ.. ไว้จะรีบมาต่อ 22 ให้น๊า วันนี้ญาติๆ มาเยี่ยมบ้าน เหนื่อยอีกละ



Create Date : 08 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2552 8:53:13 น.
Counter : 3781 Pageviews.

47 comments
  
ขอบคุณมากเลยนะคะ สนุกมาก
รออ่านต่ออย่างใจจดใจจ่อ
โดย: belle IP: 58.8.196.216 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:56:42 น.
  
สนุกมากๆเลย

รออ่านอยู่เน้อ
โดย: great IP: 113.53.39.42 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:53:41 น.
  
ขอบคุณมากคะ
สมกับที่รอคอย
โดย: Np IP: 10.0.100.203, 117.47.115.86 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:51:33 น.
  

แบบว่าแอบอ่านมานาน ไม่เคยเม้นเยย แฮะๆ

แต่เป็นกำลังใจให้คนแปลเสมอค่ะ แปลได้ดีมั่กๆ

ขอบคุณมากนะคะ จะรอติดตามตอนต่อไปค่ะ
โดย: prim0025 IP: 124.120.62.41 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:26:17 น.
  
โอ้ว......ขอบคุณมากคร้า...^^

จะจบแล้วหรอเนี่ย...น่าเสียดายจัง -*-

สู้ๆ นะค่ะ
โดย: fasai IP: 58.11.64.205 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:06:30 น.
  
เข้ามาดึกมาก...ดีใจที่กลับมา
เป็นกำลังใจให้แปลต่อ
โดย: pa-to31 IP: 117.47.194.76 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:49:06 น.
  
ขอบคุณค่ะพี่อุ๋ม

จะจบแล้วจริงเหรอ

เสียดายอ่ะ
โดย: นิก IP: 125.24.223.148 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:37:04 น.
  
ขอบคุณค่ะที่แปลให้อ่าน

จะจบแล้วเหรอค่ะ

ไม่ใช่ มี 24 บทเหรอคะ เห็นบอกเมื่อตอนที่20 ว่าเหลือ 4 ตอน

ยังไงจะรอนะคะ
โดย: แก้ว IP: 125.24.223.148 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:27:31 น.
  
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ อุตส่าห์รีบกลับมาแปลให้อ่าน หายเหนื่อยบ้างรึยังคะ สนุกมากเลยค่ะ ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ หมู่นี้ ทั้งฝนตก อากาศเปลียน ร้อนอบอ้าว และจะรออ่านตอนต่อไปค่ะ
โดย: BB2 IP: 118.173.254.166 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:54:53 น.
  
ใช่ๆ พี่อุ๋มเคยบอกว่ามี 24 ตอน

ใช่ไหมอ่ะ

แฮะ แฮะ หนูลุ้นอยู่

ยังไงก้อจะรอนะคะ
โดย: นิกส์ IP: 125.24.223.148 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:09:03 น.
  
thanks. อยากอ่านให้ถึงตอนจบเร็วๆ เป็นกำลังใจให้นะ..
โดย: giant IP: 203.156.93.149 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:10:41:27 น.
  



แหง่ว ... เขียนให้เข้าใจกันผิดไปง่ะ คือ หมายความว่า วันนี้จะมาต่อตอนจบ ของตอนที่ 21 ให้ง่ะ

แต่ตอนจบของ The Healer คือ 24 ตอนจ้า

เหลืออีก 3 ตอนเนอะ
โดย: amuro4ever วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:02:27 น.
  
ขอบคุณมากค่ะพี่อุ๋ม

อย่างน้อยก้อต่อความหวังไปอีก 3ตอน
โดย: นิก IP: 125.24.223.148 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:25:20 น.
  
ขอบคุณมากกกกกกกกก มายยยยยย ค๊า
โดย: แฟนเจค IP: 61.47.40.66 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:28:08 น.
  
อ่านตอนที่เป็นจดหมายไม่ออกอ่ะ ตัวหนังสือมันเล็กมากกกกก ( สงสัยจิแก่แล้ว ) เพิ่มขนาดตัวหนังสือให้หน่อยจิ ขอบคุณค้า...............( มัดมือชก )
โดย: J.J. IP: 112.142.9.191 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:04:25 น.
  
โล่งใจมาต่อแล้ว
โดย: หมิว IP: 61.19.65.175 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:07:11 น.
  
คุณ JJ (Comment No.15) มีเพื่อนแร้น... เค้าก็อ่านไม่ออกเหมือนกัน ตัวหนังสีอเล็กมาก ต้องใช้วีธีเอาออกไปอ่านที่อื่นแทนอ่ะค่ะ

แต่ไม่ใช่เพราะอายุมากขึ้นนะ เป็นเพราะว่าเค้าสายตาสั้นต่ะหาก (55เข้าข้างตัวเอง)


เป็นกำลังใจให้คุณอุ๋มนะคะ สู้..สู้ค่ะ
โดย: น้องแว่น IP: 124.122.157.31 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:59:47 น.
  
ขอบคุณค่ะตกลงมีถึง 24 ตอนรึป่าวค่ะ
โดย: เปิ้ล IP: 203.146.0.227 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:04:36 น.
  
วันนี้เข้ามารอ นึกว่ามาต่อให้แล้ว
แต่ยังไง ก็อย่าลืมรักษาสุขภาพนะคะ
และจะรอต่อไปอย่างไม่ย่อท้อค้า
โดย: แฟนเจค IP: 124.122.159.99 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:31:06 น.
  


นึกว่าวันนี้จะ chill chill ที่ไหนได้ งานเข้าด่วนตอนเลิกงานซะงั้น ขอโต๊ดน๊าาาา มาแปลต่อไม่ทัน เพิ่งจะทำงานเสร็จ

ปล. ใครอยากอ่านตัวหย่ายๆ ... ทำง่ายๆ โดย กดปุ่ม ctrl ค้างไว้ แล้วจิ้มเครื่องหมายบวก (ข้างๆ ปุ่ม backspace) ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะใหญ่โตจนพอใจ

กลับเหมือนเดิมก็ ctrl ค้างไว้แล้วจิ้มเครื่องหมายลบ ข้างๆ บวกจ้า
โดย: amuro4ever วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:03:21 น.
  
สนุกมากค่ะ

รออ่านต่อ

เป็นกำลังใจให้นะค่ะ


เก่งมาก ๆ เลย
โดย: puyfai IP: 125.26.199.210 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:37:52 น.
  
ว๊า นึกว่าพี่อุ๋มอัพแล้ว

ไม่เป็นไร อย่าหักโหมนะคะพี่อุ๋ม

เดี๋ยวไม่สบาย

ภาค 2 นี่ใช่ THE WAR ใช่มั๊ยค่ะ

แล้วพี่อุ๋มจาแปลต่อไหมอ่ะ

--- แอบลุ้น ---
โดย: นิก IP: 125.24.203.199 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:8:30:39 น.
  
แอบลุ้นเหมือนกันว่าจะแปล THE WAR ต่อมั้ย คิดว่ามีคนอยากอ่านเยอะอยู่นะ ยังไงก็รบกวนด้วยนะคะ..
โดย: kino IP: 125.27.126.6 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:29:53 น.
  
ว้าว ไม่ได้เล่นเนทหลายวัน เข้ามาอีกที จบบทที่ 21 ซะแล้ว สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ

เอ่อ อยากจะบอกว่า คุณอุ๋มใช้เป็น โวลตูรี บ้าง โวลเตอรา บ้าง งงอะคะ บิ๊กว่าเอา โวลตูรี อย่างเดียวเลยดีป่าวอะคะ
แค่เสนอเฉย ๆ นะ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ คือมันชินกับคำนี้หนะ เวลาอ่านก็นึกออกเลยว่าคือใคร ถ้าโวลเตอรา บางทีอ่านแล้วมันแปลก ๆ หนะค่ะ
โดย: biiggii IP: 202.176.71.205 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:13:29 น.
  
มารออย่างมีความหวังอ่ะ
แต่ก็จะรอ ต่อไป

ขอบคุณค่ะ

โดย: ปาน IP: 124.122.172.166 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:16:34 น.
  


งานเข้าอีกแล้ว แวะมาบอกก่อน ไปทำต่อละ เมื่อไหร่จะหมดหน้างานเข้าเนี่ย
โดย: amuro4ever วันที่: 10 พฤศจิกายน 2552 เวลา:23:54:50 น.
  
ยังไม่มาต่อก็ไม่เป็นไรค่ะ ทำงานให้เสร็จก่อนเนอะ นานแค่ไหนก็รอ..
โดย: kino IP: 125.27.125.29 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:20:41 น.
  


เย็นนี้จะมาต่อตอนจบของ 21 ให้น๊าาาาา งานยุ่งมากมาย
โดย: amuro4ever วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:17:42 น.
  
รออยู่ๆ
โดย: great IP: 61.19.238.200 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:56:44 น.
  
ทำงานให้เสร็จและมาทำฝันของหลายๆคนให้เป็นจิงๆนะคะ จิงๆ ไม่อยากบอกเลยว่ารอและเข้ามาดูเกือบทั้งวัน กลัวเป็นการกดดันเกินไป
สู้ๆ คะ
โดย: parn IP: 124.120.244.239 วันที่: 12 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:16:29 น.
  
อิอิ พี่โซลยังไม่ได้มาอัพ

สู้ๆ นะค่ะ (ไม่ได้กดดันนะ,,)
โดย: fasai IP: 58.8.194.25 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:2:48:43 น.
  
เข้ามาดูอ่ะ ยังไม่หายยุ่งเหรอคะพี่อุ๋ม หุหุ

จะรอนะคะ
โดย: นิก IP: 125.25.186.131 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:51:14 น.
  
ไม่เห็นมาอัพเลย..
โดย: gt IP: 203.156.93.149 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:10:00 น.
  

หายยุ่งเร็วๆนะคะ
โดย: นิก IP: 125.25.186.131 วันที่: 13 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:52:11 น.
  
ขอบคุนนะคะ รอให้กลับมาแปลต่อแทบไม่ไหวเลยค่ะ ^^
โดย: nanz IP: 125.24.120.8 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:23:22 น.
  
ขอบคุณมากมาย ที่สละเวลาให้
เป็นกำลังใจให้นะคะ
โดย: lemon.freeze IP: 61.90.7.109 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2552 เวลา:18:46:32 น.
  
ขอบคุณค่ะ
โดย: ปาน IP: 124.120.240.178 วันที่: 16 พฤศจิกายน 2552 เวลา:22:59:58 น.
  
น้องอุ๋มน่ารักม๊ากกกกกกกกกก พอบอกว่าตัวหนังสือตรงจดหมายเล็ก ก้อขยายขึ้นให้ ขอบคุณคร้า....... น้องแว่น(#17) เพื่อนกันสายตาบอดเหมือนกันเลย 5555+ มีสองคนนี่ล่ะที่มีปัญหาอ่ะ กอดคอกันไว้นะจ๊ะ อิ ๆ
โดย: JJ IP: 114.128.53.4 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:52:28 น.
  
พี่อุ๋มสู้ๆๆ
โดย: kookkaid IP: 210.4.138.40 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2552 เวลา:11:41:34 น.
  
ขอแก้ให้เข้าใจค่ะ โวลตูรีเป็นชื่อเรียกกลุ่มที่ปกครองเหล่าแวมไพร์ค่ะ ส่วนโวลเตอราเป็นชื่อเมืองที่เหล่าโวลตูรีอาศัยอยู่น่ะค่ะ ตามที่ต้นฉบับ สเตฟานี่เขียนไว้ค่ะ
โดย: ying IP: 58.9.65.93 วันที่: 24 พฤศจิกายน 2552 เวลา:0:49:11 น.
  
แปลสนุกมากเลยค่ะ
ภาษาอ่านง่าย ให้ความหมายดี

ขอบคุณที่แบ่งปันนะค่ะ :]
โดย: เฌอเบีย IP: 61.90.67.136 วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:20:10:39 น.
  
เพิ่งจิได้แวะมาอ่านค่ะพี่อุ๋ม
โดย: goi IP: 125.27.68.8 วันที่: 19 ธันวาคม 2552 เวลา:10:32:23 น.
  
ตามมาอ่านแล้วนะค้า ช้าไปนานโขเลย

ขอบคุณพี่อุ๋มนะคะ จุ๊บุๆ

ปล. เริ่มรู้สึกว่าเนสซี่ทำตัวน่ารำคาญแฮะ สงสารเซ็ธกะเจคง่ะ ^^'
โดย: Eric Mun IP: 110.164.203.102 วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:13:01:28 น.
  
หนุก ๆๆๆๆ มากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้แปลไปอีกนานๆ นะคะ
โดย: pummy IP: 124.120.52.160 วันที่: 22 ธันวาคม 2552 เวลา:1:58:15 น.
  
Thank you so much..
โดย: Mameow IP: 79.40.175.63 วันที่: 19 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:2:38:09 น.
  
ผมว่าถ้าเอาไปทำเป็นหนังจะมันมากเลย ยิ่ง ตอน บท ที่ 20 ลงไปมันมากเลย ครับ อยากไห้ทำเป้นหนังจัวครับ
โดย: เอิร์ธ IP: 110.77.239.139 วันที่: 28 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:56:23 น.
  
I received these final 12 months and fell in like with lace wigs bob wigs https://youtu.be/3KO3e4I3_24 immediately! i will NOT use every other brand regardless of what. I will be obtaining a lot of numerous much more blonde lace wigs https://youtu.be/3KO3e4I3_24 i hope!! These are good to go anywhere. I have worn them to superior end occasions and to the airport.
โดย: lace wigs bob wigs IP: 188.40.113.83 วันที่: 14 มกราคม 2563 เวลา:8:21:02 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

amuro4ever
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]